เอามาจากข่าวครับ" เปิด โผ 15 หุ้นมหัศจรรย์"

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
jo7393
Verified User
โพสต์: 2486
ผู้ติดตาม: 0

เอามาจากข่าวครับ" เปิด โผ 15 หุ้นมหัศจรรย์"

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เห็นข่าวเลยเอามาแปะครับ

เปิด โผ 15 หุ้นมหัศจรรย์
อัตรากำไรสุทธิเกิน15%

วันพุธที่ 23 มิถุนายน 2010 เวลา 13:45:07 น.

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้รวบรวมข้อมูลอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ใหม่ จำนวน 500 กว่าบริษัท โดยคัดเลือกเฉพาะหุ้นที่มีอัตรากำไรสุทธิมากกว่า 15% ต่อเนื่อง 9 ไตรมาส พบว่ามีจำนวน 15 บริษัทที่มีศักยภาพในการทำกำไรสูงต่อเนื่อง ดังนี้
ที่มา:ข้อมูลรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นจาก www.setsmart.com

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO มีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยสูงกว่า 40% ทุกไตรมาส ยกเว้นไตรมาส 4/51 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง เนื่องจาก EGCO ทำธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานทำให้ความผันผวนของของกำไรปกติน้อยและหุ้นไม่ ค่อยอ่อนไหวตามตามภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 1/53 อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 53.21% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 41.01% เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และธุรกิจต่างประเทศมีกำไรเพิ่มขึ้นจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของ NTPC (โครงการน้ำเทิน 2) ก่อนกำหนด อีกทั้ง Conal มีผลประกอบการดีขึ้นจากการเปลี่ยนวิธีการคำนวนภาษีนิติบุคคล

บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL มีอัตรากำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1/53 ที่ 34.12% ปรับลดจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 41.95% เนื่องมาจากการลดลงของจำนวนเรือที่ดำเนินงานในไตรมาสนี้ประกอบกับการขาดทุน จากการแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ อัตรากำไรสุทธิของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวลงตั้งแต่ไตรมาส 2/53 หลังจากเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้การขนส่งทางเรือปรับตัวลดลง

บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI มีอัตรากำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1/53 อยู่ที่ 32.44% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปี 52 ซึ่งอยู่ที่ 28.43% เนื่องมาจากการที่บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน ตามวิธีส่วนได้เสียเพิ่มขึ้น

บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EASTW มีอัตรากำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1/53 ที่ 31.47% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 30.63% เนื่องจากปริมาณความต้องการน้ำดิบที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าปัจจุบัน เช่น การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ จากแนวโน้มได้จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อปริมาณการใช้น้ำที่เร่ง ตัวขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังของปีก่อนต่อเนื่องมาจนถึงต้นปีนี้

บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON มีอัตรากำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1/53 อยู่ที่ 31.06% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 27.95% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าเช่าและค่าบริการจากการที่มีลูกค้ามาเช่า โรงงาน/คลังสินค้าของบริษัทเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้น บริษัทยังมีรายได้จากการขายโรงงานให้ลูกค้า และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ TFUND

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB มีอัตรากำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1/53 ที่ 30.89% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปี 52 ซึ่งอยู่ที่ 26.33% เนื่องจากธนาคารมีประสิทธิภาพในการทำกำไรเพิ่มขึ้นทั้งจากรายได้จากการปล่อย สินเชื่อและรายได้จากค่าธรรมเนียม โดยธนาคารสามารถทำกำไรได้สูงสุดติดต่อกันหลายปี แม้ว่าพอร์ตสินเชื่อของธนาคารจะน้อยกว่าธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย

บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT มีอัตรากำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1/53 อยู่ที่ 28.73% ขยับขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปี 52 ซึ่งอยู่ที่ 28.43% เนื่องจากการปรับผังรายการอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมารวมถึงเมื่อเดือน มกราคม 2553 โดยเพิ่มสัดส่วนรายการบันเทิงเชิงสาระมากขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น และคาดว่าในช่วงไตรมาส 2 ผลการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงดีต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วง High Season ของธุรกิจโฆษณา

