กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 32
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม 2553 08:06:47 น.
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ก.ค.) จาแรงซื้อที่ส่งเข้าหนุนหุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นว่าผลการทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test) ของธนาคารในยุโรปจะออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่หุ้นบีพีดีดตัวขึ้นหลังจากมีข่าวว่ากองทุนในกลุ่มตะวันออกกลางอาจเข้าลงทุนในบีพี นอกจากนี้ การคาดการณ์ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของสเตท สตรีท คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทการเงินของสหรัฐ ยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนหุ้นกลุ่มธนาคารของอังกฤษทะยานขึ้นด้วย
ดัชนี FTSE 100 ดีดขึ้น 49.82 จุด หรือ 1.0% ปิดที่ 5,014.82 จุด
นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารเพราะเชื่อว่าผลการทดสอบ stress test จะออกมาดีเกินคาด โดยหุ้นธนาคารบาร์เคลย์สปิดบวก 6.2% หุ้นรอยัลแบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ ปิดพุ่ง 4.7%
หุ้นบีพีพุ่งขึ้น 4.8% หลังจากมีการคาดการณ์ว่า กองทุนบริหารความมั่งคังในตะวันออกกลาง รวมถึงอาบูดาบี อาจเข้าลงทุนในบีพี ภายหลังจากนายโทนี เฮย์เวิร์ด ซีอีโอของบีพีได้ร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานการลงทุนของอาบูดาบี
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่านายโชกรี กาเนม ประธานบริษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบีย จะแนะนำให้กองทุนความมั่งคั่งของลิเบียเข้าซื้อหุ้นในบริษัทบีพี ซึ่งกำลังประสบปัญหาภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากเหตุการณ์น้ำมันจากแท่นขุดเจาะของบริษัทไหลทะลักลงสู่อ่าวเม็กซิโกเป็นปริมาณมหาศาล ชี้มูลค่าหุ้นบีพีในตอนนี้เหมาะแก่การซื้อเพื่อเก็งกำไร
ทั้งนี้ บีพีกำลังเผชิญปัญหาหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น โดยบีพีเปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์น้ำมันจากแท่นขุดเจาะของบริษัทรั่วไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก ได้เพิ่มขึ้นแตะ 3.12 พันล้านดอลลาร์แล้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวรวมถึง การควบคุมการรั่วไหลของน้ำมัน การทำความสะอาดคราบน้ำมันที่สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมทั่วบริเวณ และการจ่ายเงินชดเชยแก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์นี้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ก.ค.) จาแรงซื้อที่ส่งเข้าหนุนหุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นว่าผลการทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test) ของธนาคารในยุโรปจะออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่หุ้นบีพีดีดตัวขึ้นหลังจากมีข่าวว่ากองทุนในกลุ่มตะวันออกกลางอาจเข้าลงทุนในบีพี นอกจากนี้ การคาดการณ์ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของสเตท สตรีท คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทการเงินของสหรัฐ ยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนหุ้นกลุ่มธนาคารของอังกฤษทะยานขึ้นด้วย
ดัชนี FTSE 100 ดีดขึ้น 49.82 จุด หรือ 1.0% ปิดที่ 5,014.82 จุด
นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารเพราะเชื่อว่าผลการทดสอบ stress test จะออกมาดีเกินคาด โดยหุ้นธนาคารบาร์เคลย์สปิดบวก 6.2% หุ้นรอยัลแบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ ปิดพุ่ง 4.7%
หุ้นบีพีพุ่งขึ้น 4.8% หลังจากมีการคาดการณ์ว่า กองทุนบริหารความมั่งคังในตะวันออกกลาง รวมถึงอาบูดาบี อาจเข้าลงทุนในบีพี ภายหลังจากนายโทนี เฮย์เวิร์ด ซีอีโอของบีพีได้ร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานการลงทุนของอาบูดาบี
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่านายโชกรี กาเนม ประธานบริษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบีย จะแนะนำให้กองทุนความมั่งคั่งของลิเบียเข้าซื้อหุ้นในบริษัทบีพี ซึ่งกำลังประสบปัญหาภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากเหตุการณ์น้ำมันจากแท่นขุดเจาะของบริษัทไหลทะลักลงสู่อ่าวเม็กซิโกเป็นปริมาณมหาศาล ชี้มูลค่าหุ้นบีพีในตอนนี้เหมาะแก่การซื้อเพื่อเก็งกำไร
ทั้งนี้ บีพีกำลังเผชิญปัญหาหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น โดยบีพีเปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์น้ำมันจากแท่นขุดเจาะของบริษัทรั่วไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก ได้เพิ่มขึ้นแตะ 3.12 พันล้านดอลลาร์แล้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวรวมถึง การควบคุมการรั่วไหลของน้ำมัน การทำความสะอาดคราบน้ำมันที่สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมทั่วบริเวณ และการจ่ายเงินชดเชยแก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์นี้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 33
ดาวโจนส์ ทะลุ1หมื่นอีกครั้งแล้ววว
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม 2553 06:49:33 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 10,000 จุดเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นว่าภาคเอกชนจะรายงานผลประกอบการที่สดใส หลังจากสเตท สตรีท คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทการเงินของสหรัฐ เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ซึ่งข่าวดังกล่าวสามารถบดข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของยุโรปได้
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 274.66 จุด หรือ 2.82% ปิดที่ 10,018.28 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 32.21 จุด หรือ 3.13% ปิดที่ 1,060.27 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 65.59 จุด หรือ 3.13% ปิดที่ 2,159.47 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 8.95 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 2,650 ต่อ 431 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 9.65 พันล้านหุ้น
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักเนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารอย่างหนานแน่น ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นทั้งกระดานและยังหนุนดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นเหนือระดับ 10,000 จุดด้วย หลังจากสเตรท สตรีท คอร์ป เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าฤดูการรายงานผลประกอบการของภาคเอกชนสหรัฐจะสดใส
ขณะเดียวกันการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงราคาน้ำมันดิบและแร่ทองแดง ยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนตลาดทะยานขึ้นด้วย โดยสัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนส.ค.พุ่งขึ้นเกือบ 3% หลังจากสำนักงานสารนิเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) คาดการณ์ว่าดีมานด์พลังงานทั่วโลกจะขยายตัว 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้และปีหน้า
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่ายอดค้าปลีกของสหรัฐจะขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบ 4 ปี หลังจากสภาศูนย์การค้าระหว่างประเทศออกรายงานประจำเดือนมิ.ย.ว่า ยอดค้าปลีกของห้างสรรพสินค้าในสหรัฐขยายตัวในอัตรา 4% ต่อเดือน
ทั้งนี้ ปัจจัยบวกดังกล่าวทำให้นักลงทุนมองข้ามข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากยุโรป รวมถึงรายงานที่ว่า ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.ของเยอรมนีลดลง 0.5% หลังจากที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งมา 2 เดือน และรายงานจากยูโรสแตทที่ระบุว่า เศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซน หรือ 16 ประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปที่ใช้สกุลเงินยุโร ขยายตัวเพียง 0.2% ในช่วงไตรมาสแรก
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มการเงินทะยานขึ้น โดยหุ้นสเตท สตรีท คอร์ป ปิดพุ่ง 9.9% ขณที่หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ปิดบวก โดยหุ้นอัลโค อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอลูมิเนียมรายใหญ่ ปิดพุ่ง 3.3% และหุ้นยูเอส สตีล ปิดบวก 5.7%
นักลงทุนจับตาดูการประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งมีการคาดการณ์ในวงกว้างว่าอีซีบีจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม และยังติดตามผลการทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test) ของธนาคารยุโรป ซึ่งนักลงทุนเชื่อมั่นว่าธนาคารส่วนใหญ่ในยุโรปจะผ่านการทดสอบในครั้งนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนพ.ค.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม 2553 06:49:33 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 10,000 จุดเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นว่าภาคเอกชนจะรายงานผลประกอบการที่สดใส หลังจากสเตท สตรีท คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทการเงินของสหรัฐ เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ซึ่งข่าวดังกล่าวสามารถบดข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของยุโรปได้
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 274.66 จุด หรือ 2.82% ปิดที่ 10,018.28 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 32.21 จุด หรือ 3.13% ปิดที่ 1,060.27 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 65.59 จุด หรือ 3.13% ปิดที่ 2,159.47 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 8.95 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 2,650 ต่อ 431 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 9.65 พันล้านหุ้น
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักเนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารอย่างหนานแน่น ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นทั้งกระดานและยังหนุนดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นเหนือระดับ 10,000 จุดด้วย หลังจากสเตรท สตรีท คอร์ป เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าฤดูการรายงานผลประกอบการของภาคเอกชนสหรัฐจะสดใส
ขณะเดียวกันการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงราคาน้ำมันดิบและแร่ทองแดง ยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนตลาดทะยานขึ้นด้วย โดยสัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนส.ค.พุ่งขึ้นเกือบ 3% หลังจากสำนักงานสารนิเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) คาดการณ์ว่าดีมานด์พลังงานทั่วโลกจะขยายตัว 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้และปีหน้า
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่ายอดค้าปลีกของสหรัฐจะขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบ 4 ปี หลังจากสภาศูนย์การค้าระหว่างประเทศออกรายงานประจำเดือนมิ.ย.ว่า ยอดค้าปลีกของห้างสรรพสินค้าในสหรัฐขยายตัวในอัตรา 4% ต่อเดือน
ทั้งนี้ ปัจจัยบวกดังกล่าวทำให้นักลงทุนมองข้ามข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากยุโรป รวมถึงรายงานที่ว่า ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.ของเยอรมนีลดลง 0.5% หลังจากที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งมา 2 เดือน และรายงานจากยูโรสแตทที่ระบุว่า เศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซน หรือ 16 ประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปที่ใช้สกุลเงินยุโร ขยายตัวเพียง 0.2% ในช่วงไตรมาสแรก
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มการเงินทะยานขึ้น โดยหุ้นสเตท สตรีท คอร์ป ปิดพุ่ง 9.9% ขณที่หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ปิดบวก โดยหุ้นอัลโค อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอลูมิเนียมรายใหญ่ ปิดพุ่ง 3.3% และหุ้นยูเอส สตีล ปิดบวก 5.7%
นักลงทุนจับตาดูการประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งมีการคาดการณ์ในวงกว้างว่าอีซีบีจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม และยังติดตามผลการทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test) ของธนาคารยุโรป ซึ่งนักลงทุนเชื่อมั่นว่าธนาคารส่วนใหญ่ในยุโรปจะผ่านการทดสอบในครั้งนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนพ.ค.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: [email protected]--
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 34
พอช่วงไหนที่ร้ายมา ก็ระดมข่าวร้ายทุกหัวระแหงมารวมกันให้ดูร้ายเกินเหตุ แมงเม่าเราก็ใจสั่น บทวิเคราะห์ก็กระหน่ำออกมากดราคาSET สุดท้ายก็ทนไม่ได้ต้องเทขาย
พอช่วงไหนข่าวดีมา ก็ระดมข่าวดีทุกหัวระแหงให้ดีเกินเหตุ เม่าเราใจหาญกล้า บทวิเคราะห์มาหนุนดันSETขึ้นไปอีก สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องซื้อ
สรุปขายต่ำซื้อแพง แล้ววงจรณ์ก็เป็นอย่างนี้ทุกรอบ ทุกรอบ สุดท้ายคนที่รวยคือ บล. :D
ดังนั้นการอ่านข่าวแต่ละครั้งโปรดใช้วิจารณ์ญานกันให้มากๆๆๆๆๆๆนะครับ ใจหนักแน่นกันให้มากๆๆๆ หนักแน่นทั้งตอนตัดสินใจถือ และหนักแน่นทั้งตอนตัดสินใจขาย
เพราะกระทู้นี้จะพูดถึงเรื่องข่าวและSETเป็นหลัก จึงกลัวรายย่อยที่ภูมิต้านต่ำ(ซึ่งช่วงนี้เข้ามากันเยอะมาก รวมทั้งผมด้วย )
เข้ามาอ่านแล้วซื้อๆขายๆ กลายเป็นแม่งเม่ากันซะงั้น.....ด้วยความหวังดีครับ
พอช่วงไหนข่าวดีมา ก็ระดมข่าวดีทุกหัวระแหงให้ดีเกินเหตุ เม่าเราใจหาญกล้า บทวิเคราะห์มาหนุนดันSETขึ้นไปอีก สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องซื้อ
สรุปขายต่ำซื้อแพง แล้ววงจรณ์ก็เป็นอย่างนี้ทุกรอบ ทุกรอบ สุดท้ายคนที่รวยคือ บล. :D
ดังนั้นการอ่านข่าวแต่ละครั้งโปรดใช้วิจารณ์ญานกันให้มากๆๆๆๆๆๆนะครับ ใจหนักแน่นกันให้มากๆๆๆ หนักแน่นทั้งตอนตัดสินใจถือ และหนักแน่นทั้งตอนตัดสินใจขาย
เพราะกระทู้นี้จะพูดถึงเรื่องข่าวและSETเป็นหลัก จึงกลัวรายย่อยที่ภูมิต้านต่ำ(ซึ่งช่วงนี้เข้ามากันเยอะมาก รวมทั้งผมด้วย )
เข้ามาอ่านแล้วซื้อๆขายๆ กลายเป็นแม่งเม่ากันซะงั้น.....ด้วยความหวังดีครับ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
-
- Verified User
- โพสต์: 430
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 35
[quote="picklife"]พอช่วงไหนที่ร้ายมา ก็ระดมข่าวร้ายทุกหัวระแหงมารวมกันให้ดูร้ายเกินเหตุ แมงเม่าเราก็ใจสั่น บทวิเคราะห์ก็กระหน่ำออกมากดราคาSET สุดท้ายก็ทนไม่ได้ต้องเทขาย
พอช่วงไหนข่าวดีมา ก็ระดมข่าวดีทุกหัวระแหงให้ดีเกินเหตุ เม่าเราใจหาญกล้า บทวิเคราะห์มาหนุนดันSETขึ้นไปอีก สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องซื้อ
สรุปขายต่ำซื้อแพง แล้ววงจรณ์ก็เป็นอย่างนี้ทุกรอบ ทุกรอบ สุดท้ายคนที่รวยคือ บล.
พอช่วงไหนข่าวดีมา ก็ระดมข่าวดีทุกหัวระแหงให้ดีเกินเหตุ เม่าเราใจหาญกล้า บทวิเคราะห์มาหนุนดันSETขึ้นไปอีก สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องซื้อ
สรุปขายต่ำซื้อแพง แล้ววงจรณ์ก็เป็นอย่างนี้ทุกรอบ ทุกรอบ สุดท้ายคนที่รวยคือ บล.
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 36
**กนง.มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาร์/พี 0.25% เป็น 1.50%
อินโฟเควสท์ (14 ก.ค. 53) -- คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันนี้มีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%ต่อปี จาก 1.25% มาที่ 1.50% ต่อปี ตามที่ตลาดคาดการณ์ เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 53 ขยายตัวดีกว่าคาดการณ์เดิมที่ 4.3-5.8% แม้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไตรมาสต่อไตรมาสจากนี้อาจจะชะลอลงบ้าง และครึ่งปีหลังอาจจะเติบโตไม่สูงเท่าครึ่งปีแรก แต่ทั้งปีก็ยังขยายตัวได้ดี พร้อมทั้งคาดว่า เงินเฟ้อพื้นฐานมีความเสี่ยงที่จะหลุดเป้าหมาย 0.5-3% ภายในปีนี้ด้วย --จบ--
อินโฟเควสท์ (14 ก.ค. 53) -- คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันนี้มีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%ต่อปี จาก 1.25% มาที่ 1.50% ต่อปี ตามที่ตลาดคาดการณ์ เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 53 ขยายตัวดีกว่าคาดการณ์เดิมที่ 4.3-5.8% แม้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไตรมาสต่อไตรมาสจากนี้อาจจะชะลอลงบ้าง และครึ่งปีหลังอาจจะเติบโตไม่สูงเท่าครึ่งปีแรก แต่ทั้งปีก็ยังขยายตัวได้ดี พร้อมทั้งคาดว่า เงินเฟ้อพื้นฐานมีความเสี่ยงที่จะหลุดเป้าหมาย 0.5-3% ภายในปีนี้ด้วย --จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- j21
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 690
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 37
14 กรกฏาคม 2010
ธนาคารกลางทั่วเอเชียแห่ปรับขึ้น ดบ.
ธนาคารกลางบางประเทศในเอเชียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าภูมิภาคอื่นๆของโลก หลังจาก เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำในปี 2008 และ 2009 โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ นับตั้งแต่ต้นปีนี้ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
**ธนาคารกลางในเอเชียที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว
เกาหลีใต้
สถานะ: ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 9 ก.ค. สู่ 2.25 % จาก 2.00 % ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงิน
แนวโน้ม: นักวิเคราะห์บางคนคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%อีกครั้งในไตรมาส 4 ปีนี้
เกาหลีใต้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 9 ก.ค. ซึ่งถือเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงิน โดยปรับอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 7 วัน สู่ 2.25 % จาก 2.00 %
หลังจากธนาคารกลางเกาหลีใต้และกระทรวงการคลังเกาหลีใต้ขัดแย้งกัน ในเรื่องแนวทางนโยบายการเงินมานานหลายเดือน ทั้งสองฝ่ายก็มีความเห็นตรงกันขณะนี้ว่า ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อเริ่มปรากฎขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ในขณะที่เศรษฐกิจ ฟื้นตัวขึ้น โดยนักวิเคราะห์คาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจเพิ่มขึ้นอีก 0.50 % ก่อนสิ้นปีนี้
มาเลเซีย
สถานะ: ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปีนี้ โดยปรับขึ้นครั้งละ 0.25 % สู่ 2.75 % จากเดิมที่ 2.00 %
แนวโน้ม: นักวิเคราะห์คาดว่ามาเลเซียจะตรึงอัตราดอกเบี้ยจนถึงสิ้นปีนี้
ธนาคารกลางมาเลเซียระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีจุดประสงค์ เพื่อทำให้นโยบายกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ โดย หลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดในวันที่ 8 ก.ค. ธนาคารกลางก็ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและ แนวโน้มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเศรษฐกิจมาเลเซียเติบโตเกิน 10 % ต่อปีในไตรมาสแรก
ธนาคารกลางมาเลเซียเคยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1.50 % จาก 3.5 % สู่ 2 % ในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงินโลก
นิวซีแลนด์
สถานะ: นิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ 2.75 % จาก 2.5 %ในวันที่ 10 มิ.ย. ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกหลังจากเกิดวิกฤติการเงินโลก
แนวโน้ม: ตลาดปรับตัวรับการคาดการณ์ที่ว่า มีโอกาส 84 % ที่ธนาคารกลางนิวซีแลนด์จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในการประชุม ครั้งถัดไปในวันที่ 29 ก.ค.
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ระบุว่า เศรษฐกิจฟื้นตัวในวงกว้างมากยิ่งขึ้นและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชียอยู่ในระดับแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าธนาคารกลางนิวซีแลนด์ตั้งใจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยอย่างไรก็ดี ธนาคารกลางระบุว่าความเคลื่อนไหวในอนาคตจะขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจ
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์เคยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกัน 5.75 % ในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์
ออสเตรเลีย
สถานะ: ธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 6 ครั้ง สู่ 4.5 %
แนวโน้ม: นักวิเคราะห์คาดว่ามีโอกาสสูงที่ธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ 4.75 % ในการประชุมวันที่ 3 ส.ค. ถ้าหากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่จะออกมาในวันที่ 28 ก.ค.อยู่ในระดับสูงเกินคาด อย่างไรก็ดี ตลาดยังไม่มั่นใจในเรื่องนี้ และปรับตัวรับการคาดการณ์ที่ว่ามีโอกาสต่ำกว่า50 % ที่ธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปในปีนี้
ธนาคารกลางออสเตรเลียเป็นธนาคารกลางสำคัญแห่งแรกที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ โดยเริ่มปรับขึ้นในเดือนต.ค. 2009 อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมายังคงมีการเรียกคืนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ ไม่ถึงครึ่งหนึ่งในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงิน โดยออสเตรเลียปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวม 4.25 % ในช่วงนั้น
ไต้หวัน
สถานะ: ธนาคารกลางสร้างความประหลาดใจต่อตลาดการเงินในวันที่ 24 มิ.ย. ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลก
แนวโน้ม: คาดกันว่าธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25 % ก่อนสิ้นปีนี้
ธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน 0.125 % สู่ 1.375% เพื่อส่งสัญญาณว่าทางธนาคารกลางตั้งใจจะเริ่มต้นปรับนโยบายให้กลับคืนสู่ภาวะ ปกติ
อัตราเงินเฟ้อไต้หวันอยู่ในระดับต่ำเพียง 1.2 % ในเดือนมิ.ย.แต่ธนาคารกลางระบุว่า เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และให้เหตุผลว่าราคาอสังหาริมทรัพย์กำลังเพิ่มสูงขึ้น, ยอดส่งออกเติบโต และภาวะการลงทุนและการ
จ้างงานปรับตัวดีขึ้น
อินเดีย
สถานะ: ธนาคารกลางอินเดียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม 3 ครั้งในปีนี้ โดยปรับขึ้นรวมกัน 0.75 % สู่ 5.5 % ในขณะที่เศรษฐกิจอินเดียฟื้นตัวขึ้นจากภาวะตกต่ำ
แนวโน้ม: นักวิเคราะห์คาดว่าธนาคารกลางอินเดียจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25 % ในการประชุมทบทวนนโยบายครั้งถัดไปในวันอังคารที่ 27 ก.ค.
ในขณะที่เศรษฐกิจอินเดียเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและอัตราเงินเฟ้อ ภาคค้าส่งอยู่สูงเป็นตัวเลข 2หลัก นักวิเคราะห์ก็คาดว่าอัตราดอกเบี้ยซื้อคืน พันธบัตรอาจอาจไต่ขึ้นสู่ 6-6.25 % ก่อนสิ้นปีนี้
ธนาคารกลางอินเดียเคยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 6 ครั้งเพื่อปกป้อง เศรษฐกิจให้รอดพ้นจากวิกฤติการเงิน โดยปรับลดลงรวมกัน 4.25 %
*ธนาคารกลางในเอเชียที่ยังไม่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์:
จีน
สถานะ: อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสำหรับการกู้ยืมระยะ 1 ปีอยู่ที่ 5.31% นับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2008 หลังจากจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกัน 2.16 % จาก 7.47 % ในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงิน
แนวโน้ม: ธนาคารกลางจีนปรับขึ้นเพดานการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ไปแล้วในปีนี้ แต่นักวิเคราะห์ได้ปรับลดการคาดการณ์เกี่ยวกับความรวดเร็ว ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของจีนในอนาคต โดยขณะนี้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ ไม่ได้คาดการณ์อีกต่อไปว่า จีนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมในปีนี้ เนื่องจาก เศรษฐกิจมีแนวโน้มอ่อนแอลง
นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจีนจะรอจนถึงไตรมาส 2 ของปี 2011 ก่อนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ญี่ปุ่น
สถานะ: เศรษฐกิจญี่ปุ่นเผชิญกับภาวะเงินฝืด และธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ) อาจผ่อนคลายนโยบายลงไปอีกถ้าหากเยนแข็งค่าขึ้น
แนวโน้ม: ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.1 % ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2011 เป็นอย่างน้อย
บีโอเจตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.1 % นับตั้งแต่ปลายปี 2008 หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.40 % ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้บีโอเจยังผ่อนคลายนโยบายลงต่อไปในเดือนธ.ค.และมี.ค.โดยใช้โครงการ ปล่อยกู้แก่ธนาคาร
อินโดนีเซีย
สถานะ: ธนาคารกลางตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่สถิติต่ำสุดที่ 6.5 % นับตั้งแต่เดือนส.ค.2009 หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจาก 9.5 % ในเดือน ธ.ค. 2008
แนวโน้ม: ธนาคารกลางอินโดนีเซียยังคงรักษาจุดยืนที่ว่า ธนาคารกลางจะตรึงอัตราดอกเบี้ยจนถึงปี 2011 ตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ภายในกรอบเป้าหมายช่วงสิ้นปีที่ 4-6 %
นักวิเคราะห์ได้เลื่อนเวลาที่พวกเขาคาดว่าอินโดนีเซียจะปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ยออกไปเรื่อยๆในปีนี้ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยขณะนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าอินโดนีเซียจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 4 ของปีนี้หรือ ในไตรมาสแรกของปี 2011
ฟิลิปปินส์
สถานะ: ธนาคารกลางตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่สถิติต่ำสุดที่ 4 % มาเป็นเวลานานหนึ่งปีแล้ว
แนวโน้ม: การที่ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อประจำปี 2010 และ 2011 ส่งผลให้นักวิเคราะห์เลื่อนเวลาที่พวกเขา คาดว่าธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปสู่ไตรมาส 4
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ยังคงคาดการณ์ตามเดิมว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่เศรษฐกิจเพิ่งออกจากภาวะตกต่ำ และระบุว่าอัตรา ดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว
นักวิเคราะห์บางรายกล่าวว่า ธนาคารกลางฟิลิปปินส์อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ส.ค. ถึงแม้ผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนแต่อย่างใดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงรวมกัน 2% ในช่วงระหว่างเดือน ส.ค. 2008 จนถึงเดือนก.ค. 2009
ไทย
สถานะ: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.25 % นับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีที่แล้ว หลังจาก ปรับลดลงรวมกัน 2.50 % ในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงินโลก
แนวโน้ม: นักวิเคราะห์หลายรายคาดว่า ธปท.จะเริ่มต้นคุมเข้มนโยบาย ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25 % ในการประชุมในวันที่ 14 ก.ค. หรือในครั้ง ต่อจากนั้นในวันที่ 25 ส.ค.
เวียดนาม
สถานะ: เวียดนามตรึงอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาขณะที่เศรษฐกิจแสดงสัญญาณการฟื้นตัว
แนวโน้ม: นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจทรงตัวที่ 8 % จนถึงสิ้นปีนี้
ธนาคารกลางเวียดนามเคยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ 7 % ในเดือนก.พ.2009 จาก 8.5 % ในเดือนธ.ค. 2008 เพื่อพยุงเศรษฐกิจเวียดนามในช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำ ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ในระดับต่ำกว่า เป้าหมายตลอดทั้งปีเล็กน้อย แต่เป็นที่คาดกันว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างรวดเร็ว ยิ่งขึ้นในช่วงต่อมา ถึงแม้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงเกินเป้าหมายในช่วงนี้
http://www.thunhoon.com/home/
ธนาคารกลางทั่วเอเชียแห่ปรับขึ้น ดบ.
ธนาคารกลางบางประเทศในเอเชียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าภูมิภาคอื่นๆของโลก หลังจาก เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำในปี 2008 และ 2009 โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ นับตั้งแต่ต้นปีนี้ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
**ธนาคารกลางในเอเชียที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว
เกาหลีใต้
สถานะ: ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 9 ก.ค. สู่ 2.25 % จาก 2.00 % ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงิน
แนวโน้ม: นักวิเคราะห์บางคนคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%อีกครั้งในไตรมาส 4 ปีนี้
เกาหลีใต้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 9 ก.ค. ซึ่งถือเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงิน โดยปรับอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 7 วัน สู่ 2.25 % จาก 2.00 %
หลังจากธนาคารกลางเกาหลีใต้และกระทรวงการคลังเกาหลีใต้ขัดแย้งกัน ในเรื่องแนวทางนโยบายการเงินมานานหลายเดือน ทั้งสองฝ่ายก็มีความเห็นตรงกันขณะนี้ว่า ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อเริ่มปรากฎขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ในขณะที่เศรษฐกิจ ฟื้นตัวขึ้น โดยนักวิเคราะห์คาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจเพิ่มขึ้นอีก 0.50 % ก่อนสิ้นปีนี้
มาเลเซีย
สถานะ: ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปีนี้ โดยปรับขึ้นครั้งละ 0.25 % สู่ 2.75 % จากเดิมที่ 2.00 %
แนวโน้ม: นักวิเคราะห์คาดว่ามาเลเซียจะตรึงอัตราดอกเบี้ยจนถึงสิ้นปีนี้
ธนาคารกลางมาเลเซียระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีจุดประสงค์ เพื่อทำให้นโยบายกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ โดย หลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดในวันที่ 8 ก.ค. ธนาคารกลางก็ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและ แนวโน้มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเศรษฐกิจมาเลเซียเติบโตเกิน 10 % ต่อปีในไตรมาสแรก
ธนาคารกลางมาเลเซียเคยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1.50 % จาก 3.5 % สู่ 2 % ในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงินโลก
นิวซีแลนด์
สถานะ: นิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ 2.75 % จาก 2.5 %ในวันที่ 10 มิ.ย. ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกหลังจากเกิดวิกฤติการเงินโลก
แนวโน้ม: ตลาดปรับตัวรับการคาดการณ์ที่ว่า มีโอกาส 84 % ที่ธนาคารกลางนิวซีแลนด์จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในการประชุม ครั้งถัดไปในวันที่ 29 ก.ค.
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ระบุว่า เศรษฐกิจฟื้นตัวในวงกว้างมากยิ่งขึ้นและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชียอยู่ในระดับแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าธนาคารกลางนิวซีแลนด์ตั้งใจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยอย่างไรก็ดี ธนาคารกลางระบุว่าความเคลื่อนไหวในอนาคตจะขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจ
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์เคยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกัน 5.75 % ในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์
ออสเตรเลีย
สถานะ: ธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 6 ครั้ง สู่ 4.5 %
แนวโน้ม: นักวิเคราะห์คาดว่ามีโอกาสสูงที่ธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ 4.75 % ในการประชุมวันที่ 3 ส.ค. ถ้าหากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่จะออกมาในวันที่ 28 ก.ค.อยู่ในระดับสูงเกินคาด อย่างไรก็ดี ตลาดยังไม่มั่นใจในเรื่องนี้ และปรับตัวรับการคาดการณ์ที่ว่ามีโอกาสต่ำกว่า50 % ที่ธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปในปีนี้
ธนาคารกลางออสเตรเลียเป็นธนาคารกลางสำคัญแห่งแรกที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ โดยเริ่มปรับขึ้นในเดือนต.ค. 2009 อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมายังคงมีการเรียกคืนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ ไม่ถึงครึ่งหนึ่งในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงิน โดยออสเตรเลียปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวม 4.25 % ในช่วงนั้น
ไต้หวัน
สถานะ: ธนาคารกลางสร้างความประหลาดใจต่อตลาดการเงินในวันที่ 24 มิ.ย. ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลก
แนวโน้ม: คาดกันว่าธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25 % ก่อนสิ้นปีนี้
ธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน 0.125 % สู่ 1.375% เพื่อส่งสัญญาณว่าทางธนาคารกลางตั้งใจจะเริ่มต้นปรับนโยบายให้กลับคืนสู่ภาวะ ปกติ
อัตราเงินเฟ้อไต้หวันอยู่ในระดับต่ำเพียง 1.2 % ในเดือนมิ.ย.แต่ธนาคารกลางระบุว่า เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และให้เหตุผลว่าราคาอสังหาริมทรัพย์กำลังเพิ่มสูงขึ้น, ยอดส่งออกเติบโต และภาวะการลงทุนและการ
จ้างงานปรับตัวดีขึ้น
อินเดีย
สถานะ: ธนาคารกลางอินเดียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม 3 ครั้งในปีนี้ โดยปรับขึ้นรวมกัน 0.75 % สู่ 5.5 % ในขณะที่เศรษฐกิจอินเดียฟื้นตัวขึ้นจากภาวะตกต่ำ
แนวโน้ม: นักวิเคราะห์คาดว่าธนาคารกลางอินเดียจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25 % ในการประชุมทบทวนนโยบายครั้งถัดไปในวันอังคารที่ 27 ก.ค.
