พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1575
- ผู้ติดตาม: 0
พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
โพสต์ที่ 1
อย่าพลาดวันอาทิตย์ 8 สค.นี้นะครับ
4 ทุ่ม รายการ moneytalk weekly ทาง money channel
พี่ SAI เปิดตัวให้สัมภาษณ์พิเศษครับ
ฉายซ้ำอีกครั้ง 4 ทุ่ม วันอังคารครับ
4 ทุ่ม รายการ moneytalk weekly ทาง money channel
พี่ SAI เปิดตัวให้สัมภาษณ์พิเศษครับ
ฉายซ้ำอีกครั้ง 4 ทุ่ม วันอังคารครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
โพสต์ที่ 3
ส่วนมากวีไอที่มีภรรยา จะเป็นโรคเกียมัวร์ ครับ นอนเร็ว ตื่นเช้า :)picatos เขียน:พี่เด็กใหม่ไฟแรง ตื่นเช้าจังนะครับ...
รอดูเลยพี่ SAI ด้วยคนครับ...
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 371
- ผู้ติดตาม: 1
พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
โพสต์ที่ 11
ผมจะรอดูครับ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
โพสต์ที่ 12
[quote="newbie_12"][quote="madam"]คุณ Sai เคยเป็นวินมอเตอร์ไซค์เหรอคะ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- OutOfMyMind
- Verified User
- โพสต์: 1242
- ผู้ติดตาม: 0
พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
โพสต์ที่ 15
Read more and you will surely enjoy being a member of ThaiVI krabboat37564 เขียน:SAI นี่คือใครหรอครับ
ขอโทษด้วยเป็นมือใหม่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยครับ
บทความดีดีสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
โพสต์ที่ 16
sai คือคนที่จบแค่ม3ครับ แต่!!!กลายเป็นเซียนท่านหนึ่งในวงการหุ้นบ้านเราโดยใช้เวลาเพียง2ปีครับboat37564 เขียน:SAI นี่คือใครหรอครับ
ขอโทษด้วยเป็นมือใหม่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยครับ
ลองดูประวัติครับ พี่คนนี้ตัวจริงเสียจริง ประสบการณ์ชีวิตโชกโชนมาก ทำกิจการส่วนตัวมาหลายอย่าง ลองไปตามดูนะครับอิอิ
และที่สำคัญที่สุดพี่เขาเป็นเซียนที่ฮามากๆและไม่ถือตัวเลยครับ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- reiter
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2308
- ผู้ติดตาม: 0
พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
โพสต์ที่ 17
พี่ sai นี่ตัวจริงครับ แถมยังเป็นคนเฮฮา ใจดี ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนกับน้องๆตลอด ผมเองก็ได้รับคำชี้แนะจากพี่ sai มามาก
ขอคารวะครับ
ขอคารวะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1187
- ผู้ติดตาม: 0
พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
โพสต์ที่ 18
ผมเคยอ่านประวัติพี่เค้าครั้งนึงก็อ่านในเว็บไทยวีไอนี่แหละครับ..ยังไม่เคยเห็นหน้าเป็นๆสักที..เท่าที่ทำจำได้ประมาณว่าพี่sai..เป็นคนสู้ชีวิตพอสมควรเห็นทำธุรกิจส่วนตัวมาหลายอย่างมาก..ทั้งร้านขายคอมพิวเตอร์..อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ด้วยจำได้ว่าลงเครื่องคอมหลายร้อยเครื่องด้วยในยุคนั้น..สุดท้ายก็ต้องเลิก..แต่ที่ชอบพี่เค้าเป็นการส่วนตัวคือแบบว่าท้อได้แต่ไม่เคยถอยเป็นผู้ชายหัวใจสิงห์ในอุดมคติผมเลยคนหนึ่ง..อันนี้ขอชมจากใจ
- Coca-Cola
- Verified User
- โพสต์: 326
- ผู้ติดตาม: 0
พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
โพสต์ที่ 21
