>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
- ลุงมดงาน
- Verified User
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 1
จากที่ คุณ aosmosis โพสถามไว้
"พอจะมีใคร สรุป งาน เทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ บ้างครับ
ที่จัดที่เอสพนาด เห็นว่า เน้นเกี่ยวกับการลงทุนระยะยาว เน้นเงินปันผล และอิสระทางการเงินจากเงินปันผล .. อยากทราบรายละเอียดครับ .. อยู่ ตจว ไม่มีโอกาสจริงๆ ขอบคุณครับ "
ผมเองก็ อยู่ตจว. ไม่มีโอกาสเช่นกัน แต่คาดว่าน่า จะเป็น ประโยชน์แก่
สมาชิก อีกหลายๆท่าน เลยมา ตั้งกระทู้ขอ ความรู้ครับ
ขอบคุณมากๆ ล่วงหน้าครับ
"พอจะมีใคร สรุป งาน เทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ บ้างครับ
ที่จัดที่เอสพนาด เห็นว่า เน้นเกี่ยวกับการลงทุนระยะยาว เน้นเงินปันผล และอิสระทางการเงินจากเงินปันผล .. อยากทราบรายละเอียดครับ .. อยู่ ตจว ไม่มีโอกาสจริงๆ ขอบคุณครับ "
ผมเองก็ อยู่ตจว. ไม่มีโอกาสเช่นกัน แต่คาดว่าน่า จะเป็น ประโยชน์แก่
สมาชิก อีกหลายๆท่าน เลยมา ตั้งกระทู้ขอ ความรู้ครับ
ขอบคุณมากๆ ล่วงหน้าครับ
- aosmosis
- Verified User
- โพสต์: 290
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณครับ
เท่าที่ทราบ มีการกล่าวถึง TVO, LST, ....
ไม่อยากรู้แค่หุ้นครับ แต่อยากรู้ว่า ทำไมถึงเป็นหุ้นตัวนี้
ที่มาที่ไปของแนวทางการคิดว่า หุ้นกลุ่มไหน แนวโน้มดี
มีจุดเด่น จุดด้อย ยังไง เราจะได้รู้จักหลักการคิด
ตอนนี้ก็พยายามเลือกหุ้น PB ไม่สูงมาก แต่ให้ ROE สูงๆ
เน้นที่กำลังมีแนวโน้มดีในอนาคต
ท่านใดสามารถสรุปเนื้อหาในงาน จากที่ได้ไปฟังบ้าง รบกวนด้วยครับ
เท่าที่ทราบ มีการกล่าวถึง TVO, LST, ....
ไม่อยากรู้แค่หุ้นครับ แต่อยากรู้ว่า ทำไมถึงเป็นหุ้นตัวนี้
ที่มาที่ไปของแนวทางการคิดว่า หุ้นกลุ่มไหน แนวโน้มดี
มีจุดเด่น จุดด้อย ยังไง เราจะได้รู้จักหลักการคิด
ตอนนี้ก็พยายามเลือกหุ้น PB ไม่สูงมาก แต่ให้ ROE สูงๆ
เน้นที่กำลังมีแนวโน้มดีในอนาคต
ท่านใดสามารถสรุปเนื้อหาในงาน จากที่ได้ไปฟังบ้าง รบกวนด้วยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 670
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 4
กูรูหุ้นห่านทองคำแนะเทคนิคเลือก หุ้นคุณภาพ ไว้ติดพอร์ตในสัมมนา กลยุทธหุ้นห่านทองคำ
Posted on Friday, August 20, 2010
สัมมนา : กลยุทธหุ้นห่านทองคำ
ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างท่วมท้น สำหรับงานสัมมนา กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ งานนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยห้องสมุดมารวย สาขาศูนย์การค้าเอสพลานาด ได้จัดขึ้นพร้อมกับได้รับเกียรติจาก คุณเทพ รุ่งธนาภิรมย์ ผู้เขียนหนังสือ หุ้นห่านทองคำ และคุณกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย มาร่วมกันแชร์เคล็ดลับเกี่ยวกับการเลือกหุ้นปันผลเพื่อเพิ่มศักยภาพพอร์ตการลงทุน
เวทีนี้ ได้แนะนำกลยุทธ์การเลือกสรรหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาวว่าต้องให้ความสำคัญ บริษัทจดทะเบียนระดับคุณภาพ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรม มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง มีกำไรสุทธิต่อหุ้น ในรอบ 10 ปีที่มีมั่นคงหรือมีอัตราการเพิ่มขึ้น โดยต้องเป็นกิจการที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจหรือดำเนินเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องใกล้เคียงกันเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องดูที่กำไรต่อผู้ถือหุ้นในเชิงเปรียบเทียบในแต่ละอุตสาหกรรมด้วย
นอกจากนี้ บริษัทที่น่าลงทุนในระยะยาวยังต้องมีพลังในการปรับราคาสินค้า ซึ่งสามารถพิจารณาได้จาก อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ โดยอีกประเด็นที่มีสำคัญต่อการเลือกบริษัทคุณภาพเข้ามาไว้ในพอร์ตก็คือ ต้องมีผู้บริหารมืออาชีพ มีระบบการบริหารจัดการที่ดีทั้งในด้านการทำธุรกิจและการบริหารความเสี่ยง รวมทั้งยังต้องเป็นบริษัทที่มีแบรนด์ติดตลาดอีกด้วย
สำหรับการจัดสัดส่วนเพื่อการลงทุน คือ ควรแบ่งเป็นเงินออม 10% ที่เหลือเป็นเงินที่ออมไว้ในยามฉุกเฉินและเงินเพื่อการลงทุน ที่ประกอบไปด้วย เงินสด การลงทุนหุ้นหรือตราสารที่ให้ผลตอบแทนจากการปันผลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นคงในการลงทุนระยะยาวให้บรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้ที่มีอิสระภาพทางการเงินที่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพางานประจำ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MSo ... fault.aspx
Posted on Friday, August 20, 2010
สัมมนา : กลยุทธหุ้นห่านทองคำ
ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างท่วมท้น สำหรับงานสัมมนา กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ งานนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยห้องสมุดมารวย สาขาศูนย์การค้าเอสพลานาด ได้จัดขึ้นพร้อมกับได้รับเกียรติจาก คุณเทพ รุ่งธนาภิรมย์ ผู้เขียนหนังสือ หุ้นห่านทองคำ และคุณกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย มาร่วมกันแชร์เคล็ดลับเกี่ยวกับการเลือกหุ้นปันผลเพื่อเพิ่มศักยภาพพอร์ตการลงทุน
เวทีนี้ ได้แนะนำกลยุทธ์การเลือกสรรหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาวว่าต้องให้ความสำคัญ บริษัทจดทะเบียนระดับคุณภาพ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรม มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง มีกำไรสุทธิต่อหุ้น ในรอบ 10 ปีที่มีมั่นคงหรือมีอัตราการเพิ่มขึ้น โดยต้องเป็นกิจการที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจหรือดำเนินเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องใกล้เคียงกันเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องดูที่กำไรต่อผู้ถือหุ้นในเชิงเปรียบเทียบในแต่ละอุตสาหกรรมด้วย
นอกจากนี้ บริษัทที่น่าลงทุนในระยะยาวยังต้องมีพลังในการปรับราคาสินค้า ซึ่งสามารถพิจารณาได้จาก อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ โดยอีกประเด็นที่มีสำคัญต่อการเลือกบริษัทคุณภาพเข้ามาไว้ในพอร์ตก็คือ ต้องมีผู้บริหารมืออาชีพ มีระบบการบริหารจัดการที่ดีทั้งในด้านการทำธุรกิจและการบริหารความเสี่ยง รวมทั้งยังต้องเป็นบริษัทที่มีแบรนด์ติดตลาดอีกด้วย
สำหรับการจัดสัดส่วนเพื่อการลงทุน คือ ควรแบ่งเป็นเงินออม 10% ที่เหลือเป็นเงินที่ออมไว้ในยามฉุกเฉินและเงินเพื่อการลงทุน ที่ประกอบไปด้วย เงินสด การลงทุนหุ้นหรือตราสารที่ให้ผลตอบแทนจากการปันผลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นคงในการลงทุนระยะยาวให้บรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้ที่มีอิสระภาพทางการเงินที่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพางานประจำ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MSo ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 6427
- ผู้ติดตาม: 1
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 6
ตามปกติแล้ว สรุปผลการสัมมนาที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์จะไปตีพิมพ์ในหนังสือ Money and Wealth เดือนถัดไปนะครับ
ลองติดตามฉบับเดือน กย. ดูละกัน
หรือไม่ก็จะนำไปออกในรายการ Money Forum ของช่อง Money channel
แต่ไม่รู้ว่าออกอากาศวันไหนครับ
ลองติดตามฉบับเดือน กย. ดูละกัน
หรือไม่ก็จะนำไปออกในรายการ Money Forum ของช่อง Money channel
แต่ไม่รู้ว่าออกอากาศวันไหนครับ
คนที่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ ย่อมมีโอกาสเรียนรู้
- preecha_w
- Verified User
- โพสต์: 94
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 8
คุณเทพบอกว่าตัวแกเอง พอจะมีอิสระภาพทางการเงินแล้ว
แต่แบบพอเพียงนะครับ ไม่ได้หรูหราอะไร ก็คือเงินปันผลที่ได้
ไม่จำเป็นต้องเติมเข้าไปในหุ้นอีกแล้ว เอามาใช้จ่ายได้แล้ว
คุณกวีแนะนำ 10 วิธีเลือกห่านทองคำเข้าเล้าดังนี้ครับ
1. เลือกบริษัทที่เป็น monopoly มีสัดส่วนการตลาดสูงที่สุด
คู่แข่งยากที่จะมาเทียบขั้น เช่น cpall ptt
2. มีการเงินแข็งแกร่ง มีหนี้น้อย หรือไม่มีหนี้ ทำให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว
3. ดูข้อมูลในอดีต ดู eps ย้อนหลัง 10 ปี หาบริษัทที่ค่อนข้างนิ่ง โตเรี่อยๆ
ไม่หวือหวา แต่ยกเว้นพวก commodity เพราะมักมี cycle จะดูยาก
4. หาบริษัทที่ลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ตอนก่อนต้มยำกุ้ง
scc ลงทุนในหลากหลายธุรกิจมาก เดี๋ยวนี้เหลือแต่ ปูน กระดาษ และ
ปิโตรเคมีเท่านั้น cpall ก็มีแค่ 7-11 ตอน tta ซื้อ ums(ถ่านหิน)ก็ขาดทุน
5. หา roe ที่สูงที่สุดในอุตสาหกรรมเดียวกัน และมีแนวโน้มเติบโตสม่ำเสมอ
cpall มี roe 30 % สูงสุดในกลุ่ม tvo s&p ก็ปันผลตลอด
ุ6. มีพลังของการปรับราคาขึ้นหรือลง ลูกค้าต่อราคาไม่ได้ ดูที่อัตรากำไรขั้นต้น
ดูที่นิ่งๆเติบโตเรี่อยๆ จะน่าสนใจ
7. เลือกบริษัทที่ไม่ต้องลงทุนเยอะๆ ก็สามารถสร้างกำไรได้
อย่างการบินไทยต้องลงทุนเยอะ ck stec ก็ลงทุนมาก แต่ s&p se-ed
ไม่เคยเพิ่มทุนเลย
8. ดูผู้บริหารที่ดี
9. มี good governance บรรษัทภิบาลดี
10. มีแบรนด์ที่ดี จะทำให้ลูกค้ากลับมาหาเรี่อยๆ
วอเรนท์ บัฟเฟท มีหลักการเลือกหุ้นดังนี้
1. เลือกหุ้นดี มีอนาคต และเราเข้าใจมันดี
2. ผู้บริหารดี มีฝีมือ
3. ราคาดี สมเหตุสมผล
คุณเทพบอกว่า เลือกหุ้นที่มี roe เฉลี่ยสูงกว่า 20% เป็นเกณฑ์
หุ้น super dividend ของไทยปัจจุบันได้แก่ tf รพ.รามคำแหง ฟาร์มเฮาส์
sauce โอเรียนเต็ล ซึ่งไม่ได้แนะให้ซื้อนะครับ ราคามันไปไกลมากแล้ว
ทรัพย์สินแบ่งได้เป็นสามจำพวก
1. เพื่อใช้ เช่นบ้าน รถ คอนโด
2. เพื่อค้า เช่นที่ดิน ทองคำ ไม่มีดอกผลระหว่างทาง
3. เพื่อหารายได้ เช่นคอนโดให้เช่า หุ้น เงินฝากลงทุน
คุณกวีบอกนักลงทุนมีสี่ประเภท
1. speculator เก็งกำไรลูกเดียว
2. momentum investor ดูแนวโน้ม
3. value investor เน้นคุณค่า
4. dividend investor เน้นเงินปันผล คุณเทพ ห่านทองคำก็กลุ่มนี้ครับ
ผมว่าหลายคนอาจอยู่ได้หลายประเภทแล้วแต่สถานะการณ์
ผู้ที่เจอแนวของตัวเองแล้วจะประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นครับ
ขอให้บรรลุฝันทุกท่านครับ
แต่แบบพอเพียงนะครับ ไม่ได้หรูหราอะไร ก็คือเงินปันผลที่ได้
ไม่จำเป็นต้องเติมเข้าไปในหุ้นอีกแล้ว เอามาใช้จ่ายได้แล้ว
คุณกวีแนะนำ 10 วิธีเลือกห่านทองคำเข้าเล้าดังนี้ครับ
1. เลือกบริษัทที่เป็น monopoly มีสัดส่วนการตลาดสูงที่สุด
คู่แข่งยากที่จะมาเทียบขั้น เช่น cpall ptt
2. มีการเงินแข็งแกร่ง มีหนี้น้อย หรือไม่มีหนี้ ทำให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว
3. ดูข้อมูลในอดีต ดู eps ย้อนหลัง 10 ปี หาบริษัทที่ค่อนข้างนิ่ง โตเรี่อยๆ
ไม่หวือหวา แต่ยกเว้นพวก commodity เพราะมักมี cycle จะดูยาก
4. หาบริษัทที่ลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ตอนก่อนต้มยำกุ้ง
scc ลงทุนในหลากหลายธุรกิจมาก เดี๋ยวนี้เหลือแต่ ปูน กระดาษ และ
ปิโตรเคมีเท่านั้น cpall ก็มีแค่ 7-11 ตอน tta ซื้อ ums(ถ่านหิน)ก็ขาดทุน
5. หา roe ที่สูงที่สุดในอุตสาหกรรมเดียวกัน และมีแนวโน้มเติบโตสม่ำเสมอ
cpall มี roe 30 % สูงสุดในกลุ่ม tvo s&p ก็ปันผลตลอด
ุ6. มีพลังของการปรับราคาขึ้นหรือลง ลูกค้าต่อราคาไม่ได้ ดูที่อัตรากำไรขั้นต้น
ดูที่นิ่งๆเติบโตเรี่อยๆ จะน่าสนใจ
7. เลือกบริษัทที่ไม่ต้องลงทุนเยอะๆ ก็สามารถสร้างกำไรได้
อย่างการบินไทยต้องลงทุนเยอะ ck stec ก็ลงทุนมาก แต่ s&p se-ed
ไม่เคยเพิ่มทุนเลย
8. ดูผู้บริหารที่ดี
9. มี good governance บรรษัทภิบาลดี
10. มีแบรนด์ที่ดี จะทำให้ลูกค้ากลับมาหาเรี่อยๆ
วอเรนท์ บัฟเฟท มีหลักการเลือกหุ้นดังนี้
1. เลือกหุ้นดี มีอนาคต และเราเข้าใจมันดี
2. ผู้บริหารดี มีฝีมือ
3. ราคาดี สมเหตุสมผล
คุณเทพบอกว่า เลือกหุ้นที่มี roe เฉลี่ยสูงกว่า 20% เป็นเกณฑ์
หุ้น super dividend ของไทยปัจจุบันได้แก่ tf รพ.รามคำแหง ฟาร์มเฮาส์
sauce โอเรียนเต็ล ซึ่งไม่ได้แนะให้ซื้อนะครับ ราคามันไปไกลมากแล้ว
ทรัพย์สินแบ่งได้เป็นสามจำพวก
1. เพื่อใช้ เช่นบ้าน รถ คอนโด
2. เพื่อค้า เช่นที่ดิน ทองคำ ไม่มีดอกผลระหว่างทาง
3. เพื่อหารายได้ เช่นคอนโดให้เช่า หุ้น เงินฝากลงทุน
คุณกวีบอกนักลงทุนมีสี่ประเภท
1. speculator เก็งกำไรลูกเดียว
2. momentum investor ดูแนวโน้ม
3. value investor เน้นคุณค่า
4. dividend investor เน้นเงินปันผล คุณเทพ ห่านทองคำก็กลุ่มนี้ครับ
ผมว่าหลายคนอาจอยู่ได้หลายประเภทแล้วแต่สถานะการณ์
ผู้ที่เจอแนวของตัวเองแล้วจะประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นครับ
ขอให้บรรลุฝันทุกท่านครับ
- blue house
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 10
ขอบคุณ คุณปรีชา ด้วยค่ะ
BLUE HOUSE IN THE BLUE SKY.