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN มีอัตรากำไรสุทธิ ในช่วงไตรมาส 1/53 อยู่ที่ 26.47% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปี 52 ซึ่งอยู่ที่ 20.9% เนื่องจากบริษัทเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องและผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ของโครงการเซ็นทรัลเวิลด์ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงไตรมาส 2 อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท แต่เบื้องต้น ราคาหุ้น CPN ได้ปรับตัวลดลงรับกับข่าวดังกล่าวแล้ว

บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC มีอัตรากำไรสุทธิในไตรมาสแรกปี 2553 อยู่ที่ 26.42% ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปี 2552 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 26.77% เพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ เป็นผลจากรายได้อื่นซึ่งไม่ใช่รายได้จากการขยายโฆษณาปรับตัวลดลงตามภาวะ เศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามรายได้จากการขายเวลาโฆษณาเพิ่มขึ้นและกำไรจากการจัดการแสดงสูง ขึ้น และคาดว่าในเดือนก.ค.และต.ค.บริษัทจะปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาขึ้น และบันทึกรายได้จากการเปลี่ยนแปลงสัมปทานของ MCOT ทำให้แนวโน้มความสามารถในการทำกำไรในอนาคตของบริษัทเติบโตสูง

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มีอัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 1/53 อยู่ที่ 25.5% เทียบจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 19.93% ซึ่งเป็นผลจากสินเชื่อขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทมีรายได้พิเศษจากการขายหุ้นบริษัทในเครือ ทั้งนี้ จากความต้องการสินเชื่อที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศจะส่งผลให้ธนาคารกรุงเทพมีความสามารถในการทำกำไร เพิ่มขึ้น

บริษัท ทรัพย์ศรีไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SST มีอัตรากำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1/53 ที่ 25.04% ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปี 52 ซึ่งอยู่ที่ 28.39% ทั้งนี้ การขายอสังหาริมทรัพย์ให้กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบมีกรรมสิทธิ์ทรัพย์ ศรีไทยจะส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในปีนี้

บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH มีอัตรากำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1/53 อยุ่ที่ 23.7% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 52 ซึ่งอยู่ที่ 19.24% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดขายบ้านปรับตัวเพิ่มขึ้น

บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL มีอัตรากำไรสุทธิในช่วงไตรมาสแรกปี 2553 อยู่ที่ที่ 19.88% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณการจราจรบนทางด่วนในปีนี้จะเติบโตราว 3.0-3.5% เป็นผลสืบเนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น และการปิดซ่อมสะพานหลายจุดในกรุงเทพฯ โดยเห็นสัญญาณที่ดีตั้งแต่ต้นปี

บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ KCAR มีอัตรากำไรสุทธิในช่วงไตรมาส1/53 อยู่ที่ 17.88% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 16.28% เนื่องจากรายได้จากค่าเช่ารถยนต์เพิ่มขึ้นจากการขยายฐานลูกค้าเช่ารถยนต์ที่ เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเมื่อเทียบสัดส่วนกับรายได้รวมลดลงและบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK มี อัตรากำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1/53 อยู่ที่ 16.13% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 19.42%

http://www.kaohoon.com/online/index.php ... Itemid=122
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร  ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม  และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่

อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
ภาพประจำตัวสมาชิก
jo7393
Verified User
โพสต์: 2486
ผู้ติดตาม: 0

เอามาจากข่าวครับ" เปิด โผ 15 หุ้นมหัศจรรย์"

โพสต์ที่ 2

โพสต์

อีกอันครับ

20 หุ้นร้อนฝรังไล่ซื้อต้นเดือนมิ.ย.

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2010 เวลา 12:55:02 น.

"ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์"ได้รวบรวมข้อมูลการซื้อขายประจำวันของไทย เอ็นวีดีอาร์ ซึ่งเป็นดัชนีหนึ่งที่สะท้อนการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1-14 มิ.ย.พบว่า หุ้นที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิผ่าน ไทยเอ็นวีดีอาร์ 10 อันดับแรก ได้แก่ BTS LPN IVL BAY HEMRAJ CPF TWZ IRPC TCAP และ HMPRO ขณะที่หุ้นที่ซื้อสุทธิต่อเนื่องทุกวัน ได้แก่ BAY และTCAP

ทั้งนี้ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เป็นหุ้นที่มีการซื้อสุทธิผ่าน THAI NVDR สูงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 1-14 มิ.ย. จำนวน 108.58 ล้านหุ้น เนื่องจากนักลงทุนมองว่าหุ้นจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากมีการควบรวมกิจการ ระหว่าง TYONG และ BTSC และเปลี่ยนชื่อเป็น "BTS" และผลจากการควบรวมกิจการส่งผลให้ผลกำไรสำหรับปีที่สิ้นสุด 31 มีนาคม 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 204.5 ล้านบาท จาก 20.2 ล้านบาทในปี 2552 และบริษัทจะล้างขาดทุนสะสมและจ่ายปันผลได้ในงบการเงินสิ้นสุดเดือนมี.ค.54 ประกอบกับปลายเดือนนี้คาดว่าวอร์แรนต์จะเข้าซื้อขายในตลาดหุ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นแม่ปรับตัวขึ้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ราคาหุ้นลูกซื้อขายในระดับสูงตามไปด้วย

บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดี เวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เป็นหุ้นที่มีการซื้อสุทธิผ่าน THAI NVDR เป็นอันดับ 2 จำนวน 36.33 ล้านหุ้น ทั้งนี้ เป็นผลจากบริษัทมียอดโอนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ไตรมาส 2/53 คาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 2.6 พันล้านบาท โดยนักวิเคราะห์คาดว่าปีนี้ LPN จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL เป็นหุ้นที่มีการ ซื้อสุทธิผ่าน THAI NVDR ในยอดรวมนับตั้งแต่วันที่ 1 -14 มิ.ย.53 อยู่ที่ 31.41 ล้านหุ้น เนื่องจากบริษัทมีปัจจัยบวกจากการเปิดโรง AlphaPet ในสหรัฐอเมริกา โดยมีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก (PET) ที่ 432,000 ตันต่อปี และคาดว่าแนวโน้มกำไรในไตรมาสที่ 2 ปี 2553 จะเติบโตขึ้น ประกอบนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรก่อนที่ IVL จะถูกนำเข้าไปคำนวณดัชนี SET 50

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายหุ้นผ่าน THAI NVDR จำนวน 29.50 ล้านหุ้น หลังจากก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้น BAY ทิ้งต่อเนื่อง ทำให้กลับมาซื้อเก็บหุ้นใหม่ โดยคาดว่าในปี 53 ธนาคารจะเติบโตมากที่สุดในกลุ่มแบงก์ คงเป็นผลจากที่ได้รับประโยชน์เต็มที่การที่ BAY ไปซื้อพอร์ต AIG และ GE money เข้ามาในปีที่แล้ว

บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือ HEMRAJ เป็นหุ้นที่มีการซื้อสุทธิผ่าน THAI NVDR จำนวน 27.39 ล้านหุ้น เนื่องจากกำไรสุทธิในไตรมาส1/53 ที่เพิ่มขึ้นถึง 308 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา และการคลี่คลายลงข้อพิพาทในพื้นที่มาบตาพุดที่มีความคืบหน้าโดยคาดว่าจะ สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในปี 53 และเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ต้นปี 54

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เป็นหุ้นที่ถูกซื้อสุทธิผ่าน THAI NVDR จำนวน 25.65 ล้านบาท เนื่องจากราคาเนื้อสัตว์ในประเทศยังทรงตัวในระดับที่สูงทั้งสุกรและไก่ หลังจากเกิดปัญหาอุปทานเนื้อสัตว์ตึงตัว ทำให้แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นของ CPF ในงวด ไตรมาส2 และ3 จะยังทรงตัวในระดับที่สูงใกล้เคียงกับงวดไตรมาส1 ที่ระดับ19 - 20%

บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TWZ เป็นหุ้นที่มีการซื้อสุทธิผ่าน THAI NVDR ในยอดรวมนับตั้งแต่วันที่ 1-14 มิ.ย จำนวน 19.02 ล้านหุ้น เนื่องจากผู้บริโภคให้การยอมรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ผลิตในประเทศจีนมากขึ้น เพราะสินค้ามีราคาเหมาะสม และฟังก์ชั่นการใช้งานสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดี

บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC มียอดซื้อสุทธิผ่าน THAI NVDR จำนวน 18.69 ล้านหุ้น เนื่องมาจากนักลงทุนคาดว่าแผนการคาดควบรวมระหว่าง PTTAR และ IRPC อาจลุล่วงเสร็จภายในต้นปี 2554

บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP มียอดซื้อสุทธิผ่าน THAI NVDR จำนวน 15.80 ล้านหุ้น เนื่องจากคาดการณ์ผลประกอบการที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น จากการขยายตัวของสินเชื่อรถยนต์ ประกอบกับข่าวบริษัทมีโครงการซื้อหุ้นคืน

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เป็นหุ้นที่มีการซื้อสุทธิผ่าน THAI NVDR จำนวน 13.98 ล้านหุ้น โดยผลประกอบการยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากทั้งลูกค้าบ้านเก่าและ ลูกค้าบ้านใหม่ รวมทั้งจะมีการเปิดสาขาใหม่ 4-5 สาขา ซึ่งจะทำให้ HMPRO มีสาขารวมเพิ่มขึ้นเป็น 39-40 สาขาในสิ้นปีนี้ และได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของถาครัฐ

บริษัท แคลคอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ CCET เป็นหุ้นที่มีการซื้อสุทธิผ่าน THAI NVDR จำนวน 12.75 ล้านหุ้น เนื่องจากธุรกิจอยู่ในช่วงไฮซีซั่น โดยเฉพาะสินค้า PCBA ถือว่าเป็นสินค้าหลักมียอดขายดีขึ้นมาก ช่วยทำให้ยอดขายบริษัทดีขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่ากำไรจะโตก้าวกระโดดจากปีก่อนหน้า

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เป็นหุ้นที่มียอดซื้อสุทธิผ่าน THAI NVDR จำนวน 11.52 ล้านหุ้น โดยมีสาเหตุมาจากการที่ธนาคารได้เพิ่มกลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ประกอบกับสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธนาคารขยายตัวต่อเนื่องจาก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เป็นหุ้นที่มีการซื้อสุทธิผ่าน THAI NVDR จำนวน 9.14 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นผลจากการคาดการณ์ของนักลงทุนและโบรเกอร์ที่มองว่าแม้ไตรมาส 2/53 และ ไตรมาส 3/53 บริษัทจะยังคงได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง แต่ในไตรมาส 4/53 ซึ่งเป็นช่วง high season ธุรกิจท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัว และธุรกิจอาหารของบริษัทมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง

http://www.kaohoon.com/online/index.php ... Itemid=122
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร  ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม  และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่

อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
ภาพประจำตัวสมาชิก
jo7393
Verified User
โพสต์: 2486
ผู้ติดตาม: 0

เอามาจากข่าวครับ" เปิด โผ 15 หุ้นมหัศจรรย์"

โพสต์ที่ 3

โพสต์

และอีกข่าวครับ


เปิด โผหุ้นROEเริ่ดเหนือ20%ติดต่อ9ไตรมาส
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้รวบรวมข้อมูลอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity: ROE) ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการนำเงินทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นไปสร้าง ผลตอบแทน ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับความเสี่ยงของธุรกิจ และความเสี่ยงทางการเงินในระดับที่ผู้ถือหุ้นยอมรับได้ เพื่อให้นักลงทุนได้พิจารณาคัดเลือกหุ้นที่มี ROE สูงไว้ลงทุนในยามที่ตลาดหุ้นผันผวน และพิจารณาหุ้นที่มีประสิทธิภาพในการสร้างกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพื่อเลือก ลงทุนในระยะยาว

โดย “ข่าวหุ้นออนไลน์” ได้คัดเลือกบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ ใหม่จำนวน 519 บริษัทที่มีค่า ROE มากกว่า 15% ต่อเนื่องกันนับตั้งแต่ไตรมาส1/51 ต่อเนื่องมาจนกระทั้งไตรมาส 1/53 พบว่ามีจำนวน 58 บริษัท แต่หากพิจารณาเฉพาะหุ้นที่มีค่า ROE มากกว่า 20% ต่อเนื่อง 9 ไตรมาสพบว่ามีเพียง 27 บริษัท (ในตารางจะเป็นพื้นที่ส่วนที่เป็นสีฟ้า)

สำหรับหุ้นที่มีค่า ROE สูงสุด 10 อันดับแรกในไตรมาส1/53 ได้แก่ STPI BEC SCNYL SPALI MCS PATO DCC LANNA BOL และ PS โดย “ข่าวหุ้นออนไลน์” ได้เลือกนำเสนอรายละเอียดในบางบริษัทจากทั้งหมด 58 บริษัท ดังนี้

บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI บริษัทในเครือตระกูล “ชาญวีระกูล” และเพิ่งฟื้นตัวหลังจากคนในตระกูล ”ชาญวีรกูล” อย่าง “มาศ ถวิน ชาญวีรกูล” เข้ามาบริหารงานอย่างเต็มตัว และหันมาจับธุรกิจแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กและโครงสร้างเหล็ก โดยการนำเหล็กรูปพรรณ ท่อเหล็ก และเหล็กแผ่น มาตัดและประกอบตามแบบที่ลูกค้ากำหนด ผลิตและติดตั้งโครงสร้างเหล็ก งานประกอบและเชื่อมท่อ และ งานประกอบโรงงานสำเร็จรูป สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมน้ำมันและพลังงาน ปิโตรเคมี ไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศตามลูกค้ากำหนด โดยกลุ่มลูกค้าหลัก คือ เจ้าของโครงการ และผู้รับเหมาหลัก พร้อมทั้งรับช่วงงานต่อจาก STEC

โดย STPI เป็นหุ้นที่มีอัตราตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) มากที่สุดในไตรมาส 1 ปี2553 ที่ระดับ 73.98% โดยนับแต่ปี 2551 บริษัทมีออเดอร์ที่เข้ามาและเพิ่มขึ้นในทุกๆ ไตรมาส โดยในปี 2552 บริษัทมีออเดอร์ต่างชาติเข้ามาเพิ่มขึ้น บวกกับบริษัทมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้บริษัทมี ROE อยู่ในระดับสูงกว่า 50% ต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงที่สุดที่ 86.26% และต่ำสุดที่ 29.99% ในระหว่างปี 2551 -2553

บริษัท บีอีซี เวิลดฺ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC เป็นหุ้นที่มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ในไตรมาส 1/53 ที่ 45.47% โดยเพิ่มขึ้นจาก 45.14% ในช่วงเดียวกันของปี 52 โดยในปี 51 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในทุกไตรมาสจากการขายเวลาโฆษณาและอื่นๆ ขณะที่ในไตรมาสที่ 2 ปี 52 บริษัทประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอยและจากการปรับเพิ่มขึ้นของต้นทุนทำให้ยอด กำไรสุทธิลดลง ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงที่สุดที่ 45.47% และต่ำสุดที่ 36.95% ในระหว่างปี 2551 -2553

บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด หรือ SCNYL เป็นหุ้นที่มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น(ROE) ในไตรมาส 1 ปี2553 ที่ 40.71% โดยลดลงจาก 42.41% ไตรมาสเดียวกันใน 2552 ทั้งนี้บริษัทมีอัตราตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงที่สุดที่ 40.71% และต่ำสุดที่ 50.06% ในระหว่างปี 2551 -2553