SAI เป็นคนที่สู้ชีวิตคนหนึ่ง เป็นคนที่พัฒนาศักยภาพทั้งทางด้านบู๊และบุ๋น ได้อย่างสุดยอด ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ และที่สำคัญ เป็นคนที่มีน้ำใจอย่างดียิ่ง
สำหรับคนที่สนใจความเป็นมาของคุณ SAI ทั้งวีรกรรมทางด้านการสร้างอาชีพด้านอื่นๆ (เช่น พี่วินโลจิส การใช้โอกาสเมื่อไปเรียนหนังสือที่ประเทศจีน การลงทุนเปิดร้านขายคอมพ์และเชื่อมต่อไปเป็นร้านเน็ต และการมีอาชีพทำหมูยอในปัจจุบัน) และอาชีพหลัก (การลงทุนในบริษัทในตลาดหลักทรัพย์) สามารถหาอ่านได้ในกระทู้
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... sc&start=0
สำหรับคนที่สนใจความเป็นมาของคุณ SAI ทั้งวีรกรรมทางด้านการสร้างอาชีพด้านอื่นๆ (เช่น พี่วินโลจิส การใช้โอกาสเมื่อไปเรียนหนังสือที่ประเทศจีน การลงทุนเปิดร้านขายคอมพ์และเชื่อมต่อไปเป็นร้านเน็ต และการมีอาชีพทำหมูยอในปัจจุบัน) และอาชีพหลัก (การลงทุนในบริษัทในตลาดหลักทรัพย์) สามารถหาอ่านได้ในกระทู้
มุมมองลงทุนสไตล์ Sai
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... sc&start=0
CI(Celebrity Investment) <----- oh! My GOD ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
- leaderinshadow
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
โพสต์ที่ 27
จากหน้า 4 นะครับ
yoyo wrote:
พี่มี่นี่เป็นทั้งนักลงทุนนักธุรกิจแบบตัวจริงเสียงจริงเลย
ขยันทำงาน ขยันอ่าน ขยันทำการบ้านเล่นหุ้น
ผมอยากฟังพี่เล่าประวัติก่อนมาเล่นหุ้นนะครับ ว่าทำอะไรมาบ้าง
ผมนั่งฟังพี่พูดเมื่อนานมาแล้วเรื่องที่ปล่อยเงินกู้โดยให้พวกสินค้า elec วางประกัน แต่มารู้ทีหลังว่านั้นแค่หยิบมือเดียว ทำมาแล้วสารพัดอย่าง
ผมไม่มีโอกาสได้ผ่านประสบการณ์แบบนั้นมา อยากฟังจากคนทำงานตัวจริงครับ
SAI (อ่านว่า ซาอิ จากเรื่อง ฮิคารุ เซียนโก๊ะ ผมชอบการ์ตูนเรื่องนี้เหมือนกัน )
ซาอิ เก่งโคตร ... หัตเทวะ เหอๆๆ
ออกตัวก่อนนะครับ น้องโย ผมเอง ไม่เคยคิดเลยครับว่าเป็นนักธรุกิจ เพราะ
ทำงานมาไม่เคยผูกไทด์เลย คิดว่าเป็นพ่อค้ามาตลอดครับ อิอิ เอาเป็นว่าขอเล่าแบบเป็นเรื่องราวแล้วกันนะครับจะได้นึกภาพตามได้ง่ายหน่อย ผมเริ่มทำงานตั้งแต่อายุค่อนข้างน้อยครับ เริ่มจากงานที่แรกที่หาเงินได้เลยเกิดจากตอนจบ ม. 3 ครับ ผมได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่เรียนจบมาพร้อมกันได้ความว่าเพื่อนไปทำงานเกี่ยวกับโลจิสติก ได้เงินค่อนข้างมากคือเดือนละ ประมาณ 2-3 หมื่นบาทต่อเดือน (สมัยนั้นถ้าผมจำไม่ผิดจบ ป.ตรี เงินเดือนประมาณ 5000 บาทเท่านั้นเอง ) จึงไปขออนุญาติคุณแม่ว่าไม่อยากเรียนแล้วอยากทำงานถ้าทำหนึ่งปีถึงสองปี แล้วค่อยขยับขยายอีกครั้งหนึ่ง แม่ก็กลุ้มใจมากเพราะแม่อยากให้เรียนมากกว่า แต่ก็ขัดไม่ได้ เลยให้ไปทำงานด้านโลจิสติก (จริงจริงคือขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างนั่นเอง )
ผมก็ทำได้อยู่ราวราว หกเดือนครับ มีรายได้ค่อนข้างดีเหมือนที่คิดไว้ ครับ แต่คุณแม่ก็มาขอร้องให้ไปเรียนต่อที่ประเทศจีนเพราะท่านมองว่างานที่มีอยู่เป็นงานที่ไม่มีอนาคต ตอนนั้นตามประสาเด็กก็อยากไปเที่ยวต่างประเทศเลยรับปากไปเรียนครับ ไปเรียนได้สองปี เต็ม ระหว่างเรียนก็ไปแอบรู้มาว่า นักศึกษาที่มาเรียน สามารถหิ้วของสี่ชิ้นจากฮ่องกงเข้ามาใช้ในแผ่นดินใหญ่ได้โดยไม่เสียภาษี และมีร้านค้าหัวเสต้องการนำสินค้ามาขายในราคาส่วนลดโดยที่ร้านค้าเป็นตัวกลางให้เราเป็นเพียงตัวกลางถือเอกสารผ่านแดนโดยไม่ต้องลงทุนใดใด