- ลุงมดงาน
- Verified User
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณ คุณyy สำหรับข้อมูลครับyy เขียน:ตามปกติแล้ว สรุปผลการสัมมนาที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์จะไปตีพิมพ์ในหนังสือ Money and Wealth เดือนถัดไปนะครับ
ลองติดตามฉบับเดือน กย. ดูละกัน
หรือไม่ก็จะนำไปออกในรายการ Money Forum ของช่อง Money channel
แต่ไม่รู้ว่าออกอากาศวันไหนครับ
- ลุงมดงาน
- Verified User
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 16
ที่ขาดไม่ได้เลย :D :D :D
คือ ต้องขอบคุณ คุณpreecha_w มากมายเลยครับ
ข้อมูลนี้ น่าจะเป็นประโยขน์ อย่างมาก สำหรับชาว VI หลายๆท่านครับ
สำหรับ ผมแล้ว Golden Goose Stock.... (ผมชอบคำนี้มากกว่าครับ)
ถือเป็น หนึ่งในรากฐานที่สำคัญ ของ VI
และสำหรับ ผมแล้ว Golden Goose Stock นับว่าเป็น Subset
ของ VI ครับ
คือ ต้องขอบคุณ คุณpreecha_w มากมายเลยครับ
ข้อมูลนี้ น่าจะเป็นประโยขน์ อย่างมาก สำหรับชาว VI หลายๆท่านครับ
สำหรับ ผมแล้ว Golden Goose Stock.... (ผมชอบคำนี้มากกว่าครับ)
ถือเป็น หนึ่งในรากฐานที่สำคัญ ของ VI
และสำหรับ ผมแล้ว Golden Goose Stock นับว่าเป็น Subset
ของ VI ครับ
- ลุงมดงาน
- Verified User
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 20
ครับ.......คุณ preecha_wpreecha_w เขียน: ยินดีอย่างยิ่งครับ
คุณ ปรีชา คงสนใจ หุ้นห่านทองคำ เช่นกัน :D :D :D
เท่าที่ผมทราบ ในนี้ยังไม่มี กระทู้ที่ เน้นให้ความรู้เรื่องหุ้นห่านทองคำ
เท่าที่ควร (มั้งครับ???)
ตัวผมเองก็เริ่มต้นเข้าลงทุน ครั้งแรกในปี 2002 ด้วยแนวทางนี้ก่อน
เช่นกัน ครับ
ประกอบกับ ผมเห็นว่า หุ้นห่านทองคำ น่าจะเป็นพื้นฐานที่ดี
ให้กับ น้องๆหลานๆ นักลงทุนแนว VI รุ่นใหม่ๆ ได้ดี
เพราะ
1) ปลูกฝังสร้างแรงบันดาลใจ สร้างแนวความคิด ในการพลิกผันจากวัฏจักร
ของมนุษย์เงินเดือน สู่ความเป็นไททางการเงิน อย่างมั่นคง ยั่งยืน
ตรงนี้สำคัญ ที่สุดครับ การที่เราจะประสพความสำเร็จในเรื่องใดๆได้
ต้องมีจุดมุ่งหมาย และเป้าหมายที่ชัดเจน ก่อนเป็นอันดับแรก
อีกทั้งจะเป็นการ สร้างสปิริต และจิตวิญญาณ ให้มุ่งมั่นเป็นนักลงทุนจริงๆ
มิใช่เป็นนักพนัน นักเล่นหุ้น หรือนักเก็งกำไร
2) หลักการแรก คือการออมอย่างมีวินัย เพื่อสร้างพอร์ตให้ใหญ่พอ การที่เรา
เน้นสร้างพอร์ต ส่วนใหญ่ของเราด้วย การออมอย่างมีวินัยในช่วงแรก และ
พอร์ตเราเติบโต จากผลประโยขน์จากการลงทุนเป็นส่วนน้อย (ซึ่งแน่นอนอยู่
แล้วครับ ก็พอร์ตเรายังน้อยอยู่ ) จะทำให้เรา ทราบถึงคุณค่าของเงิน
ความยากลำบากในการเก็บออม จะทำให้เราเลือกลงทุน ด้วยความระมัดระวัง
ใช้ดุลยพินิจก่อนตัดสินใจลงทุน กลั่นกรองและตัดสินใจอย่างมีระบบ และ
รอบคอบ
>>>>> เลยคุยยาวเลยครับ เรื่องๆของเรื่องคือ จะถามความคิดเห็น ว่า
จะคุยกันใน กระทู้นี้ หรือ ตั้งกระทู้ ขึ้นมาใหม่ดีครับ คุณ ปรีชา <<<<<
ผม ขอไปทำธุระที่ ธนาคารก่อน กลับมาแล้ว จะมา เสวนาด้วยต่อครับ :D
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 22
เป็นอีกวิธีที่ผมยอมรับว่ามันดีจริง
ลงทุนเพื่อชีวิต
- luangrit
- Verified User
- โพสต์: 376
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 25
คุณเทพ นี่นับได้ว่าเป็นอาจารย์คนแรกของผม...
ยังซึ้งใจท่านมาจนถึงทุกวันนี้เลยครับ
หนังสือที่ท่านเขียน จะเป็นแนวเงินปันผล....ซึ่งผมมองว่าแกเป็นห่วงนักลงทุนหน้าใหม่จริงๆ อยากให้นักทุนมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุนรวมทั้งมีความปลอดภัยอย่างมากๆ
นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากสำหรับผม
ขอให้อาจารย์แข็งแรงไปนานๆนะครับ
ยังซึ้งใจท่านมาจนถึงทุกวันนี้เลยครับ
หนังสือที่ท่านเขียน จะเป็นแนวเงินปันผล....ซึ่งผมมองว่าแกเป็นห่วงนักลงทุนหน้าใหม่จริงๆ อยากให้นักทุนมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุนรวมทั้งมีความปลอดภัยอย่างมากๆ
นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากสำหรับผม
ขอให้อาจารย์แข็งแรงไปนานๆนะครับ
- aosmosis
- Verified User
- โพสต์: 290
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 26
ก็ถ้าเป็นกระทู้ศูนย์รวม การเสด็งความคิดเห็น การวิเคราะห์
ผมว่า ก็น่าจะยังคงอยู่ คงมีคนเข้ามาร่วมจอยความคิดกันมากขึ้น
ส่วนข้อมูลการสัมนา หากมีการอัพเดท เรื่อยๆ ผมว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับ
นลท ตจว ไม่น้อย ที่ไม่สามารถเดินทางเข้ามารับฟังใน กทม ได้
ผมว่า ก็น่าจะยังคงอยู่ คงมีคนเข้ามาร่วมจอยความคิดกันมากขึ้น
ส่วนข้อมูลการสัมนา หากมีการอัพเดท เรื่อยๆ ผมว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับ
นลท ตจว ไม่น้อย ที่ไม่สามารถเดินทางเข้ามารับฟังใน กทม ได้
- aosmosis
- Verified User
- โพสต์: 290
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 27
จับจังหวะลงทุน เลือกหุ้นไตรมาส 3
การ ดีดตัวของหุ้นขนาดกลางและเล็ก สวนทางหุ้นขนาดใหญ่ที่ซึมตัว หลังจากมีการไหลออกของเงินทุนบางส่วนออกไปชำระคืนหนี้ในกลุ่มสหภาพยุโรป และซื้อหุ้น IPO ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 4 ปี ที่จีน คิดเป็นมูลค่า 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดเดือนกรกฎาคม ทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มกังวลว่า หุ้นไทยจะมีการปรับฐานแล้วหรือบางคนก็สงสัยว่า ควรขายหุ้นทำกำไรออกไปก่อนแล้วค่อยซื้อกลับดีหรือไม่ แต่ก็มีอีกหลายรายเหมือนกันที่ยังคิดไม่ออกว่า จะซื้อหุ้นอะไรเก็บเข้าพอร์ตดี
เพื่อหาคำตอบในประเด็นเหล่านี้ กองบรรณาธิการ M&W จึงเชิญนักวิเคราะห์จาก 3 สถาบัน ประกอบด้วยคุณ เทอดศักดิ์ ทวีธีระธรม หรือ “คุณเทอด” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส (ASP) คุณสุกิจ อุดมศิริกุล หรือ “หนุ่มป๋อง” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับคุณวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย หรือ “คุณแอ๊ะ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ (TNITY) ผ่านเวทีสัมมนา หัวข้อ “ จับจังหวะลงทุน เลือกหุ้นไตรมาส 3” โดยมอบหมายให้คุณเนาวรัตน์ เจริญประพิณ พิธีกรจาก Money Channel รับหน้าที่ผู้ดำเนินงานสัมมนา
“มองหุ้นไตรมาส 3 อย่างไรคะ” เนาวรัตน์ ยิงคำถามเปิดงาน
หุ้นไตรมาส 3 แกว่งรายวัน
ไร้ Fund Flow
คำ ตอบจากนักวิเคราะห์จากทั้ง 3 ค่าย ออกมาตรงกันว่า หุ้นไทยไตรมาส 3 น่าจะอยู่ในลักษณะแกว่งตามกรอบ (Trading Range) ในลักษณะเดียวกับที่เกิดตลอดเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งดัชนีจะขึ้นหรือลงตามแรงซื้อแรงขายของนักลงทุนกลุ่มต่างๆ ในประเทศ ทั้งกองทุนรวม พอร์ตโบรกเกอร์ และนักลงทุนรายย่อย เพราะไม่มีปัจจัยบวกช่วยขับเคลื่อนตลาด ทำให้ไม่มีการไหลเข้าของเม็ดเงินใหม่ๆ จากต่างประเทศ (Fund Flow )
“เมื่อ ดูสถิติ Fund Flow ตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2538 เรื่อยมา จะพบว่า กรอบการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย มักจะอยู่ที่ระดับ PER ประมาณ 12 เท่า แต่หากมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ ก็อาจปรับเพิ่มเป็น 14 เท่าได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากภาวะปัจจุบัน ตลาดน่าจะแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 780-820 จุด ยกเว้นมีปัจจัยบวกใหม่ๆ ผลักดันให้มีเงินไหลเข้า ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ดัชนีมีโอกาสไต่ระดับไปถึง 880 จุด ในทางกลับกัน หากมีปัจจัยลบใหม่ๆ เกิดขึ้น อาจเห็นดัชนีปรับฐานลงเช่นกัน แต่คงไม่รุนแรงจนดัชนีหลุด 754 จุด” คุณเทอดศักดิ์ ให้ความมั่นใจ
“ต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นไตรมาส 3 อยู่ในภาวะอึดอัด เนื่องจากไม่มี story ขับเคลื่อน ขาดปัจจัยบวกหนุน แม้แต่ข่าวดีเรื่องการส่งออกดีที่เกิดขึ้นตลอดไตรมาส 2 ก็จะเริ่มหมดไป เพราะการฟื้นตัวภาคอุตสาหกรรมเริ่มชะลอตัวตามการลดลงของสินค้าคงคลัง และคำสั่งซื้อใหม่ๆ ขณะที่การจับจ่ายใช้สอยเพื่ออุปโภคบริโภคในประเทศเริ่มซึมตัว ส่งผลให้ไม่มีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้ามา อย่างไรก็ดี การที่มีแรงซื้อจากนักลงทุนในประเทศ จึงทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นบ้าง แต่ก็อยู่ในลักษณะ Sideway” สุกิจ ชี้ให้เห็นภาพ
“Fund Flow ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียตั้งแต่ต้นปี มีแนวโน้มจะไหลออกได้อีกในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการชำระคืนหนี้ในกลุ่มสหภาพยุโรปประจำปี เช่นเดียวกับที่ไหลออกมาแล้วครั้งหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ประกอบกับตลาดยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกคอยฉุดผลดำเนิน งานบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่อีก โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคาโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน โรงกลั่น ปิโตรเคมี เหล็ก หรือเรือ มีแนวโน้มกำไรไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ไม่สดใสเหมือนไตรมาสแรก หุ้นไทยจึงไปต่อไปไม่ได้” คุณแอ๊ะ ให้เหตุผล
อย่างไรก็ตาม เธอยังมีความมั่นใจว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไตรมาสสุดท้ายน่าจะสดใสขึ้น เพราะผลดำเนินงานหุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคาโภคภัณฑ์น่าจะฟื้นตัวจากที่ย่ำแย่ สุด (Bottom Out) ในไตรมาส 3 ไปแล้ว ทำให้มีแรงซื้อหุ้นนำตลาดนี้กลุ่มนี้กลับมาอีกครั้ง หนุนให้ตลาดสดใสขึ้น โดยทุกฝ่ายน่าจะเห็นดัชนีไต่ขึ้นไปทดสอบ 900 จุด ในต้นปีหน้า เมื่อปัจจัยลบที่รุมเร้าตลาดหุ้นตลอดปีนี้ค่อยๆ ผ่อนคลายลงไป
การที่คุณแอ๊ะเปิดประเด็นให้ว่า หุ้นกลุ่มนำตลาดไม่สดใส ทำให้ผู้ดำเนินงานสัมมนาได้โอกาสซักถามถึงกลยุทธ์ลงทุนหุ้นทันที
“นัก ลงทุนควรลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี เหล็ก เรือเทกอง แล้วหันไปเพิ่มน้ำหนักในหุ้นกลุ่มอาหาร เกษตร ยานยนต์ บันเทิง หรือเลือกหุ้นที่มีความปลอดภัย โดยเฉพาะหุ้นปันผล อย่างหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ค้าปลีก หรือสื่อสารแทน” นักวิเคราะห์สาวจาก TNITY ให้แนวคิด
ที่ เป็นเช่นนี้ก็เพราะรายงานดัชนีภาคอุตสาหกรรม (PMI) ของประเทศสำคัญหลายแห่งอ่อนแอลง กลายเป็นปัจจัยกดดันราคาโภคภัณฑ์แทบทุกประเภท ทั้งน้ำมัน ปิโตรเคมี เหล็ก ค่าระวางเรือ และยิ่งดัชนี Oil Forward Curve บ่งชี้ว่าราคาน้ำมันยังไม่ใช่ขาขึ้น ทำให้มีการคาดหมายกันว่า ราคาน้ำมันครึ่งหลังปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวจากระดับเฉลี่ยในครึ่งปีแรก ที่บาร์เรลละ 77 ดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือไม่เกินบาร์เรลละ 75 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีความเป็นไปได้ด้วยว่า ทุกฝ่ายจะเห็นการอ่อนตัวในไตรมาส 3 ทันที
ด้าน นักวิเคราะห์หนุ่มใหญ่จาก ASP บอกว่า แม้ตลาดหุ้นจะไม่มี Fund Flow ใหม่ แต่โอกาสเห็นดัชนีปรับฐานก็มีอย่างจำกัด หรือมี downsize น้อย เพราะเมื่อได้ศึกษาข้อมูลการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ จะพบว่า นักลงทุนต่างชาติไม่น่าขายหุ้นออกมาอีก เนื่องจากหุ้นที่เก็บในพอร์ตปัจจุบันมีต้นทุนสูง การขายจะทำให้ขาดทุนมาก ดังนั้น ในระหว่างรอเม็ดเงินใหม่ไหลเข้า นักลงทุนควรทยอยซื้อสะสม เน้นไปที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคในประเทศ (Domestic Plays) เช่น หุ้นพัฒนาที่อยู่อาศัย รับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง ธนาคารพาณิชย์ จะดีกว่า
ส่วนนักวิเคราะห์รูปหล่อ ที่เพิ่งย้ายค่ายจาก SCRI ไปอยู่ที่ SCBS มองว่า การที่ตลาดข่าวดีหนุนทำให้นักลงทุนต่างชาติรอจังหวะลงทุนโดยหันมาพักเงินใน ตราสารหนี้และทองคำแทน ดังนั้น ทิศทางตลาดหุ้นในช่วงนี้จึงแกว่งตัวแคบๆ ตามเม็ดเงินในประเทศ ที่เคลื่อนย้ายสลับไปมารายวัน และรายกลุ่ม ส่งผลให้นักลงทุนจำเป็นต้องเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy)
“การ ลงทุนหุ้นไตรมาส 3 จะต้องเลือกเป็นรายตัว ดูฐานะทางการเงินประกอบการตัดสินใจ และรอจังหวะในการซื้อ เพราะตลาดยังมีความผันผวนอยู่เหมือนเดิม แม้จะไม่มีเงินใหม่เข้าก็ตาม” สุกิจ สรุปสั้นๆ ปิดท้าย
จากนั้น วงสัมมนาหันมาพูดคุยกันถึงหุ้นเด่นที่ลงทุนแล้วนักลงทุนน่าจะสบายใจกันต่อ
โผหุ้นสบายใจ SCBS
AOT ADVANC CENTEL CPALL GFPT KBANK KTB MINT
หนุ่ม ป๋อง นักกลยุทธ์น้องใหม่ค่าย SCBS แนะหุ้น 4 กลุ่ม ได้แก่ หุ้นธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก สื่อสารและท่องเที่ยว เพราะหุ้นเหล่านี้มีความผันผวนน้อยกว่าตลาด ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนลงทุนได้อย่างสบายใจ
“หุ้นกลุ่มธนาคารยังคงมี ศักยภาพในการทำกำไรดีต่อเนื่อง ทั้งจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และรายได้ดอกเบี้ยที่ขยายตัวตามการเติบโตของสินเชื่อ รวมถึงส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (NIM) ที่มีแนวโน้มปรับขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยในประเทศ ส่วนหุ้นกลุ่มค้าปลีก ธุรกิจสามารถทำกำไรเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ ในอัตราสูงกว่าเงินเฟ้อ ขณะที่หุ้นกลุ่มสื่อสาร มี story เรื่องการเปิดประมูลใบอนุญาต 3G เป็นตัวกระตุ้น ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะมีผลดีต่อผู้ประกอบการรายเดิมทุกราย เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานจะลดลง ส่งผลให้กำไรปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หนุนให้ราคาหุ้นมี upside จากราคาปัจจุบันซึ่งยังไม่สะท้อนข่าวเรื่อง 3G แต่อย่างใด สำหรับหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจอีกครั้ง ทำให้มีโอกาสทำกำไรจากราคาหุ้นซึ่งปรับฐานค่อนข้างแรงในช่วงก่อนหน้านี้” หนุ่มป๋อง ขมวดประเด็น
ซึ่งเมื่อให้เลือกหุ้นเด่นจาก 4 กลุ่มนี้ เขาเลือก AOT ADVANC CENTEL CPALL GFPT KBANK KTB และ MINT
โผหุ้นสบายใจ TNITY
ADVANC CPF GFPT GLOW MAJOR ROJNA TVO
ด้าน นักวิเคราะห์สาวจาก TNITY ชี้ว่า การที่หุ้นนำตลาด โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ ขาดปัจจัยบวกสนับสนุนการปรับขึ้นของราคาหุ้นอย่างชัดเจน ดังนั้น การลงทุนจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีความปลอดภัยสูง (Safety net) ได้แก่ CPF ADVANC TVO GLOW
โดย CPF และ ADVANC ถือเป็นหุ้นที่มีการเติบโตของกำไร และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ขณะที่ราคาหุ้นยังมี Upside ไม่ต่ำกว่า 10%
“ตัว CPF ไม่น่าจะไม่หยุดเติบโต ทั้งธุรกิจ Feed ธุรกิจ Farm และธุรกิจ Food และยิ่งบริษัทประกาศขยายสัดส่วนการการส่งออกเพิ่มจากปัจจุบัน 25% เป็น 50% โดยอาศัยแบรนด์ CP Fresh Mart ซึ่งประสบความสำเร็จในประเทศได้แล้ว ทำให้น่าจะเห็นอัตราเติบโตของกำไรปีนี้ไม่ต่ำกว่า 30% ต่อเนื่องจากปีก่อนที่กำไรพุ่งถึง 3 เท่าตัว โดย TNITY ให้ราคาเหมาะสมที่ 25.25 บาท อิงตามค่า PER 12.5 เท่าในปีหน้า ส่วน ADVANC นอกจากการลงทุนจะหวังเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 6% ได้แล้ว ยังมี upside จากข่าวการประมูลใบอนุญาต 3G ได้อีก โดยหากการประมูลเกิดขึ้นจริง จะมีผลให้ราคาหุ้นสามารถปรับขึ้นได้อีก 12-25% แต่หากการประมูลถูกเลื่อนออกไป บริษัทก็มีแผนจ่ายปันผลพิเศษเพิ่มเติมอีก” คุณแอ๊ะ อธิบาย
ขณะที่ TVO และ GLOW ถือเป็นหุ้นที่ราคาถูก แต่สามารถให้ผลตอบแทนสูง เมื่อประเมินราคาจากมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV - Price per book value) และวัดผลตอบแทนจากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE - Return on equity)
“เพราะ TVO สามารถเพิ่มกำลังการผลิตเป็นวันละ 6,000 ตันได้ตั้งแต่ครึ่งหลังปีนี้เป็นต้นไป ทำให้ประเมินได้ว่า บริษัทน่าจะมีกำไรเฉลี่ยไตรมาสละ 500 ล้านบาท ซึ่งมีผลให้สามารถจ่ายปันผลได้เพิ่มขึ้น เฉลี่ยทั้งปีไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 1.50 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 7.5%
สำหรับ GLOW คาดว่า กำไรสุทธิปี 2553-2555 จะโตเฉลี่ยปีละ 27% จากการขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 55% จาก 2,118 MWeq ในปีนี้ เป็น 3,275 MWeq ในอีก 2 ปีข้างหน้า และหากนับรวมผลตอบแทนจากโครงการ Gheco-One ที่บริษัทถือหุ้น 65% จะเริ่มออกดอกออกผลปลายปีหน้าเป็นต้นไป ทำให้ราคาเหมาะสมขยับเป็น 46 บาท อิงจาก EV/EBITDA 10 เท่าใน 12 เดือนข้างหน้า ขณะที่เงินปันผลไม่น่าต่ำกว่า 5%” วชิราลักษณ์ สรุปประเด็น
เธอยัง ทิ้งท้ายหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีมากอีกตัวหนึ่ง คือ TPIPL แต่เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนี้ยังไม่แข็งแกร่งนัก จึงแนะนำแค่ “เก็งกำไร“ (Trading) โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 14 บาท
คุณแอ๊ะยังแนะ ให้จับตาหุ้น MAJOR และ ROJNA ด้วย เพราะกำไรมีแนวโน้มเติบโตสูงมาก อย่าง MAJOR กำไรโตจากทั้งภาพยนตร์ที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โฆษณาที่ฟื้นตัวขึ้น และกำไรพิเศษอีก 150 ล้านบาท จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ ในไตรมาส 3 แถมยังมีกำไรจากมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทลูก โดยเฉพาะ SF ที่โตขึ้นมาก
เช่นเดียวกับ ROJNA ที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตสวนทางปัจจัยลบที่รุมเร้าเข้ามา เมื่อรายได้จากยอดขายที่ดิน และยอดขายไฟฟ้าภายในนิคมอุตสาหกรรม เป็นไปตามเป้าหมาย แม้จะมีสถานการณ์การเมืองปะทุขึ้นมา ส่วนธุรกิจคอนโดมีเนียมที่บริษัทแตกแขนงออกไปก็เดินหน้าด้วยดี โดยเฉพาะโครงการในจีน แม้จะเผชิญมาตรการคุมเข้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ต้นปี
และ ยิ่งบริษัทหันมารุกตลาดคอนโดมีเนียมในประเทศ ประเดิมโครงการแรกที่รัตนาธิเบศร์ ในไตรมาส 3 นี้ และมีแผนจะทยอยเปิดโครงการใหม่อีกหลายเฟส ทำให้มูลค่าเหมาะสมใน 12 เดือนข้างหน้า ขยับเพิ่มเป็น14 บาท เมื่ออิงจากระดับ PER 12 เท่า
โผหุ้นสบายใจ ASP
KBANK LH PS SAT SPALI STANLY STEC TASCO
สำหรับ คุณเทอดประเดิมโผหุ้นเด็ดด้วยหุ้นกลุ่มพัฒนาที่ดินที่เขามีความถนัดมากที่ สุด โดยให้เหตุผลว่า เป็นหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ พิจารณาได้จากระดับราคาหุ้นทั้งกลุ่ม (Property Sector Index) ที่ระดับราคาปัจจุบันอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงปี 2531 สวนทางตัวเลขงบการเงินที่มีความแข็งแกร่งขึ้นมาก ไม่ว่าจะดูจากงบกำไรขาดทุน หรืองบกระแสเงินสด (Cashfow) ที่พลิกกลับมาเป็นบวกในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาระดับราคาหุ้นช่วง 1 ปีล่าสุด จะพบด้วยว่า ก่อนราคาหุ้นจะเริ่มดีดตัวในช่วง 1-2 เดือนนี้ Property Sector Index มีการปรับฐานนานกว่า 8 เดือน สะท้อนให้เห็นว่า ราคาหุ้นได้แตะจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ดังนั้น ตั้งแต่ครึ่งปีหลังเป็นต้นไป น่าจะเห็นราคาหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ค่อยๆ ปรับขึ้น โดยเฉพาะหุ้น PS และ SPALI ซึ่งมี Presale และ Backlog สูงที่สุดในกลุ่ม เพราะแนวโน้มกำไรจะเติบโตอย่างเด่นชัด ในครึ่งปีหลัง แต่สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาว ควรเลือก LH เพราะแนวโน้มกำไรจะเติบโตชัดเจนในปีหน้า
ถัดจากนั้น เขาลงรายละเอียดหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างทันที โดยอธิบายว่า มีสัญญาณบวกจากการลงทุนภาครัฐ และภาคเอกชน หนุนให้การรับงานใหม่ และ Backlog ของกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง มีโอกาสสร้าง New High ในปีนี้ โดยงานภาครัฐ มีโครงการถนนไร้ฝุ่น และรถไฟฟ้าเป็นตัวนำ ประเดิมด้วยโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ต่อด้วยสายสีน้ำเงิน และรอจ่อคิวในสายสีแดง ขณะที่งบไทยเข้มแข็งน่าจะเบิกจ่ายมากขึ้น
ขณะ เดียวกัน กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างเองก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรดีขึ้น เนื่องจากการส่งมอบงานที่มีกำไรขั้นต้น (Margin) ต่ำหมดลง ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ผลดำเนินงานของ 7 บริษัทที่ฝ่ายวิจัย ASP ศึกษา จะพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร 1.5 พันล้านบาท ในปีนี้ หนุนให้ราคาหุ้นฟื้นตัว (Outperform) ได้ โดยเฉพาะ STEC ซี่งมี Backlog ค่อนข้างมาก ทำให้การรับรู้รายได้จะเริ่มเติบโตก้าวกระโดดตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป
“ผล ของโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการถนนไร้ฝุ่น ยังส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง อย่าง TASCO ตามมาด้วย เพราะการเดินหน้าโรงกลั่นยางมะตอยในมาเลเซีย ได้ช่วยสนับสนุนยอดส่งออกเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทได้นำเข้าน้ำมันดิบเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบของโรงกลั่นแล้ว 3.8 ล้านบาร์เรล จากเป้าหมายทั้งปี 6.0 ล้านบาร์เรล จึงทำให้โรงกลั่นถึงจุดคุ้มทุนตั้งแต่ไตรมาสแรกแล้ว ดังนั้น TASCO น่าจะทำกำไรทั้งปีได้ถึง 811 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อน 64% ทำให้ประเมินราคาเหมาะสมได้ 47.82 บาท เมื่อใช้ PER 10 เท่า” นักวิเคราะห์จาก ASP พูดเสริม
ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะเขาเสนอแนะให้นักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มยานยนต์ เพิ่มเติมอีกด้วย
“หุ้น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และยานยนต์ เป็นอีก 2 กลุ่มที่สามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้ โดยหุ้นธนาคารพาณิชย์มีจุดเด่นเรื่องสินเชื่อมีแนวโน้มเติบโตสูง รับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ นำโดย KBANK ซึ่งมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อกลุ่ม SMEs และรายย่อยถึง 65% ของสินเชื่อรวม บวกด้วยกำไรจากมูลค่าเงินลงทุนในเมืองไทยประกันชีวิต ช่วยผลักดันการเติบโตกำไร รองลงไปเป็น TCAP ซึ่งกำไรโดดเด่นที่สุดในกลุ่มธนาคารขนาดเล็ก เพราะธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์มีแนวโน้มเติบโตสูงมากในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ส่วนกลุ่มยานยนต์มีการฟื้นตัวอย่างเด่นชัดแล้ว ทำให้ผลดำเนินงานไตรมาสแรกพลิกจากขาดทุนเป็นกำไรได้แล้ว ทำให้ประเมินได้ว่า 7 บริษัทที่ฝ่ายวิจัย ASP ศึกษา จะทำกำไรได้ 1.6 พันล้านบาท หลังจากปีก่อนขาดทุนรวมกัน 439 ล้านบาท โดยมี SAT และ STANLY เป็น Top pick ของกลุ่ม” คุณเทอดทิ้งท้าย
แนวคิดลงทุนโภคภัณฑ์ ทองคำ และอนุพันธ์
วง เสวนายังได้ฝากแนวคิดในการลงทุน SET50 Index Futures และสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงทองคำทิ้งท้ายด้วย ประเดิมด้วยการลงทุนใน SET50 Index Futures ระหว่างเดือนสิงหาคม และเดือนกันยายน ซึ่งฝ่ายวิจัย ASP แนะให้นักลงทุนเริ่มเปิด Long หลังจากดัชนียืนได้บริเวณแนวรับ ซึ่งคงจะต้องพิจารณาตามภาวะตลาดกันต่อไป แต่หากดัชนีผ่าน 583 จุดได้ ค่อยเปิด Long เพิ่ม แล้วถือยาวเพื่อลุ้นดัชนีแตะ 607 จุด
ฝ่าย วิเคราะห์หลักทรัพย์ TNITY ประเมินว่า หากมอง 12 เดือนขึ้นไป หรือมองระยะยาว ราคาน้ำมัน และทองคำยังคงดีอยู่ แต่ในระยะสั้นไม่ถึง 12 เดือน ราคาน่าจะแกว่งตามกรอบ (Trading Range) เท่านั้น จึงแนะนำให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวเท่านั้น
ขณะที่ถ่านหิน มีแนวโน้มชะลอตัวเช่นกัน แต่ไม่รุนแรงเท่าน้ำมัน และปิโตรเคมี โดยราคาอ้างอิง Barlow Jonker น่าจะแกว่งตัวในกรอบ 80-90 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในครึ่งปีหลัง หลังจากครึ่งปีแรกราคาเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 97.62 ดอลลาร์สหรัฐฯ พุ่งขึ้นจากปีก่อน 15% เพราะจีนยังเป็นผู้บริโภครายใหญ่อยู่ ทำให้ถ่านหินเป็นโภคภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง เป็นรองแค่ทองคำเท่านั้น
การ ดีดตัวของหุ้นขนาดกลางและเล็ก สวนทางหุ้นขนาดใหญ่ที่ซึมตัว หลังจากมีการไหลออกของเงินทุนบางส่วนออกไปชำระคืนหนี้ในกลุ่มสหภาพยุโรป และซื้อหุ้น IPO ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 4 ปี ที่จีน คิดเป็นมูลค่า 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดเดือนกรกฎาคม ทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มกังวลว่า หุ้นไทยจะมีการปรับฐานแล้วหรือบางคนก็สงสัยว่า ควรขายหุ้นทำกำไรออกไปก่อนแล้วค่อยซื้อกลับดีหรือไม่ แต่ก็มีอีกหลายรายเหมือนกันที่ยังคิดไม่ออกว่า จะซื้อหุ้นอะไรเก็บเข้าพอร์ตดี
เพื่อหาคำตอบในประเด็นเหล่านี้ กองบรรณาธิการ M&W จึงเชิญนักวิเคราะห์จาก 3 สถาบัน ประกอบด้วยคุณ เทอดศักดิ์ ทวีธีระธรม หรือ “คุณเทอด” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส (ASP) คุณสุกิจ อุดมศิริกุล หรือ “หนุ่มป๋อง” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับคุณวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย หรือ “คุณแอ๊ะ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ (TNITY) ผ่านเวทีสัมมนา หัวข้อ “ จับจังหวะลงทุน เลือกหุ้นไตรมาส 3” โดยมอบหมายให้คุณเนาวรัตน์ เจริญประพิณ พิธีกรจาก Money Channel รับหน้าที่ผู้ดำเนินงานสัมมนา
“มองหุ้นไตรมาส 3 อย่างไรคะ” เนาวรัตน์ ยิงคำถามเปิดงาน
หุ้นไตรมาส 3 แกว่งรายวัน
ไร้ Fund Flow
คำ ตอบจากนักวิเคราะห์จากทั้ง 3 ค่าย ออกมาตรงกันว่า หุ้นไทยไตรมาส 3 น่าจะอยู่ในลักษณะแกว่งตามกรอบ (Trading Range) ในลักษณะเดียวกับที่เกิดตลอดเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งดัชนีจะขึ้นหรือลงตามแรงซื้อแรงขายของนักลงทุนกลุ่มต่างๆ ในประเทศ ทั้งกองทุนรวม พอร์ตโบรกเกอร์ และนักลงทุนรายย่อย เพราะไม่มีปัจจัยบวกช่วยขับเคลื่อนตลาด ทำให้ไม่มีการไหลเข้าของเม็ดเงินใหม่ๆ จากต่างประเทศ (Fund Flow )
“เมื่อ ดูสถิติ Fund Flow ตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2538 เรื่อยมา จะพบว่า กรอบการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย มักจะอยู่ที่ระดับ PER ประมาณ 12 เท่า แต่หากมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ ก็อาจปรับเพิ่มเป็น 14 เท่าได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากภาวะปัจจุบัน ตลาดน่าจะแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 780-820 จุด ยกเว้นมีปัจจัยบวกใหม่ๆ ผลักดันให้มีเงินไหลเข้า ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ดัชนีมีโอกาสไต่ระดับไปถึง 880 จุด ในทางกลับกัน หากมีปัจจัยลบใหม่ๆ เกิดขึ้น อาจเห็นดัชนีปรับฐานลงเช่นกัน แต่คงไม่รุนแรงจนดัชนีหลุด 754 จุด” คุณเทอดศักดิ์ ให้ความมั่นใจ
“ต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นไตรมาส 3 อยู่ในภาวะอึดอัด เนื่องจากไม่มี story ขับเคลื่อน ขาดปัจจัยบวกหนุน แม้แต่ข่าวดีเรื่องการส่งออกดีที่เกิดขึ้นตลอดไตรมาส 2 ก็จะเริ่มหมดไป เพราะการฟื้นตัวภาคอุตสาหกรรมเริ่มชะลอตัวตามการลดลงของสินค้าคงคลัง และคำสั่งซื้อใหม่ๆ ขณะที่การจับจ่ายใช้สอยเพื่ออุปโภคบริโภคในประเทศเริ่มซึมตัว ส่งผลให้ไม่มีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้ามา อย่างไรก็ดี การที่มีแรงซื้อจากนักลงทุนในประเทศ จึงทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นบ้าง แต่ก็อยู่ในลักษณะ Sideway” สุกิจ ชี้ให้เห็นภาพ
“Fund Flow ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียตั้งแต่ต้นปี มีแนวโน้มจะไหลออกได้อีกในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการชำระคืนหนี้ในกลุ่มสหภาพยุโรปประจำปี เช่นเดียวกับที่ไหลออกมาแล้วครั้งหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ประกอบกับตลาดยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกคอยฉุดผลดำเนิน งานบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่อีก โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคาโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน โรงกลั่น ปิโตรเคมี เหล็ก หรือเรือ มีแนวโน้มกำไรไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ไม่สดใสเหมือนไตรมาสแรก หุ้นไทยจึงไปต่อไปไม่ได้” คุณแอ๊ะ ให้เหตุผล
อย่างไรก็ตาม เธอยังมีความมั่นใจว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไตรมาสสุดท้ายน่าจะสดใสขึ้น เพราะผลดำเนินงานหุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคาโภคภัณฑ์น่าจะฟื้นตัวจากที่ย่ำแย่ สุด (Bottom Out) ในไตรมาส 3 ไปแล้ว ทำให้มีแรงซื้อหุ้นนำตลาดนี้กลุ่มนี้กลับมาอีกครั้ง หนุนให้ตลาดสดใสขึ้น โดยทุกฝ่ายน่าจะเห็นดัชนีไต่ขึ้นไปทดสอบ 900 จุด ในต้นปีหน้า เมื่อปัจจัยลบที่รุมเร้าตลาดหุ้นตลอดปีนี้ค่อยๆ ผ่อนคลายลงไป
การที่คุณแอ๊ะเปิดประเด็นให้ว่า หุ้นกลุ่มนำตลาดไม่สดใส ทำให้ผู้ดำเนินงานสัมมนาได้โอกาสซักถามถึงกลยุทธ์ลงทุนหุ้นทันที
“นัก ลงทุนควรลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี เหล็ก เรือเทกอง แล้วหันไปเพิ่มน้ำหนักในหุ้นกลุ่มอาหาร เกษตร ยานยนต์ บันเทิง หรือเลือกหุ้นที่มีความปลอดภัย โดยเฉพาะหุ้นปันผล อย่างหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ค้าปลีก หรือสื่อสารแทน” นักวิเคราะห์สาวจาก TNITY ให้แนวคิด