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เป็นหุ้นที่มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น(ROE) ในไตรมาส 1 ปี2553 ที่ 30.52% โดยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 52 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.11% ไตรมาสเดียวกันใน  2552 ทั้งนี้ นับตั้งแต่ไตรมาสแรก ปี 2551 ถึงไตรมาสที่สาม 2552 มี ROE โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 15.70% แต่ในไตรมาสที่สี่ปี 2552 กับไตรมาสแรกปี 2553 บริษัทกลับมี ROE ที่ 29.85% และ 30.25% ตามลำดับ อันเนื่องจากบริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ซึ่งเกิดจากการเปิดให้บริการโครงการใหม่และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ โครงการเซ็นทรัลเวิลด์ ทั้งนี้บริษัทมีอัตราตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงที่สุดที่ 30.52% และต่ำสุดที่ 15.01% ในระหว่างปี 2551 -2553

บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT เป็นหุ้นที่มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ในไตรมาส 1 ปี2553 ที่ 30.9% โดยเพิ่มขึ้นจาก 17.17% ไตรมาสเดียวกันใน 2552 เนื่องมาจากโครงการที่ส่งมอบในปี 2553 มีขนาดเล็กและมีค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการต่ำกว่าโครงการที่ส่งมอบในปี 2552 นอกจากนี้ยังมีการโอนกลับหนี้สงสัยจะสูญ โดยการดำเนินงานในปี 2552 นั้น บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิในปี 2551 โดยมีสาเหตุเนื่องมาจาก รายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้กำไรสุทธิสูงขึ้นตาม ทั้งนี้บริษัทมีอัตราตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงที่สุดที่ 32.96% และต่ำสุดที่ 17.17% ในระหว่างปี 2551 -2553

บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เป็นหุ้นที่มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น( ROE) ในไตรมาส 1 ปี 53 ที่ 26.7% โดยเพิ่มขึ้นจาก 17.1% ไตรมาสเดียวกันใน ปี 52 เนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และความสำเร็จจากมาตรการลดต้นทุนต่างๆ โดยในไตรมาส4/51บริษัทขาดทุนสุทธิจากมูลค่าสินค้าคงเหลือ ทั้งนี้บริษัทมีอัตราตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงที่สุดที่ 87.83% และต่ำสุดที่ 26.89% ในระหว่างปี 2551 -2553

บริษัท ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน)  หรือ UVAN เป็นหุ้นที่มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น(ROE) ในไตรมาส 1 ปี2553 ที่ 27.01% โดยเพิ่มขึ้นจาก 68.38% ไตรมาสเดียวกันใน 2552 ทั้งนี้บริษัทมีอัตราตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงที่สุดที่ 87.83% และต่ำสุดที่ 26.89% ในระหว่างปี 2551 -2553

บริษัท ประสิทธิ์พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ PYT เป็นหุ้นที่มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ในไตรมาส 1 ปี2553 ที่ 23.04% โดยลดลงจาก 23.15% ไตรมาสเดียวกันใน 2552 เนื่องจากมีการให้บริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ทำให้รายได้ต่อคนไข้สูงขึ้น ทั้งนี้บริษัทมีอัตราตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงที่สุดที่ 54.01% และต่ำสุดที่ 23.04% ในระหว่างปี 2551 -2553

บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ  AEONTS เป็นหุ้นที่มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น(ROE) ในไตรมาส 1 ปี2553 ที่ 21.37% โดยลดลงจาก 25.68% ไตรมาสเดียวกันใน  2552 ทั้งนี้บริษัทมีอัตราตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงที่สุดที่ 29.18% และต่ำสุดที่ 21.37% ในระหว่างปี 2551 -2553

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เป็นบริษัทที่มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ในไตรมาส 1 ปี 2553 ที่ 19.14% โดยทรุดลงจาก 31.92% ไตรมาสเดียวกันใน 2552 เนื่องจากเหตุการณ์น้ำมันและก๊าซธรรมชาติรั่วไหลระหว่างการเจาะหลุมพัฒนา (มอนทารา H1) และเกิดเพลิงไหม้บริเวณแท่นเจาะ West Atlas ซึ่งเป็นของผู้รับเหมา และแท่นหลุมผลิต (Wellhead Platform) ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงที่สุดที่ 37.41% และต่ำสุดที่ 15.99% ในระหว่างปี 2551 -2553

............................................................

หากพิจารณาหุ้นที่มีประสิทธิภาพในการทำกำไรจากส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่ม ขึ้นต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าพบว่ามีเพียง 5 หุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและมากกว่า 15% ดังต่อไปนี้ ได้แก่

บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เป็นบริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบ กับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตั้งแต่ปี 51-53 เนื่องจากบริษัทสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่เดียวกันก็สามารถลดต้นทุนได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การดำเนินงาน โดยไตรมาส 1/53 มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่ 39.7% โดยเติบโตขึ้นต่อเนื่องนับแต่ไตรมาส 1/51 ที่ 16.76%

บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) หรือ DCC นอกจากจะเป็นบริษัทที่สร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องให้กับผู้ถือหุ้น แล้ว ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว บริษัทยังจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องทุกไตรมาส ทำให้ DCC เป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่เน้นลงทุนระยะยาว ทั้งนี้ ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนการผลิตลดลงเนื่องจากราคาพลังงานปรับตัวลดลง โดยอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในไตรมาส 1/53 อยู่ที่ระดับ 37.02% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 52 ซึ่งอยู่ที่ 28.52% และในปี 51 ที่ 15.95%

บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS เป็นหุ้นอสังหาฯ ที่เติบโตต่อเนื่อง โดยความสำเร็จทั้งหมดเกิดขึ้นจากบริษัทรุกตลาดในทุกเซ็กเมนต์ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมที่มียอดขายและรายได้เติบโตเพิ่มสูงขึ้นเนื่อง โดยได้พัฒนาคอนโดฯ ทุกระดับราคา และยังคงเดินหน้าพัฒนาทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่บนทำเลศักยภาพ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มด้วยมี ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการใหม่ที่สามารถกำหนดราคาขายได้ดี ในขณะที่สามารถบริหารต้นทุนได้ตามแผนงาน โดยมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นมากที่สุดที่ระดับ 33.24% และต่ำสุดที่ 15.95%

บริษัทไทยวาฟูดโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TWFP เป็นบริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบ กับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตั้งแต่ปี 51-53 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายวุ้นเส้นภายในประเทศทั้งวุ้นเส้นสดและ วุ้นเส้นแห้ง ในขณะที่ปริมาณการส่งออกวุ้นเส้นปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามในปี 2552 ผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมในลดลง ทั้งนี้บริษัทมี ROE สูงสุด 27.41% และต่ำสุดที่ 15.22%

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เป็นหุ้นที่นักลงทุนสถาบันซื้อเก็บไว้ในพอร์ตลงทุน เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดย ROE โดยหลังจากภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัวจากการกระตุ้นของภาครัฐ ส่งผลให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนชองการเติบโตของสาขาเดิม การเปิดสาขาใหม่และการจัดงาน ทั้งนี้ บริษัทมีผล ROE สูงสุดในระหว่างปี 2551 และ 2553 ที่ 23.26% และต่ำสุดที่ระดับ 17.7%

http://www.kaohoon.com/online/index.php ... Itemid=122
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร  ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม  และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่

อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
ภาพประจำตัวสมาชิก
luckyman
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2203
ผู้ติดตาม: 0

เอามาจากข่าวครับ" เปิด โผ 15 หุ้นมหัศจรรย์"

โพสต์ที่ 4

โพสต์

se-ed, tpac ก็ ROE 2x มาตลอดนะครับ ทำไมไม่ติดโผอ่ะ หรือเห็นว่า market cap เลยไม่ยอมออกข่าว

:cry:  :cry:  ใจน้อย น้อยใจ
website for the value investor
=> https://hoonapp.com
Power Investor
Verified User
โพสต์: 1837
ผู้ติดตาม: 0

เอามาจากข่าวครับ" เปิด โผ 15 หุ้นมหัศจรรย์"

โพสต์ที่ 5

โพสต์

It's always amusing to see how people still read this stupid newspaper.  Kaohoon analysis is done by kindergarden kids.  

Firstly, holding company (like EGCO), trading firms, and companies in service industry by nature will always have high net profit margin.  This is why there is no real sector manufacturing firms like PTT Group, BANPU, or SCC on the list.

Secondly, the NVDR analysis is ranked based number of shares rather than on real trading value.  Who cares if HEMRAJ had a lot of NVDR shares traded when its share price is only 1 baht.  You need to look at trading value in baht (no. of shares x price/share) instead of just the number of shares.
lam
Verified User
โพสต์: 160
ผู้ติดตาม: 0

เอามาจากข่าวครับ" เปิด โผ 15 หุ้นมหัศจรรย์"

โพสต์ที่ 6

โพสต์

[quote="luckyman"]se-ed, tpac ก็ ROE 2x มาตลอดนะครับ ทำไมไม่ติดโผอ่ะ หรือเห็นว่า market cap เลยไม่ยอมออกข่าว

:cry:
ภาพประจำตัวสมาชิก
luckyman
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2203
ผู้ติดตาม: 0

เอามาจากข่าวครับ" เปิด โผ 15 หุ้นมหัศจรรย์"

โพสต์ที่ 7

โพสต์

thanks krub  :8)
website for the value investor
=> https://hoonapp.com
ภาพประจำตัวสมาชิก
j21
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 690
ผู้ติดตาม: 0

เอามาจากข่าวครับ" เปิด โผ 15 หุ้นมหัศจรรย์"

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ขอบคุณครับ   :D
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

เอามาจากข่าวครับ" เปิด โผ 15 หุ้นมหัศจรรย์"

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ROE มากต้องดูคุณภาพเรื่องการกู้ประกอบด้วย
บ้างธุรกิจเป็นการกู้มาลงทุนทำให้กิจการมี ROE สูง
ทำให้การวิเคราะห์ควรดูเรื่องกิจการนั้นมีความสามารถ
ในการชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้นให้แก่เจ้าหนี้ได้หรือเปล่า

แล้วคำถามที่ตามมาคือ ในมือกู้มากแล้ว ROE สูง
ใครได้ประโยชน์ เจ้าหนี้หรือเจ้าของที่ได้ประโยชน์
เจ้าหนี้ได้ผลประโยชน์ในรูปของดอกเบี้ยมี่มีอัตราคงที่
ส่วนเจ้าของได้ผลประโยชน์ในรูปของเงินปันผลและส่วนต่างของราคาหุ้น
จุดนี้ต้องพิจารณาให้ดี

ประเด็นต่อมาคือเรื่องของต้นทุนเงินทุนของกิจการ (WACC)
ว่ากิจการที่กู้มากนั้น ROE สูงมีต้นเงินทุนสูงหรือเเปล่า
ถ้าสูงนักลงทุนควรเรียกร้องผลตอบแทนสูงตามไปด้วย

สุดท้ายคือเปรียบเทียบกับคนอื่นในแวดดวงธุรกิจเดียวกันด้วยเด้อ
:)
:)
Radio
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1339
ผู้ติดตาม: 0

เอามาจากข่าวครับ" เปิด โผ 15 หุ้นมหัศจรรย์"

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ฮิๆ ผมดูง่ายๆ ROE สูง ควรมี ROA สูงด้วย  
ถ้า ROE สูงแต่ ROA ต่ำ ก็แสดงว่ากู้มามาก แบบนี้ไม่ชอบ
โพสต์โพสต์