ผมก็ลองไปขนมาก่อนหนึ่งรอบปรากฎว่าได้เงินมาสามหมื่นบาท พอกลับมาที่หอพักก็พบว่าเพื่อนนักศึกษาส่วนมากไม่รู้ข้อมูลตรงนี้ เราเลยอาสาพาไปหิ้วของเข้ามาขายรอบละราว 10 คน กินหัวคิวหัวละ 10000 บาท ช่วงนั้นรายได้ค่อนข้างดีมาก แต่ก็ใช้จนหมดตามประสาเด็กครับ (ช่วงนั้นผมได้เงินไปเรียนส่วนที่นอกเหนือจากค่าเทอม ค่าอาหารค่อนข้างน้อยครับ พ่อให้เงินส่วนพิเศษ แค่ 7000 บาทต่อปี ) หลังจากนั้นก่อนกลับเมืองไทยผมก็ยังอยุ่ที่ฮ่องกงทำงานที่ร้านอาหารสีฟ้า ที่ตรงถนน จอร์แดน อีก หกเดือน เพราะไม่มีเงินค่าตั๋วกลับบ้านและยังไม่อยากกลับครับ (ตอนนั้นเงินหมดและไม่กล้าขอทางบ้านครับ ) ก็กินเที่ยวอยู่พักหนึ่งจึงเดินทางกลับมาประเทศไทย เริ่มต้นทำงานเป็นล่ามให้กับบริษัทไต้หวันแห่งหนึ่ง หนึ่งปี เป็นไกด์ หกเดือน หลังจากนั้น ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้มาเป็นเจ้าของธรุกิจอย่างจริงจังครั้งแรกในชีวิตครับ คือมีพี่แถวบ้านคนหนึ่งชักชวนให้ไปเป็นลูกจ้างเค้าเกี่ยวกับร้านขายคอมพิวเตอร์ที่ห้างแห่งหนึ่ง ผมเป็นคนหลงไหลในเทคโนโลยี่มากจึงไปฝึกงานด้วย และ ทำงานอยู่กับพี่ท่านนี้อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งคืนหนึ่งผมจำได้ว่าพี่ท่านนี้หลังปิดร้านได้คุยกับผมว่า ต้องการเซ้งร้านเพราะมีปัญหาส่วนตัว (เสียพนันบอล)โดยจะให้ราคาพิเศษมากมาก แบบแค่ราคาสินค้าและราคามัดจำร้านเท่านั้น ผมเองไม่มีเงินครับ พี่เค้าก็รบเร้าให้พาไปคุยกับคุณแม่ โดยคุณแม่ก็ขอแบ่งจ่ายเป็นเงินสดและเป็นเช็คจ่ายต่างหากอีกสาม สี่งวดได้ หลังจากนั้นผมก็ได้เป็นเจ้าของร้านคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้ตั้งใจครับ ช่วงนั้นจำได้เหมือนว่าอยู่ช่วงปี 2537-2538 ช่วงนั้นคอมพิวเตอร์กำลังอยู่ในช่วงแรกของการเติบโตครับ ราคาค่อนข้างสูง แต่กำไรต่อเครื่องค่อนข้างสูง (ผมจำไม่ผิด 486 dx2-66 เครื่องละ 28900 กำไรต่อเครื่องเกือบ 8000 บาท ) ผมก็มีรายได้แบบก้าวกระโดดขึ้นมาเลยในวัยเด็ก ตอนนั้นประมาณ 18-19 ได้ครับ และที่ร้านแห่งนี้เองผมก็ได้พบกับภรรยาครับเนื่องจากพี่ชายเค้ามาซื้อคอมพิวเตอร์ แล้ว เกิดมีการสานสัมพันธ์กันจนแต่งงานกันตอนช่วงตอนผมอายุ 19 ปีนิดนิดครับ ช่วงนั้นผมและภรรยาใช้จ่ายเงินกันสุรุยสุร่ายมากครับ เนื่องจากรายได้มาค่อนข้างดี ซื้อคอนโด ซื้อรถ อาบน้ำให้หมาตัวที่เลี้ยงครั้งละ 1700 บาทก็เคย
พอมาถึงปี 2540 นี่เอง ที่บรรดาไฟแนนซ์ล้มแรงแรง ที่ร้านผมช่วงหลังผมขายสินค้าเงินผ่อนผ่านลิซซิ่งหลายแห่งครับ มี อิออน สยามเอแอนด์ซี (easy buy ปัจจุบัน ) และ อีกแห่งเป็นบริษัทลูกของไฟแนนซ์แห่งนึ่งที่ล้ม ตัวที่ล้มนี้เองระยะหลังผมส่งลูกค้าให้เค้าค่อนข้างมากเนื่องจากการอนุมัติของเค้าค่อนข้างง่าย และ ไว (สมัยก่อนอิออน และ อีซี่บาย ไม่รับลูกค้าที่ทำกิจการส่วนตัวเลยครับรับเฉพาะคนกินเงินเดือน และมีขั้นตอนการตรวจสอบค่อนข้างนานประมาณ 2 อาทิตย์แนะ ) โดยขั้นตอนของบริษัทเหล่านี้เมื่อเราขายสินค้าแล้ว จะมีรอบในการวางบิล เมื่อวางบิลแล้วจะมีกำหนดให้รับเช็คค่าสินค้าคืน เมื่อเค้าล้มลง ผมเลยล้มด้วยเลย ประกอบกับช่วงหลังร้านค้าในห้างดังกล่าวมีการตัดราคาสินค้าลงรุนแรงมาก เรียกว่าต่ำประมาณที่ผมซื้อก็มี (ตอนนั้นผมรู้จักความได้เปรียบเชิงการแข่งขันและ ความประหยัดจากขนาดแล้ว แต่ไม่รู้จักชื่อมันเท่านั้นเอง ) ก็เลยเลิกกิจการไป โดยความฟุ่มเฟื่อยครั้งนั้นทำให้ผมมีเงินสดเหลือเพียง 146 บาทในบัญชีธนาคารกรุงเทพเท่านั้น ตอนนั้นกลุ้มใจมากครับ รู้สึกสิ้นหวังห่อเหี่ยว ช่วงนั้นไม่รู้จะทำไรต่อดี มองซ้ายมองขวาสิ่งที่เหลืออยู่มีคอมพิวเตอร์ประมาณ 8 เครื่อง เลยเกิดไอเดียว่าน่าจะไปเปิดร้านเกมส์และร้านเน็ตดูเนื่องจากเคยเห็นร้านประเภทอย่างน้อยยังน่าจะได้เงินสดมาใช้ประทังชีวิตครับ เปิดวันแรกมีลูกค้าหนึ่งคน ได้เงิน 60 บาท หลังจากนั้นกิจการเริ่มดีขึ้นต่อเนื่องตอนมีเกมส์ half life และมาบูมตอน เคาร์เตอร์ สไตค์ครับ ผมอาศัยที่รู้จักกับเจ้าของร้านแห่งหนึ่งที่ขายคอมจึงไปขอเครดิตและค่อยค่อยขยายเครื่องไปเรื่อยเรื่อย จนตอนเยอะสุดผมมีเครื่องประมาณ 400 เครื่อง รายได้สูงสุดที่เคยได้จากธรุกิจนี้ประมาณ 300000 บาทต่อเดือนครับ(แต่ตอนนั้นผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าต้องมีการคิดเรื่องค่าเสื่อมราคาหรืออะไร แต่ก็รู้แค่ว่าธรุกิจนี้เวลารายได้เข้ามาไม่ได้เป็นรายได้ของเราทั้งหมดเราต้องกันส่วนหนึ่งไว้อัปเกรดเครื่อง เสมอ เวลาลงทุนหุ้นหากธรุกิจใดมีแนวโน้มต้องลงทุนเพิ่มตลอดเวลา ซึ่งการลงทุนนั้นไม่ได้เป็นการลงทุนที่ก่อให้เกิดรายได้ใหม่ เป็นแค่การลงทุนเพื่อให้เราคงสภาพธรุกิจให้แค่รักษาฐานรายได้ระดับเดิม ไว้เท่านั้น ผมจะนึกถึงตอนทำร้านเกมส์เสมอ พอเทียบกับตอนปัจจุบันที่ทำหมูยอ ซึ่งไม่ต้องมีการลงทุนใดใดเพิ่มเลยหรือหากมีก็น้อยมาก รายได้ที่ได้ใกล้เคียงกันแต่กระแสเงินสดของสองธรุกิจแตกต่างกันอย่างมาก คือตอนทำร้านเกมส์นั้นผมเหมือนจะได้เงินสดมาก แต่ตอนสิ้นปีกลับมีเงินเก็บสุทธิไม่มากเท่าไรต่างจากตอนนี้ ) ภายหลัง ก็ต้องเลิกกิจการเนื่องจากกิจการร้านเกมส์นั้นไม่มี ความได้เปรียบเชิงการแข่งขันอย่างยั่งยืนเลย คู่แข่งใหม่ใหม่ที่มาทำที่หลัง ลงทุนน้อยกว่าเราเนื่องจากราคาเครื่องถูกลง แต่กลับได้เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และเมื่อคู่แข่งใช้สงครามราคา ในที่สุดก็จะ สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ครับ จากเหตุการณ์นี้ผมเรียนรู้ว่าธรุกิจอะไรก็แล้วแต่ที่มีการลงทุนใหญใหญ่ครั้งเดียว และ มีต้นทุนผันแปรไม่สูง จะมีแนวโน้มสงครามราคาได้ง่าย เนื่องจากทุกคนก็คิดแต่ว่าลงทุนไปแล้ว ถึงจะได้น้อยกว่าที่คิด เท่าไรก็สู้เพื่อให้ไม่ต้องขาดทุนหรือขาดทุนน้อยน้อยก็ยังดี ผมทำร้านเกมส์เป็นเวลา 9 ปีนะครับ ระหว่างทางที่ทำนั้นภรรยาก็ทำร้านอาหารควบคู่ไปด้วยตลอด โดยส่วนมากขาดทุนมาตลอดเช่นกัน ช้าบ้าง เร็วบ้าง แล้วแต่ทำเล ก่อนจะเปิดผมคิดอย่างดีถี่ถ้วนทุกครั้ง แต่สุดท้ายก็ขาดทุนไป 6 ครั้ง ครั้งหลังสุดคือทำหมูกะทะตรงแถวลาดปลาเค้า อันนี้ลงทุนค่อนข้างมาก เนื่องจากเห็นคนอื่นทำแล้วดี เราทำบ้างก็ไม่เจ๊งทันทีแต่ค่อยค่อยซึม กินเวลาขาดทุน 2 ปี ผมจึงต้องยอม cut loss หลังจากเลิกร้านอาหาร ภรรยาผมยังไม่ยอมแพ้ไปทำ เห็ดโคน โดยไปศึกษาทั้งตลาดและวิธีการปลูกอย่างดี แต่สุดท้ายของเห็ดของเราก็ขึ้นมาได้ไม่สวยและสุดท้ายขาดทุนกับอุปกรณ์และค่าเช่าไปอีก หลายแสนบาท หลังจากเลิกกิจการร้านเกมส์ผมก็ไปทำธรุกิจรับซื้อขายแลกเปลี่ยนจำนำ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ตัวธรุกิจไปได้ด้วยดี เป็นช่วงที่ทำเงินได้มากหน่อย เพราะเงินลงทุนเป็นลักษณะหมุนเวียนไปมา อาศัยต้องบริหารสินค้าคงคลังดีดี ต้องขายให้ไว เนื่องจากสินค้าเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าค่อนข้างไว ช่วงนั้นภรรยาเริ่มทำหมูยอส่งตามร้านอาหารไปด้วยครับ แต่ไม่ค่อยดีเท่าไร ช่วงแรกทำส่งตามร้านอาหารต้องงอนง้อ ขอฝากขายบ้าง โดนเบี้ยวบ้าง โดนปฎิเสธบ้าง ช่วงหลังจึงลองเปลียนแผนไปบุกขายด้วยตนเองตามตลาดนัด เพราะคิดว่าไม่ต้องพึ่งพาคนนอก หลังจากนั้นก็ดีขึ้นตามลำดับครับ หลังจากนั้นไม่นาน คอมพิวเตอร์มือสอง และ โทรศัพท์มือถือ มีราคาเปลี่ยนแปลงคือลดลงรุนแรงมากมาก ทำให้ความนิยมในสินค้ามือสองมีน้อยลงมากมาก ประกอบกับงานของภรรยาเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ค่อยค่อยเอาญาติพี่น้อง และค่อยค่อยมีคนนอกมาช่วยกันขายอย่างต่อเนื่อง ครับ