ที่ เป็นเช่นนี้ก็เพราะรายงานดัชนีภาคอุตสาหกรรม (PMI) ของประเทศสำคัญหลายแห่งอ่อนแอลง กลายเป็นปัจจัยกดดันราคาโภคภัณฑ์แทบทุกประเภท ทั้งน้ำมัน ปิโตรเคมี เหล็ก ค่าระวางเรือ และยิ่งดัชนี Oil Forward Curve บ่งชี้ว่าราคาน้ำมันยังไม่ใช่ขาขึ้น ทำให้มีการคาดหมายกันว่า ราคาน้ำมันครึ่งหลังปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวจากระดับเฉลี่ยในครึ่งปีแรก ที่บาร์เรลละ 77 ดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือไม่เกินบาร์เรลละ 75 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีความเป็นไปได้ด้วยว่า ทุกฝ่ายจะเห็นการอ่อนตัวในไตรมาส 3 ทันที
ด้าน นักวิเคราะห์หนุ่มใหญ่จาก ASP บอกว่า แม้ตลาดหุ้นจะไม่มี Fund Flow ใหม่ แต่โอกาสเห็นดัชนีปรับฐานก็มีอย่างจำกัด หรือมี downsize น้อย เพราะเมื่อได้ศึกษาข้อมูลการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ จะพบว่า นักลงทุนต่างชาติไม่น่าขายหุ้นออกมาอีก เนื่องจากหุ้นที่เก็บในพอร์ตปัจจุบันมีต้นทุนสูง การขายจะทำให้ขาดทุนมาก ดังนั้น ในระหว่างรอเม็ดเงินใหม่ไหลเข้า นักลงทุนควรทยอยซื้อสะสม เน้นไปที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคในประเทศ (Domestic Plays) เช่น หุ้นพัฒนาที่อยู่อาศัย รับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง ธนาคารพาณิชย์ จะดีกว่า
ส่วนนักวิเคราะห์รูปหล่อ ที่เพิ่งย้ายค่ายจาก SCRI ไปอยู่ที่ SCBS มองว่า การที่ตลาดข่าวดีหนุนทำให้นักลงทุนต่างชาติรอจังหวะลงทุนโดยหันมาพักเงินใน ตราสารหนี้และทองคำแทน ดังนั้น ทิศทางตลาดหุ้นในช่วงนี้จึงแกว่งตัวแคบๆ ตามเม็ดเงินในประเทศ ที่เคลื่อนย้ายสลับไปมารายวัน และรายกลุ่ม ส่งผลให้นักลงทุนจำเป็นต้องเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy)
“การ ลงทุนหุ้นไตรมาส 3 จะต้องเลือกเป็นรายตัว ดูฐานะทางการเงินประกอบการตัดสินใจ และรอจังหวะในการซื้อ เพราะตลาดยังมีความผันผวนอยู่เหมือนเดิม แม้จะไม่มีเงินใหม่เข้าก็ตาม” สุกิจ สรุปสั้นๆ ปิดท้าย
จากนั้น วงสัมมนาหันมาพูดคุยกันถึงหุ้นเด่นที่ลงทุนแล้วนักลงทุนน่าจะสบายใจกันต่อ
โผหุ้นสบายใจ SCBS
AOT ADVANC CENTEL CPALL GFPT KBANK KTB MINT
หนุ่ม ป๋อง นักกลยุทธ์น้องใหม่ค่าย SCBS แนะหุ้น 4 กลุ่ม ได้แก่ หุ้นธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก สื่อสารและท่องเที่ยว เพราะหุ้นเหล่านี้มีความผันผวนน้อยกว่าตลาด ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนลงทุนได้อย่างสบายใจ
“หุ้นกลุ่มธนาคารยังคงมี ศักยภาพในการทำกำไรดีต่อเนื่อง ทั้งจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และรายได้ดอกเบี้ยที่ขยายตัวตามการเติบโตของสินเชื่อ รวมถึงส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (NIM) ที่มีแนวโน้มปรับขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยในประเทศ ส่วนหุ้นกลุ่มค้าปลีก ธุรกิจสามารถทำกำไรเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ ในอัตราสูงกว่าเงินเฟ้อ ขณะที่หุ้นกลุ่มสื่อสาร มี story เรื่องการเปิดประมูลใบอนุญาต 3G เป็นตัวกระตุ้น ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะมีผลดีต่อผู้ประกอบการรายเดิมทุกราย เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานจะลดลง ส่งผลให้กำไรปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หนุนให้ราคาหุ้นมี upside จากราคาปัจจุบันซึ่งยังไม่สะท้อนข่าวเรื่อง 3G แต่อย่างใด สำหรับหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจอีกครั้ง ทำให้มีโอกาสทำกำไรจากราคาหุ้นซึ่งปรับฐานค่อนข้างแรงในช่วงก่อนหน้านี้” หนุ่มป๋อง ขมวดประเด็น
ซึ่งเมื่อให้เลือกหุ้นเด่นจาก 4 กลุ่มนี้ เขาเลือก AOT ADVANC CENTEL CPALL GFPT KBANK KTB และ MINT
โผหุ้นสบายใจ TNITY
ADVANC CPF GFPT GLOW MAJOR ROJNA TVO
ด้าน นักวิเคราะห์สาวจาก TNITY ชี้ว่า การที่หุ้นนำตลาด โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ ขาดปัจจัยบวกสนับสนุนการปรับขึ้นของราคาหุ้นอย่างชัดเจน ดังนั้น การลงทุนจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีความปลอดภัยสูง (Safety net) ได้แก่ CPF ADVANC TVO GLOW
โดย CPF และ ADVANC ถือเป็นหุ้นที่มีการเติบโตของกำไร และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ขณะที่ราคาหุ้นยังมี Upside ไม่ต่ำกว่า 10%
“ตัว CPF ไม่น่าจะไม่หยุดเติบโต ทั้งธุรกิจ Feed ธุรกิจ Farm และธุรกิจ Food และยิ่งบริษัทประกาศขยายสัดส่วนการการส่งออกเพิ่มจากปัจจุบัน 25% เป็น 50% โดยอาศัยแบรนด์ CP Fresh Mart ซึ่งประสบความสำเร็จในประเทศได้แล้ว ทำให้น่าจะเห็นอัตราเติบโตของกำไรปีนี้ไม่ต่ำกว่า 30% ต่อเนื่องจากปีก่อนที่กำไรพุ่งถึง 3 เท่าตัว โดย TNITY ให้ราคาเหมาะสมที่ 25.25 บาท อิงตามค่า PER 12.5 เท่าในปีหน้า ส่วน ADVANC นอกจากการลงทุนจะหวังเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 6% ได้แล้ว ยังมี upside จากข่าวการประมูลใบอนุญาต 3G ได้อีก โดยหากการประมูลเกิดขึ้นจริง จะมีผลให้ราคาหุ้นสามารถปรับขึ้นได้อีก 12-25% แต่หากการประมูลถูกเลื่อนออกไป บริษัทก็มีแผนจ่ายปันผลพิเศษเพิ่มเติมอีก” คุณแอ๊ะ อธิบาย
ขณะที่ TVO และ GLOW ถือเป็นหุ้นที่ราคาถูก แต่สามารถให้ผลตอบแทนสูง เมื่อประเมินราคาจากมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV - Price per book value) และวัดผลตอบแทนจากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE - Return on equity)
“เพราะ TVO สามารถเพิ่มกำลังการผลิตเป็นวันละ 6,000 ตันได้ตั้งแต่ครึ่งหลังปีนี้เป็นต้นไป ทำให้ประเมินได้ว่า บริษัทน่าจะมีกำไรเฉลี่ยไตรมาสละ 500 ล้านบาท ซึ่งมีผลให้สามารถจ่ายปันผลได้เพิ่มขึ้น เฉลี่ยทั้งปีไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 1.50 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 7.5%
สำหรับ GLOW คาดว่า กำไรสุทธิปี 2553-2555 จะโตเฉลี่ยปีละ 27% จากการขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 55% จาก 2,118 MWeq ในปีนี้ เป็น 3,275 MWeq ในอีก 2 ปีข้างหน้า และหากนับรวมผลตอบแทนจากโครงการ Gheco-One ที่บริษัทถือหุ้น 65% จะเริ่มออกดอกออกผลปลายปีหน้าเป็นต้นไป ทำให้ราคาเหมาะสมขยับเป็น 46 บาท อิงจาก EV/EBITDA 10 เท่าใน 12 เดือนข้างหน้า ขณะที่เงินปันผลไม่น่าต่ำกว่า 5%” วชิราลักษณ์ สรุปประเด็น
เธอยัง ทิ้งท้ายหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีมากอีกตัวหนึ่ง คือ TPIPL แต่เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนี้ยังไม่แข็งแกร่งนัก จึงแนะนำแค่ “เก็งกำไร“ (Trading) โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 14 บาท
คุณแอ๊ะยังแนะ ให้จับตาหุ้น MAJOR และ ROJNA ด้วย เพราะกำไรมีแนวโน้มเติบโตสูงมาก อย่าง MAJOR กำไรโตจากทั้งภาพยนตร์ที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โฆษณาที่ฟื้นตัวขึ้น และกำไรพิเศษอีก 150 ล้านบาท จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ ในไตรมาส 3 แถมยังมีกำไรจากมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทลูก โดยเฉพาะ SF ที่โตขึ้นมาก
เช่นเดียวกับ ROJNA ที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตสวนทางปัจจัยลบที่รุมเร้าเข้ามา เมื่อรายได้จากยอดขายที่ดิน และยอดขายไฟฟ้าภายในนิคมอุตสาหกรรม เป็นไปตามเป้าหมาย แม้จะมีสถานการณ์การเมืองปะทุขึ้นมา ส่วนธุรกิจคอนโดมีเนียมที่บริษัทแตกแขนงออกไปก็เดินหน้าด้วยดี โดยเฉพาะโครงการในจีน แม้จะเผชิญมาตรการคุมเข้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ต้นปี
และ ยิ่งบริษัทหันมารุกตลาดคอนโดมีเนียมในประเทศ ประเดิมโครงการแรกที่รัตนาธิเบศร์ ในไตรมาส 3 นี้ และมีแผนจะทยอยเปิดโครงการใหม่อีกหลายเฟส ทำให้มูลค่าเหมาะสมใน 12 เดือนข้างหน้า ขยับเพิ่มเป็น14 บาท เมื่ออิงจากระดับ PER 12 เท่า
โผหุ้นสบายใจ ASP
KBANK LH PS SAT SPALI STANLY STEC TASCO
สำหรับ คุณเทอดประเดิมโผหุ้นเด็ดด้วยหุ้นกลุ่มพัฒนาที่ดินที่เขามีความถนัดมากที่ สุด โดยให้เหตุผลว่า เป็นหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ พิจารณาได้จากระดับราคาหุ้นทั้งกลุ่ม (Property Sector Index) ที่ระดับราคาปัจจุบันอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงปี 2531 สวนทางตัวเลขงบการเงินที่มีความแข็งแกร่งขึ้นมาก ไม่ว่าจะดูจากงบกำไรขาดทุน หรืองบกระแสเงินสด (Cashfow) ที่พลิกกลับมาเป็นบวกในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาระดับราคาหุ้นช่วง 1 ปีล่าสุด จะพบด้วยว่า ก่อนราคาหุ้นจะเริ่มดีดตัวในช่วง 1-2 เดือนนี้ Property Sector Index มีการปรับฐานนานกว่า 8 เดือน สะท้อนให้เห็นว่า ราคาหุ้นได้แตะจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ดังนั้น ตั้งแต่ครึ่งปีหลังเป็นต้นไป น่าจะเห็นราคาหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ค่อยๆ ปรับขึ้น โดยเฉพาะหุ้น PS และ SPALI ซึ่งมี Presale และ Backlog สูงที่สุดในกลุ่ม เพราะแนวโน้มกำไรจะเติบโตอย่างเด่นชัด ในครึ่งปีหลัง แต่สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาว ควรเลือก LH เพราะแนวโน้มกำไรจะเติบโตชัดเจนในปีหน้า
ถัดจากนั้น เขาลงรายละเอียดหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างทันที โดยอธิบายว่า มีสัญญาณบวกจากการลงทุนภาครัฐ และภาคเอกชน หนุนให้การรับงานใหม่ และ Backlog ของกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง มีโอกาสสร้าง New High ในปีนี้ โดยงานภาครัฐ มีโครงการถนนไร้ฝุ่น และรถไฟฟ้าเป็นตัวนำ ประเดิมด้วยโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ต่อด้วยสายสีน้ำเงิน และรอจ่อคิวในสายสีแดง ขณะที่งบไทยเข้มแข็งน่าจะเบิกจ่ายมากขึ้น