ในขณะที่เศรษฐกิจอินเดียเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและอัตราเงินเฟ้อ ภาคค้าส่งอยู่สูงเป็นตัวเลข 2หลัก นักวิเคราะห์ก็คาดว่าอัตราดอกเบี้ยซื้อคืน พันธบัตรอาจอาจไต่ขึ้นสู่ 6-6.25 % ก่อนสิ้นปีนี้
ธนาคารกลางอินเดียเคยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 6 ครั้งเพื่อปกป้อง เศรษฐกิจให้รอดพ้นจากวิกฤติการเงิน โดยปรับลดลงรวมกัน 4.25 %
*ธนาคารกลางในเอเชียที่ยังไม่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์:
จีน
สถานะ: อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสำหรับการกู้ยืมระยะ 1 ปีอยู่ที่ 5.31% นับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2008 หลังจากจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกัน 2.16 % จาก 7.47 % ในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงิน
แนวโน้ม: ธนาคารกลางจีนปรับขึ้นเพดานการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ไปแล้วในปีนี้ แต่นักวิเคราะห์ได้ปรับลดการคาดการณ์เกี่ยวกับความรวดเร็ว ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของจีนในอนาคต โดยขณะนี้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ ไม่ได้คาดการณ์อีกต่อไปว่า จีนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมในปีนี้ เนื่องจาก เศรษฐกิจมีแนวโน้มอ่อนแอลง
นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจีนจะรอจนถึงไตรมาส 2 ของปี 2011 ก่อนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ญี่ปุ่น
สถานะ: เศรษฐกิจญี่ปุ่นเผชิญกับภาวะเงินฝืด และธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ) อาจผ่อนคลายนโยบายลงไปอีกถ้าหากเยนแข็งค่าขึ้น
แนวโน้ม: ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.1 % ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2011 เป็นอย่างน้อย
บีโอเจตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.1 % นับตั้งแต่ปลายปี 2008 หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.40 % ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้บีโอเจยังผ่อนคลายนโยบายลงต่อไปในเดือนธ.ค.และมี.ค.โดยใช้โครงการ ปล่อยกู้แก่ธนาคาร
อินโดนีเซีย
สถานะ: ธนาคารกลางตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่สถิติต่ำสุดที่ 6.5 % นับตั้งแต่เดือนส.ค.2009 หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจาก 9.5 % ในเดือน ธ.ค. 2008
แนวโน้ม: ธนาคารกลางอินโดนีเซียยังคงรักษาจุดยืนที่ว่า ธนาคารกลางจะตรึงอัตราดอกเบี้ยจนถึงปี 2011 ตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ภายในกรอบเป้าหมายช่วงสิ้นปีที่ 4-6 %
นักวิเคราะห์ได้เลื่อนเวลาที่พวกเขาคาดว่าอินโดนีเซียจะปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ยออกไปเรื่อยๆในปีนี้ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยขณะนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าอินโดนีเซียจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 4 ของปีนี้หรือ ในไตรมาสแรกของปี 2011
ฟิลิปปินส์
สถานะ: ธนาคารกลางตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่สถิติต่ำสุดที่ 4 % มาเป็นเวลานานหนึ่งปีแล้ว
แนวโน้ม: การที่ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อประจำปี 2010 และ 2011 ส่งผลให้นักวิเคราะห์เลื่อนเวลาที่พวกเขา คาดว่าธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปสู่ไตรมาส 4
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ยังคงคาดการณ์ตามเดิมว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่เศรษฐกิจเพิ่งออกจากภาวะตกต่ำ และระบุว่าอัตรา ดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว
นักวิเคราะห์บางรายกล่าวว่า ธนาคารกลางฟิลิปปินส์อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ส.ค. ถึงแม้ผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนแต่อย่างใดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงรวมกัน 2% ในช่วงระหว่างเดือน ส.ค. 2008 จนถึงเดือนก.ค. 2009
ไทย
สถานะ: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.25 % นับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีที่แล้ว หลังจาก ปรับลดลงรวมกัน 2.50 % ในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงินโลก
แนวโน้ม: นักวิเคราะห์หลายรายคาดว่า ธปท.จะเริ่มต้นคุมเข้มนโยบาย ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25 % ในการประชุมในวันที่ 14 ก.ค. หรือในครั้ง ต่อจากนั้นในวันที่ 25 ส.ค.
เวียดนาม
สถานะ: เวียดนามตรึงอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาขณะที่เศรษฐกิจแสดงสัญญาณการฟื้นตัว
แนวโน้ม: นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจทรงตัวที่ 8 % จนถึงสิ้นปีนี้
ธนาคารกลางเวียดนามเคยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ 7 % ในเดือนก.พ.2009 จาก 8.5 % ในเดือนธ.ค. 2008 เพื่อพยุงเศรษฐกิจเวียดนามในช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำ ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ในระดับต่ำกว่า เป้าหมายตลอดทั้งปีเล็กน้อย แต่เป็นที่คาดกันว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างรวดเร็ว ยิ่งขึ้นในช่วงต่อมา ถึงแม้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงเกินเป้าหมายในช่วงนี้
http://www.thunhoon.com/home/
- j21
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 690
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 38
[quote="picklife"]พอช่วงไหนที่ร้ายมา ก็ระดมข่าวร้ายทุกหัวระแหงมารวมกันให้ดูร้ายเกินเหตุ แมงเม่าเราก็ใจสั่น บทวิเคราะห์ก็กระหน่ำออกมากดราคาSET สุดท้ายก็ทนไม่ได้ต้องเทขาย
พอช่วงไหนข่าวดีมา ก็ระดมข่าวดีทุกหัวระแหงให้ดีเกินเหตุ เม่าเราใจหาญกล้า บทวิเคราะห์มาหนุนดันSETขึ้นไปอีก สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องซื้อ
สรุปขายต่ำซื้อแพง แล้ววงจรณ์ก็เป็นอย่างนี้ทุกรอบ ทุกรอบ สุดท้ายคนที่รวยคือ บล.
พอช่วงไหนข่าวดีมา ก็ระดมข่าวดีทุกหัวระแหงให้ดีเกินเหตุ เม่าเราใจหาญกล้า บทวิเคราะห์มาหนุนดันSETขึ้นไปอีก สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องซื้อ
สรุปขายต่ำซื้อแพง แล้ววงจรณ์ก็เป็นอย่างนี้ทุกรอบ ทุกรอบ สุดท้ายคนที่รวยคือ บล.
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 39
รัฐบาลกรีซระดมทุนได้กว่า $2 พันล้าน หลังเปิดประมูลตั๋วเงินคลังอายุ 6 เดือน
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 14 กรกฎาคม 2553 12:14:26 น.
รัฐบาลกรีซประสบความสำเร็จในการนำตั๋วเงินคลังอายุ 6 เดือนออกประมูล ซึ่งทำให้รัฐบาลสามารถระดมทุนจากตลาดได้สูงถึง 1.625 พันล้านยูโร หรือ 2.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยอัตราผลตอบแทน 4.65% สูงกว่าที่เคยเปิดประมูลตั๋วเงินคลังครั้งก่อนที่ระดับ 4.55% แต่ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ทั้งในและต่างประเทศคาดการณ์ไว้
การนำตั๋วเงินคลังออกประมูลครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รัฐบาลกรีซขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากกรีซประสบปัญหาหนี้สาธารณะและมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้
รัฐบาลกรีซกล่าวว่า การประมูลตั๋วเงินคลังในครั้งนี้จะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ โดยระบุว่าจำนวนผู้ที่ยื่นความจำนงในการประมูลตั๋วเงินคลังมีอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่ให้ความสนใจซื้อตั๋วเงินคลังของกรีซ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลการประมูลตั๋วเงินคลังของกรีซออกมาสอดคล้องกับที่นายจอร์จ ปาปันเดรอู นายกรัฐมนตรีกรีซประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่า กรีซจะสามารถกลับมาผงาดในตลาดโลกได้อีกครั้งในปีหน้า นอกจากนี้ รัฐบาลกรีซยังวางแผนที่จะเปิดประมูลตั๋วเงินคลังอายุ 3 เดือนในวันที่ 20 ก.ค.นี้
ทั้งนี้ ความสำเร็จในการประมูลตั๋วเงินคลังของรัฐบาลกรีซช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลจากวิกฤการณ์การเงินในยุโรป แลเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อคืนนี้ด้วย
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 14 กรกฎาคม 2553 12:14:26 น.
รัฐบาลกรีซประสบความสำเร็จในการนำตั๋วเงินคลังอายุ 6 เดือนออกประมูล ซึ่งทำให้รัฐบาลสามารถระดมทุนจากตลาดได้สูงถึง 1.625 พันล้านยูโร หรือ 2.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยอัตราผลตอบแทน 4.65% สูงกว่าที่เคยเปิดประมูลตั๋วเงินคลังครั้งก่อนที่ระดับ 4.55% แต่ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ทั้งในและต่างประเทศคาดการณ์ไว้
การนำตั๋วเงินคลังออกประมูลครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รัฐบาลกรีซขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากกรีซประสบปัญหาหนี้สาธารณะและมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้
รัฐบาลกรีซกล่าวว่า การประมูลตั๋วเงินคลังในครั้งนี้จะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ โดยระบุว่าจำนวนผู้ที่ยื่นความจำนงในการประมูลตั๋วเงินคลังมีอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่ให้ความสนใจซื้อตั๋วเงินคลังของกรีซ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลการประมูลตั๋วเงินคลังของกรีซออกมาสอดคล้องกับที่นายจอร์จ ปาปันเดรอู นายกรัฐมนตรีกรีซประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่า กรีซจะสามารถกลับมาผงาดในตลาดโลกได้อีกครั้งในปีหน้า นอกจากนี้ รัฐบาลกรีซยังวางแผนที่จะเปิดประมูลตั๋วเงินคลังอายุ 3 เดือนในวันที่ 20 ก.ค.นี้
ทั้งนี้ ความสำเร็จในการประมูลตั๋วเงินคลังของรัฐบาลกรีซช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลจากวิกฤการณ์การเงินในยุโรป แลเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อคืนนี้ด้วย
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 40
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยผลโรดโชว์ลอนดอน ผู้ลงทุนเชื่อมั่นในศักยภาพ พร้อมให้ความสนใจลงทุนหุ้นไทย
ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- พฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม 2553 10:41:51 น.
กรุงเทพฯ--15 ก.ค.--ตลท.
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยผลโรดโชว์ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำในยุโรปเข้าร่วมรับฟังข้อมูล 44 ราย จาก 26 กองทุนชั้นนำในยุโรป จากจำนวนการประชุมทั้งหมด 80 การประชุม พร้อมแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การลงทุน และให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยถึงผลการไปโรดโชว์ร่วมกับกระทรวงการคลัง บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด และ Deutsche Bank พร้อมบริษัทจดทะเบียนชั้นนำ 10 แห่ง เพื่อร่วมให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำในยุโรปในงาน DBTisco Access Thailand 2010 เมื่อวันที่ 12-13 กรกฎาคม 2553 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษว่าได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้ลงทุนสถาบันในยุโรป โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทจดทะเบียนไทยได้พบกับผู้ลงทุนที่มีความคุ้นเคยกับการลงทุนในประเทศไทย และมีโอกาสให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนโดยตรง ทำให้เกิดความสนใจที่จะลงทุนเพิ่มขึ้น
ตลาดหลักทรัพย์ฯ และกระทรวงการคลัง โดย ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส โฆษกกระทรวงการคลัง ได้นำเสนอข้อมูลภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นและในระยะยาว โดยเน้นให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นของธุรกิจในระยะยาว 5 ประเภทของประเทศไทย ได้แก่ ธุรกิจภาคบริการ ธุรกิจภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรมรถยนต์ และธุรกิจเกี่ยวกับการขนส่ง นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนด้านผลการดำเนินงาน รวมทั้งความคืบหน้าในด้านต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุน และบริการใหม่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ความคืบหน้าโครงการเชื่อมโยงการซื้อขายของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์อาเซียน (ASEAN Linkage) รวมทั้งการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ และทิศทางการพัฒนาตลาดในอนาคต ซึ่งผู้ลงทุนสถาบันให้ความสนใจและเห็นว่าการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหลักทรัพย์ในหลายประเทศทั่วโลก และเชื่อว่าจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ผู้ลงทุนมากขึ้น
ผู้ลงทุนต่างชาติ มีความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งได้พิสูจน์ถึงความสามารถในด้านการบริหารที่มีความยืดหยุ่นสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้ความผันผวนของปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ซึ่งหากบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ นอกจากจะได้ผู้ลงทุนเก่ากลับเข้ามาลงทุนแล้ว จะยังมีผู้ลงทุนรายใหม่ๆ ที่พร้อมจะเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มเติม นอกจากนี้กระทรวงการคลังเองได้ร่วมเสนอแนะถึงภาคธุรกิจของประเทศที่น่าสนใจลงทุน ในรูปแบบของการลงทุนโดยตรงสำหรับผู้ลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจบริการ การท่องเที่ยว เกษตรกรรม อุตสาหกรรมรถยนต์ และธุรกิจเกี่ยวกับการขนส่ง ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ยังสนับสนุนให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้เป็นทางเลือกกับผู้ลงทุนมากยิ่งขึ้น นายจรัมพร กล่าว
โดยในส่วนของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ร่วมเดินทางไปให้ข้อมูลด้วยในครั้งนี้ประกอบด้วย บมจ. ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพการเจริญเติบโตสูง
ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- พฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม 2553 10:41:51 น.
กรุงเทพฯ--15 ก.ค.--ตลท.
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยผลโรดโชว์ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำในยุโรปเข้าร่วมรับฟังข้อมูล 44 ราย จาก 26 กองทุนชั้นนำในยุโรป จากจำนวนการประชุมทั้งหมด 80 การประชุม พร้อมแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การลงทุน และให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยถึงผลการไปโรดโชว์ร่วมกับกระทรวงการคลัง บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด และ Deutsche Bank พร้อมบริษัทจดทะเบียนชั้นนำ 10 แห่ง เพื่อร่วมให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำในยุโรปในงาน DBTisco Access Thailand 2010 เมื่อวันที่ 12-13 กรกฎาคม 2553 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษว่าได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้ลงทุนสถาบันในยุโรป โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทจดทะเบียนไทยได้พบกับผู้ลงทุนที่มีความคุ้นเคยกับการลงทุนในประเทศไทย และมีโอกาสให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนโดยตรง ทำให้เกิดความสนใจที่จะลงทุนเพิ่มขึ้น
ตลาดหลักทรัพย์ฯ และกระทรวงการคลัง โดย ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส โฆษกกระทรวงการคลัง ได้นำเสนอข้อมูลภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นและในระยะยาว โดยเน้นให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นของธุรกิจในระยะยาว 5 ประเภทของประเทศไทย ได้แก่ ธุรกิจภาคบริการ ธุรกิจภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรมรถยนต์ และธุรกิจเกี่ยวกับการขนส่ง นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนด้านผลการดำเนินงาน รวมทั้งความคืบหน้าในด้านต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุน และบริการใหม่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ความคืบหน้าโครงการเชื่อมโยงการซื้อขายของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์อาเซียน (ASEAN Linkage) รวมทั้งการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ และทิศทางการพัฒนาตลาดในอนาคต ซึ่งผู้ลงทุนสถาบันให้ความสนใจและเห็นว่าการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหลักทรัพย์ในหลายประเทศทั่วโลก และเชื่อว่าจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ผู้ลงทุนมากขึ้น
ผู้ลงทุนต่างชาติ มีความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งได้พิสูจน์ถึงความสามารถในด้านการบริหารที่มีความยืดหยุ่นสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้ความผันผวนของปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ซึ่งหากบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ นอกจากจะได้ผู้ลงทุนเก่ากลับเข้ามาลงทุนแล้ว จะยังมีผู้ลงทุนรายใหม่ๆ ที่พร้อมจะเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มเติม นอกจากนี้กระทรวงการคลังเองได้ร่วมเสนอแนะถึงภาคธุรกิจของประเทศที่น่าสนใจลงทุน ในรูปแบบของการลงทุนโดยตรงสำหรับผู้ลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจบริการ การท่องเที่ยว เกษตรกรรม อุตสาหกรรมรถยนต์ และธุรกิจเกี่ยวกับการขนส่ง ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ยังสนับสนุนให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้เป็นทางเลือกกับผู้ลงทุนมากยิ่งขึ้น นายจรัมพร กล่าว
โดยในส่วนของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ร่วมเดินทางไปให้ข้อมูลด้วยในครั้งนี้ประกอบด้วย บมจ. ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพการเจริญเติบโตสูง
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 41
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม 2553 12:30:55 น.
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)กล่าวว่า ในเดือนหน้า ตลท.จะไปโรดโชว์ที่ประเทศสิงคโปร์ ร่วมกับทางบริษัทหลักทรัพย์ หลังจากประสบความสำเร็จในการโรดโชว์ที่ลอนดอนในช่วง 12-13 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แม้ว่านักลงทุนจะเข้าใจแล้วแต่ก็ต้องตอกย้ำข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับการโรดโชว์ครั้งล่าสุด พบว่านักลงทุนเป็นห่วงเรื่องการเมืองและการลงทุนในมาบตาพุด โดยนักลงทุนหลายรายสอบถามว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายจากการเมืองจะเกิดอีกหรือไม่ แต่ตลท.ก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์และประเมินเอาเอง
ส่วนความกังวลต่อบรรยากาศการลงทุน เนื่องจากปัญหามาบตาพุดส่งผลทางด้านลบนั้น ตลท.อยากให้ทุกหน่วยงานช่วยกันแก้ไขปัญหา ถ้าสามารถแก้ไขได้เร็วก็จะส่งผลดี เพราะช่วงนี้ภาพการลงทุนสะดุดและส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อประเทศ
อย่างไรก็ตาม ตลท.พยายามชี้แจงให้นักลงทุนเห็นจุดเด่นของประเทศว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก โดยเฉพาะภายใต้มรสุมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาบริษัทต่าง ๆ ก็ยังมีผลประกอบการที่ดี ทำกำไรและจ่ายปันผลได้ นักลงทุนควรจะให้น้ำหนักในจุดนี้มากกว่า
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)กล่าวว่า ในเดือนหน้า ตลท.จะไปโรดโชว์ที่ประเทศสิงคโปร์ ร่วมกับทางบริษัทหลักทรัพย์ หลังจากประสบความสำเร็จในการโรดโชว์ที่ลอนดอนในช่วง 12-13 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แม้ว่านักลงทุนจะเข้าใจแล้วแต่ก็ต้องตอกย้ำข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับการโรดโชว์ครั้งล่าสุด พบว่านักลงทุนเป็นห่วงเรื่องการเมืองและการลงทุนในมาบตาพุด โดยนักลงทุนหลายรายสอบถามว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายจากการเมืองจะเกิดอีกหรือไม่ แต่ตลท.ก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์และประเมินเอาเอง
ส่วนความกังวลต่อบรรยากาศการลงทุน เนื่องจากปัญหามาบตาพุดส่งผลทางด้านลบนั้น ตลท.อยากให้ทุกหน่วยงานช่วยกันแก้ไขปัญหา ถ้าสามารถแก้ไขได้เร็วก็จะส่งผลดี เพราะช่วงนี้ภาพการลงทุนสะดุดและส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อประเทศ
อย่างไรก็ตาม ตลท.พยายามชี้แจงให้นักลงทุนเห็นจุดเด่นของประเทศว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก โดยเฉพาะภายใต้มรสุมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาบริษัทต่าง ๆ ก็ยังมีผลประกอบการที่ดี ทำกำไรและจ่ายปันผลได้ นักลงทุนควรจะให้น้ำหนักในจุดนี้มากกว่า
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 42
ราคาน้ำมัน NYMEX ร่วง 54 เซนต์เช้านี้ หลัง FED หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐ
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม 2553 11:02:52 น.
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนส.ค.ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกที่ตลาดสิงคโปร์ ร่วงลง 54 เซนต์ หรือ 0.7% มาอยู่ที่ระดับ 76.50 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงเช้าวันนี้ จากระดับปิดที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ที่ 77.04 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันวันที่ 2 หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ ซึ่งทำให้เกิดความวิตกกังวลว่า สหรัฐอาจประสบความยากลำบากในการผลักดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างยั่งยืนได้
คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดได้เปิดเผยรายงานการประชุมเมื่อวานนี้ โดยระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงฟื้นตัวในระดับปานกลาง แต่สหรัฐอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัวได้ดีอีกครั้ง
ทั้งนี้ เฟดได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ลงสู่ระดับ 3.0 - 3.5% ซึ่งน้อยกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวราว 3.2 - 3.7% และคาดว่าอัตราว่างงานในสหรัฐจะอยู่ที่ระดับ 9.2 - 9.5% ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 9.1 - 9.5%
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังร่วงลงหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.ลดลง 0.5% หลังจากที่ร่วงลง 1.1% ในเดือนพ.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะขยับลงเพียง 0.2% เนื่องจากยอดขายยานยนต์และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง
กระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 9 ก.ค.ร่วงลง 5.06 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 353.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 2.94 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 162.64 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 221.04 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.7% แตะที่ระดับ 90.5%
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม 2553 11:02:52 น.
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนส.ค.ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกที่ตลาดสิงคโปร์ ร่วงลง 54 เซนต์ หรือ 0.7% มาอยู่ที่ระดับ 76.50 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงเช้าวันนี้ จากระดับปิดที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ที่ 77.04 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันวันที่ 2 หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ ซึ่งทำให้เกิดความวิตกกังวลว่า สหรัฐอาจประสบความยากลำบากในการผลักดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างยั่งยืนได้
คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดได้เปิดเผยรายงานการประชุมเมื่อวานนี้ โดยระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงฟื้นตัวในระดับปานกลาง แต่สหรัฐอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัวได้ดีอีกครั้ง
ทั้งนี้ เฟดได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ลงสู่ระดับ 3.0 - 3.5% ซึ่งน้อยกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวราว 3.2 - 3.7% และคาดว่าอัตราว่างงานในสหรัฐจะอยู่ที่ระดับ 9.2 - 9.5% ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 9.1 - 9.5%
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังร่วงลงหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.ลดลง 0.5% หลังจากที่ร่วงลง 1.1% ในเดือนพ.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะขยับลงเพียง 0.2% เนื่องจากยอดขายยานยนต์และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง
กระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 9 ก.ค.ร่วงลง 5.06 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 353.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 2.94 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 162.64 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 221.04 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.7% แตะที่ระดับ 90.5%
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 43
ภาคเอกชนขานรับวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น สะม้อยเศรษฐกิจฟื้นตัว
ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม 2553 12:42:29 น.
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินในช่วงนี้ว่า เชื่อว่าสถาบันการเงินหลายแห่งคงจะทยอยปรับขึ้นในส่วนดอกเบี้ยเงินฝากไปก่อน ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีที่ธนาคารพาณิชย์จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในช่วงนี้ แม้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% คาดว่าธนาคารพาณิชย์จะสามารถตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไปได้อีกสักระยะ เนื่องจากยังมีต้นทุนเดิมอยู่
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นเรื่องต้นทุนอัตราดอกเบี้ยจะไม่มีผลกระทบต่อการทำธุรกิจของภาคเอกชนในระยะนี้
"ถือว่าเป็นสิ่งดีที่ยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ในช่วงนี้เพื่อให้เศรษฐกิจมีโมเมนตั้มในการฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ แต่ในช่วงปลายปีคงต้องมาติดตามสถานการณ์เรื่องดอกเบี้ยอีกที" นายพยุงศักดิ์ กล่าว
ด้านนายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ของ กนง.ถือว่าภาคธุรกิจยอมรับได้ เนื่องจากมีเหตุผลที่เหมาะสม เพราะเมื่อเศรษฐกิจเข้มแข็งขึ้นก็เป็นธรรมดาที่อัตราดอกเบี้ยต้องปรับขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันที่จะปรับเพิ่มขึ้นด้วย เชื่อว่าภาคธุรกิจได้เตรียมตัวรับมือแล้วต่อแนวโน้มสถานการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้นในขณะนี้ไว้แล้ว
--อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/รัชดา/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม 2553 12:42:29 น.
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินในช่วงนี้ว่า เชื่อว่าสถาบันการเงินหลายแห่งคงจะทยอยปรับขึ้นในส่วนดอกเบี้ยเงินฝากไปก่อน ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีที่ธนาคารพาณิชย์จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในช่วงนี้ แม้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% คาดว่าธนาคารพาณิชย์จะสามารถตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไปได้อีกสักระยะ เนื่องจากยังมีต้นทุนเดิมอยู่
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นเรื่องต้นทุนอัตราดอกเบี้ยจะไม่มีผลกระทบต่อการทำธุรกิจของภาคเอกชนในระยะนี้
"ถือว่าเป็นสิ่งดีที่ยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ในช่วงนี้เพื่อให้เศรษฐกิจมีโมเมนตั้มในการฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ แต่ในช่วงปลายปีคงต้องมาติดตามสถานการณ์เรื่องดอกเบี้ยอีกที" นายพยุงศักดิ์ กล่าว
ด้านนายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ของ กนง.ถือว่าภาคธุรกิจยอมรับได้ เนื่องจากมีเหตุผลที่เหมาะสม เพราะเมื่อเศรษฐกิจเข้มแข็งขึ้นก็เป็นธรรมดาที่อัตราดอกเบี้ยต้องปรับขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันที่จะปรับเพิ่มขึ้นด้วย เชื่อว่าภาคธุรกิจได้เตรียมตัวรับมือแล้วต่อแนวโน้มสถานการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้นในขณะนี้ไว้แล้ว
--อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/รัชดา/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 44
ณ วันที่ 15 ก.ค. 2553
หน่วย: ล้านบาท
นักลงทุน
ซื้อ ขาย สุทธิ
สถาบัน 1,262.74 1,903.47 -640.73
บัญชีบล. 2,283.26 2,702.24 -418.98
ต่างประเทศ 3,460.14 3,801.21 -341.07
ในประเทศ 17,804.70 16,403.92 1,400.78
มูลค่าการซื้อขายรวม 24,810.84 ล้านบาท
แรงซื้อรายย่อยล้วนๆ ต่างชาติขายยังไงนะ ปิดเขียวได้ :) :)
หน่วย: ล้านบาท
นักลงทุน
ซื้อ ขาย สุทธิ
สถาบัน 1,262.74 1,903.47 -640.73
บัญชีบล. 2,283.26 2,702.24 -418.98
ต่างประเทศ 3,460.14 3,801.21 -341.07
ในประเทศ 17,804.70 16,403.92 1,400.78
มูลค่าการซื้อขายรวม 24,810.84 ล้านบาท
แรงซื้อรายย่อยล้วนๆ ต่างชาติขายยังไงนะ ปิดเขียวได้ :) :)
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 46
ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- ศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2553 06:43:16 น.
ไทยโพสต์ - ได้เวลาแบงก์ปรับขึ้นดอกเบี้ย "กรุงไทย" เล่นบทโหด นำร่องขึ้นดอกฝาก แต่โขกดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125-0.150% "ไทยพาณิชย์" ขยับดอกฝากตาม เอกชนรับได้ แม้กระทบต้นทุนเล็กน้อย ด้าน "บัณฑิต" แจงค่าบาทเคลื่อนไหวปกติ ไม่พบเงินไหลเข้าเก็งกำไร
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารประกาศปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภทขึ้น 0.25-0.35% ต่อปี และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125-0.150% ต่อปี มีผลตั้งแต่ 16 ก.ค.2553 เป็นต้นไป ส่งผลให้เงินฝากประจำอายุ 3 เดือนเพิ่มเป็น 0.90%, 6 และ 12 เดือน เพิ่มเป็น 1.00%, 24 เดือน 1.75% และ 36 เดือน 2.00% ทางด้านดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ปรับเป็น 6.00% ต่อปี MOR เป็น 6.250% และ MRR เป็น 6.60% ต่อปี
"ธนาคารปรับขึ้นอัตราดอก เบี้ยเงินฝากมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งอาจจะทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารแคบลงบ้าง แต่จะช่วยดูแลลูกค้าสินเชื่อของธนาคารให้ได้รับผล กระทบน้อยที่สุด" นายอภิศักดิ์ระบุ
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทย พาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประ เภท 0.10-0.55% ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.เป็นต้นไป เพื่อตอบรับกับนโยบายทางการเงินของทางการ และเป็นการส่งเสริมการออมของประชาชน โดยไม่ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ แต่จะรอดูภาวะการแข่งขันในตลาดและสภาพคล่องในระบบอีกครั้ง
ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะขยายตัวได้ดี เห็นได้จากไตรมาส 2 ที่มีสัญญาณขยายตัวต่อเนื่องในภาคการส่งออก กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ทางธนาคารจึงตั้งเป้าสินเชื่อขยายตัวได้ 7-10% ภายในปีนี้
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย ระบุว่า ธนาคารจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากในสัปดาห์หน้า โดยจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ด้วย
ขณะที่นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย และว่าที่ผู้ว่าการธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์มีโอกาสปรับสูงขึ้น หากส่วนต่างกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำเพิ่มขึ้น และมีการแข่งขันระดมเงินฝากระหว่างธนาคารมากขึ้น
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประ ธานอาวุโส หอการค้าไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้สอดคล้องกับประเทศอื่นในภูมิภาค ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าหนักใจ แม้จะยอมรับว่าเป็นการเพิ่มภาระต้นทุนการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ แต่ก็ได้รับรู้และปรับตัวต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้มาระยะหนึ่งแล้ว
นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า หลังจาก กนง.ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ก็มีการติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเช่นกัน ซึ่งพบว่ามีการเคลื่อนไหวในทิศ ทางที่ปกติ ไม่ได้มีแรงกดดันอะไร มากมาย สาเหตุส่วนหนึ่งคงเป็น เพราะแม้ กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยโดยรวมยังอยู่ในระดับที่ต่ำ เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยของประ เทศอื่นในภูมิภาค ดังนั้นความจูงใจต่อการเข้ามาเก็งกำไรในอัตราดอก เบี้ยของไทยจึงมีไม่มากนัก.
ใครเล่นธนาคารมีอ๊วกครับงานนี้ ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ
ไทยโพสต์ - ได้เวลาแบงก์ปรับขึ้นดอกเบี้ย "กรุงไทย" เล่นบทโหด นำร่องขึ้นดอกฝาก แต่โขกดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125-0.150% "ไทยพาณิชย์" ขยับดอกฝากตาม เอกชนรับได้ แม้กระทบต้นทุนเล็กน้อย ด้าน "บัณฑิต" แจงค่าบาทเคลื่อนไหวปกติ ไม่พบเงินไหลเข้าเก็งกำไร
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารประกาศปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภทขึ้น 0.25-0.35% ต่อปี และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125-0.150% ต่อปี มีผลตั้งแต่ 16 ก.ค.2553 เป็นต้นไป ส่งผลให้เงินฝากประจำอายุ 3 เดือนเพิ่มเป็น 0.90%, 6 และ 12 เดือน เพิ่มเป็น 1.00%, 24 เดือน 1.75% และ 36 เดือน 2.00% ทางด้านดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ปรับเป็น 6.00% ต่อปี MOR เป็น 6.250% และ MRR เป็น 6.60% ต่อปี
"ธนาคารปรับขึ้นอัตราดอก เบี้ยเงินฝากมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งอาจจะทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารแคบลงบ้าง แต่จะช่วยดูแลลูกค้าสินเชื่อของธนาคารให้ได้รับผล กระทบน้อยที่สุด" นายอภิศักดิ์ระบุ
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทย พาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประ เภท 0.10-0.55% ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.เป็นต้นไป เพื่อตอบรับกับนโยบายทางการเงินของทางการ และเป็นการส่งเสริมการออมของประชาชน โดยไม่ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ แต่จะรอดูภาวะการแข่งขันในตลาดและสภาพคล่องในระบบอีกครั้ง
ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะขยายตัวได้ดี เห็นได้จากไตรมาส 2 ที่มีสัญญาณขยายตัวต่อเนื่องในภาคการส่งออก กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ทางธนาคารจึงตั้งเป้าสินเชื่อขยายตัวได้ 7-10% ภายในปีนี้
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย ระบุว่า ธนาคารจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากในสัปดาห์หน้า โดยจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ด้วย
ขณะที่นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย และว่าที่ผู้ว่าการธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์มีโอกาสปรับสูงขึ้น หากส่วนต่างกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำเพิ่มขึ้น และมีการแข่งขันระดมเงินฝากระหว่างธนาคารมากขึ้น
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประ ธานอาวุโส หอการค้าไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้สอดคล้องกับประเทศอื่นในภูมิภาค ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าหนักใจ แม้จะยอมรับว่าเป็นการเพิ่มภาระต้นทุนการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ แต่ก็ได้รับรู้และปรับตัวต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้มาระยะหนึ่งแล้ว
นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า หลังจาก กนง.ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ก็มีการติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเช่นกัน ซึ่งพบว่ามีการเคลื่อนไหวในทิศ ทางที่ปกติ ไม่ได้มีแรงกดดันอะไร มากมาย สาเหตุส่วนหนึ่งคงเป็น เพราะแม้ กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยโดยรวมยังอยู่ในระดับที่ต่ำ เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยของประ เทศอื่นในภูมิภาค ดังนั้นความจูงใจต่อการเข้ามาเก็งกำไรในอัตราดอก เบี้ยของไทยจึงมีไม่มากนัก.
ใครเล่นธนาคารมีอ๊วกครับงานนี้ ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 47
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 7.41 จุด หลังสหรัฐเผยข้อมูลภาคการผลิตอ่อนแอ
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2553 06:59:16 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (15 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนตลอดวัน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยดัชนีกิจกรรมด้านการผลิตที่ร่วงลงอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อยเพราะตลาดได้แรงหนุนจากรายงานตัวเลขว่างงานรายสัปดาห์ที่ร่วงลง ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานของสหรัฐ ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) จะยอมยุติคดีฉ้อโกงกับโกลด์แมน แซคส์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 7.41 จุด หรือ 0.07% แตะที่ 10,359.31 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 1.31 จุด หรือ 0.12% แตะที่ 1,096.48 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 0.76 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 2,249.08 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 8.11 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 1,523 ต่อ 1,459 หุ้น ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 9.65 พันล้านหุ้น
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่มีทั้งด้านบวกและลบคละเคล้ากันไป โดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยดัชนีกิจกรรมการผลิตเขตมิดขแอตแลนติกลดลงเกินคาด ขณะที่เฟดสาขานิวยอร์กเปิดเผยดัชนีการผลิตลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2552
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 0.5% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเดือนที่ 3 ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนคาดว่าจะขยับลงเพียง 0.1%
ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 29,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 429,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2551 ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันสองสัปดาห์
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นที่ว่า SEC จะยอมยุติคดีฉ้อโกงกับโกลด์แมน แซคส์ โดยเมื่อช่วงกลางเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา SEC ได้ยื่นฟ้องโกลด์แมน แซคส์ รวมทั้งนายฟาบรีซ ตูร์เร รองประธานของโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงิน "ABACUS 2007-AC1" ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน หรือ ตราสารซีดีโอ (collateralized debt obligation) โดย SEC ระบุว่า โกลด์แมนไม่ได้เปิดเผยข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับ ABACUS 2007-AC1 ต่อนักลงทุน ซึ่งการกระทำดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้กับลูกค้าเป็นมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ โดยลูกค้าที่ได้รับความเสียหายนั้น รวมถึงธนาคารไอเคบี ของเยอรมนี และธนาคารเอบีเอ็น อัมโร ของเนเธอร์แลนด์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นเจพีมอร์แกนปิดบวก 11 เซนต์ แตะที่ 40.43 ดอลลาร์ แต่หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกัน ปิดลบ 28 เซนต์ แตะที่ 15.39 ดอลลาร์ และหุ้นซิตี้กรุ๊ปปิดลบ 5 เซนต์ แตะที่ 4.16 ดอลลาร์
ข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแอของสหรัฐได้ฉุดหุ้นแคทเทอร์พิลลาร์ปิดร่วง 19 เซนต์ แตะที่ 66.51 ดอลลาร์
นักลงทุนจับตาดูการรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. รวมทั้งข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิและปริมาณการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของต่างชาติประจำเดือนพ.ค.ในวันศุกร์นี้
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2553 06:59:16 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (15 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนตลอดวัน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยดัชนีกิจกรรมด้านการผลิตที่ร่วงลงอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อยเพราะตลาดได้แรงหนุนจากรายงานตัวเลขว่างงานรายสัปดาห์ที่ร่วงลง ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานของสหรัฐ ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) จะยอมยุติคดีฉ้อโกงกับโกลด์แมน แซคส์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 7.41 จุด หรือ 0.07% แตะที่ 10,359.31 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 1.31 จุด หรือ 0.12% แตะที่ 1,096.48 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 0.76 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 2,249.08 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 8.11 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 1,523 ต่อ 1,459 หุ้น ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 9.65 พันล้านหุ้น
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่มีทั้งด้านบวกและลบคละเคล้ากันไป โดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยดัชนีกิจกรรมการผลิตเขตมิดขแอตแลนติกลดลงเกินคาด ขณะที่เฟดสาขานิวยอร์กเปิดเผยดัชนีการผลิตลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2552
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 0.5% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเดือนที่ 3 ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนคาดว่าจะขยับลงเพียง 0.1%
ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 29,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 429,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2551 ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันสองสัปดาห์
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นที่ว่า SEC จะยอมยุติคดีฉ้อโกงกับโกลด์แมน แซคส์ โดยเมื่อช่วงกลางเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา SEC ได้ยื่นฟ้องโกลด์แมน แซคส์ รวมทั้งนายฟาบรีซ ตูร์เร รองประธานของโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงิน "ABACUS 2007-AC1" ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน หรือ ตราสารซีดีโอ (collateralized debt obligation) โดย SEC ระบุว่า โกลด์แมนไม่ได้เปิดเผยข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับ ABACUS 2007-AC1 ต่อนักลงทุน ซึ่งการกระทำดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้กับลูกค้าเป็นมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ โดยลูกค้าที่ได้รับความเสียหายนั้น รวมถึงธนาคารไอเคบี ของเยอรมนี และธนาคารเอบีเอ็น อัมโร ของเนเธอร์แลนด์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นเจพีมอร์แกนปิดบวก 11 เซนต์ แตะที่ 40.43 ดอลลาร์ แต่หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกัน ปิดลบ 28 เซนต์ แตะที่ 15.39 ดอลลาร์ และหุ้นซิตี้กรุ๊ปปิดลบ 5 เซนต์ แตะที่ 4.16 ดอลลาร์
ข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแอของสหรัฐได้ฉุดหุ้นแคทเทอร์พิลลาร์ปิดร่วง 19 เซนต์ แตะที่ 66.51 ดอลลาร์
นักลงทุนจับตาดูการรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. รวมทั้งข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิและปริมาณการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของต่างชาติประจำเดือนพ.ค.ในวันศุกร์นี้
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 48
ภาวะตลาดน้ำมัน NYMEX: ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมอ่อนแอ ถ่วงน้ำมันดิบปิดลบ 42 เซนต์
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2553 07:22:44 น.
สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (15 ก.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและดีมานด์พลังงาน นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นในสหรัฐ ยิ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะหดตัวของดีมานด์พลังงาน
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ( New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 42 เซนต์ ปิดที่ 76.62 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 77.44 - 76.27 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนส.ค.ลดลง 1.78 เซนต์ ปิดที่ 2.0183 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนส.ค.ลดลง 0.58 เซนต์ ปิดที่ 2.0347 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.ดิ่งลง 58 เซนต์ ปิดที่ 76.19 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมัน NYMEX เพราะกังวลว่าภาวะอ่อนแอในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและฉุดรั้งดีมานด์พลังงานหดตัวลงด้วย โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเดือนมิ.ย.ขยับขึ้นเพียง 0.1% ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตทรงตัวอยู่ที่ 74.1% นอกจากนี้ เฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยว่า ดัชนีกิจกรรมการผลิตในเขตมิด-แอตแลนติกร่วงลงสู่ระดับ 5.1 จุดในเดือนก.ค. จากเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 8.0 จุด
ข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนของสหรัฐทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างล่าช้า โดยก่อนหน้านี้ ทางการสหรัฐระบุว่ายอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค.ร่วงลง 1.1% มาอยู่ที่ระดับ 1.92 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 6 เดือน
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันหลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 9 ก.ค.ร่วงลง 5.06 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 353.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 2.94 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 162.64 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 221.04 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.7% แตะที่ระดับ 90.5%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 29,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 429,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2551 ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันสองสัปดาห์
แม้จำนวนคนว่างงานปรับตัวลงในรอบสัปดาห์ที่แล้ว แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าตลาดแรงงานยังเป็นความท้าทายหลักสำหรับคณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามาและพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพ.ย.นี้
ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในวันศุกร์นี้ รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. และข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิและปริมาณการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของต่างชาติประจำเดือนพ.ค.
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2553 07:22:44 น.
สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (15 ก.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและดีมานด์พลังงาน นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นในสหรัฐ ยิ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะหดตัวของดีมานด์พลังงาน
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ( New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 42 เซนต์ ปิดที่ 76.62 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 77.44 - 76.27 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนส.ค.ลดลง 1.78 เซนต์ ปิดที่ 2.0183 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนส.ค.ลดลง 0.58 เซนต์ ปิดที่ 2.0347 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.ดิ่งลง 58 เซนต์ ปิดที่ 76.19 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมัน NYMEX เพราะกังวลว่าภาวะอ่อนแอในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและฉุดรั้งดีมานด์พลังงานหดตัวลงด้วย โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเดือนมิ.ย.ขยับขึ้นเพียง 0.1% ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตทรงตัวอยู่ที่ 74.1% นอกจากนี้ เฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยว่า ดัชนีกิจกรรมการผลิตในเขตมิด-แอตแลนติกร่วงลงสู่ระดับ 5.1 จุดในเดือนก.ค. จากเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 8.0 จุด
ข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนของสหรัฐทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างล่าช้า โดยก่อนหน้านี้ ทางการสหรัฐระบุว่ายอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค.ร่วงลง 1.1% มาอยู่ที่ระดับ 1.92 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 6 เดือน
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันหลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 9 ก.ค.ร่วงลง 5.06 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 353.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 2.94 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 162.64 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 221.04 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.7% แตะที่ระดับ 90.5%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 29,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 429,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2551 ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันสองสัปดาห์
แม้จำนวนคนว่างงานปรับตัวลงในรอบสัปดาห์ที่แล้ว แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าตลาดแรงงานยังเป็นความท้าทายหลักสำหรับคณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามาและพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพ.ย.นี้
ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในวันศุกร์นี้ รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. และข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิและปริมาณการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของต่างชาติประจำเดือนพ.ค.
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- pacabee
- Verified User
- โพสต์: 381
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 49
รายงานพิเศษ :ครึ่งหลังปี53..ศก.รุ่งโรจน์?
ผ่านพ้นมากว่าครึ่งปีแล้ว ... สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจและสังคมของไทย ช่าง
เหมาะสมกับสัญลักษณ์ปีเสือดุ 2553 อย่างไม่มีข้อตำหนิ ทั้งรัฐบาลและเอกชนทุกภาคส่วนเรียก
ได้ว่า เผชิญกับภาวะหืดขึ้นคอกันอย่างทั่วหน้า เห็นก็จะมีแต่เพียงภาคการส่งออกเท่านั้น ที่ยัง
สามารถเดินหน้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกได้ หลังจากปีก่อนต้องอยู่ในช่วงถดถอยเช่นกัน
ประสานกำลังกับการลงทุนตามสายพานของโครงการรัฐ แจกจ่ายยาชูกำลัง ทั้งอัดทั้งฉีดเม็ดเงิน
มหาศาล หวังกระตุ้นภาคการลงทุนภายในประเทศไม่ให้เหือดแห้งไปตามบรรยากาศน้ำแล้งช่วง
หน้าร้อน และเตรียมพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศอีกด้วย ส่งผลให้อัตรา
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในไตรมาสแรก ขยับสูงถึง 12% สูงสุดในรอบ 15 ปี
เลยทีเดียว
หลังจากนั้นเมื่อเข้าช่วงไตรมาส 2/53 สิ่งหนึ่งที่สำคัญ และไม่อาจลืมกล่าวถึงได้นั้น
คือปัจจัยลบทั้งหลายที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ปัญหาการเมืองในประเทศ ที่ดีกรีความร้อนแรงเพิ่มขึ้นตั้งแต่
ช่วงต้นปี จากภาพการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล นำไปสู่การปิด
ถนนย่านธุรกิจสำคัญ อย่างเช่น แยกราชประสงค์ ได้ทำลายภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นในสาย
ตาของนักลงทุนทั่วโลก และในช่วง 1 เดือนจากนั้น เมื่อแกนนำคนเสื้อแดงประกาศขอเข้ามอบ
ตัว จากการกระชับวงล้อมของเจ้าหน้าที่ ได้ส่งผลให้กลุ่มผู้ชุมนุมไม่พอใจลงมือเผาพื้นที่ย่าน
ธุรกิจสำคัญต่างๆ ดังนั้นจึงนับได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นจุดแตกหัก โดยแลกมาเพื่อการคลี่
คลายปัญหา บนคราบน้ำตาของคนทั่วประเทศ ที่ต้องจดจำไปชั่วชีวิต
เท่านั้นยังไม่พอ แม้รอยเลือดจะจางหาย แต่คนไทยก็ยังยิ้มได้ไม่เต็มปาก เมื่อคนทั่ว
โลกกลับมาพบว่า มีปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศกรีซ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศ PIIGS
ได้แก่ โปรตุเกส (Portugal) ไอร์แลนด์ (Ireland) อิตาลี (ITALY) กรีซ (Greece) และสเปน
(Spain) ได้ขยายผลกระทบไปสู่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจมหภาค ทั้งของสหภาพ
ยุโรปและค่าเงินสกุลยูโร จึงเป็นที่กังวลว่าปัญหาดังกล่าวจะลุกลามไปสู่ปัญหาของสหภาพยุโรป
และเศรษฐกิจโลกโดยรวมได้ ซึ่งแม้ว่าปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่ม PIIGS ไม่ใช่
ปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ หากแต่เป็นปัญหาที่สะสมมายาวนาน โดยประเทศในกลุ่มเหล่านี้ได้ดำเนิน
นโยบายขาดดุลการคลังมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ซึ่งทำให้
ประเทศเหล่านี้สามารถเข้าถึงแหล่งกู้ยืมได้โดยง่าย
ปัญหาได้ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้การขาดดุลงบประมาณต่อจีดีพีและหนี้สาธารณะ
ต่อจีดีพีของประเทศในกลุ่ม PIIGS ปรับสูงขึ้นกว่าระดับที่ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปได้
เคยตกลงกันไว้ ระดับหนี้สาธารณะที่สูง ประกอบกับเศรษฐกิจของกลุ่ม PIIGS ที่ยังไม่ฟื้นตัวจาก
วิกฤตเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงความสามารถในการชดใช้หนี้ของระเทศใน
กลุ่ม PIIGS ส่งผลให้บริษัทจัดเรตติ้งต่างๆ ปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของประเทศในกลุ่ม
PIIGS อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจยุโรปโดย
รวม ส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ทั้งในยุโรปและเอเชียเพื่อไป
ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำในสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ค่าเงินยูโรเมื่อเปรียบเทียบกับ
ดอลลาร์สหรัฐฯ มีความผันผวนเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันมิให้ปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซลุกลาม
ไปสู่สหภาพยุโรป ขณะที่สถานะของภาคการเงินไทยมีความเข้มแข็งมากเพียงพอ ส่งผลให้
เศรษฐกิจไทยสามารถรองรับความผันผวนของเงินทุนที่เกิดขึ้นได้ โดยไทยยังมีสภาพคล่องใน
ระบบธนาคารในระดับสูงกว่า 1.8 ล้านล้านบาท ซึ่งเพียงพอและสามารถรองรับการหายไปของ
สภาพคล่องบางส่วนที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัญหาเกิดขึ้น แต่ทุกฝ่ายก็ยังเชื่อว่า จากการคลี่คลายของ
สถานการณ์ทางการเมือง การแก้ไขปัญหาทางการเงินในแถบยุโรปที่มีความชัดเจนมากขึ้น และ
ภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวอย่างไม่สิ้นสุด เพื่อสนับสนุนให้การปรับตัวของวัฏจักรสินค้าคงคลังใน
ประเทศสำคัญๆเข้าที่เข้าทาง จะยังคงเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวของการผลิตและการส่งออก
สินค้าอุตสาหกรรมของไทยต่อไป
ปรากฎการณ์ดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้น และทำการ
ปรับประมาณตัวเลขเศรษฐกิจในปีนี้ใหม่ อาทิ ธปท.ปรับเป้าจีดีพีปี 53 เพิ่มเป็นโต 4.3 -5.8%
จากเดิมคาดโต 3.3-5.3% และเตรียมจะปรับประมาณการเศรษฐกิจอีกรอบ ในวันที่ 23 ก.ค.นี้
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับ
ประมาณการจีดีพีปี 53 เป็นขยายตัว 3.5-4.5% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดจีดีพีจะขยายตัว 3-4%
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับเป้าจีดีพีปี 53 โต 5 6% จากเดิมคาดโต 4-5%
สอดคล้องกับ ทางภาคเอกชน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย คาดการณ์จีดีพีในปีนี้จะ
ขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 4.90% ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกสิกรไทย คาดการณ์การขยายตัวของ
เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะมีโอกาสขยายตัวได้ 4-6% และศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจธุรกิจมหาวิทยาลัย
หอการค้าไทย จากเดิมเคยประเมินวโอกาสจีดีพีปีนี้โต 4.5-5.2% แต่ตอนนี้น้ำหนักที่เศรษฐกิจ
จะขยายตัวได้ถึง 5.2-6% ก็มีมากขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อราตรีเคลื่อน เดือนขยับ เข้าสู่ 'กรกฎาคม' อย่างเป็นทางการ เราก็เริ่มเห็น
ภาพเชิงโครงสร้างสังคมไทยที่ชัดเจนมากขึ้น หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตาม
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับการปฏิรูปประเทศ และคณะ
กรรมการสมัชชาปฏิรูป โดยได้แต่งตั้งให้นายอานันท์ ปันยารชุน นายแพทย์ประเวศ วะสี เป็น
ประธาน ตามแผนปรองดองที่วางไว้
ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายเดียวกันกับ
ธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ว่าเมื่อไรควรจะเริ่มใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด หลังมีการ
ผ่อนผันนโยบายในภาวะที่ทั่วโลกประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้ว ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ใน
ระดับที่ต่ำและนานจนเกินไป อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นได้ในอนาคต จนในที่สุดเมื่อวันที่
14 ก.ค. คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีมติมีมติปรับขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบาย R/P 1 วัน 0.25%/ปี มาอยู่ที่ 1.50%/ปี หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้คงอัตรา
ดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำที่ 1.25%/ปี นับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2552
และมีความเป็นไปได้ที่ กนง.อาจขยับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแตะ 2%ในช่วงสิ้นปี เพื่อลดแรงกดดัน
ของเงินเฟ้อ
ขณะที่มุมมองเศรษฐกิจยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ ตามที่นายบัณฑิต นิจถาวร
รองผู้ว่าฯ ธปท. คาดว่า แนวโน้มการส่งออกของไทยในครึ่งหลังของปีนี้ ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้
เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงบ้าง แต่คาดว่าการส่งออกในกลุ่มอาเซียน จะเข้ามาทดแทนได้ ทั้งนี้
จากตัวเลขเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีความไม่แน่นอนการส่งออกก็ยังโต ซึ่งก็น่าจะต่อเนื่อง
ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่จะมากจะน้อย ก็ขึ้นกับเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะได้รับปัจจัยบวกจากกระแสการท่องเที่ยวที่จะกลับมาอีกครั้ง
ในช่วง High Season หากไม่มีปัญหาทางการเมืองเข้ามาบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักท่อง
เที่ยวอีกระลอก โดยประเด็นที่ต้องจับตา คือกรณีคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีการใช้เงิน
สนับสุนพรรคการเมืองของกกต. จำนวน 29 ล้านบาท และกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ที่วันนี้
อยู่ในมือของ ศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ยังไม่รวมกรณีความวุ่นวายทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้น
จากกระแสข่าวกลุ่มใต้ดินต่างๆที่ออกมาเป็นระลอก
ดังนั้นนับจากนี้ไปอีก 5 เดือนที่เหลือ เศรษฐกิจไทยจะกลับมารุ่งโรจน์ได้หรือไม่ คง
ต้องรอดูกันต่อไป.....
รายงานโดย... ดลนภา บัญชรหัตถกิจ @ eFinanceThai.com
ผ่านพ้นมากว่าครึ่งปีแล้ว ... สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจและสังคมของไทย ช่าง
เหมาะสมกับสัญลักษณ์ปีเสือดุ 2553 อย่างไม่มีข้อตำหนิ ทั้งรัฐบาลและเอกชนทุกภาคส่วนเรียก
ได้ว่า เผชิญกับภาวะหืดขึ้นคอกันอย่างทั่วหน้า เห็นก็จะมีแต่เพียงภาคการส่งออกเท่านั้น ที่ยัง
สามารถเดินหน้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกได้ หลังจากปีก่อนต้องอยู่ในช่วงถดถอยเช่นกัน
ประสานกำลังกับการลงทุนตามสายพานของโครงการรัฐ แจกจ่ายยาชูกำลัง ทั้งอัดทั้งฉีดเม็ดเงิน
มหาศาล หวังกระตุ้นภาคการลงทุนภายในประเทศไม่ให้เหือดแห้งไปตามบรรยากาศน้ำแล้งช่วง
หน้าร้อน และเตรียมพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศอีกด้วย ส่งผลให้อัตรา
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในไตรมาสแรก ขยับสูงถึง 12% สูงสุดในรอบ 15 ปี
เลยทีเดียว
หลังจากนั้นเมื่อเข้าช่วงไตรมาส 2/53 สิ่งหนึ่งที่สำคัญ และไม่อาจลืมกล่าวถึงได้นั้น
คือปัจจัยลบทั้งหลายที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ปัญหาการเมืองในประเทศ ที่ดีกรีความร้อนแรงเพิ่มขึ้นตั้งแต่
ช่วงต้นปี จากภาพการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล นำไปสู่การปิด
ถนนย่านธุรกิจสำคัญ อย่างเช่น แยกราชประสงค์ ได้ทำลายภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นในสาย
ตาของนักลงทุนทั่วโลก และในช่วง 1 เดือนจากนั้น เมื่อแกนนำคนเสื้อแดงประกาศขอเข้ามอบ
ตัว จากการกระชับวงล้อมของเจ้าหน้าที่ ได้ส่งผลให้กลุ่มผู้ชุมนุมไม่พอใจลงมือเผาพื้นที่ย่าน
ธุรกิจสำคัญต่างๆ ดังนั้นจึงนับได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นจุดแตกหัก โดยแลกมาเพื่อการคลี่
คลายปัญหา บนคราบน้ำตาของคนทั่วประเทศ ที่ต้องจดจำไปชั่วชีวิต
เท่านั้นยังไม่พอ แม้รอยเลือดจะจางหาย แต่คนไทยก็ยังยิ้มได้ไม่เต็มปาก เมื่อคนทั่ว
โลกกลับมาพบว่า มีปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศกรีซ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศ PIIGS
ได้แก่ โปรตุเกส (Portugal) ไอร์แลนด์ (Ireland) อิตาลี (ITALY) กรีซ (Greece) และสเปน
(Spain) ได้ขยายผลกระทบไปสู่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจมหภาค ทั้งของสหภาพ
ยุโรปและค่าเงินสกุลยูโร จึงเป็นที่กังวลว่าปัญหาดังกล่าวจะลุกลามไปสู่ปัญหาของสหภาพยุโรป
และเศรษฐกิจโลกโดยรวมได้ ซึ่งแม้ว่าปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่ม PIIGS ไม่ใช่
ปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ หากแต่เป็นปัญหาที่สะสมมายาวนาน โดยประเทศในกลุ่มเหล่านี้ได้ดำเนิน
นโยบายขาดดุลการคลังมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ซึ่งทำให้
ประเทศเหล่านี้สามารถเข้าถึงแหล่งกู้ยืมได้โดยง่าย
ปัญหาได้ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้การขาดดุลงบประมาณต่อจีดีพีและหนี้สาธารณะ
ต่อจีดีพีของประเทศในกลุ่ม PIIGS ปรับสูงขึ้นกว่าระดับที่ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปได้
เคยตกลงกันไว้ ระดับหนี้สาธารณะที่สูง ประกอบกับเศรษฐกิจของกลุ่ม PIIGS ที่ยังไม่ฟื้นตัวจาก
วิกฤตเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงความสามารถในการชดใช้หนี้ของระเทศใน
กลุ่ม PIIGS ส่งผลให้บริษัทจัดเรตติ้งต่างๆ ปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของประเทศในกลุ่ม
PIIGS อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจยุโรปโดย
รวม ส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ทั้งในยุโรปและเอเชียเพื่อไป
ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำในสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ค่าเงินยูโรเมื่อเปรียบเทียบกับ
ดอลลาร์สหรัฐฯ มีความผันผวนเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันมิให้ปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซลุกลาม
ไปสู่สหภาพยุโรป ขณะที่สถานะของภาคการเงินไทยมีความเข้มแข็งมากเพียงพอ ส่งผลให้
เศรษฐกิจไทยสามารถรองรับความผันผวนของเงินทุนที่เกิดขึ้นได้ โดยไทยยังมีสภาพคล่องใน
ระบบธนาคารในระดับสูงกว่า 1.8 ล้านล้านบาท ซึ่งเพียงพอและสามารถรองรับการหายไปของ
สภาพคล่องบางส่วนที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัญหาเกิดขึ้น แต่ทุกฝ่ายก็ยังเชื่อว่า จากการคลี่คลายของ
สถานการณ์ทางการเมือง การแก้ไขปัญหาทางการเงินในแถบยุโรปที่มีความชัดเจนมากขึ้น และ
ภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวอย่างไม่สิ้นสุด เพื่อสนับสนุนให้การปรับตัวของวัฏจักรสินค้าคงคลังใน
ประเทศสำคัญๆเข้าที่เข้าทาง จะยังคงเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวของการผลิตและการส่งออก
สินค้าอุตสาหกรรมของไทยต่อไป
ปรากฎการณ์ดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้น และทำการ
ปรับประมาณตัวเลขเศรษฐกิจในปีนี้ใหม่ อาทิ ธปท.ปรับเป้าจีดีพีปี 53 เพิ่มเป็นโต 4.3 -5.8%
จากเดิมคาดโต 3.3-5.3% และเตรียมจะปรับประมาณการเศรษฐกิจอีกรอบ ในวันที่ 23 ก.ค.นี้
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับ
ประมาณการจีดีพีปี 53 เป็นขยายตัว 3.5-4.5% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดจีดีพีจะขยายตัว 3-4%
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับเป้าจีดีพีปี 53 โต 5 6% จากเดิมคาดโต 4-5%
สอดคล้องกับ ทางภาคเอกชน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย คาดการณ์จีดีพีในปีนี้จะ
ขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 4.90% ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกสิกรไทย คาดการณ์การขยายตัวของ
เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะมีโอกาสขยายตัวได้ 4-6% และศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจธุรกิจมหาวิทยาลัย
หอการค้าไทย จากเดิมเคยประเมินวโอกาสจีดีพีปีนี้โต 4.5-5.2% แต่ตอนนี้น้ำหนักที่เศรษฐกิจ
จะขยายตัวได้ถึง 5.2-6% ก็มีมากขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อราตรีเคลื่อน เดือนขยับ เข้าสู่ 'กรกฎาคม' อย่างเป็นทางการ เราก็เริ่มเห็น
ภาพเชิงโครงสร้างสังคมไทยที่ชัดเจนมากขึ้น หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตาม
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับการปฏิรูปประเทศ และคณะ
กรรมการสมัชชาปฏิรูป โดยได้แต่งตั้งให้นายอานันท์ ปันยารชุน นายแพทย์ประเวศ วะสี เป็น
ประธาน ตามแผนปรองดองที่วางไว้
ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายเดียวกันกับ
ธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ว่าเมื่อไรควรจะเริ่มใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด หลังมีการ
ผ่อนผันนโยบายในภาวะที่ทั่วโลกประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้ว ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ใน
ระดับที่ต่ำและนานจนเกินไป อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นได้ในอนาคต จนในที่สุดเมื่อวันที่
14 ก.ค. คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีมติมีมติปรับขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบาย R/P 1 วัน 0.25%/ปี มาอยู่ที่ 1.50%/ปี หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้คงอัตรา
ดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำที่ 1.25%/ปี นับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2552
และมีความเป็นไปได้ที่ กนง.อาจขยับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแตะ 2%ในช่วงสิ้นปี เพื่อลดแรงกดดัน
ของเงินเฟ้อ
ขณะที่มุมมองเศรษฐกิจยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ ตามที่นายบัณฑิต นิจถาวร
รองผู้ว่าฯ ธปท. คาดว่า แนวโน้มการส่งออกของไทยในครึ่งหลังของปีนี้ ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้
เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงบ้าง แต่คาดว่าการส่งออกในกลุ่มอาเซียน จะเข้ามาทดแทนได้ ทั้งนี้
จากตัวเลขเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีความไม่แน่นอนการส่งออกก็ยังโต ซึ่งก็น่าจะต่อเนื่อง
ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่จะมากจะน้อย ก็ขึ้นกับเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะได้รับปัจจัยบวกจากกระแสการท่องเที่ยวที่จะกลับมาอีกครั้ง
ในช่วง High Season หากไม่มีปัญหาทางการเมืองเข้ามาบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักท่อง
เที่ยวอีกระลอก โดยประเด็นที่ต้องจับตา คือกรณีคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีการใช้เงิน
สนับสุนพรรคการเมืองของกกต. จำนวน 29 ล้านบาท และกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ที่วันนี้
อยู่ในมือของ ศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ยังไม่รวมกรณีความวุ่นวายทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้น
จากกระแสข่าวกลุ่มใต้ดินต่างๆที่ออกมาเป็นระลอก
ดังนั้นนับจากนี้ไปอีก 5 เดือนที่เหลือ เศรษฐกิจไทยจะกลับมารุ่งโรจน์ได้หรือไม่ คง
ต้องรอดูกันต่อไป.....
รายงานโดย... ดลนภา บัญชรหัตถกิจ @ eFinanceThai.com
-
- Verified User
- โพสต์: 625
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 51
กูรูชี้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีผลต่อต่างชาติ ชี้ขึ้น ดบ.ไม่ดูดเงินไหลออกตลาดหุ้น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2553 16:10 น.
โบรกเกอร์มีหลายมุมต่อการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของภาครัฐ ภาพรวมเชื่อไร้ผลกระทบต่อนักลงทุนไทย ส่วนนักลงทุนต่างประเทศ คาดต้องใช้เวลา เหตุการคง พ.ร.ก.เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าในประเทศยังมีความเสี่ยง บางเสียงถึงขั้นแนะยกเลิกก่อน หากเกิดเหตุการณ์ค่อยประกาศ ส่วนกรณีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทุกความเห็นมั่นใจไม่มีผลต่อตลาดหุ้น เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนยังสูงกว่า อีกทั้งเป็นการทยอยปรับขึ้นจึงไม่ผลต่อเม็ดเงินที่จะถูกดูดกลับเข้าไปสู่บัญชีเงินฝากมากนัก
นายกัณฑรา ลัดดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด เปิดเผยถึงกรณีการลง พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาล ว่า ในแง่ของเรื่องดังกล่าวไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดหุ้นแน่ เพราะไม่มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ให้ต้องเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยก็ปรับขึ้นมาโดยตลอด
ขณะที่ในมมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ ส่วนตัวก็เชื่อว่า เรื่องนี้ก็ไม่น่ามีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเท่าที่ควร และที่สำคัญอยากให้นักลงทุนจับตาดูการประกาศของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต่อการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะที่เกิดว่า จะมีประเทศใดต้องใส่เงินเพิ่มเติมเข้าไปในระบบมาก ในสัดส่วนมากน้อยเท่าใด เพราะนี้คือการจัดการเงินเพื่อแก้ไขวิกฤตดังกล่าว ซึ่งจะมีผลต่อการกระแสเงินลงทุนที่หมุนเวียนอยู่ทั่วโลก ซึ่งเท่าที่สังเกตพบว่า ขณะนี้ก็มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียไม่มากเท่าใดนัก
ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุด ที่ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์เริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินขึ้นแล้วนั้น มองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็ฯการทยอยปรับขึ้น จึงไม่น่ามีผลต่อการตัดสินลงทุนในตลาดหุ้นของนักลงทุนแน่ อีกทั้งผลตอบแทนในปัจจุบัน การลงทุนตลาดหลักทรัพย์ฯยังมีอัตราที่สูงกว่าด้วย
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวถึงเรื่องดังกล่าว ว่า การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาล ก็เหมือนเป็นการส่งสัญญานให้นักลงทุนต่างประเทศ ทราบว่า สถานการณ์ในประเทศไทย ขณะนี้ยังไม่ราบรื่นเท่าที่ควร โดยอาจมีโอกาสเกิดความเสี่ยงขึ้นได้เสมอ บวกกับกรณี นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่ยังไม่คลี่คลาย ก็มีผลทำให้เม็ดเงินลงทุนจากภายนอกประเทศ อาจยังไม่กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนักในช่วงเวลานี้
ทั้งนี้ ต้องยอมรับกันว่า เม็ดเงินจากภายนอกประเทศที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เป็นเม็ดเงินจากบรรดากองทุนขนาดใหญ่ ซึ่งกองทุนเหล่านี้จะมีกฏเกณฑ์ในการกำหนดตลาดที่ลงทุนด้วยว่า หากตลาดไหนเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือรัฐบาลประเทศนั้นๆมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อการเข้าไปลงทุนประเทศนั้น
ดังนั้น ภาพประเทศไทยในมุมมองของผู้จัดการกองทุนต่างชาติ ซึ่งเขาเป็นเพียงผู้ที่นำเงินคนอื่นมาบริหาร และให้ผลตอบแทนกลับคืนแก่ลูกค้าของตน ซึ่งเหตุผลเหล่านี้อาจทำให้ผู้จัดการกองทุนต่างชาติ อาจไม่ต้องการต้องคอยตอบคำถามต่อเจ้าของเงินมากนัก ในกรณีตัดสินใจลงทุนในประเทศที่ยังมีความเสี่ยงอยู่
ขณะที่เรื่องการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเหล่าธนาคารพาณิชย์ มองว่า เรื่องนี้จะไม่มีผลต่อกระแสเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยแน่ เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ยังมีระดับที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมากนัก ในรูปแบบอัตราผลตอบแทนในรูปเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน และในรูปแบบราคาหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้น
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝายวิจัย บล.บีฟิท จำกัด กล่าวว่า การที่เหตุการณ์ในประเทศอยู่ในความสงบแล้ว แต่ทางรัฐบาลยังไม่ได้มีการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น โดยรวมถือเป็นอุปสรรคและส่งผลกระทบต่อมุมมองของนักลงทุน ถึงเหตุการณ์ความไม่สงบภายในประเทศ และในแง่ของการลงทุนจะส่งต่อความไม่มั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติยังคงชะลอการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
โดยส่วนตัวมองว่ารัฐบาลควรที่จะประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากว่าขณะนี้ประเทศไทยได้กลับเข้าสู่ความสงบแล้ว ซึ่งหากมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นรัฐบาลสามารถประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ต่างๆ ได้อีกครั้ง โดยการค้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไว้ในขณะที่ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นนั้น ได้ส่งผลต่อมุมมองของนักลงทุนว่าเหตุการณ์ต่างๆ ยังไม่ปกติ แต่สำหรับนักลงทุนไทยนั้นถือเป็นเรื่องปกติที่จะมีการยกเลิกหรือไม่ยกเลิก พ.ร ก.ดังกล่าว
นักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทยจะมองประเทศไทยไม่ปกติ หากรัฐบาลยังคงไม่ยกเลิก พ.ร.ก.โดยคิดว่าอาจจะมีนัยสำคัญอะไรอยู่จึงทำให้ไม่กล้าเข้ามาลงทุน ขณะเดียวกัน ทางด้านเม็ดเงินจาก fund หรือกองทุนต่างๆ ที่จะเข้ามาลงทุนนั้น จะติดในเรื่องของหลักการของกองทุนที่ไม่ให้กองทุนไปลงทุนในประเทศที่มีความผิดปกติ ทำให้เม็ดเงินที่นักลงทุนต่างชาติขายไปก่อนหน้านี้ จะยังคงไม่กลับเข้ามา ซึ่งสังเกตได้จากดีมานด์การซื้อขายของนักลงทุนในตลาด ที่ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อขายของนักลงทุนในประเทศมากกว่า
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของรัฐบาลนั้น มีไม่ผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนในประเทศมากเท่าใดนัก แต่กลับส่งผลต่อต่อความมั่นใจถึงสถานการณ์ต่างต่างที่อาจจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนกรณีของนักลงทุนต่างประเทศก็เช่นกัน หากมองในตอนนี้ คือ หลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อเดือนพฤษภาคมมาแล้ว 1-2 เดือน ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สังเกตได้จากภาคธุรกิจต่างๆมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น หรือบางธุรกิจมีการฟื้นตัวได้เร็ว ทำให้มั่นใจว่าความเชื่อมั่นต่อในประเทศไทยในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ก็จะกลับมาเร็วตามไปด้วย
จากที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ประกอบการที่บริหารในเรื่องของเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และในหลายธุรกิจพบว่าตอนนี้คนมีกำลังจ่าย ทำให้ในหลายธุรกิจมีการฟื้นตัวที่เร็วมาก สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศอยุ่ในระดับที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์กันไว้
สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ในการประชุมครั้งล่าสุด ส่วนตัวมองว่า เป็นเรื่องที่ดี เพราะอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมานาน โดยหากเศรษฐกิจประเทศยังอยู่ในสถานะเปราะบางแล้ว เชื่อว่า ภาครัฐ และ กนง.คงไม่ขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแน่ แต่นี้มีสัญญาณดีหลายอย่างที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับดี จึงต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และคาดว่า น่าจะไม่เกิน 2%
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ในตลาดตราสารหนี้พันธรัฐบาลระยะสั้น ก็มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาก่อนแล้ว ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบนี้ของ กนง.ก็ไม่น่าจะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนมากเท่าใด จึงไม่ต้องกังวลถึงการโยกย้ายสินทรัพย์จากหน่วยลงทุนกองทุนรวม หรือหุ้นไปสู่ การฝากเงินผ่านธนาคารมากเท่าใด เพราะภาพรวมแล้วกองทุนรวมและการลงทุนในหุ้นยังให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า
โดยในส่วนของ บลจ.ก็มีการปรับพอร์ตการลงทุนในกองทุนชัวร์เดลี่ และแนะนำให้ลูกค้าให้ลดเวลาลงทุน โดยเฉลี่ยลงทุนในกองทุนรวมที่มีอายุเฉลี่ยระยะสั้นขึ้น เพื่อตอบรับการทิศทางของอัตราดอกเบี้ยกลับมาสู่แนวโน้มขาขึ้น ณ ขณะนี้
นายธิติ ธาราสุข ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท ชาร์ตมาสเตอร์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนทางเทคนิค กล่าวว่า เท่าที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศบางราย พบว่า ก็มีความกังวลต่อการลง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของรัฐบาลไทยเช่นกัน ซึ่งจุดนี้จะมีผลต่อการลงทุนทางตรงอย่างงบริษัทต่างชาติที่จะย้ายฐานกำลังการผลิตเข้ามาในไทย หากเป็นนักลงทุนรายเดิมที่มีฐษนการผลิตในนี้แล้วต้องลงทุนเพิ่มเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ตรงนี้มองว่า การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน แต่ถ้าเป็นนักลงทุนรายใหม่ที่กำลังสนใจเข้ามาลงทุน เรื่องนี้จะถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะต้องพิจารณาก่อนจะตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยเช่นกัน
ด้านฟากตลาดหุ้นนั้น มองว่า เรื่องนี้มีส่วนต่อการตัดสินใจสูง เพราะนักลงทุนต่างชาติบางรายกลัวว่า เงินที่นัเข้ามาลงทุนอาจไม่สามารถถ่ายเทไปยังสินทรัพย์อื่นๆ หรือโยกย้ายเงินไปมาได้โดยสะดวก โดยเฉพาะกับการลงทุนในบริษัทที่มีเจ้าของกิจการ หรือผู้ถือหุ้นที่โดยล็อคการเคลื่อนย้ายเงินจากภาครัฐ จึงไม่ค่อยกล้าจะกลับมาลงทุนในเมืองไทยแบบเต็มที่ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จึงมีผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น ล้วนมาจากกำลังซื้อขายของนักลงทุนภายในประเทศฝ่ายเดียว และอนาคตสิ่งที่น่ากังวล คือ สภาคล่องของตลาด หากนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับเข้ามาลงทุนในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้มากนัก แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าทุกอย่างน่าจะกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติได้ในปีนี้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2553 16:10 น.
โบรกเกอร์มีหลายมุมต่อการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของภาครัฐ ภาพรวมเชื่อไร้ผลกระทบต่อนักลงทุนไทย ส่วนนักลงทุนต่างประเทศ คาดต้องใช้เวลา เหตุการคง พ.ร.ก.เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าในประเทศยังมีความเสี่ยง บางเสียงถึงขั้นแนะยกเลิกก่อน หากเกิดเหตุการณ์ค่อยประกาศ ส่วนกรณีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทุกความเห็นมั่นใจไม่มีผลต่อตลาดหุ้น เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนยังสูงกว่า อีกทั้งเป็นการทยอยปรับขึ้นจึงไม่ผลต่อเม็ดเงินที่จะถูกดูดกลับเข้าไปสู่บัญชีเงินฝากมากนัก
นายกัณฑรา ลัดดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด เปิดเผยถึงกรณีการลง พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาล ว่า ในแง่ของเรื่องดังกล่าวไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดหุ้นแน่ เพราะไม่มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ให้ต้องเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยก็ปรับขึ้นมาโดยตลอด
ขณะที่ในมมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ ส่วนตัวก็เชื่อว่า เรื่องนี้ก็ไม่น่ามีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเท่าที่ควร และที่สำคัญอยากให้นักลงทุนจับตาดูการประกาศของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต่อการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะที่เกิดว่า จะมีประเทศใดต้องใส่เงินเพิ่มเติมเข้าไปในระบบมาก ในสัดส่วนมากน้อยเท่าใด เพราะนี้คือการจัดการเงินเพื่อแก้ไขวิกฤตดังกล่าว ซึ่งจะมีผลต่อการกระแสเงินลงทุนที่หมุนเวียนอยู่ทั่วโลก ซึ่งเท่าที่สังเกตพบว่า ขณะนี้ก็มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียไม่มากเท่าใดนัก
ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุด ที่ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์เริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินขึ้นแล้วนั้น มองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็ฯการทยอยปรับขึ้น จึงไม่น่ามีผลต่อการตัดสินลงทุนในตลาดหุ้นของนักลงทุนแน่ อีกทั้งผลตอบแทนในปัจจุบัน การลงทุนตลาดหลักทรัพย์ฯยังมีอัตราที่สูงกว่าด้วย
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวถึงเรื่องดังกล่าว ว่า การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาล ก็เหมือนเป็นการส่งสัญญานให้นักลงทุนต่างประเทศ ทราบว่า สถานการณ์ในประเทศไทย ขณะนี้ยังไม่ราบรื่นเท่าที่ควร โดยอาจมีโอกาสเกิดความเสี่ยงขึ้นได้เสมอ บวกกับกรณี นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่ยังไม่คลี่คลาย ก็มีผลทำให้เม็ดเงินลงทุนจากภายนอกประเทศ อาจยังไม่กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนักในช่วงเวลานี้
ทั้งนี้ ต้องยอมรับกันว่า เม็ดเงินจากภายนอกประเทศที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เป็นเม็ดเงินจากบรรดากองทุนขนาดใหญ่ ซึ่งกองทุนเหล่านี้จะมีกฏเกณฑ์ในการกำหนดตลาดที่ลงทุนด้วยว่า หากตลาดไหนเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือรัฐบาลประเทศนั้นๆมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อการเข้าไปลงทุนประเทศนั้น
ดังนั้น ภาพประเทศไทยในมุมมองของผู้จัดการกองทุนต่างชาติ ซึ่งเขาเป็นเพียงผู้ที่นำเงินคนอื่นมาบริหาร และให้ผลตอบแทนกลับคืนแก่ลูกค้าของตน ซึ่งเหตุผลเหล่านี้อาจทำให้ผู้จัดการกองทุนต่างชาติ อาจไม่ต้องการต้องคอยตอบคำถามต่อเจ้าของเงินมากนัก ในกรณีตัดสินใจลงทุนในประเทศที่ยังมีความเสี่ยงอยู่
ขณะที่เรื่องการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเหล่าธนาคารพาณิชย์ มองว่า เรื่องนี้จะไม่มีผลต่อกระแสเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยแน่ เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ยังมีระดับที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมากนัก ในรูปแบบอัตราผลตอบแทนในรูปเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน และในรูปแบบราคาหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้น
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝายวิจัย บล.บีฟิท จำกัด กล่าวว่า การที่เหตุการณ์ในประเทศอยู่ในความสงบแล้ว แต่ทางรัฐบาลยังไม่ได้มีการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น โดยรวมถือเป็นอุปสรรคและส่งผลกระทบต่อมุมมองของนักลงทุน ถึงเหตุการณ์ความไม่สงบภายในประเทศ และในแง่ของการลงทุนจะส่งต่อความไม่มั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติยังคงชะลอการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
โดยส่วนตัวมองว่ารัฐบาลควรที่จะประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากว่าขณะนี้ประเทศไทยได้กลับเข้าสู่ความสงบแล้ว ซึ่งหากมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นรัฐบาลสามารถประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ต่างๆ ได้อีกครั้ง โดยการค้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไว้ในขณะที่ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นนั้น ได้ส่งผลต่อมุมมองของนักลงทุนว่าเหตุการณ์ต่างๆ ยังไม่ปกติ แต่สำหรับนักลงทุนไทยนั้นถือเป็นเรื่องปกติที่จะมีการยกเลิกหรือไม่ยกเลิก พ.ร ก.ดังกล่าว
นักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทยจะมองประเทศไทยไม่ปกติ หากรัฐบาลยังคงไม่ยกเลิก พ.ร.ก.โดยคิดว่าอาจจะมีนัยสำคัญอะไรอยู่จึงทำให้ไม่กล้าเข้ามาลงทุน ขณะเดียวกัน ทางด้านเม็ดเงินจาก fund หรือกองทุนต่างๆ ที่จะเข้ามาลงทุนนั้น จะติดในเรื่องของหลักการของกองทุนที่ไม่ให้กองทุนไปลงทุนในประเทศที่มีความผิดปกติ ทำให้เม็ดเงินที่นักลงทุนต่างชาติขายไปก่อนหน้านี้ จะยังคงไม่กลับเข้ามา ซึ่งสังเกตได้จากดีมานด์การซื้อขายของนักลงทุนในตลาด ที่ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อขายของนักลงทุนในประเทศมากกว่า
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของรัฐบาลนั้น มีไม่ผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนในประเทศมากเท่าใดนัก แต่กลับส่งผลต่อต่อความมั่นใจถึงสถานการณ์ต่างต่างที่อาจจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนกรณีของนักลงทุนต่างประเทศก็เช่นกัน หากมองในตอนนี้ คือ หลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อเดือนพฤษภาคมมาแล้ว 1-2 เดือน ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สังเกตได้จากภาคธุรกิจต่างๆมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น หรือบางธุรกิจมีการฟื้นตัวได้เร็ว ทำให้มั่นใจว่าความเชื่อมั่นต่อในประเทศไทยในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ก็จะกลับมาเร็วตามไปด้วย
จากที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ประกอบการที่บริหารในเรื่องของเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และในหลายธุรกิจพบว่าตอนนี้คนมีกำลังจ่าย ทำให้ในหลายธุรกิจมีการฟื้นตัวที่เร็วมาก สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศอยุ่ในระดับที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์กันไว้
สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ในการประชุมครั้งล่าสุด ส่วนตัวมองว่า เป็นเรื่องที่ดี เพราะอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมานาน โดยหากเศรษฐกิจประเทศยังอยู่ในสถานะเปราะบางแล้ว เชื่อว่า ภาครัฐ และ กนง.คงไม่ขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแน่ แต่นี้มีสัญญาณดีหลายอย่างที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับดี จึงต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และคาดว่า น่าจะไม่เกิน 2%
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ในตลาดตราสารหนี้พันธรัฐบาลระยะสั้น ก็มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาก่อนแล้ว ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบนี้ของ กนง.ก็ไม่น่าจะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนมากเท่าใด จึงไม่ต้องกังวลถึงการโยกย้ายสินทรัพย์จากหน่วยลงทุนกองทุนรวม หรือหุ้นไปสู่ การฝากเงินผ่านธนาคารมากเท่าใด เพราะภาพรวมแล้วกองทุนรวมและการลงทุนในหุ้นยังให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า
โดยในส่วนของ บลจ.ก็มีการปรับพอร์ตการลงทุนในกองทุนชัวร์เดลี่ และแนะนำให้ลูกค้าให้ลดเวลาลงทุน โดยเฉลี่ยลงทุนในกองทุนรวมที่มีอายุเฉลี่ยระยะสั้นขึ้น เพื่อตอบรับการทิศทางของอัตราดอกเบี้ยกลับมาสู่แนวโน้มขาขึ้น ณ ขณะนี้
นายธิติ ธาราสุข ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท ชาร์ตมาสเตอร์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนทางเทคนิค กล่าวว่า เท่าที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศบางราย พบว่า ก็มีความกังวลต่อการลง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของรัฐบาลไทยเช่นกัน ซึ่งจุดนี้จะมีผลต่อการลงทุนทางตรงอย่างงบริษัทต่างชาติที่จะย้ายฐานกำลังการผลิตเข้ามาในไทย หากเป็นนักลงทุนรายเดิมที่มีฐษนการผลิตในนี้แล้วต้องลงทุนเพิ่มเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ตรงนี้มองว่า การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน แต่ถ้าเป็นนักลงทุนรายใหม่ที่กำลังสนใจเข้ามาลงทุน เรื่องนี้จะถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะต้องพิจารณาก่อนจะตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยเช่นกัน
ด้านฟากตลาดหุ้นนั้น มองว่า เรื่องนี้มีส่วนต่อการตัดสินใจสูง เพราะนักลงทุนต่างชาติบางรายกลัวว่า เงินที่นัเข้ามาลงทุนอาจไม่สามารถถ่ายเทไปยังสินทรัพย์อื่นๆ หรือโยกย้ายเงินไปมาได้โดยสะดวก โดยเฉพาะกับการลงทุนในบริษัทที่มีเจ้าของกิจการ หรือผู้ถือหุ้นที่โดยล็อคการเคลื่อนย้ายเงินจากภาครัฐ จึงไม่ค่อยกล้าจะกลับมาลงทุนในเมืองไทยแบบเต็มที่ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จึงมีผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น ล้วนมาจากกำลังซื้อขายของนักลงทุนภายในประเทศฝ่ายเดียว และอนาคตสิ่งที่น่ากังวล คือ สภาคล่องของตลาด หากนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับเข้ามาลงทุนในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้มากนัก แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าทุกอย่างน่าจะกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติได้ในปีนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 625
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 52
ครม.ศก. วันนี้ ถกแก้สัญญาสัมปทานมือถือ
Monday, 19 July 2010 14:18
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 14.00 น. วันนี้ ที่ประชุม ครม. เศรษฐกิจ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จะหารือในวาระพิเศษตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เรื่องแผนพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศ โดยวาระดังกล่าวเป็นเรื่องการพัฒนาโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3จี และการแก้ไขปัญหาสัญญาสัมปทานในอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งระบบซึ่งสะสมมานาน ให้เกิดการแข่งขันเป็นธรรม และประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอให้มีการยกเลิกสัญญาร่วมการงาน ระหว่างผู้ประกอบการเอกชนในอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 ราย และเปลี่ยนมาเป็นการออกใบอนุญาตหรือไลเซนส์ การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 2จี ในระยะเวลา 15 ปี เสียค่าธรรมเนียมอัตรา 12.5% ของรายได้ และให้เอกชนไปเช่าใช้โครงข่ายเดิม จากบริษัท ทีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม
Monday, 19 July 2010 14:18
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 14.00 น. วันนี้ ที่ประชุม ครม. เศรษฐกิจ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จะหารือในวาระพิเศษตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เรื่องแผนพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศ โดยวาระดังกล่าวเป็นเรื่องการพัฒนาโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3จี และการแก้ไขปัญหาสัญญาสัมปทานในอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งระบบซึ่งสะสมมานาน ให้เกิดการแข่งขันเป็นธรรม และประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอให้มีการยกเลิกสัญญาร่วมการงาน ระหว่างผู้ประกอบการเอกชนในอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 ราย และเปลี่ยนมาเป็นการออกใบอนุญาตหรือไลเซนส์ การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 2จี ในระยะเวลา 15 ปี เสียค่าธรรมเนียมอัตรา 12.5% ของรายได้ และให้เอกชนไปเช่าใช้โครงข่ายเดิม จากบริษัท ทีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม
-
- Verified User
- โพสต์: 625
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 53
ชี้5ปีไทยผลิตรถอันดับ10โลก
Monday, 19 July 2010 08:31
ต่างชาติแห่ออร์เดอร์อีโคคาร์
นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า ในปี 54-55 ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะมีกำลังการผลิตรถยนต์เพิ่มอีก 500,000 คันต่อปีเนื่องจาก 3 ค่ายรถยนต์ประกอบด้วย ค่ายฟอร์ด วงเงินลงทุน 15,000 ล้านบาท, ซูซูกิ 9,500 ล้านบาท และมิตซูบิชิ 15,000 ล้านบาท สามารถผลิตรถยนต์ป้อนเข้าสู่ตลาดเพิ่มเติมได้ส่งผลให้ในปี 54 ไทยจะผลิตรถยนต์ได้ 1.8 ล้านคันสูงกว่าปีนี้ 200,000 คัน แบ่งเป็นการส่งออก 1.05 ล้านคันและขายในประเทศ 7.5 แสนคัน
ทั้งนี้สถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์มีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะรถยนต์ประหยัดพลังงานอย่างอีโคคาร์ที่มั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากต่างประเทศมากในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ขณะเดียวกันพบว่าโรงงานผลิตชิ้นส่วนหลายแห่งมีการเดินเครื่อง 3 กะ ซึ่งเป็นการใช้เครื่องจักร 24 ชม. ส่วนโรงงานประกอบรถยนต์มีการจ้างงาน 2 กะและมีการจ้างโอที
"เชื่อว่าในปีหน้าการส่งออกรถยนต์ของไทยจะเกิน 1 ล้านคัน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์หลังจากในปี 51 การส่งออกรถยนต์ไทยเคยสูงสุดที่770,000 คัน โดยรถยนต์ที่จะเป็นตัวผลักดันให้มีปริมาณส่งออกได้เยอะคือรถยนต์อีโคคาร์ที่มีของค่ายนิสสันที่ผลิตแล้วและฮอนด้าจะเริ่มผลิตในปีหน้า ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ จำเป็นต้องเร่งสร้างแรงงานใหม่เร่งด่วนเพิ่มอีก 20,000-30,000 ราย เพื่อรองรับความต้องการของค่ายรถยนต์"
นายวัลลภ กล่าวว่า มั่นใจว่าใน5 ปีข้างหน้าหรือภายในปี 57 ไทยจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 10 ของโลกจากปัจจุบันที่อยู่อันดับ 13 โดยคาดว่าผลิตได้ 2.5 ล้านคัน เนื่องจากมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่องและค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ 5 บริษัท สามารถผลิตรถยนต์ไม่ต่ำกว่ารายละ 100,000 คัน ตามเงื่อนไขของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
"ในปี 53 ค่ายรถยนต์จะผลิตรถยนต์เพิ่มจาก 1.4 ล้านคันเป็น 1.6 ล้านคัน ปี 54 เพิ่มเป็น 1.8 ล้านคัน ปี 55 จำนวน 2 ล้านคัน ปี 56 จำนวน 2.2 ล้านคันและเพิ่มเป็น 2.5 ล้านคันในปี57 โดยจะมีกำลังการผลิตทั้งหมดที่ 2.95 ล้านคัน โดยโปรดักต์แชมเปี้ยนจะประกอบด้วยรถปิกอัพและอีโคคาร์"
นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) กล่าวว่า สศอ.ดำเนินการผลักดันโครงการเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ทั้งระบบภายใต้กรอบ ปี 53-57 (ระยะที่ 2) โดยรัฐบาลได้เห็นชอบงบประมาณสนับสนุน 1,000 ล้านบาทเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ของไทยให้สูงขึ้นไปอีกจากเดิมที่เคยเป็นผู้นำเข้าแม่พิมพ์ปีละไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ให้กลายเป็นประเทศผู้ส่งออกแม่พิมพ์เฉลี่ยให้ได้ปีละไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลาดังกล่าว ขณะเดียวกันจะได้มีการพัฒนาช่างเทคนิคและวิศวกรเพื่อก้าวสู่โรงงานโดยตรง 660 คน ซึ่งบุคลากรในจำนวนนี้จะมีขีดความสามารถถึงขั้นใช้เทคโนโลยี ขั้นสูงและพัฒนาเทคโนโลยีสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมได้.--จบ--
--เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 20 ก.ค. 2553 (กรอบบ่าย)--
--------------------------------------------------------------------------------
ลุ้นไทยติดท็อปเทนส่งออกรถ
นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า ในปีหน้าการส่งออกรถยนต์ของไทยน่าจะอยู่ในระดับที่ 1 ล้านคันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากในปี'51 การส่งออกรถยนต์ไทยเคยสูงสุดที่ 7.7 แสนคัน โดยรถยนต์ที่จะเป็นตัวผลักดันให้มีปริมาณส่งออกได้มากคือ รถยนต์ประหยัดพลังงานตามมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) ที่ค่ายนิสสันมีการผลิตแล้ว และฮอนด้าจะเริ่มผลิตในปีหน้า
"ในปี'54-55 ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะมีกำลังการผลิตรถยนต์เพิ่มอีก 5 แสนคันต่อปีเนื่องจาก 3 ค่ายรถยนต์ประกอบด้วย ฟอร์ด, ซูซูกิ และมิตซูบิชิ สร้างโรงงานผลิตรถยนต์เสร็จและผลิตรถยนต์ป้อนเข้าสู่ตลาดเพิ่มเติมได้ ส่งผลให้ในปี'54 ไทยจะผลิตรถยนต์ได้ 1.8 ล้านคันสูงกว่าปีนี้ 2 แสนคัน แบ่งเป็นการส่งออก 1.05 ล้านคัน และขายในประเทศ 7.5 แสนคัน"นายวัลลภกล่าว
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าใน 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี'57 ไทยจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 10 ของโลก จากปัจจุบันที่อยู่อันดับ 13 โดยคาดว่าผลิตได้ 2.5 ล้านคัน เนื่องจากมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ 5 บริษัท สามารถผลิตรถยนต์ไม่ต่ำกว่ารายละ 1 แสนคันตามเงื่อนไขของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)--จบ--
--ข่าวสด ฉบับวันที่ 20 ก.ค. 2553 (กรอบบ่าย)--
Monday, 19 July 2010 08:31
ต่างชาติแห่ออร์เดอร์อีโคคาร์
นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า ในปี 54-55 ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะมีกำลังการผลิตรถยนต์เพิ่มอีก 500,000 คันต่อปีเนื่องจาก 3 ค่ายรถยนต์ประกอบด้วย ค่ายฟอร์ด วงเงินลงทุน 15,000 ล้านบาท, ซูซูกิ 9,500 ล้านบาท และมิตซูบิชิ 15,000 ล้านบาท สามารถผลิตรถยนต์ป้อนเข้าสู่ตลาดเพิ่มเติมได้ส่งผลให้ในปี 54 ไทยจะผลิตรถยนต์ได้ 1.8 ล้านคันสูงกว่าปีนี้ 200,000 คัน แบ่งเป็นการส่งออก 1.05 ล้านคันและขายในประเทศ 7.5 แสนคัน
ทั้งนี้สถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์มีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะรถยนต์ประหยัดพลังงานอย่างอีโคคาร์ที่มั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากต่างประเทศมากในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ขณะเดียวกันพบว่าโรงงานผลิตชิ้นส่วนหลายแห่งมีการเดินเครื่อง 3 กะ ซึ่งเป็นการใช้เครื่องจักร 24 ชม. ส่วนโรงงานประกอบรถยนต์มีการจ้างงาน 2 กะและมีการจ้างโอที
"เชื่อว่าในปีหน้าการส่งออกรถยนต์ของไทยจะเกิน 1 ล้านคัน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์หลังจากในปี 51 การส่งออกรถยนต์ไทยเคยสูงสุดที่770,000 คัน โดยรถยนต์ที่จะเป็นตัวผลักดันให้มีปริมาณส่งออกได้เยอะคือรถยนต์อีโคคาร์ที่มีของค่ายนิสสันที่ผลิตแล้วและฮอนด้าจะเริ่มผลิตในปีหน้า ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ จำเป็นต้องเร่งสร้างแรงงานใหม่เร่งด่วนเพิ่มอีก 20,000-30,000 ราย เพื่อรองรับความต้องการของค่ายรถยนต์"
นายวัลลภ กล่าวว่า มั่นใจว่าใน5 ปีข้างหน้าหรือภายในปี 57 ไทยจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 10 ของโลกจากปัจจุบันที่อยู่อันดับ 13 โดยคาดว่าผลิตได้ 2.5 ล้านคัน เนื่องจากมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่องและค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ 5 บริษัท สามารถผลิตรถยนต์ไม่ต่ำกว่ารายละ 100,000 คัน ตามเงื่อนไขของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
"ในปี 53 ค่ายรถยนต์จะผลิตรถยนต์เพิ่มจาก 1.4 ล้านคันเป็น 1.6 ล้านคัน ปี 54 เพิ่มเป็น 1.8 ล้านคัน ปี 55 จำนวน 2 ล้านคัน ปี 56 จำนวน 2.2 ล้านคันและเพิ่มเป็น 2.5 ล้านคันในปี57 โดยจะมีกำลังการผลิตทั้งหมดที่ 2.95 ล้านคัน โดยโปรดักต์แชมเปี้ยนจะประกอบด้วยรถปิกอัพและอีโคคาร์"
นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) กล่าวว่า สศอ.ดำเนินการผลักดันโครงการเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ทั้งระบบภายใต้กรอบ ปี 53-57 (ระยะที่ 2) โดยรัฐบาลได้เห็นชอบงบประมาณสนับสนุน 1,000 ล้านบาทเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ของไทยให้สูงขึ้นไปอีกจากเดิมที่เคยเป็นผู้นำเข้าแม่พิมพ์ปีละไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ให้กลายเป็นประเทศผู้ส่งออกแม่พิมพ์เฉลี่ยให้ได้ปีละไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลาดังกล่าว ขณะเดียวกันจะได้มีการพัฒนาช่างเทคนิคและวิศวกรเพื่อก้าวสู่โรงงานโดยตรง 660 คน ซึ่งบุคลากรในจำนวนนี้จะมีขีดความสามารถถึงขั้นใช้เทคโนโลยี ขั้นสูงและพัฒนาเทคโนโลยีสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมได้.--จบ--
--เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 20 ก.ค. 2553 (กรอบบ่าย)--
--------------------------------------------------------------------------------
ลุ้นไทยติดท็อปเทนส่งออกรถ
นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า ในปีหน้าการส่งออกรถยนต์ของไทยน่าจะอยู่ในระดับที่ 1 ล้านคันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากในปี'51 การส่งออกรถยนต์ไทยเคยสูงสุดที่ 7.7 แสนคัน โดยรถยนต์ที่จะเป็นตัวผลักดันให้มีปริมาณส่งออกได้มากคือ รถยนต์ประหยัดพลังงานตามมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) ที่ค่ายนิสสันมีการผลิตแล้ว และฮอนด้าจะเริ่มผลิตในปีหน้า
"ในปี'54-55 ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะมีกำลังการผลิตรถยนต์เพิ่มอีก 5 แสนคันต่อปีเนื่องจาก 3 ค่ายรถยนต์ประกอบด้วย ฟอร์ด, ซูซูกิ และมิตซูบิชิ สร้างโรงงานผลิตรถยนต์เสร็จและผลิตรถยนต์ป้อนเข้าสู่ตลาดเพิ่มเติมได้ ส่งผลให้ในปี'54 ไทยจะผลิตรถยนต์ได้ 1.8 ล้านคันสูงกว่าปีนี้ 2 แสนคัน แบ่งเป็นการส่งออก 1.05 ล้านคัน และขายในประเทศ 7.5 แสนคัน"นายวัลลภกล่าว
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าใน 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี'57 ไทยจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 10 ของโลก จากปัจจุบันที่อยู่อันดับ 13 โดยคาดว่าผลิตได้ 2.5 ล้านคัน เนื่องจากมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ 5 บริษัท สามารถผลิตรถยนต์ไม่ต่ำกว่ารายละ 1 แสนคันตามเงื่อนไขของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)--จบ--
--ข่าวสด ฉบับวันที่ 20 ก.ค. 2553 (กรอบบ่าย)--
- pacabee
- Verified User
- โพสต์: 381
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้ข่าวด่วน!!! Updateสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด และSETindex
โพสต์ที่ 55
ครึ่งปีแรก นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมมูลค่า 20.302.08 ล้านบาท โดยแนวโน้มการลงทุนครึ่งปีหลัง พบมีสัญญาณดี หลังต่างชาติขยันขนเงินลงทุนในไทย เชื่อเป็นเพราะผลประกอบการไตรมาส 2 ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจช่วยหนุน ทำให้คาดว่าดัชนีน่าจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
รายงานข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม -31 พฤษภาคม 2553 พบว่า นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิทั้งสิ้นมูลค่า 20,302.08 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน -29 กรกฎาคม พบว่า นักลงทุนต่างชาติ เริ่มมีแนวโน้มกลับมาซื้อสุทธิมากขึ้น ทำให้ในช่วงดังกล่าว มียอดการเข้าซื้อสุทธิทั้งสิ้น 8,751.70 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นแนวโน้มบรรยากกาศการลงทุนที่ดีขึ้นในครึ่งปีหลังนี้
ทั้งนี้ นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย)กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ น่าจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ไหลเข้ามาประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะหากพิจารณาจากในช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ ก็จะเริ่มเห็นได้ว่ามีเงินลงทุนบางส่วนไหลเข้ามาลงทุนบ้างแล้ว ดังนั้นหลังจากนี้ที่ประเมินว่าทิศทางเศรษฐกิจ และการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในไตรมาสที่ 2 จะออกมาดี ก็จะยิ่งทำให้การลงทุนปรับตัวเป็นบวก
"ที่ผ่านมาการลงทุนในตลาดหุ้นส่วนใหญ่มักเป็นการซื้อขายที่มาจากในประเทศ แต่หลังจากนี้เชื่อว่าน่าจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามามากขึ้น ตามทิศทางเศรษฐกิจ และการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ที่น่าจะออกมาดี อย่างไรก็ตามก็ยังมีปัจจัยที่กังวลอยู่ในเรื่องการปรับฐาน หรือการปรับตัวลดลงของดัชนี เพราะที่ผ่านมาขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งก็คงต้องคอยดูว่าจะเป็นอย่างไร"นางภัทธีรากล่าว
ทั้งนี้ หากในช่วงครึ่งปีหลังผลประกอบการของหุ้นกลุ่มส่งออกดีขึ้น ก็จะยิ่งผลักดันดัชนี ขณะที่กลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์นั้น คาดว่าจะยังมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นได้อีก เพราะกลุ่มธนาคารจะได้แรงหนุนจากการปล่อยสินเชื่อที่เติบโตตามเศรษฐกิจ ส่วนพลังงานก็จะดีขึ้นตามความต้องการใช้พลังงาน
สำหรับก่อนหน้านี้ บริษัทเคยประเมินว่าดัชนีน่าจะสามาถปรับตัวขึ้นไปได้ประมาณ 850 จุด แต่ในขณะนี้ดัชนีได้ขึ้นไปมากกว่าที่คาดการณ์แล้ว ดังนั้นบริษัทอาจจะต้องปรับขึ้นประมาณการดัชนีอีกครั้ง
รายงานข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม -31 พฤษภาคม 2553 พบว่า นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิทั้งสิ้นมูลค่า 20,302.08 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน -29 กรกฎาคม พบว่า นักลงทุนต่างชาติ เริ่มมีแนวโน้มกลับมาซื้อสุทธิมากขึ้น ทำให้ในช่วงดังกล่าว มียอดการเข้าซื้อสุทธิทั้งสิ้น 8,751.70 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นแนวโน้มบรรยากกาศการลงทุนที่ดีขึ้นในครึ่งปีหลังนี้
ทั้งนี้ นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย)กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ น่าจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ไหลเข้ามาประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะหากพิจารณาจากในช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ ก็จะเริ่มเห็นได้ว่ามีเงินลงทุนบางส่วนไหลเข้ามาลงทุนบ้างแล้ว ดังนั้นหลังจากนี้ที่ประเมินว่าทิศทางเศรษฐกิจ และการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในไตรมาสที่ 2 จะออกมาดี ก็จะยิ่งทำให้การลงทุนปรับตัวเป็นบวก
"ที่ผ่านมาการลงทุนในตลาดหุ้นส่วนใหญ่มักเป็นการซื้อขายที่มาจากในประเทศ แต่หลังจากนี้เชื่อว่าน่าจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามามากขึ้น ตามทิศทางเศรษฐกิจ และการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ที่น่าจะออกมาดี อย่างไรก็ตามก็ยังมีปัจจัยที่กังวลอยู่ในเรื่องการปรับฐาน หรือการปรับตัวลดลงของดัชนี เพราะที่ผ่านมาขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งก็คงต้องคอยดูว่าจะเป็นอย่างไร"นางภัทธีรากล่าว
ทั้งนี้ หากในช่วงครึ่งปีหลังผลประกอบการของหุ้นกลุ่มส่งออกดีขึ้น ก็จะยิ่งผลักดันดัชนี ขณะที่กลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์นั้น คาดว่าจะยังมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นได้อีก เพราะกลุ่มธนาคารจะได้แรงหนุนจากการปล่อยสินเชื่อที่เติบโตตามเศรษฐกิจ ส่วนพลังงานก็จะดีขึ้นตามความต้องการใช้พลังงาน
สำหรับก่อนหน้านี้ บริษัทเคยประเมินว่าดัชนีน่าจะสามาถปรับตัวขึ้นไปได้ประมาณ 850 จุด แต่ในขณะนี้ดัชนีได้ขึ้นไปมากกว่าที่คาดการณ์แล้ว ดังนั้นบริษัทอาจจะต้องปรับขึ้นประมาณการดัชนีอีกครั้ง