จริงจริงถ้าคิดว่าการทำธรุกิจนั้นผมมองว่าคล้ายคล้ายกับการเล่นหุ้นเลยนะครับ เนื่องจากต้องเจอความเสี่ยงตลอดเวลา ถ้าลองนับดูคร่าวคร่าว จะเห็นว่าผมมีการตัดสินใจผิดพลาดในการทำธรุกิจเป็นจำนวนมากกว่าธรุกิจที่ทำแล้วสำเร็จเสียอีก แต่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะทุกครั้งก่อนที่ผมตัดสินใจทำ ผมว่าผมคิดถี่ถ้วนแล้วทุกครั้งด้วยความระมัดระวัง แต่ก็ไม่แคล้วจะผิดพลาดจนได้ เหมือนกันกับการลงทุนในหุ้น บางครั้งก่อนจะลงทุนเราคิดดีแสนดียังไง ก็ยังมีโอกาสที่จะขาดทุน ตัดสินใจผิดพลาด หรือ ขายหมู ซื้อควาย ต่างต่าง ส่วนตัวผมคิดว่าเราไม่ควรคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือความผิดพลาด หรือเสียใจกับมันมากนักครับ คิดรวมไปเลยว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จก็ต้องผ่านเส้นทางแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้นโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ใช่เรื่องของความล้มเหลว แต่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสู่ความสำเร็จต่างหากครับ ไปนอนก่อนนะครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าครับ
_________________
ฝันใกล้ใกล้ แล้วไปช้าช้า[/quote]
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... &start=180
yoyo wrote:
พี่มี่นี่เป็นทั้งนักลงทุนนักธุรกิจแบบตัวจริงเสียงจริงเลย
ขยันทำงาน ขยันอ่าน ขยันทำการบ้านเล่นหุ้น
ผมอยากฟังพี่เล่าประวัติก่อนมาเล่นหุ้นนะครับ ว่าทำอะไรมาบ้าง
ผมนั่งฟังพี่พูดเมื่อนานมาแล้วเรื่องที่ปล่อยเงินกู้โดยให้พวกสินค้า elec วางประกัน แต่มารู้ทีหลังว่านั้นแค่หยิบมือเดียว ทำมาแล้วสารพัดอย่าง
ผมไม่มีโอกาสได้ผ่านประสบการณ์แบบนั้นมา อยากฟังจากคนทำงานตัวจริงครับ
SAI (อ่านว่า ซาอิ จากเรื่อง ฮิคารุ เซียนโก๊ะ ผมชอบการ์ตูนเรื่องนี้เหมือนกัน )
ซาอิ เก่งโคตร ... หัตเทวะ เหอๆๆ
ออกตัวก่อนนะครับ น้องโย ผมเอง ไม่เคยคิดเลยครับว่าเป็นนักธรุกิจ เพราะ
ทำงานมาไม่เคยผูกไทด์เลย คิดว่าเป็นพ่อค้ามาตลอดครับ อิอิ เอาเป็นว่าขอเล่าแบบเป็นเรื่องราวแล้วกันนะครับจะได้นึกภาพตามได้ง่ายหน่อย ผมเริ่มทำงานตั้งแต่อายุค่อนข้างน้อยครับ เริ่มจากงานที่แรกที่หาเงินได้เลยเกิดจากตอนจบ ม. 3 ครับ ผมได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่เรียนจบมาพร้อมกันได้ความว่าเพื่อนไปทำงานเกี่ยวกับโลจิสติก ได้เงินค่อนข้างมากคือเดือนละ ประมาณ 2-3 หมื่นบาทต่อเดือน (สมัยนั้นถ้าผมจำไม่ผิดจบ ป.ตรี เงินเดือนประมาณ 5000 บาทเท่านั้นเอง ) จึงไปขออนุญาติคุณแม่ว่าไม่อยากเรียนแล้วอยากทำงานถ้าทำหนึ่งปีถึงสองปี แล้วค่อยขยับขยายอีกครั้งหนึ่ง แม่ก็กลุ้มใจมากเพราะแม่อยากให้เรียนมากกว่า แต่ก็ขัดไม่ได้ เลยให้ไปทำงานด้านโลจิสติก (จริงจริงคือขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างนั่นเอง )