ขณะ เดียวกัน กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างเองก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรดีขึ้น เนื่องจากการส่งมอบงานที่มีกำไรขั้นต้น (Margin) ต่ำหมดลง ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ผลดำเนินงานของ 7 บริษัทที่ฝ่ายวิจัย ASP ศึกษา จะพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร 1.5 พันล้านบาท ในปีนี้ หนุนให้ราคาหุ้นฟื้นตัว (Outperform) ได้ โดยเฉพาะ STEC ซี่งมี Backlog ค่อนข้างมาก ทำให้การรับรู้รายได้จะเริ่มเติบโตก้าวกระโดดตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป
“ผล ของโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการถนนไร้ฝุ่น ยังส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง อย่าง TASCO ตามมาด้วย เพราะการเดินหน้าโรงกลั่นยางมะตอยในมาเลเซีย ได้ช่วยสนับสนุนยอดส่งออกเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทได้นำเข้าน้ำมันดิบเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบของโรงกลั่นแล้ว 3.8 ล้านบาร์เรล จากเป้าหมายทั้งปี 6.0 ล้านบาร์เรล จึงทำให้โรงกลั่นถึงจุดคุ้มทุนตั้งแต่ไตรมาสแรกแล้ว ดังนั้น TASCO น่าจะทำกำไรทั้งปีได้ถึง 811 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อน 64% ทำให้ประเมินราคาเหมาะสมได้ 47.82 บาท เมื่อใช้ PER 10 เท่า” นักวิเคราะห์จาก ASP พูดเสริม
ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะเขาเสนอแนะให้นักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มยานยนต์ เพิ่มเติมอีกด้วย
“หุ้น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และยานยนต์ เป็นอีก 2 กลุ่มที่สามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้ โดยหุ้นธนาคารพาณิชย์มีจุดเด่นเรื่องสินเชื่อมีแนวโน้มเติบโตสูง รับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ นำโดย KBANK ซึ่งมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อกลุ่ม SMEs และรายย่อยถึง 65% ของสินเชื่อรวม บวกด้วยกำไรจากมูลค่าเงินลงทุนในเมืองไทยประกันชีวิต ช่วยผลักดันการเติบโตกำไร รองลงไปเป็น TCAP ซึ่งกำไรโดดเด่นที่สุดในกลุ่มธนาคารขนาดเล็ก เพราะธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์มีแนวโน้มเติบโตสูงมากในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ส่วนกลุ่มยานยนต์มีการฟื้นตัวอย่างเด่นชัดแล้ว ทำให้ผลดำเนินงานไตรมาสแรกพลิกจากขาดทุนเป็นกำไรได้แล้ว ทำให้ประเมินได้ว่า 7 บริษัทที่ฝ่ายวิจัย ASP ศึกษา จะทำกำไรได้ 1.6 พันล้านบาท หลังจากปีก่อนขาดทุนรวมกัน 439 ล้านบาท โดยมี SAT และ STANLY เป็น Top pick ของกลุ่ม” คุณเทอดทิ้งท้าย
แนวคิดลงทุนโภคภัณฑ์ ทองคำ และอนุพันธ์
วง เสวนายังได้ฝากแนวคิดในการลงทุน SET50 Index Futures และสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงทองคำทิ้งท้ายด้วย ประเดิมด้วยการลงทุนใน SET50 Index Futures ระหว่างเดือนสิงหาคม และเดือนกันยายน ซึ่งฝ่ายวิจัย ASP แนะให้นักลงทุนเริ่มเปิด Long หลังจากดัชนียืนได้บริเวณแนวรับ ซึ่งคงจะต้องพิจารณาตามภาวะตลาดกันต่อไป แต่หากดัชนีผ่าน 583 จุดได้ ค่อยเปิด Long เพิ่ม แล้วถือยาวเพื่อลุ้นดัชนีแตะ 607 จุด
ฝ่าย วิเคราะห์หลักทรัพย์ TNITY ประเมินว่า หากมอง 12 เดือนขึ้นไป หรือมองระยะยาว ราคาน้ำมัน และทองคำยังคงดีอยู่ แต่ในระยะสั้นไม่ถึง 12 เดือน ราคาน่าจะแกว่งตามกรอบ (Trading Range) เท่านั้น จึงแนะนำให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวเท่านั้น
ขณะที่ถ่านหิน มีแนวโน้มชะลอตัวเช่นกัน แต่ไม่รุนแรงเท่าน้ำมัน และปิโตรเคมี โดยราคาอ้างอิง Barlow Jonker น่าจะแกว่งตัวในกรอบ 80-90 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในครึ่งปีหลัง หลังจากครึ่งปีแรกราคาเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 97.62 ดอลลาร์สหรัฐฯ พุ่งขึ้นจากปีก่อน 15% เพราะจีนยังเป็นผู้บริโภครายใหญ่อยู่ ทำให้ถ่านหินเป็นโภคภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง เป็นรองแค่ทองคำเท่านั้น
- ลุงมดงาน
- Verified User
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 28
"ยิ่งสูงยิ่งหนาว "
ในภาวะ ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ พุ่งทะยานมาอยู่ที่ เก้าร้อยกว่าจุด ขณะนี้
เลยทำให้นึกถึง คำพูดและความคิดเห็นของ ดร.นิเวศน์ ต่อสถานการนี้
ก็เลยสรุปมาแบ่งปัน ย้ำเตือน นักลงทุน VI พันธุ์แท้ กันครับ
..............................
ราคาหุ้นตอนนี้แพงเกินไปหรือยัง และยังเข้าซื้อได้หรือไม่ ????
"คำถามนี้ผมเอง(หมายถึง ดร.นิเวศน์) ไม่ใคร่ถนัดที่จะตอบ เพราะโดยแนว
ทางของ Value Investor แท้ๆแล้ว เราไม่สนใจดัชนีตลาดจะเป็นอย่างไร
เพราะเราไม่ได้ซื้อ ดัชนีตลาด
สิ่ง ที่เราสนใจคือ หุ้นดีมีคุณค่า ที่เราต้องการจะ
ซื้อ ในภาวะที่ตลาดหุ้นทรงๆหรือซบเซา ผม(หมายถึง ดร.นิเวศน์) มักจะพบ
หุ้นดีราคาถูกเหลือเชื่อ มีให้เลือกซื้อเต็มไปหมด หลายๆตัวเฉพาะปันผลก็
เหลือคุ้มแล้ว เรียกว่า ซื้อแล้วแทบจะไม่มีความเสี่ยง มีแต่ความอุ่นใจสบายใจ
ตรงกันข้ามในช่วงที่ดัชนีวิ่งพุ่งขึ้นสูงๆ เช่นในขณะนี้ จะหาหุ้นดีราคาถูก หรือ
ราคาเหมาะสม ได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจะพูดภาษาของเบน เกรแฮม บิดาของนัก
ลงทุนแบบ Value Investment ก็คือ หุ้นนั้นมี Margin of Safety น้อย และ
" นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าไม่ควรเสี่ยงที่จะลงทุน "
แต่สำหรับหุ้นเก็งกำไร ซึ่งเป็นที่นิยมของนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่โดยทั่วไปนั้น
ช่วงเวลาที่ดัชนีตลาด กำลังวิ่งเป็นกระทิงเปลี่ยวอย่างปัจจุบัน ดูเหมือนว่าจะ
เป็น จังหวะทองในการเข้ามาซื้อขายหุ้น
ผมเอง (หมายถึง ดร.นิเวศน์) ก็ไม่สามารถและไม่กล้าที่จะแนะนำอะไรทั้งสิ้น
เพราะการขึ้นลงของหุ้นเก็งกำไรนั้นคาดการณ์ยาก ยามที่หุ้นเหล่านี้ขึ้น แม้
แต่ หุ้น Value Stock ที่ดีเยี่ยมก็ยังสู้ไม่ได้ ช่วงที่ผ่านมานี้ นักเล่นหุ้นเก็ง
กำไร ดูเหมือนจะเป็นพระเอก แต่คนที่คิดจะเข้ามาเก็งกำไรตอนนี้ คงต้อง
ระมัดระวังตัวว่า การเล่นหุ้นในช่วงที่ดัชนีอยู่ใน ระดับสูงไม่ใช่ของง่าย เพราะ
แม้ว่าจะสามารถ ทำกำไรอย่างรวดเร็ว แต่โอกาสเจ็บตัวหนัก ก็มีอยู่
เล่นหุ้นยามนี้อย่าลืมสุภาษิตที่ว่า
"ยิ่งสูงยิ่งหนาว "
ในภาวะ ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ พุ่งทะยานมาอยู่ที่ เก้าร้อยกว่าจุด ขณะนี้
เลยทำให้นึกถึง คำพูดและความคิดเห็นของ ดร.นิเวศน์ ต่อสถานการนี้
ก็เลยสรุปมาแบ่งปัน ย้ำเตือน นักลงทุน VI พันธุ์แท้ กันครับ
..............................
ราคาหุ้นตอนนี้แพงเกินไปหรือยัง และยังเข้าซื้อได้หรือไม่ ????
"คำถามนี้ผมเอง(หมายถึง ดร.นิเวศน์) ไม่ใคร่ถนัดที่จะตอบ เพราะโดยแนว
ทางของ Value Investor แท้ๆแล้ว เราไม่สนใจดัชนีตลาดจะเป็นอย่างไร
เพราะเราไม่ได้ซื้อ ดัชนีตลาด
สิ่ง ที่เราสนใจคือ หุ้นดีมีคุณค่า ที่เราต้องการจะ
ซื้อ ในภาวะที่ตลาดหุ้นทรงๆหรือซบเซา ผม(หมายถึง ดร.นิเวศน์) มักจะพบ
หุ้นดีราคาถูกเหลือเชื่อ มีให้เลือกซื้อเต็มไปหมด หลายๆตัวเฉพาะปันผลก็
เหลือคุ้มแล้ว เรียกว่า ซื้อแล้วแทบจะไม่มีความเสี่ยง มีแต่ความอุ่นใจสบายใจ
ตรงกันข้ามในช่วงที่ดัชนีวิ่งพุ่งขึ้นสูงๆ เช่นในขณะนี้ จะหาหุ้นดีราคาถูก หรือ
ราคาเหมาะสม ได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจะพูดภาษาของเบน เกรแฮม บิดาของนัก
ลงทุนแบบ Value Investment ก็คือ หุ้นนั้นมี Margin of Safety น้อย และ
" นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าไม่ควรเสี่ยงที่จะลงทุน "
แต่สำหรับหุ้นเก็งกำไร ซึ่งเป็นที่นิยมของนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่โดยทั่วไปนั้น
ช่วงเวลาที่ดัชนีตลาด กำลังวิ่งเป็นกระทิงเปลี่ยวอย่างปัจจุบัน ดูเหมือนว่าจะ
เป็น จังหวะทองในการเข้ามาซื้อขายหุ้น
ผมเอง (หมายถึง ดร.นิเวศน์) ก็ไม่สามารถและไม่กล้าที่จะแนะนำอะไรทั้งสิ้น
เพราะการขึ้นลงของหุ้นเก็งกำไรนั้นคาดการณ์ยาก ยามที่หุ้นเหล่านี้ขึ้น แม้
แต่ หุ้น Value Stock ที่ดีเยี่ยมก็ยังสู้ไม่ได้ ช่วงที่ผ่านมานี้ นักเล่นหุ้นเก็ง
กำไร ดูเหมือนจะเป็นพระเอก แต่คนที่คิดจะเข้ามาเก็งกำไรตอนนี้ คงต้อง
ระมัดระวังตัวว่า การเล่นหุ้นในช่วงที่ดัชนีอยู่ใน ระดับสูงไม่ใช่ของง่าย เพราะ
แม้ว่าจะสามารถ ทำกำไรอย่างรวดเร็ว แต่โอกาสเจ็บตัวหนัก ก็มีอยู่
เล่นหุ้นยามนี้อย่าลืมสุภาษิตที่ว่า
"ยิ่งสูงยิ่งหนาว "
ธรรมชาติของมดย่อมขยัน และอดทน
มีระเบียบวินัย เปรียบให้เห็นถึงความสำเร็จว่า
ย่อมไม่ได้มาเพราะโชคช่วยหรือสุ่มเสี่ยง แต่
ต้องดูเยี่ยงมดงาน
มีระเบียบวินัย เปรียบให้เห็นถึงความสำเร็จว่า
ย่อมไม่ได้มาเพราะโชคช่วยหรือสุ่มเสี่ยง แต่
ต้องดูเยี่ยงมดงาน
- preecha_w
- Verified User
- โพสต์: 94
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 29
ขอบคุณคุณ ออสโมซิส สำหรับความเห็นนักวิเคราะห์ ที่นำมาแบ่งปันครับ
คุณลุงมดงานครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมเอง ต้องบอกว่าได้แรงบันดาจใจ
จากหนังสือกลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ มากพอควร แต่เพิ่งลงทุนได้ไม่กี่ปี
คุณลุงลงทุนตั้งแต่ปี 02 เหรอครับ ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร
คุณเทพบอกว่าท่านมีหุ้นปันผลอยู่ สามสี่สิบตัว บางทีลดทุนโดยเอา
ส่วนต่างราคาที่ได้ไปซื้อหุ้นเพิ่มเข้ามา และลดต้นทุนเมื่อมีโอกาส
ทำให้เงินปันผลได้สูงขึ้นเพราะต้นทุนต่ำ
ผิดกับวีไอที่มุ่งเน้น มีหุ้นห้าหกตัวเน้นๆ กำลังดี ดูแลทั่วถึงดี
ช่วงนี้ดัชนีสูงขึ้น คนมีความสุขหลายคน คุณเทพท่านก็ยังแบ่ง
เงินสดสำรองไว้เท่าค่าใช้จ่ายหนึ่งปี เอาไว้ซื้อหุ้นเวลาตลาดไม่ดี
เพราะรอบที่แล้วมีปัญหา หุ้นถูกแต่ไม่มีเงินซื้อ ก็ต้องแล้วแต่
นโยบายของแต่ละท่านครับ
ยังไงก็ลงทุนด้วยความสุขทุกท่านนะครับ
คุณลุงมดงานครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมเอง ต้องบอกว่าได้แรงบันดาจใจ
จากหนังสือกลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ มากพอควร แต่เพิ่งลงทุนได้ไม่กี่ปี
คุณลุงลงทุนตั้งแต่ปี 02 เหรอครับ ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร
คุณเทพบอกว่าท่านมีหุ้นปันผลอยู่ สามสี่สิบตัว บางทีลดทุนโดยเอา
ส่วนต่างราคาที่ได้ไปซื้อหุ้นเพิ่มเข้ามา และลดต้นทุนเมื่อมีโอกาส
ทำให้เงินปันผลได้สูงขึ้นเพราะต้นทุนต่ำ
ผิดกับวีไอที่มุ่งเน้น มีหุ้นห้าหกตัวเน้นๆ กำลังดี ดูแลทั่วถึงดี
ช่วงนี้ดัชนีสูงขึ้น คนมีความสุขหลายคน คุณเทพท่านก็ยังแบ่ง
เงินสดสำรองไว้เท่าค่าใช้จ่ายหนึ่งปี เอาไว้ซื้อหุ้นเวลาตลาดไม่ดี
เพราะรอบที่แล้วมีปัญหา หุ้นถูกแต่ไม่มีเงินซื้อ ก็ต้องแล้วแต่
นโยบายของแต่ละท่านครับ
ยังไงก็ลงทุนด้วยความสุขทุกท่านนะครับ
- aosmosis
- Verified User
- โพสต์: 290
- ผู้ติดตาม: 0
>>>มีใคร สรุป งานเทคนิคการลงทุนหุ้นห่านทองคำ ได้บ้า
โพสต์ที่ 30
3 นักวิเคราะห์ 1 เซียนหุ้นปันผล แนะวิธีหาหุ้นลงทุนหวังผลกำไรได้ทั้งระยะกลางและระยะยาว
เทพ รุ่งธนาภิรมย์ ผู้ เชี่ยวชาญด้านการลงทุนหุ้นปันผลที่ประสบความสำเร็จมายาวนานเกือบ 30 ปี เขาเป็นผู้เขียนหนังสือขายดี กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ ที่โด่งดัง ห่านทองคำในความหมายของเทพ จริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นหุ้นเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงทรัพย์สินที่สามารถทำให้เกิดรายได้ที่ "สม่ำเสมอ" อย่างเช่น การฝากเงินกินดอกเบี้ย การลงทุนสร้างอพาร์ตเมนต์เก็บค่าเช่า ฯลฯ เพียงแต่สถานการณ์ปัจจุบันทำให้การลงทุนในทรัพย์สินประเภทอื่นไม่ให้ผลตอบ แทนเท่าที่ควร
เทพ ยกวิธีการเลือกหุ้นที่จะลงทุนว่ายึดหลัก 3 ข้อตามแนวทางของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ หนึ่ง. เป็นธุรกิจที่มีอนาคตและเข้าใจมัน สอง. ผู้บริหารมีคุณธรรมและมีฝีมือ และ สาม. ราคาต้องมีเหตุผล
สิ่งสำคัญบริษัทนั้น ต้องมี "แวลูครีเอชั่น" หรือคุณค่าในตัวเองต้องจำไว้เสมอว่าหุ้นไม่ใช่กระดาษที่ซื้อมาขายไปแต่ต้อง มีสิ่งพิเศษอยู่ในตัวบริษัท ตัวอย่างเช่นสินค้าที่จำหน่ายเป็นที่ต้องการของตลาดหรือไม่ ถ้าต้องสำรองด้อยค่าสินทรัพย์เรื่อยๆ แบบนี้ไม่ดี ลูกหนี้การค้าเรียกเก็บได้หมดหรือไม่ ตรงนี้สามารถดูได้ที่รายงานประจำปี
สิ่ง ที่จะสร้างมูลค่าให้กับบริษัทได้อย่างมหาศาลคือทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนหรือ แบรนด์ ซึ่งเป็นค่าความนิยมทางเศรษฐกิจแม้จะลงในบัญชีไม่ได้แต่ทำให้บริษัทสามารถ แข่งขันได้ระยะยาว
“ผมยังไม่ได้แตะราคาหุ้นเลยด้วยซ้ำอยากให้มาดูที่ คุณภาพของบริษัทที่เราเป็นเจ้าของดีกว่า ราคาหุ้นเป็นสิ่งที่คนภายนอกมอง ไม่ใช่ผู้ถือหุ้น”
เทพ ยกตัวอย่างหุ้น 5 ตัวหลักในพอร์ต (จริงๆ มีมากกว่านั้น) ถือมานานหลายปีและมีต้นทุนต่ำคือ น้ำมันพืชไทย (TVO) ล่ำสูง (LST) เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) และอินโดรามา โพลีเมอร์ส (IRP) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ทั้งหมดนี้ราคาหุ้นตกลงเกิน 60% ทั้งหมดในช่วงที่เกิดวิกฤติซับไพร์ม แต่สุดท้ายก็กลับมาได้ทั้งหมดและราคาหุ้นยังสูงกว่าเดิมอีกด้วย
ราคา หุ้น TVO ที่เขาซื้อมีต้นทุน 11 บาท ราคาตอนนี้ปรับขึ้นกว่า 200% หุ้น IVL มีต้นทุน 3.12 บาท ตอนนี้มีกำไรกว่า 600% สองบริษัทนี้เลือกลงทุนจากเหตุผลที่ว่า TVO มีสินทรัพย์ที่ดีคือตัวโรงงานและสินค้ามีแบรนด์ติดตลาด ส่วน IVL มี ROE ที่สูงมากและมีกระแสเงินสดที่ดี
"ตอนนั้นผมก็ใจหายเหมือนกันแต่นึก ถึงบัฟเฟตต์ที่บอกว่าให้ถือหุ้น(ดี)ไปนานๆ เลยตั้งตัวกลับมาได้ เสียดายอย่างเดียวว่าตอนนั้นเงินสดมีไม่พอซื้อเพิ่ม เพราะหุ้น 5 ตัวดังกล่าวราคาต่ำกว่า Book Value หมดเลย"
กวี ชูกิจเกษม ผู้ ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย แนะวิธีเลือกหุ้นลงทุนระยะยาวที่อาจจะต้องถือไปตลอดชีวิตมีหลัก 9 ข้อ
1. เลือกบริษัทที่ทำธุรกิจผูกขาดหรือมีมาร์เกตแชร์อันดับหนึ่ง
2. มีสถานะการเงินแข็งแกร่งมีหนี้สินน้อยมาก
3. กำไรต่อหุ้นหลายปีย้อนหลังนิ่งหรือเพิ่มขึ้นตลอด
4. ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ถ้าทำหลายอย่างจะโฟกัสยาก
5. มีผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงที่สุดในอุตสาหกรรม
6. มีอำนาจในการปรับราคาขายกับลูกค้าในระดับสูง ดูได้ที่อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ในระดับสูงคงที่
7. บริษัทที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนเยอะหรือเพิ่มทุนบ่อยๆ ในอนาคตแต่ยอดขายโตทุกปี
8. ผู้บริหารจะต้องมีความสามารถ และ
9. ผู้บริหารต้องมีธรรมาภิบาล
“สิ่งที่หุ้นห่านทองคำจะต้องมี คือ แบรนด์ที่แข็งแกร่งให้คนกลับมาซื้อหรือใช้บริการต่อเนื่อง แม้จะเกิดวิกฤติจะกลับมาได้เสมอ”
ที่ สำคัญนักลงทุนควรหาหุ้นที่จ่ายปันผลดีๆ ติดพอร์ต หรือ หุ้น Super Dividend ตัวอย่างเช่น หุ้นมาม่า (TF) สมัยก่อนราคาเพียง 10 บาท จ่ายปันผลหุ้นละ 1 บาท หรือ ผลตอบแทน 10% ปัจจุบันราคา 1,150 บาท ปันผล 10 บาท แต่คิดเป็นผลตอบแทนแค่ 1% แบบนี้ถือว่าเราได้ผลตอบแทนเป็น 100% ในต้นทุนที่เท่าเดิม ถ้าถือโดยไม่ขาย รวมถึงหุ้นโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) หุ้นฟาร์มเฮ้าส์ (PB) หุ้นซอสภูเขาทอง (SAUCE) หุ้นโรงแรมโอเรียลเต็ล (OHTL) ก็อยู่ในข่ายนี้ ถ้าเราเจอหุ้นที่คาดว่าจะเป็นแบบนี้ต้องถือยาวจนตลอดชีวิต
ด้านสอง นักวิเคราะห์ชั้นนำ มองว่า จะหาหุ้นลงทุนหวังกำไรระยะกลางตอนนี้ อย่าดูที่ SET Index เพราะยังมีหุ้นหลายตัวที่แนวโน้มเติบโต แต่ราคาหุ้นยังไม่สนองตอบ แนะหุ้นบางตัว “หมดเวลา” ของมันไปแล้ว
วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการ บริหารสายงานวิจัย บล.ทรีนีตี้ แนะนำหุ้นที่ควรลงทุนในภาวะปัจจุบันขอให้เป็นบริษัทที่สามารถผ่านวิกฤติ เศรษฐกิจทั้งสองครั้งมาได้แสดงถึงความสามารถของผู้บริหาร ปัจจุบันมีอยู่ 15 บริษัท เช่น BBL KBANK SCC หรือหุ้นขนาดกลางอย่าง BGH ก็มีการเติบโตจากการซื้อกิจการ รวมถึง DCC ที่มีเงินสดเยอะ และมีมาร์เกตแชร์สูงถึง 60%
นอกจากนี้ ยังต้องมี ROE ในระดับสูง โดยปกติจะเกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัย คือ หนึ่ง. ใช้หนี้สินมาต่อยอดกำไรหรือ Leverage แบบนี้ "อันตราย" สอง. มาจากกำไรสุทธิที่สูงก็ยังไม่แน่นอนเพราะอาจจะมาจากซื้อวัสดุต้นทุนต่ำมาขาย ก็ได้ ถ้าจะให้แข็งแกร่งและมั่นคงต้องแบบที่ สาม. เป็นบริษัทที่มีอัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ที่เร็ว หรือนำเงินไปต่อเงินได้ดี เช่น PS SCC และ AP
นอกจากนี้ ราคาต้องสมเหตุผลและมีโอกาสเติบโตในอนาคต อย่างหุ้น GLOW จะมีการเติบโตรวดเร็วในอีก 3 ปีข้างหน้าจากกำลังการผลิตที่สูงขึ้นและมีรายได้สม่ำเสมอรวมถึง Dividend Yield ก็อยู่ที่ 5-6% หุ้น ADVANC ก็กำลังเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ถ้ามี 3จี และค่าพี/อียังไม่สูงด้วย
ส่วน หุ้นที่ไม่ควรลงทุนและต้องระมัดระวังให้มากคือ "หุ้นตัวเล็ก" ที่ผลดำเนินการไม่ดี แต่ราคาขึ้นมาสูงแล้ว อย่างหุ้น TRUE แม้จะรับข่าวประมูล 3จี แต่ยังติดปัญหาหนี้สินที่เยอะอยู่รวมถึงต้องหาพันธมิตรมาช่วยประมูล 3จีและอาจจะต้องนำทรูมูฟเข้าตลาดหุ้น ดูแล้วปัจจัยลบเยอะกว่าข่าวดี
รวม ถึงหุ้นตัวใหญ่ที่ราคาลงมาเยอะแต่ดูแล้วยัง Under Perform อย่างหุ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมี เช่น PTTAR IRPC TOP ปีนี้ผลประกอบการไม่โดดเด่นถ้ายังไม่มีแนะว่า "อย่าเพิ่งเข้า" ดีกว่า
“หุ้นที่ขึ้นแบบไม่มีเหตุผลสุดท้ายเมื่อไม่มีข่าวดีมารองรับราคาหุ้นจะร่วงแน่นอนขอให้ระวังดีๆ”
พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้ อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.ธนชาต ให้น้ำหนักไปที่หุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่โรงกลั่นและปิโตรเคมี เช่น PTT PTTEP BANPU ที่ยังมีอัพไซด์เหลือให้ลงทุนได้ ส่วนหุ้น SCC จะถึงเวลา "เก็บเกี่ยว" ในปี 2554 และธุรกิจซีเมนต์รวมถึงกระดาษน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ราคาหุ้นตอนนี้ยังห่างจากราคาเป้าหมาย 340 บาทมากแถมปีหน้ามีลุ้นจ่ายปันผลมากขึ้นด้วย
ส่วนหุ้นธนาคารพาณิชย์ปี หน้าถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวเต็มที่ ธนาคารที่มีพอร์ตสินเชื่อรายย่อยกับเอสเอ็มอีสัดส่วนที่สูงก็จะได้เปรียบ เช่น KBANK ส่วนหุ้น BAY ดูแล้วยัง Under Perform เทียบกับการตั้งสำรองที่เกือบครบแล้วและมีพอร์ตรายย่อยถึง 50% BBL ยังมีสภาพคล่องสูงแต่อาจจะมาช้าหน่อยเพราะสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่น่าจะกลับ มาในอีก 18 เดือน ส่วน TMB มองว่าถึงจุดเทิร์นอะราวด์จริง แต่ราคาตอนนี้คิดว่า "ไปเร็วเกินไป"
หุ้น AOT ก็ยัง Under Perform ส่วน THAI แม้จะขึ้นมาเยอะแต่ถ้าการท่องเที่ยวกลับมาก็จะฟื้นเร็วแถมต้นทุนดำเนินงานก็ ลดลงอย่างมาก ส่วน PS และ LPN ยังมีอัพไซด์และมีสตอรี่เติบโตที่ดีต่อเนื่อง BANPU และ TUF ก็น่าสนใจเพราะไปซื้อกิจการในต่างประเทศรองรับการเติบโตในอนาคต
ส่วน หุ้นที่ไม่ควรลงทุนให้ดูเป็นรายกลุ่มอย่างกลุ่มค้าปลีก ยานยนต์ และเกษตร ตอนนี้วิ่งขึ้นไปเทรดที่ระดับสูงสุดแล้ว หุ้นกลุ่มที่ยังมีอัพไซด์เช่นพลังงานยังเทรดที่ค่ากลางอยู่ รวมถึงโรงพยาบาล สื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ และขนส่ง พวกนี้ยังพอมีช่องทำกำไรได้แต่ขอให้เลือกเป็นรายตัวดีกว่า
.......................................
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เทพ รุ่งธนาภิรมย์ ผู้ เชี่ยวชาญด้านการลงทุนหุ้นปันผลที่ประสบความสำเร็จมายาวนานเกือบ 30 ปี เขาเป็นผู้เขียนหนังสือขายดี กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ ที่โด่งดัง ห่านทองคำในความหมายของเทพ จริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นหุ้นเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงทรัพย์สินที่สามารถทำให้เกิดรายได้ที่ "สม่ำเสมอ" อย่างเช่น การฝากเงินกินดอกเบี้ย การลงทุนสร้างอพาร์ตเมนต์เก็บค่าเช่า ฯลฯ เพียงแต่สถานการณ์ปัจจุบันทำให้การลงทุนในทรัพย์สินประเภทอื่นไม่ให้ผลตอบ แทนเท่าที่ควร
เทพ ยกวิธีการเลือกหุ้นที่จะลงทุนว่ายึดหลัก 3 ข้อตามแนวทางของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ หนึ่ง. เป็นธุรกิจที่มีอนาคตและเข้าใจมัน สอง. ผู้บริหารมีคุณธรรมและมีฝีมือ และ สาม. ราคาต้องมีเหตุผล
สิ่งสำคัญบริษัทนั้น ต้องมี "แวลูครีเอชั่น" หรือคุณค่าในตัวเองต้องจำไว้เสมอว่าหุ้นไม่ใช่กระดาษที่ซื้อมาขายไปแต่ต้อง มีสิ่งพิเศษอยู่ในตัวบริษัท ตัวอย่างเช่นสินค้าที่จำหน่ายเป็นที่ต้องการของตลาดหรือไม่ ถ้าต้องสำรองด้อยค่าสินทรัพย์เรื่อยๆ แบบนี้ไม่ดี ลูกหนี้การค้าเรียกเก็บได้หมดหรือไม่ ตรงนี้สามารถดูได้ที่รายงานประจำปี
สิ่ง ที่จะสร้างมูลค่าให้กับบริษัทได้อย่างมหาศาลคือทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนหรือ แบรนด์ ซึ่งเป็นค่าความนิยมทางเศรษฐกิจแม้จะลงในบัญชีไม่ได้แต่ทำให้บริษัทสามารถ แข่งขันได้ระยะยาว
“ผมยังไม่ได้แตะราคาหุ้นเลยด้วยซ้ำอยากให้มาดูที่ คุณภาพของบริษัทที่เราเป็นเจ้าของดีกว่า ราคาหุ้นเป็นสิ่งที่คนภายนอกมอง ไม่ใช่ผู้ถือหุ้น”
เทพ ยกตัวอย่างหุ้น 5 ตัวหลักในพอร์ต (จริงๆ มีมากกว่านั้น) ถือมานานหลายปีและมีต้นทุนต่ำคือ น้ำมันพืชไทย (TVO) ล่ำสูง (LST) เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) และอินโดรามา โพลีเมอร์ส (IRP) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ทั้งหมดนี้ราคาหุ้นตกลงเกิน 60% ทั้งหมดในช่วงที่เกิดวิกฤติซับไพร์ม แต่สุดท้ายก็กลับมาได้ทั้งหมดและราคาหุ้นยังสูงกว่าเดิมอีกด้วย
ราคา หุ้น TVO ที่เขาซื้อมีต้นทุน 11 บาท ราคาตอนนี้ปรับขึ้นกว่า 200% หุ้น IVL มีต้นทุน 3.12 บาท ตอนนี้มีกำไรกว่า 600% สองบริษัทนี้เลือกลงทุนจากเหตุผลที่ว่า TVO มีสินทรัพย์ที่ดีคือตัวโรงงานและสินค้ามีแบรนด์ติดตลาด ส่วน IVL มี ROE ที่สูงมากและมีกระแสเงินสดที่ดี
"ตอนนั้นผมก็ใจหายเหมือนกันแต่นึก ถึงบัฟเฟตต์ที่บอกว่าให้ถือหุ้น(ดี)ไปนานๆ เลยตั้งตัวกลับมาได้ เสียดายอย่างเดียวว่าตอนนั้นเงินสดมีไม่พอซื้อเพิ่ม เพราะหุ้น 5 ตัวดังกล่าวราคาต่ำกว่า Book Value หมดเลย"
กวี ชูกิจเกษม ผู้ ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย แนะวิธีเลือกหุ้นลงทุนระยะยาวที่อาจจะต้องถือไปตลอดชีวิตมีหลัก 9 ข้อ
1. เลือกบริษัทที่ทำธุรกิจผูกขาดหรือมีมาร์เกตแชร์อันดับหนึ่ง
2. มีสถานะการเงินแข็งแกร่งมีหนี้สินน้อยมาก
3. กำไรต่อหุ้นหลายปีย้อนหลังนิ่งหรือเพิ่มขึ้นตลอด
4. ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ถ้าทำหลายอย่างจะโฟกัสยาก
5. มีผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงที่สุดในอุตสาหกรรม
6. มีอำนาจในการปรับราคาขายกับลูกค้าในระดับสูง ดูได้ที่อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ในระดับสูงคงที่
7. บริษัทที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนเยอะหรือเพิ่มทุนบ่อยๆ ในอนาคตแต่ยอดขายโตทุกปี
8. ผู้บริหารจะต้องมีความสามารถ และ
9. ผู้บริหารต้องมีธรรมาภิบาล
“สิ่งที่หุ้นห่านทองคำจะต้องมี คือ แบรนด์ที่แข็งแกร่งให้คนกลับมาซื้อหรือใช้บริการต่อเนื่อง แม้จะเกิดวิกฤติจะกลับมาได้เสมอ”
ที่ สำคัญนักลงทุนควรหาหุ้นที่จ่ายปันผลดีๆ ติดพอร์ต หรือ หุ้น Super Dividend ตัวอย่างเช่น หุ้นมาม่า (TF) สมัยก่อนราคาเพียง 10 บาท จ่ายปันผลหุ้นละ 1 บาท หรือ ผลตอบแทน 10% ปัจจุบันราคา 1,150 บาท ปันผล 10 บาท แต่คิดเป็นผลตอบแทนแค่ 1% แบบนี้ถือว่าเราได้ผลตอบแทนเป็น 100% ในต้นทุนที่เท่าเดิม ถ้าถือโดยไม่ขาย รวมถึงหุ้นโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) หุ้นฟาร์มเฮ้าส์ (PB) หุ้นซอสภูเขาทอง (SAUCE) หุ้นโรงแรมโอเรียลเต็ล (OHTL) ก็อยู่ในข่ายนี้ ถ้าเราเจอหุ้นที่คาดว่าจะเป็นแบบนี้ต้องถือยาวจนตลอดชีวิต
ด้านสอง นักวิเคราะห์ชั้นนำ มองว่า จะหาหุ้นลงทุนหวังกำไรระยะกลางตอนนี้ อย่าดูที่ SET Index เพราะยังมีหุ้นหลายตัวที่แนวโน้มเติบโต แต่ราคาหุ้นยังไม่สนองตอบ แนะหุ้นบางตัว “หมดเวลา” ของมันไปแล้ว
วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการ บริหารสายงานวิจัย บล.ทรีนีตี้ แนะนำหุ้นที่ควรลงทุนในภาวะปัจจุบันขอให้เป็นบริษัทที่สามารถผ่านวิกฤติ เศรษฐกิจทั้งสองครั้งมาได้แสดงถึงความสามารถของผู้บริหาร ปัจจุบันมีอยู่ 15 บริษัท เช่น BBL KBANK SCC หรือหุ้นขนาดกลางอย่าง BGH ก็มีการเติบโตจากการซื้อกิจการ รวมถึง DCC ที่มีเงินสดเยอะ และมีมาร์เกตแชร์สูงถึง 60%
นอกจากนี้ ยังต้องมี ROE ในระดับสูง โดยปกติจะเกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัย คือ หนึ่ง. ใช้หนี้สินมาต่อยอดกำไรหรือ Leverage แบบนี้ "อันตราย" สอง. มาจากกำไรสุทธิที่สูงก็ยังไม่แน่นอนเพราะอาจจะมาจากซื้อวัสดุต้นทุนต่ำมาขาย ก็ได้ ถ้าจะให้แข็งแกร่งและมั่นคงต้องแบบที่ สาม. เป็นบริษัทที่มีอัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ที่เร็ว หรือนำเงินไปต่อเงินได้ดี เช่น PS SCC และ AP
นอกจากนี้ ราคาต้องสมเหตุผลและมีโอกาสเติบโตในอนาคต อย่างหุ้น GLOW จะมีการเติบโตรวดเร็วในอีก 3 ปีข้างหน้าจากกำลังการผลิตที่สูงขึ้นและมีรายได้สม่ำเสมอรวมถึง Dividend Yield ก็อยู่ที่ 5-6% หุ้น ADVANC ก็กำลังเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ถ้ามี 3จี และค่าพี/อียังไม่สูงด้วย
ส่วน หุ้นที่ไม่ควรลงทุนและต้องระมัดระวังให้มากคือ "หุ้นตัวเล็ก" ที่ผลดำเนินการไม่ดี แต่ราคาขึ้นมาสูงแล้ว อย่างหุ้น TRUE แม้จะรับข่าวประมูล 3จี แต่ยังติดปัญหาหนี้สินที่เยอะอยู่รวมถึงต้องหาพันธมิตรมาช่วยประมูล 3จีและอาจจะต้องนำทรูมูฟเข้าตลาดหุ้น ดูแล้วปัจจัยลบเยอะกว่าข่าวดี
รวม ถึงหุ้นตัวใหญ่ที่ราคาลงมาเยอะแต่ดูแล้วยัง Under Perform อย่างหุ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมี เช่น PTTAR IRPC TOP ปีนี้ผลประกอบการไม่โดดเด่นถ้ายังไม่มีแนะว่า "อย่าเพิ่งเข้า" ดีกว่า
“หุ้นที่ขึ้นแบบไม่มีเหตุผลสุดท้ายเมื่อไม่มีข่าวดีมารองรับราคาหุ้นจะร่วงแน่นอนขอให้ระวังดีๆ”
พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้ อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.ธนชาต ให้น้ำหนักไปที่หุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่โรงกลั่นและปิโตรเคมี เช่น PTT PTTEP BANPU ที่ยังมีอัพไซด์เหลือให้ลงทุนได้ ส่วนหุ้น SCC จะถึงเวลา "เก็บเกี่ยว" ในปี 2554 และธุรกิจซีเมนต์รวมถึงกระดาษน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ราคาหุ้นตอนนี้ยังห่างจากราคาเป้าหมาย 340 บาทมากแถมปีหน้ามีลุ้นจ่ายปันผลมากขึ้นด้วย
ส่วนหุ้นธนาคารพาณิชย์ปี หน้าถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวเต็มที่ ธนาคารที่มีพอร์ตสินเชื่อรายย่อยกับเอสเอ็มอีสัดส่วนที่สูงก็จะได้เปรียบ เช่น KBANK ส่วนหุ้น BAY ดูแล้วยัง Under Perform เทียบกับการตั้งสำรองที่เกือบครบแล้วและมีพอร์ตรายย่อยถึง 50% BBL ยังมีสภาพคล่องสูงแต่อาจจะมาช้าหน่อยเพราะสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่น่าจะกลับ มาในอีก 18 เดือน ส่วน TMB มองว่าถึงจุดเทิร์นอะราวด์จริง แต่ราคาตอนนี้คิดว่า "ไปเร็วเกินไป"
หุ้น AOT ก็ยัง Under Perform ส่วน THAI แม้จะขึ้นมาเยอะแต่ถ้าการท่องเที่ยวกลับมาก็จะฟื้นเร็วแถมต้นทุนดำเนินงานก็ ลดลงอย่างมาก ส่วน PS และ LPN ยังมีอัพไซด์และมีสตอรี่เติบโตที่ดีต่อเนื่อง BANPU และ TUF ก็น่าสนใจเพราะไปซื้อกิจการในต่างประเทศรองรับการเติบโตในอนาคต
ส่วน หุ้นที่ไม่ควรลงทุนให้ดูเป็นรายกลุ่มอย่างกลุ่มค้าปลีก ยานยนต์ และเกษตร ตอนนี้วิ่งขึ้นไปเทรดที่ระดับสูงสุดแล้ว หุ้นกลุ่มที่ยังมีอัพไซด์เช่นพลังงานยังเทรดที่ค่ากลางอยู่ รวมถึงโรงพยาบาล สื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ และขนส่ง พวกนี้ยังพอมีช่องทำกำไรได้แต่ขอให้เลือกเป็นรายตัวดีกว่า
.......................................
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์