ผมก็ทำได้อยู่ราวราว หกเดือนครับ มีรายได้ค่อนข้างดีเหมือนที่คิดไว้ ครับ แต่คุณแม่ก็มาขอร้องให้ไปเรียนต่อที่ประเทศจีนเพราะท่านมองว่างานที่มีอยู่เป็นงานที่ไม่มีอนาคต ตอนนั้นตามประสาเด็กก็อยากไปเที่ยวต่างประเทศเลยรับปากไปเรียนครับ ไปเรียนได้สองปี เต็ม ระหว่างเรียนก็ไปแอบรู้มาว่า นักศึกษาที่มาเรียน สามารถหิ้วของสี่ชิ้นจากฮ่องกงเข้ามาใช้ในแผ่นดินใหญ่ได้โดยไม่เสียภาษี และมีร้านค้าหัวเสต้องการนำสินค้ามาขายในราคาส่วนลดโดยที่ร้านค้าเป็นตัวกลางให้เราเป็นเพียงตัวกลางถือเอกสารผ่านแดนโดยไม่ต้องลงทุนใดใด ผมก็ลองไปขนมาก่อนหนึ่งรอบปรากฎว่าได้เงินมาสามหมื่นบาท พอกลับมาที่หอพักก็พบว่าเพื่อนนักศึกษาส่วนมากไม่รู้ข้อมูลตรงนี้ เราเลยอาสาพาไปหิ้วของเข้ามาขายรอบละราว 10 คน กินหัวคิวหัวละ 10000 บาท ช่วงนั้นรายได้ค่อนข้างดีมาก แต่ก็ใช้จนหมดตามประสาเด็กครับ (ช่วงนั้นผมได้เงินไปเรียนส่วนที่นอกเหนือจากค่าเทอม ค่าอาหารค่อนข้างน้อยครับ พ่อให้เงินส่วนพิเศษ แค่ 7000 บาทต่อปี ) หลังจากนั้นก่อนกลับเมืองไทยผมก็ยังอยุ่ที่ฮ่องกงทำงานที่ร้านอาหารสีฟ้า ที่ตรงถนน จอร์แดน อีก หกเดือน เพราะไม่มีเงินค่าตั๋วกลับบ้านและยังไม่อยากกลับครับ (ตอนนั้นเงินหมดและไม่กล้าขอทางบ้านครับ ) ก็กินเที่ยวอยู่พักหนึ่งจึงเดินทางกลับมาประเทศไทย เริ่มต้นทำงานเป็นล่ามให้กับบริษัทไต้หวันแห่งหนึ่ง หนึ่งปี เป็นไกด์ หกเดือน หลังจากนั้น ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้มาเป็นเจ้าของธรุกิจอย่างจริงจังครั้งแรกในชีวิตครับ คือมีพี่แถวบ้านคนหนึ่งชักชวนให้ไปเป็นลูกจ้างเค้าเกี่ยวกับร้านขายคอมพิวเตอร์ที่ห้างแห่งหนึ่ง ผมเป็นคนหลงไหลในเทคโนโลยี่มากจึงไปฝึกงานด้วย และ ทำงานอยู่กับพี่ท่านนี้อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งคืนหนึ่งผมจำได้ว่าพี่ท่านนี้หลังปิดร้านได้คุยกับผมว่า ต้องการเซ้งร้านเพราะมีปัญหาส่วนตัว (เสียพนันบอล)โดยจะให้ราคาพิเศษมากมาก แบบแค่ราคาสินค้าและราคามัดจำร้านเท่านั้น ผมเองไม่มีเงินครับ พี่เค้าก็รบเร้าให้พาไปคุยกับคุณแม่ โดยคุณแม่ก็ขอแบ่งจ่ายเป็นเงินสดและเป็นเช็คจ่ายต่างหากอีกสาม สี่งวดได้ หลังจากนั้นผมก็ได้เป็นเจ้าของร้านคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้ตั้งใจครับ ช่วงนั้นจำได้เหมือนว่าอยู่ช่วงปี 2537-2538 ช่วงนั้นคอมพิวเตอร์กำลังอยู่ในช่วงแรกของการเติบโตครับ ราคาค่อนข้างสูง แต่กำไรต่อเครื่องค่อนข้างสูง (ผมจำไม่ผิด 486 dx2-66 เครื่องละ 28900 กำไรต่อเครื่องเกือบ 8000 บาท ) ผมก็มีรายได้แบบก้าวกระโดดขึ้นมาเลยในวัยเด็ก ตอนนั้นประมาณ 18-19 ได้ครับ และที่ร้านแห่งนี้เองผมก็ได้พบกับภรรยาครับเนื่องจากพี่ชายเค้ามาซื้อคอมพิวเตอร์ แล้ว เกิดมีการสานสัมพันธ์กันจนแต่งงานกันตอนช่วงตอนผมอายุ 19 ปีนิดนิดครับ ช่วงนั้นผมและภรรยาใช้จ่ายเงินกันสุรุยสุร่ายมากครับ เนื่องจากรายได้มาค่อนข้างดี ซื้อคอนโด ซื้อรถ อาบน้ำให้หมาตัวที่เลี้ยงครั้งละ 1700 บาทก็เคย
พอมาถึงปี 2540 นี่เอง ที่บรรดาไฟแนนซ์ล้มแรงแรง ที่ร้านผมช่วงหลังผมขายสินค้าเงินผ่อนผ่านลิซซิ่งหลายแห่งครับ มี อิออน สยามเอแอนด์ซี (easy buy ปัจจุบัน ) และ อีกแห่งเป็นบริษัทลูกของไฟแนนซ์แห่งนึ่งที่ล้ม ตัวที่ล้มนี้เองระยะหลังผมส่งลูกค้าให้เค้าค่อนข้างมากเนื่องจากการอนุมัติของเค้าค่อนข้างง่าย และ ไว (สมัยก่อนอิออน และ อีซี่บาย ไม่รับลูกค้าที่ทำกิจการส่วนตัวเลยครับรับเฉพาะคนกินเงินเดือน และมีขั้นตอนการตรวจสอบค่อนข้างนานประมาณ 2 อาทิตย์แนะ ) โดยขั้นตอนของบริษัทเหล่านี้เมื่อเราขายสินค้าแล้ว จะมีรอบในการวางบิล เมื่อวางบิลแล้วจะมีกำหนดให้รับเช็คค่าสินค้าคืน เมื่อเค้าล้มลง ผมเลยล้มด้วยเลย ประกอบกับช่วงหลังร้านค้าในห้างดังกล่าวมีการตัดราคาสินค้าลงรุนแรงมาก เรียกว่าต่ำประมาณที่ผมซื้อก็มี (ตอนนั้นผมรู้จักความได้เปรียบเชิงการแข่งขันและ ความประหยัดจากขนาดแล้ว แต่ไม่รู้จักชื่อมันเท่านั้นเอง ) ก็เลยเลิกกิจการไป โดยความฟุ่มเฟื่อยครั้งนั้นทำให้ผมมีเงินสดเหลือเพียง 146 บาทในบัญชีธนาคารกรุงเทพเท่านั้น ตอนนั้นกลุ้มใจมากครับ รู้สึกสิ้นหวังห่อเหี่ยว ช่วงนั้นไม่รู้จะทำไรต่อดี มองซ้ายมองขวาสิ่งที่เหลืออยู่มีคอมพิวเตอร์ประมาณ 8 เครื่อง เลยเกิดไอเดียว่าน่าจะไปเปิดร้านเกมส์และร้านเน็ตดูเนื่องจากเคยเห็นร้านประเภทอย่างน้อยยังน่าจะได้เงินสดมาใช้ประทังชีวิตครับ เปิดวันแรกมีลูกค้าหนึ่งคน ได้เงิน 60 บาท หลังจากนั้นกิจการเริ่มดีขึ้นต่อเนื่องตอนมีเกมส์ half life และมาบูมตอน เคาร์เตอร์ สไตค์ครับ ผมอาศัยที่รู้จักกับเจ้าของร้านแห่งหนึ่งที่ขายคอมจึงไปขอเครดิตและค่อยค่อยขยายเครื่องไปเรื่อยเรื่อย จนตอนเยอะสุดผมมีเครื่องประมาณ 400 เครื่อง รายได้สูงสุดที่เคยได้จากธรุกิจนี้ประมาณ 300000 บาทต่อเดือนครับ(แต่ตอนนั้นผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าต้องมีการคิดเรื่องค่าเสื่อมราคาหรืออะไร แต่ก็รู้แค่ว่าธรุกิจนี้เวลารายได้เข้ามาไม่ได้เป็นรายได้ของเราทั้งหมดเราต้องกันส่วนหนึ่งไว้อัปเกรดเครื่อง เสมอ เวลาลงทุนหุ้นหากธรุกิจใดมีแนวโน้มต้องลงทุนเพิ่มตลอดเวลา ซึ่งการลงทุนนั้นไม่ได้เป็นการลงทุนที่ก่อให้เกิดรายได้ใหม่ เป็นแค่การลงทุนเพื่อให้เราคงสภาพธรุกิจให้แค่รักษาฐานรายได้ระดับเดิม ไว้เท่านั้น ผมจะนึกถึงตอนทำร้านเกมส์เสมอ พอเทียบกับตอนปัจจุบันที่ทำหมูยอ ซึ่งไม่ต้องมีการลงทุนใดใดเพิ่มเลยหรือหากมีก็น้อยมาก รายได้ที่ได้ใกล้เคียงกันแต่กระแสเงินสดของสองธรุกิจแตกต่างกันอย่างมาก คือตอนทำร้านเกมส์นั้นผมเหมือนจะได้เงินสดมาก แต่ตอนสิ้นปีกลับมีเงินเก็บสุทธิไม่มากเท่าไรต่างจากตอนนี้ ) ภายหลัง ก็ต้องเลิกกิจการเนื่องจากกิจการร้านเกมส์นั้นไม่มี ความได้เปรียบเชิงการแข่งขันอย่างยั่งยืนเลย คู่แข่งใหม่ใหม่ที่มาทำที่หลัง ลงทุนน้อยกว่าเราเนื่องจากราคาเครื่องถูกลง แต่กลับได้เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และเมื่อคู่แข่งใช้สงครามราคา ในที่สุดก็จะ สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ครับ จากเหตุการณ์นี้ผมเรียนรู้ว่าธรุกิจอะไรก็แล้วแต่ที่มีการลงทุนใหญใหญ่ครั้งเดียว และ มีต้นทุนผันแปรไม่สูง จะมีแนวโน้มสงครามราคาได้ง่าย เนื่องจากทุกคนก็คิดแต่ว่าลงทุนไปแล้ว ถึงจะได้น้อยกว่าที่คิด เท่าไรก็สู้เพื่อให้ไม่ต้องขาดทุนหรือขาดทุนน้อยน้อยก็ยังดี ผมทำร้านเกมส์เป็นเวลา 9 ปีนะครับ ระหว่างทางที่ทำนั้นภรรยาก็ทำร้านอาหารควบคู่ไปด้วยตลอด โดยส่วนมากขาดทุนมาตลอดเช่นกัน ช้าบ้าง เร็วบ้าง แล้วแต่ทำเล ก่อนจะเปิดผมคิดอย่างดีถี่ถ้วนทุกครั้ง แต่สุดท้ายก็ขาดทุนไป 6 ครั้ง ครั้งหลังสุดคือทำหมูกะทะตรงแถวลาดปลาเค้า อันนี้ลงทุนค่อนข้างมาก เนื่องจากเห็นคนอื่นทำแล้วดี เราทำบ้างก็ไม่เจ๊งทันทีแต่ค่อยค่อยซึม กินเวลาขาดทุน 2 ปี ผมจึงต้องยอม cut loss หลังจากเลิกร้านอาหาร ภรรยาผมยังไม่ยอมแพ้ไปทำ เห็ดโคน โดยไปศึกษาทั้งตลาดและวิธีการปลูกอย่างดี แต่สุดท้ายของเห็ดของเราก็ขึ้นมาได้ไม่สวยและสุดท้ายขาดทุนกับอุปกรณ์และค่าเช่าไปอีก หลายแสนบาท หลังจากเลิกกิจการร้านเกมส์ผมก็ไปทำธรุกิจรับซื้อขายแลกเปลี่ยนจำนำ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ตัวธรุกิจไปได้ด้วยดี เป็นช่วงที่ทำเงินได้มากหน่อย เพราะเงินลงทุนเป็นลักษณะหมุนเวียนไปมา อาศัยต้องบริหารสินค้าคงคลังดีดี ต้องขายให้ไว เนื่องจากสินค้าเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าค่อนข้างไว ช่วงนั้นภรรยาเริ่มทำหมูยอส่งตามร้านอาหารไปด้วยครับ แต่ไม่ค่อยดีเท่าไร ช่วงแรกทำส่งตามร้านอาหารต้องงอนง้อ ขอฝากขายบ้าง โดนเบี้ยวบ้าง โดนปฎิเสธบ้าง ช่วงหลังจึงลองเปลียนแผนไปบุกขายด้วยตนเองตามตลาดนัด เพราะคิดว่าไม่ต้องพึ่งพาคนนอก หลังจากนั้นก็ดีขึ้นตามลำดับครับ หลังจากนั้นไม่นาน คอมพิวเตอร์มือสอง และ โทรศัพท์มือถือ มีราคาเปลี่ยนแปลงคือลดลงรุนแรงมากมาก ทำให้ความนิยมในสินค้ามือสองมีน้อยลงมากมาก ประกอบกับงานของภรรยาเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ค่อยค่อยเอาญาติพี่น้อง และค่อยค่อยมีคนนอกมาช่วยกันขายอย่างต่อเนื่อง ครับ
จริงจริงถ้าคิดว่าการทำธรุกิจนั้นผมมองว่าคล้ายคล้ายกับการเล่นหุ้นเลยนะครับ เนื่องจากต้องเจอความเสี่ยงตลอดเวลา ถ้าลองนับดูคร่าวคร่าว จะเห็นว่าผมมีการตัดสินใจผิดพลาดในการทำธรุกิจเป็นจำนวนมากกว่าธรุกิจที่ทำแล้วสำเร็จเสียอีก แต่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะทุกครั้งก่อนที่ผมตัดสินใจทำ ผมว่าผมคิดถี่ถ้วนแล้วทุกครั้งด้วยความระมัดระวัง แต่ก็ไม่แคล้วจะผิดพลาดจนได้ เหมือนกันกับการลงทุนในหุ้น บางครั้งก่อนจะลงทุนเราคิดดีแสนดียังไง ก็ยังมีโอกาสที่จะขาดทุน ตัดสินใจผิดพลาด หรือ ขายหมู ซื้อควาย ต่างต่าง ส่วนตัวผมคิดว่าเราไม่ควรคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือความผิดพลาด หรือเสียใจกับมันมากนักครับ คิดรวมไปเลยว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จก็ต้องผ่านเส้นทางแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้นโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ใช่เรื่องของความล้มเหลว แต่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสู่ความสำเร็จต่างหากครับ ไปนอนก่อนนะครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าครับ
_________________
ฝันใกล้ใกล้ แล้วไปช้าช้า[/quote]
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... &start=180
- ซุนเซ็ก
- Verified User
- โพสต์: 1104
- ผู้ติดตาม: 0
พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
โพสต์ที่ 29
จะรอชมครับ พลาดไม่ได้ :lol:
ผมไม่ได้อยู่ในเว็บนี้แล้ว, มีอะไรติดต่อได้ทาง FB - 27/9/2555
"วิธีการที่ถูกต้อง มีได้มากกว่าหนึ่งวิธี"
สมุดบันทึกของผม http://suntse.wordpress.com
Facebook https://www.facebook.com/giggswalk
"วิธีการที่ถูกต้อง มีได้มากกว่าหนึ่งวิธี"
สมุดบันทึกของผม http://suntse.wordpress.com
Facebook https://www.facebook.com/giggswalk
-
- Verified User
- โพสต์: 625
- ผู้ติดตาม: 0
พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
โพสต์ที่ 30
นี่คือกระทู้พี่ SAI ครับ (อ่านว่า ซาอิ นะครับ ไม่ใช่ ทราย :lol: )boat37564 เขียน:SAI นี่คือใครหรอครับ
ขอโทษด้วยเป็นมือใหม่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=41244
ปล. น่าจะมีภูมิด้านหุ้นหมวดยานยนต์โดยเฉพาะ มอเตอร์ไซ :lol: