จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 1
ทั้งหมดที่เขียน ผมเขียนจากสิ่งที่เคยอ่านผ่านมา และจินตนาการของผมเอง
ข้อเท็จจริงอาจไม่ได้เป็นไปตามนี้
นี่คงเป็นเพียงแต่พูดคุย แชร์มุมมองเท่านั้นเองนะขอรับ
===============================================
ถ้าจะพูดถึง "การเก็บหุ้น" ของ "จ้าวที่" สำหรับหุ้นตัวใดตัวหนึ่งนั้น
(หรือบางคนอาจจะเรียกว่า "เจ้ามือ", "ขาใหญ่" หรือ "รายใหญ่" ก็ตามแต่)
วิธีที่คลาสสิคที่สุด ก็คือ "การทุบหุ้น"
หรือที่เซียนหุ้นมักจะเรียกช่วงเวลาใน State นี้ ว่า "ทุบให้อ๊วก!!!"
เป็นวิธีโบราณ แต่ก็มักจะใช้ได้ผลเสมอๆ
บางครั้ง "จ้าวมือ" เค้าอาจจะยอมซื้อหุ้นในราคาแพงบ้าง และทุบขายออกมาในราคาที่ถูก
บางทีก็เล่นกันเป็นกลุ่ม เป็นก๊วน บางทีก็ตั้ง Bid กันเอง ขายให้กันเองบ้าง
โดยการทุบหุ้นนั้น...
เจ้ามือมักจะทุบหุ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รายย่อย "กลัว" และคายของออกมาในที่สุด
บางครั้งก็อาจจะใช้วิธี "โยนหุ้น" กันไปมา ในกลุ่มก๊วนของตนเอง
โยนหุ้นจากกระเป๋าซ้ายไปยังกระเป๋าขวา เพื่อสร้างโวลุ่ม
และที่สำคัญก็เพื่อให้รายย่อย "เบื่อหน่าย" และคายหุ้นออกมาเช่นเดิม
โดยบางทีเค้าอาจจะ "ตั้งซื้อ" หรือ "ตั้งขาย" ไม้ละ 1,000 หุ้น ติดๆกันหลายสิบไม้
เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ หรือ Bookmark บางอย่าง
ทั้งนี้เพื่อสื่อสารกันเอง
หรือแม้แต่เพื่อให้รายย่อยทั่วประเทศสามารถสังเกตุเห็นการเคลื่อนไหวหุ้นของเค้าได้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น
(ประมาณว่า "ซื้อสื่อฟรี" บนกระดานอ่ะนะครับ)
หรือบางคนเคยพูดไว้ทำนองว่า "จ้าวมือเค้าแทบจะเช็คชื่อ หรือนับจำนวนหุ้น" กันเลยทีเดียว
แต่...............................................................................
"ปัจจุบัน...เมื่อเจ้ามือ ไม่ได้เจอเฉพาะแต่รายย่อย!!!
แต่จ้าวมือ กลับมาเจอกลุ่มก้อนที่เรียกตัวเองโดยรวมๆว่า "กลุ่ม VI"
เจ้ามือตั้งใจ "ทุบให้อ๊วก" แต่พวกนี้กลับไม่ยอมอ๊วก
เจ้ามือตั้งใจ "ทำให้เบื่อหน่าย" แต่พวกนี้กลับใจเย็นเป็นน้ำแข็ง ไม่ยอมคายหุ้นออกมา
คำถามของผมก็คือ...
"ในความรู้สึกของคุณ
คุณมองว่า กลุ่ม VI จะมีผลต่อ เจ้ามือ หรือจ้าวที่ บ้างไหมครับ???"
ข้อเท็จจริงอาจไม่ได้เป็นไปตามนี้
นี่คงเป็นเพียงแต่พูดคุย แชร์มุมมองเท่านั้นเองนะขอรับ
===============================================
ถ้าจะพูดถึง "การเก็บหุ้น" ของ "จ้าวที่" สำหรับหุ้นตัวใดตัวหนึ่งนั้น
(หรือบางคนอาจจะเรียกว่า "เจ้ามือ", "ขาใหญ่" หรือ "รายใหญ่" ก็ตามแต่)
วิธีที่คลาสสิคที่สุด ก็คือ "การทุบหุ้น"
หรือที่เซียนหุ้นมักจะเรียกช่วงเวลาใน State นี้ ว่า "ทุบให้อ๊วก!!!"
เป็นวิธีโบราณ แต่ก็มักจะใช้ได้ผลเสมอๆ
บางครั้ง "จ้าวมือ" เค้าอาจจะยอมซื้อหุ้นในราคาแพงบ้าง และทุบขายออกมาในราคาที่ถูก
บางทีก็เล่นกันเป็นกลุ่ม เป็นก๊วน บางทีก็ตั้ง Bid กันเอง ขายให้กันเองบ้าง
โดยการทุบหุ้นนั้น...
เจ้ามือมักจะทุบหุ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รายย่อย "กลัว" และคายของออกมาในที่สุด
บางครั้งก็อาจจะใช้วิธี "โยนหุ้น" กันไปมา ในกลุ่มก๊วนของตนเอง
โยนหุ้นจากกระเป๋าซ้ายไปยังกระเป๋าขวา เพื่อสร้างโวลุ่ม
และที่สำคัญก็เพื่อให้รายย่อย "เบื่อหน่าย" และคายหุ้นออกมาเช่นเดิม
โดยบางทีเค้าอาจจะ "ตั้งซื้อ" หรือ "ตั้งขาย" ไม้ละ 1,000 หุ้น ติดๆกันหลายสิบไม้
เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ หรือ Bookmark บางอย่าง
ทั้งนี้เพื่อสื่อสารกันเอง
หรือแม้แต่เพื่อให้รายย่อยทั่วประเทศสามารถสังเกตุเห็นการเคลื่อนไหวหุ้นของเค้าได้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น
(ประมาณว่า "ซื้อสื่อฟรี" บนกระดานอ่ะนะครับ)
หรือบางคนเคยพูดไว้ทำนองว่า "จ้าวมือเค้าแทบจะเช็คชื่อ หรือนับจำนวนหุ้น" กันเลยทีเดียว
แต่...............................................................................
"ปัจจุบัน...เมื่อเจ้ามือ ไม่ได้เจอเฉพาะแต่รายย่อย!!!
แต่จ้าวมือ กลับมาเจอกลุ่มก้อนที่เรียกตัวเองโดยรวมๆว่า "กลุ่ม VI"
เจ้ามือตั้งใจ "ทุบให้อ๊วก" แต่พวกนี้กลับไม่ยอมอ๊วก
เจ้ามือตั้งใจ "ทำให้เบื่อหน่าย" แต่พวกนี้กลับใจเย็นเป็นน้ำแข็ง ไม่ยอมคายหุ้นออกมา
คำถามของผมก็คือ...
"ในความรู้สึกของคุณ
คุณมองว่า กลุ่ม VI จะมีผลต่อ เจ้ามือ หรือจ้าวที่ บ้างไหมครับ???"
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- simplelife
- Verified User
- โพสต์: 756
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 2
ผมคิดว่าแทนที่จะเอาเวลามานั่ง imagine เรื่องราวขนาดนี้ เอาเวลาไปอ่านหนังสือ ศึกษาธุรกิจ วิเคราะห์ผลประกอบการณ์ น่าจะดีกว่าครับ
"I believe what I said yesterday. I don't know what I said, but I know what I think... and I assume it's what I said." -- Donald Rumsfeld
-
- Verified User
- โพสต์: 227
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 3
ผมก็ไม่รู้ว่ามีผลยังงัยนะคับ..แต่ผมขยะแขยงกับกลุ่มคนเหล่านั้นมากมาก
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 4
เวลาหุ้นขึ้น ให้คิดว่าเจ้าลาก
เวลาหุ้นลง ให้คิดว่าเจ้าทุบ
เกิดจากจินตนาการล้วนๆ ถ้าปล่อยให้ความคิดนี้มีมากๆเข้า สงสัยได้ตั้งแท่นบูชา
จุดธุป บวงสรวง ตลอดจนทำวัตถุมงคลแจกจ่ายก็เป็นได้
เวลาหุ้นลง ให้คิดว่าเจ้าทุบ
เกิดจากจินตนาการล้วนๆ ถ้าปล่อยให้ความคิดนี้มีมากๆเข้า สงสัยได้ตั้งแท่นบูชา
จุดธุป บวงสรวง ตลอดจนทำวัตถุมงคลแจกจ่ายก็เป็นได้
- โอ@
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4246
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 5
ผมว่ามี 2 สิ่งที่ทำให้ตลาดไม่มีประสิทธิภาพคือ
1. อารมณ์ - เวลาคนกลัวสุดๆ ราคาหุ้นจะตกเกินกว่าความเป็นจริง เช่นเดียวกันเวลาคนมั่นใจสุดๆมันก็ขึ้นไปมากกว่าความเป็นจริง
2. คนคุมหุ้น - ปฏิเสธกันยากครับว่าไม่มี ไม่งั้นหุ้นหลายๆตัวคงไม่มี volume ให้เทรดกัน คนคุมบางคนก็แค่ทำให้หุ้นมี volume แต่บางคนทำให้หุ้นขึ้นลงผิดจากพื้นฐานจริงๆ
VI ต้องใช้ประโยชน์จาก 2 สิ่งนี้ครับ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดี ต้องใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
ลองสังเกตุกันดูครับ VI มักจะ ซื้อหุ้นก่อน bottom และขายหมูเสมอๆ ทำไมละครับ
ผมมองว่า เนื่องจาก VI มักจะคำนวนราคาเหมาะสมของหุ้นตัวนั้นๆ พอมันลงมาต่ำกว่าราคานั้นซัก 20% ก็อาจจะซื้อแล้ว แต่อารมณ์ และคนคุมนั้นสามารถทำให้ราคาลงไปมากกว่านั้นได้อีกเยอะ
เช่นเดียวกับในขาขึ้น เกินพื้นฐานนิดหน่อยเราก็ขายละ แต่ 2 ปัจจัยข้างบนกลับทำให้มันขึ้นได้อีก
กลับมาที่คำถามว่า VI กับผลกระทบกับเจ้าที่
- เจ้าที่บางคนสามารถควมคุมผลประกอบการของบริษัทได้ บางทีเวลาอยากได้หุ้นก็ทำให้ตัวเลขกำไรต่ำๆ พอได้หุ้นครบแล้วก็ปล่อยกำไรสูงๆออกข่าวบ่อยๆ
- การลากหุ้น และทุบหุ้นต้องปล่อยข่าวที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือกว่าเมื่อก่อน สมัยก่อนๆแค่ออกข่าวว่าจะเพิ่มทุนหุ้นก็ขึ้น ออกข่าวออกวอร์แรนท์หุ้นก็ขึ้น ... เดี๋ยวนี้ต้องเปลี่นใหม่เป็นออกข่าวว่าจะได้ Order เพิ่ม GPM จะเพิ่ม ฯลฯ
ผมว่าต่อไปเรื่อยๆก็จะมีนวัตกรรมหลอกล่อใหม่ๆเข้ามาเรื่อยๆครับ
1. อารมณ์ - เวลาคนกลัวสุดๆ ราคาหุ้นจะตกเกินกว่าความเป็นจริง เช่นเดียวกันเวลาคนมั่นใจสุดๆมันก็ขึ้นไปมากกว่าความเป็นจริง
2. คนคุมหุ้น - ปฏิเสธกันยากครับว่าไม่มี ไม่งั้นหุ้นหลายๆตัวคงไม่มี volume ให้เทรดกัน คนคุมบางคนก็แค่ทำให้หุ้นมี volume แต่บางคนทำให้หุ้นขึ้นลงผิดจากพื้นฐานจริงๆ
VI ต้องใช้ประโยชน์จาก 2 สิ่งนี้ครับ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดี ต้องใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
ลองสังเกตุกันดูครับ VI มักจะ ซื้อหุ้นก่อน bottom และขายหมูเสมอๆ ทำไมละครับ
ผมมองว่า เนื่องจาก VI มักจะคำนวนราคาเหมาะสมของหุ้นตัวนั้นๆ พอมันลงมาต่ำกว่าราคานั้นซัก 20% ก็อาจจะซื้อแล้ว แต่อารมณ์ และคนคุมนั้นสามารถทำให้ราคาลงไปมากกว่านั้นได้อีกเยอะ
เช่นเดียวกับในขาขึ้น เกินพื้นฐานนิดหน่อยเราก็ขายละ แต่ 2 ปัจจัยข้างบนกลับทำให้มันขึ้นได้อีก
กลับมาที่คำถามว่า VI กับผลกระทบกับเจ้าที่
- เจ้าที่บางคนสามารถควมคุมผลประกอบการของบริษัทได้ บางทีเวลาอยากได้หุ้นก็ทำให้ตัวเลขกำไรต่ำๆ พอได้หุ้นครบแล้วก็ปล่อยกำไรสูงๆออกข่าวบ่อยๆ
- การลากหุ้น และทุบหุ้นต้องปล่อยข่าวที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือกว่าเมื่อก่อน สมัยก่อนๆแค่ออกข่าวว่าจะเพิ่มทุนหุ้นก็ขึ้น ออกข่าวออกวอร์แรนท์หุ้นก็ขึ้น ... เดี๋ยวนี้ต้องเปลี่นใหม่เป็นออกข่าวว่าจะได้ Order เพิ่ม GPM จะเพิ่ม ฯลฯ
ผมว่าต่อไปเรื่อยๆก็จะมีนวัตกรรมหลอกล่อใหม่ๆเข้ามาเรื่อยๆครับ
_________
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 6
Article : The Difference Between an Investor and a Speculator
Are You An Investor Or A Speculator - The DifferenceMany Investors are in the real sense Speculators. Investors and Speculators are 2 different players in the stock market. When people invest in the stock market, they are doing it as one of two people: either as an investor or a speculator. There is no business without risk. Hence the risk of investing in the stock market is high. This high risk was exhibited in the recent global stock market meltdown where both the so called investors and speculators were not spared by continuous depreciation in the value of their stock investments. The stock market over the years is said to have the potential of returning higher returns in comparison to other forms of investment. Arguably, the returns one gets from investing in the stock market as an Investor or a Speculator depends on the individual, i.e. it depends on whether you are an Investor or a Speculator. The recent meltdown left no one in doubt as to who is an Investor and who is a Speculator.
Speculators - They are those that buy securities without holding them for a long period. They invest in stocks not for purpose of receiving dividends. They are short term players in the market. They study and predict the market so s to know the best time to buy or sell stocks. They sell their shares because they anticipate the prices are peaking or to realize a profit. To be a successful speculator is as tasking as living and breathing the market you want to speculate in. Often, they will buy shares in a company because they are "in play" (which is another way of saying a stock is experiencing higher than normal volume and its shares may be accumulated or sold by institutions). They buy stock not on the basis of careful analysis, but on the chance it will rise from any cause other than a recognition of its underlying fundamentals. Speculation can be profitable in the short term (especially during bull markets), it very rarely provides a lifetime of sustainable income or returns. It should be left only to those who can afford to lose everything they are putting up for stake.
In the book “The Intelligent Investor” by Mr. Benjamin Graham, he said “The most realistic distinction between the Investor and a Speculator is found in their attitude toward stock market movements. The Speculator’s primary interest lies in anticipating and profiting from market fluctuations. The Investor’s primary interest lies in acquiring and holding suitable securities at suitable prices. Market movements are important to him in a practical sense, because they alternately create low price levels at which they certainly should refrain from buying and probably would be wise to sell”.
Investors – They are people that buy stocks and hold them for a longer period of time. They are long-term players in the market. They hold on to their stocks and receive dividends at the end of the year. If they invest in bonds, they wait until the maturity period of the bond. They maintain their long-term objective for investing in the market. Usually. they carefully analyses a company, decides exactly what it is worth, and will not buy the stock unless it is trading at a substantial discount to its intrinsic value. They make their investment decisions based on factual data and do not allow their emotions to get involved.
The activities of Speculators and Investors affect stock prices. The speculator will drive prices to extremes, while the investor (who generally sells when the speculator buys and buys when the speculator sells) evens out the market, so over the long run, stock prices reflect the underlying value of the companies. If everyone who bought common stocks were an investor, the market as a whole would behave far more rationally than it does. Stocks would be bought and sold based on the value of the business. Wild price fluctuations would occur far less frequently because as soon as a security appeared to be undervalued, investors would buy it, driving the price up to more reasonable levels. When a company became overpriced, it would promptly be sold. Speculators on the other hand, are the ones who help create the volatility the value investor loves. Since they buy securities based sometimes on little more than a whim, they are apt to sell for the same reason. This leads to stocks becoming dramatically overvalued when everyone is interested and unjustifiably undervalued when they fall out of vogue. This manic-depressive behavior creates the opportunity for us to pick up companies that are selling for far less than they are worth.
This leads to a fundamental belief among value investors that although the stock market may, in the short-term, wildly depart from the fundamentals of a business, in the long-run the fundamentals are all that matter. This is the basis behind the famous Ben Graham quote "In the short-term the market is a voting machine, in the long-term, a weighing one." Sadly, some reject this basic principle of the stock market.
Whether one is an Investor or a Speculator, it is advisable to conduct both technical and fundamental analysis of the company being invested in. It is dangerous and risky to invest in a company based on sentiments. Remember to invest what you can lose in case the unexpected happens.
In conclusion, however, the story of a man who had waited patiently for years expecting to win a lottery, came to my mind. He was waiting to win a lottery without buying a ticket to play the lottery until someone asked him “have you played?” You might be waiting to reap bountifully from the stock market or other investments, but have you started investing? Remember that you can if you think you can.
Source : http://hubpages.com/hub/The-Difference- ... Speculator
^
^
^
ผมเองตั้งคำถามไว้ แต่ผมเองยังไม่ได้ออกความเห็นเลย
เดี๋ยวจะกลับมาแชร์มุมมองอีกครั้งนะขอรับ
(^_^)
Are You An Investor Or A Speculator - The DifferenceMany Investors are in the real sense Speculators. Investors and Speculators are 2 different players in the stock market. When people invest in the stock market, they are doing it as one of two people: either as an investor or a speculator. There is no business without risk. Hence the risk of investing in the stock market is high. This high risk was exhibited in the recent global stock market meltdown where both the so called investors and speculators were not spared by continuous depreciation in the value of their stock investments. The stock market over the years is said to have the potential of returning higher returns in comparison to other forms of investment. Arguably, the returns one gets from investing in the stock market as an Investor or a Speculator depends on the individual, i.e. it depends on whether you are an Investor or a Speculator. The recent meltdown left no one in doubt as to who is an Investor and who is a Speculator.
Speculators - They are those that buy securities without holding them for a long period. They invest in stocks not for purpose of receiving dividends. They are short term players in the market. They study and predict the market so s to know the best time to buy or sell stocks. They sell their shares because they anticipate the prices are peaking or to realize a profit. To be a successful speculator is as tasking as living and breathing the market you want to speculate in. Often, they will buy shares in a company because they are "in play" (which is another way of saying a stock is experiencing higher than normal volume and its shares may be accumulated or sold by institutions). They buy stock not on the basis of careful analysis, but on the chance it will rise from any cause other than a recognition of its underlying fundamentals. Speculation can be profitable in the short term (especially during bull markets), it very rarely provides a lifetime of sustainable income or returns. It should be left only to those who can afford to lose everything they are putting up for stake.
In the book “The Intelligent Investor” by Mr. Benjamin Graham, he said “The most realistic distinction between the Investor and a Speculator is found in their attitude toward stock market movements. The Speculator’s primary interest lies in anticipating and profiting from market fluctuations. The Investor’s primary interest lies in acquiring and holding suitable securities at suitable prices. Market movements are important to him in a practical sense, because they alternately create low price levels at which they certainly should refrain from buying and probably would be wise to sell”.
Investors – They are people that buy stocks and hold them for a longer period of time. They are long-term players in the market. They hold on to their stocks and receive dividends at the end of the year. If they invest in bonds, they wait until the maturity period of the bond. They maintain their long-term objective for investing in the market. Usually. they carefully analyses a company, decides exactly what it is worth, and will not buy the stock unless it is trading at a substantial discount to its intrinsic value. They make their investment decisions based on factual data and do not allow their emotions to get involved.
The activities of Speculators and Investors affect stock prices. The speculator will drive prices to extremes, while the investor (who generally sells when the speculator buys and buys when the speculator sells) evens out the market, so over the long run, stock prices reflect the underlying value of the companies. If everyone who bought common stocks were an investor, the market as a whole would behave far more rationally than it does. Stocks would be bought and sold based on the value of the business. Wild price fluctuations would occur far less frequently because as soon as a security appeared to be undervalued, investors would buy it, driving the price up to more reasonable levels. When a company became overpriced, it would promptly be sold. Speculators on the other hand, are the ones who help create the volatility the value investor loves. Since they buy securities based sometimes on little more than a whim, they are apt to sell for the same reason. This leads to stocks becoming dramatically overvalued when everyone is interested and unjustifiably undervalued when they fall out of vogue. This manic-depressive behavior creates the opportunity for us to pick up companies that are selling for far less than they are worth.
This leads to a fundamental belief among value investors that although the stock market may, in the short-term, wildly depart from the fundamentals of a business, in the long-run the fundamentals are all that matter. This is the basis behind the famous Ben Graham quote "In the short-term the market is a voting machine, in the long-term, a weighing one." Sadly, some reject this basic principle of the stock market.
Whether one is an Investor or a Speculator, it is advisable to conduct both technical and fundamental analysis of the company being invested in. It is dangerous and risky to invest in a company based on sentiments. Remember to invest what you can lose in case the unexpected happens.
In conclusion, however, the story of a man who had waited patiently for years expecting to win a lottery, came to my mind. He was waiting to win a lottery without buying a ticket to play the lottery until someone asked him “have you played?” You might be waiting to reap bountifully from the stock market or other investments, but have you started investing? Remember that you can if you think you can.
Source : http://hubpages.com/hub/The-Difference- ... Speculator
^
^
^
ผมเองตั้งคำถามไว้ แต่ผมเองยังไม่ได้ออกความเห็นเลย
เดี๋ยวจะกลับมาแชร์มุมมองอีกครั้งนะขอรับ
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- Hisoka
- Verified User
- โพสต์: 175
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 7
ฟังดูน่าสนใจดีครับ แต่ผมมองว่าไม่น่าจะมีผลเพราะพลัง vi ที่แท้จริงนั้นน้อยเกินไป
ยิ่งได้ฟังจาก dvd ที่พี่หมอศรรามบอกว่า vi แท้จริงนั้นเป็นยาก
เพราะหลักการมันไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์
ทำให้ในระยะยาวแล้ว ใครฝืนไม่ไหวหรือปรับตัวไม่ได้ ก็ต้องหลุดออกไป
:lovl: :lovl: :lovl:
ยิ่งได้ฟังจาก dvd ที่พี่หมอศรรามบอกว่า vi แท้จริงนั้นเป็นยาก
เพราะหลักการมันไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์
ทำให้ในระยะยาวแล้ว ใครฝืนไม่ไหวหรือปรับตัวไม่ได้ ก็ต้องหลุดออกไป
:lovl: :lovl: :lovl:
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 8
บทความเพิ่มเติมก่อนที่ผมจะสรุปและออกความเห็นอ่ะนะครับ
เรื่องราวของ "จอร์จ ตัน" หรือ "เอกยุทธ อัญชันบุตร"
ผมว่าน่าสนใจดีครับ สำหรับการเรียนรู้ความคิดคนของที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งกับ VI
มีทั้งหมด 3 ตอนครับผม
========================================
ตอนที่ 1 : กลยุทธ์หักเหลี่ยมโค่น "เซียน"
ที่มา: Bangkok Biznews
"จอร์จ ตัน" คือชื่อที่ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" โด่งดังในมาเลเซีย และสิงคโปร์ ในฐานะมือบริหาร "เฮดจ์ฟันด์" (กองทุนบริหารความเสี่ยง) มือฉกาจ ที่เล่นกับความเสี่ยงทุกชนิด ทั้งหุ้น ค่าเงิน และความผันผวนของราคาน้ำมัน
"ผมเล่นหุ้นทั่วโลกเล่นมาเป็น 10 ปีแล้ว"
เอกยุทธให้คำนิยามตัวเองว่าเป็น ?นักธุรกิจ? ที่แสวงหาโอกาสจากความเสี่ยง และผลกำไร ที่มาเลเซีย และสิงคโปร์ เขาบอกว่าเพื่อนๆ จะให้เกียรติเรียกว่า "ไต่กอ" หรือ ?Big Brother? ภาษาไทยแปลว่า?พี่ใหญ่?
"เพื่อนฝูงผมเยอะมากทุกวงการจนบางคนเขามองผมว่าเป็น "มาเฟีย? ถ้าคุณไป สิงคโปร์ มาเลเซีย วันนี้ไปถามชื่อผมว่า "จอร์จ ตัน? เมืองไทย นักธุรกิจทุกคนรู้จักผม ไม่มีทางลืมชื่อผม? เอกยุทธกล่าวด้วยความมั่นใจ
เอกยุทธยังเป็นดีลเมคเกอร์ที่เชี่ยวชาญทางด้าน M&A(ควบรวมกิจการ) อยู่ในมาเลเซีย ธุรกิจของเขาราบรื่นในฐานะเพื่อนสนิทลูกชาย ดร.มหาธีร์ อดีตผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของมาเลเซีย
แต่ในเมืองไทยเขาเป็นนักเล่นหุ้นระดับ "พันล้าน" เข้าออกอย่างไร้ร่องรอย จนถูกตั้งฉายานามในหมู่เซียนเมืองไทยว่า "ป.(ป๊อด)ลอนดอน" ซึ่งคนมักเข้าใจผิดว่าเป็น "ปิ่น จักกะพาก" อดีตราชาเทคโอเวอร์เมืองไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ
"ปีที่แล้วช่วงปลายปี 2546 เขา(ผู้มีอำนาจ)ตามหาตัวผมทีแล้ว จะเล่นงานผม เขาบอกว่า ป.ลอนดอนมาปั่นหุ้นของเขา แต่คนเข้าใจว่าผมเป็นปิ่น โชคดีให้คุณปิ่นรับไป
ผมเริ่มเห็นคนในรัฐบาลชี้นำราคาหุ้นชัดช่วงปลายปี 2545 พอปี 2546 ผมก็เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ผมรู้ว่าเข้ามาต้องได้ตังค์ ในฐานะนักธุรกิจนี่คือช่องทางหาเงิน เพราะไม่มีตลาดไหนเล่นหุ้น "หมู" ขนาดนี้ คือถ้าผมกินเจ้ามือจะไม่เสียใจเลย"
จอร์จ ตัน เวียนวนอยู่ในห้องค้า 5-6 แห่งในกรุงเทพฯ การลงทุนของเขาจะมี "ก๊วน" เหมือนกับเซียนคนอื่นๆ ในตลาด และเห็นกลุ่มทุนใกล้ชิดศูนย์อำนาจ 2 กลุ่มใหญ่เข้ามาหาผลประโยชน์ในตลาดหุ้นร่ำรวยเป็นหมื่นล้านบาทกลับออกไป
"คือผมไปเทรดนั่งในห้อง VIP โก้หรู มองออกมาเห็นคนแก่นั่งขยับแว่นตาได้เงินไม่กี่พันก็เลิกแต่เสียเงินเป็นแสน ผมเห็นอย่างนี้เกือบปี มันรู้สึกละอายใจ"
ในฐานะเซียนหุ้น "จอร์จ ตัน" โกยกำไรจากตลาดหุ้นไทยในปี 2546 กว่า 1,000 ล้านบาท ด้วยวิธี "ขี่กระแส" ทักษิณฟีเวอร์ เล่นหุ้นในกลุ่ม "ชินคอร์ป" และหุ้นรัฐวิสาหกิจแทบทุกตัวที่เกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล แม้จะไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขเงินลงทุนที่แน่ชัด บอกเพียงสั้นๆ ว่า "มากกว่าพันล้านบาท"
"อย่าพูดถึงตัวเลขดีกว่า ยิ่งเขาจ้องจะมายึดเงินผมอยู่"
หลังจากเอกยุทธหลบหนีออกจากประเทศไทยเมื่อ 20 ปีก่อนในคดีแชร์ชาร์เตอร์ เขาถูกเพื่อนชักชวนไปบริหารกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) เล่นอัตราแลกเปลี่ยน หุ้น และน้ำมัน
"ผมได้ประสบการณ์หนักๆ ช่วงนั้น เทรดมัน 3 ตลาดเลย โตเกียว นิวยอร์ก ลอนดอน"
สิ่งที่ "จอร์จ ตัน" เรียนรู้ ก็คือ เทคนิคการเล่นหุ้นที่มืออาชีพระดับโลกใช้กัน
วิธีการสร้างราคาหุ้นเริ่มจากเก็บข้อมูล เลือกหุ้นที่มีวอลุ่มสูง หรือ "หุ้นร้อน" ติดอันดับวอลุ่มสูงสุด 20 อันดับแรกของตลาด
พอเลือกหุ้นได้แล้ว ต้องไปตรวจสอบ "หน้าตัก" เจ้าของหุ้นก่อนว่า "รวย" หรือไม่ สิ่งที่ต้องดู คือ ดูว่าเจ้าของ "เซียน" หรือเปล่า ถือหุ้นอยู่เยอะแค่ไหน แล้วหุ้นตัวนั้นมี Free Float (หุ้นหมุนเวียนในตลาด) อยู่เท่าไร
"ถ้า Free Float ไม่เยอะต้องเช็คว่าใครถือหุ้นใหญ่ จะติดต่อไป จะคุยกันว่าอยากขายออกมาบ้างมั๊ย เดี๋ยวเรามาขายด้วยกัน ถ้าคุยจบก็เริ่มเลย เจ้าของหุ้นจะช่วยปล่อยข่าวดีออกมาหนุนราคาพยายามดันราคาจนถึงจุดสุดยอดก็ปล่อยของ
แต่ถ้าคุยไม่ลงตัวก็มาดูหน้าตักเจ้าของหุ้น ถ้าเป็นพวกเศรษฐีเงินกู้ (เอาหุ้นไปจำนำแบงก์ไว้) หรือถ้าเจ้าของถือหุ้นหมิ่นเหม่ เขาปั่นเลย เพราะรู้ว่าคุณไม่กล้าขายออกมาสู้กับเขา"
เมื่อผ่านขบวนการตรงนี้แล้วก็จะเริ่มขบวนการปล่อยข่าวผ่านโบรกเกอร์ ซึ่งโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ก็จะรู้กันว่า "รายใหญ่" เล่นตัวไหนก็จะแกล้งเปิดพอร์ตให้ลูกค้าในบริษัท 1-2 คนดู บอกว่า "หุ้นตัวนี้....เสี่ยกำลังเล่น"
แต่ก่อนที่จะปล่อยข่าว "เสี่ย" ก็จะเข้าไปเก็บก่อน ทุบบ้างโยนบ้างเล่นกันเอง ก็คือซื้อมา...ขายถูก ซื้อมา....ขายถูก ทำอย่างนี้เพื่อสร้างวอลุ่มให้ราคาลง แต่ตัวเองยังถืออยู่ พวกนี้จะไม่กล้าทุบรุนแรง จะทำให้เสียราคา
"สมมุติราคาหุ้น 2 บาทเขาจะเล่น 1.80-2.10 บาท อยู่ตรงนี้เพื่อสร้างวอลุ่ม 1-2 เดือน เมื่อเก็บหุ้นได้มากพอก็จะกระซิบกับโบรกเกอร์ พวกนี้จะรู้กัน"
เขาบอกว่าถ้าหุ้นขนาดไม่ใหญ่เงินหน้าตักขนาด 200-300 ล้าน ก็สร้างราคาได้แล้ว แต่ถ้าเป็นหุ้นขนาดใหญ่ต้องมีหน้าตักเป็น 1,000 ล้าน เพราะเงินสด 300 ล้าน สามารถหมุนเล่นรอบได้ถึง 3,000 ล้าน ถ้ามี 3 คนมาช่วยกันปั่นวงเงินหมุนก็ระดับหมื่นล้าน ราคาหุ้นวิ่งแน่นอน
"เวลาผมเล่นหุ้นผมไม่ใช้วิธีการอย่างนี้ แต่ผมจะดูว่าใครเล่น เห็นอาการก็รู้แล้วว่าใครเล่น จุดสังเกตให้ดูวอลุ่มที่เพิ่มขึ้นจะบอกอาการ ผมจะให้เด็กนั่งเฝ้า ถ้ารู้ว่ามันเล่นแน่ เราก็เข้าไปซื้อเก็บไว้ แต่จะค่อยๆ เก็บ ถ้าคุณไปซื้อเป็นล้านหุ้นต่อวัน พวกเซียนมันตกใจ"
หุ้นที่อยู่ในขบวนการสร้างราคานั้น ระยะเวลาในการเก็บหุ้นเพื่อ "โหนกระแส" จะต้องใช้เวลาเก็บอย่างต่ำสุด 2-3 อาทิตย์ แผนของเราต้องการจะไป "กินเจ้ามือ"
"เพราะฉะนั้นต้อง "รอ" อย่างใจเย็น จะต้องเก็บที่ละแสน สองแสนหุ้น แล้วต้องกระจายหลายๆโบรกฯอย่างต่ำก็ 5-6 โบรกฯขึ้นไป แล้วต้องใช้คนหลายคน ถ้าคุณเก็บเร็วคุณเสร็จ เจ้ามือมันรู้"
ถ้าเป็นเซียนหุ้นที่ย่ามใจ และไม่ค่อยระวังตัว จะใช้วิธีค่อนข้างโจ่งแจ้ง นั่งเก็บ 3-4 โบรกฯก็โยนหุ้นได้ หรือบางทีอยู่โบรกฯเดียวกันเปิดเล่น 5 บัญชี นั่งเคาะอยู่ห้องเดียวกันเลย ซึ่งแบบนี้น่าเกลียดมากแต่ทางการก็ไม่จับ
ในกรณี "นักการเมือง" ที่เข้ามาหาประโยชน์ในตลาดหุ้น ส่วนใหญ่จะมาในรูปของ "กองทุน" ชื่อแปลกๆ หรือ มีคำว่า "นอมินี" ต่อท้าย ผ่านเงินมาจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่ใช้ประเทศสิงคโปร์เป็นแหล่งพักเงินเข้าออก แต่ตัวเองนั่งสั่งการซื้อขายอยู่ในประเทศไทย
บางคนใช้วิธีลงทุนผ่าน Private Fund (กองทุนส่วนบุคคล) มีผู้จัดการกองทุนออกหน้ารับแทนว่าเป็นคนบริหารให้ แต่จริงๆ แล้วสั่งการโดยเขาหมด
"Private Fund ของบิ๊กพวกนี้สั่งซื้อ สั่งขายหุ้นเอง เพียงแต่เขาให้โบรกฯเป็นคนคีย์คำสั่ง เงินเป็นร้อยเป็นพันล้านไม่มีทางที่จะให้โบรกเกอร์ตัดสินใจแทนเขาหรอก"
เอกยุทธ ให้ไปถามโบรกเกอร์พวกนี้รู้ข้อมูลดีที่สุด เพราะต้องบันทึกเทปคำสั่งซื้อขายไว้เป็นหลักฐาน ว่าหุ้นตัวนี้ "เสี่ย" คนไหนเล่น เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเปิดเผยเพราะเขากลัวเสียลูกค้า ไม่ใช่ฝรั่งผมทอง แต่เป็นฝรั่งผมดำ
ในขบวนการสร้างราคาขบวนการ "สร้างข่าว" สำคัญมากที่สุด วิธีการเก็บหุ้นของรายใหญ่มักใช้การปล่อยข่าวเพื่อ "ทุบหุ้น" โดย "ขายนำ" แรงๆ แล้วมารับซื้อข้างล่าง เขาเรียกว่าทุบให้ "อ้วก" รายย่อยตกใจคายหุ้นออกมา วิธีนี้เก่ามากตรวจสอบง่าย แต่ใช้ได้ผลทุกครั้ง
วิธีการทุบหุ้นที่ซับซ้อนขึ้นหน่อย คือ ไปซื้อหุ้นตัวใหญ่ๆ ที่มีผลต่อการคำนวณดัชนี เช่น PTT THAI BANPU BBL เลือก 4-5 ตัวแล้วทุบเพื่อกดให้ดัชนีลง เขาจะใช้วิธีโยน (ขาย) ไม้ละ 1 ล้านหุ้น ขายเอง รับเองยอมขาดทุนไม่มาก ถ้าเป็นหุ้นของเขาก็รับกลับ ถ้าเป็นหุ้นของคนอื่นที่ผสมโรงก็ดึงรายการซื้อออก จะมีคนนั่งหน้าจอรอดูตลอด
"เขาต้องการให้เกิด "Panic Sale" (ขายแบบตื่นตระหนก) หุ้นขนาดกลาง และเล็กมันจะลงแรงกว่าหุ้นตัวใหญ่ เขาก็จะไปเลือกเก็บหุ้นที่มีพื้นฐานบ้างถือไว้ ขบวนการต่อไปนี่แหละคลาสสิกที่สุด เมื่อเก็บหุ้นได้มากพอสมควรแล้ว ก็จะใช้วิธีไล่ราคา ยิ่งซื้อก็ยิ่งขึ้น...
แต่เขาเก็บจริงใครขายออกมาเท่าไรซื้อหมด ก่อนหน้านั้นเขาก็ไปตกลงกับกองทุนซึ่งเขาควบคุมได้ไว้ก่อน แล้ว "โยนหุ้น" ให้กองทุนรับไป สมมติเก็บมาได้ 20 ล้านหุ้นราคา 20 บาท ก็ไปคุยกับกองทุนว่าผมให้ Discount (ส่วนลด) คุณ 10% เป็นการเก็บให้กองทุน"
เอกยุทธ ยืนยันว่ามีกองทุนจำนวนไม่น้อยที่ยืมมือรายใหญ่เข้าเก็บหุ้นให้ ซึ่งมักจะได้หุ้นราคาสูงเข้าพอร์ต สาเหตุที่กองทุนยอมทำอย่างนี้ก็เพราะมันเป็น "Win-Win-Win" ทั้ง 3 ฝ่าย
"Win แรก" ในทางบัญชีจะดูดีทันที เพราะซื้อได้ในราคา Discount(ส่วนลด) ฐานะกองทุนจะมีกำไรทันที "Win ที่สอง"ผู้จัดการกองทุนมีผลงาน แต่ที่ร้ายกว่านั้นผู้จัดการกองทุนบางคนมีรถปอร์เช่ คันละ 10 กว่าล้านขับ เพราะมีรายได้พิเศษจากการรับซื้อหุ้น "Win ที่สาม" วิธีการเก็บหุ้นแล้วโยนให้กองทุนรับไปถือว่าปลอดภัยที่สุด
"แต่หลังจากกองทุนซื้อไปแล้วก็ตัวใครตัวมัน ผมถึงบอกว่าอันตรายมันไม่ได้มีเฉพาะนักลงทุนในตลาดอย่างเดียว คนที่ไปซื้อหน่วยลงทุนก็เสี่ยง ไปเช็คกองทุนของรัฐดูซิว่าเจ๊งกันไปเท่าไรกับวิธีนี้ นี่เป็นวิธีการฉ้อฉลที่ตามกฎหมายแล้วคุณจับเขาไม่ได้"
ในขบวนการสร้างราคาหุ้นการปล่อยข่าว"ด้านบวก"สำคัญมากเช่นเดียวกัน ที่นิยมใช้กันมาก คนสร้างราคา คือ "รายใหญ่"กับ"เจ้าของหุ้น"รู้เห็นเป็นใจกัน
"เขาจะคุยกันก่อน ถ้าคุยจบก็เริ่มเลย เจ้าของหุ้นจะช่วยปล่อยข่าวดีออกมาหนุนราคาทุกๆ 3-4 อาทิตย์ รวมไปถึงเชิญนักวิเคราะห์ไป Company Visit ช่วยดันราคาไปจนถึงจุดสุดยอด ถ้าเป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจ หุ้นที่เกี่ยวกับสัมปทาน หรือหุ้นที่รัฐเอื้อประโยชน์ทางภาษี ข่าวดีพวกนี้จะออกมาจากคณะรัฐมนตรีแป๊บเดียวหุ้นวิ่งก่อนแล้ว ให้สังเกตดู บางคนออกมาพูดส่งสัญญาณตรงๆ เลยก็มี"
เรื่องราวของ "จอร์จ ตัน" หรือ "เอกยุทธ อัญชันบุตร"
ผมว่าน่าสนใจดีครับ สำหรับการเรียนรู้ความคิดคนของที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งกับ VI
มีทั้งหมด 3 ตอนครับผม
========================================
ตอนที่ 1 : กลยุทธ์หักเหลี่ยมโค่น "เซียน"
ที่มา: Bangkok Biznews
"จอร์จ ตัน" คือชื่อที่ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" โด่งดังในมาเลเซีย และสิงคโปร์ ในฐานะมือบริหาร "เฮดจ์ฟันด์" (กองทุนบริหารความเสี่ยง) มือฉกาจ ที่เล่นกับความเสี่ยงทุกชนิด ทั้งหุ้น ค่าเงิน และความผันผวนของราคาน้ำมัน
"ผมเล่นหุ้นทั่วโลกเล่นมาเป็น 10 ปีแล้ว"
เอกยุทธให้คำนิยามตัวเองว่าเป็น ?นักธุรกิจ? ที่แสวงหาโอกาสจากความเสี่ยง และผลกำไร ที่มาเลเซีย และสิงคโปร์ เขาบอกว่าเพื่อนๆ จะให้เกียรติเรียกว่า "ไต่กอ" หรือ ?Big Brother? ภาษาไทยแปลว่า?พี่ใหญ่?
"เพื่อนฝูงผมเยอะมากทุกวงการจนบางคนเขามองผมว่าเป็น "มาเฟีย? ถ้าคุณไป สิงคโปร์ มาเลเซีย วันนี้ไปถามชื่อผมว่า "จอร์จ ตัน? เมืองไทย นักธุรกิจทุกคนรู้จักผม ไม่มีทางลืมชื่อผม? เอกยุทธกล่าวด้วยความมั่นใจ
เอกยุทธยังเป็นดีลเมคเกอร์ที่เชี่ยวชาญทางด้าน M&A(ควบรวมกิจการ) อยู่ในมาเลเซีย ธุรกิจของเขาราบรื่นในฐานะเพื่อนสนิทลูกชาย ดร.มหาธีร์ อดีตผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของมาเลเซีย
แต่ในเมืองไทยเขาเป็นนักเล่นหุ้นระดับ "พันล้าน" เข้าออกอย่างไร้ร่องรอย จนถูกตั้งฉายานามในหมู่เซียนเมืองไทยว่า "ป.(ป๊อด)ลอนดอน" ซึ่งคนมักเข้าใจผิดว่าเป็น "ปิ่น จักกะพาก" อดีตราชาเทคโอเวอร์เมืองไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ
"ปีที่แล้วช่วงปลายปี 2546 เขา(ผู้มีอำนาจ)ตามหาตัวผมทีแล้ว จะเล่นงานผม เขาบอกว่า ป.ลอนดอนมาปั่นหุ้นของเขา แต่คนเข้าใจว่าผมเป็นปิ่น โชคดีให้คุณปิ่นรับไป
ผมเริ่มเห็นคนในรัฐบาลชี้นำราคาหุ้นชัดช่วงปลายปี 2545 พอปี 2546 ผมก็เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ผมรู้ว่าเข้ามาต้องได้ตังค์ ในฐานะนักธุรกิจนี่คือช่องทางหาเงิน เพราะไม่มีตลาดไหนเล่นหุ้น "หมู" ขนาดนี้ คือถ้าผมกินเจ้ามือจะไม่เสียใจเลย"
จอร์จ ตัน เวียนวนอยู่ในห้องค้า 5-6 แห่งในกรุงเทพฯ การลงทุนของเขาจะมี "ก๊วน" เหมือนกับเซียนคนอื่นๆ ในตลาด และเห็นกลุ่มทุนใกล้ชิดศูนย์อำนาจ 2 กลุ่มใหญ่เข้ามาหาผลประโยชน์ในตลาดหุ้นร่ำรวยเป็นหมื่นล้านบาทกลับออกไป
"คือผมไปเทรดนั่งในห้อง VIP โก้หรู มองออกมาเห็นคนแก่นั่งขยับแว่นตาได้เงินไม่กี่พันก็เลิกแต่เสียเงินเป็นแสน ผมเห็นอย่างนี้เกือบปี มันรู้สึกละอายใจ"
ในฐานะเซียนหุ้น "จอร์จ ตัน" โกยกำไรจากตลาดหุ้นไทยในปี 2546 กว่า 1,000 ล้านบาท ด้วยวิธี "ขี่กระแส" ทักษิณฟีเวอร์ เล่นหุ้นในกลุ่ม "ชินคอร์ป" และหุ้นรัฐวิสาหกิจแทบทุกตัวที่เกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล แม้จะไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขเงินลงทุนที่แน่ชัด บอกเพียงสั้นๆ ว่า "มากกว่าพันล้านบาท"
"อย่าพูดถึงตัวเลขดีกว่า ยิ่งเขาจ้องจะมายึดเงินผมอยู่"
หลังจากเอกยุทธหลบหนีออกจากประเทศไทยเมื่อ 20 ปีก่อนในคดีแชร์ชาร์เตอร์ เขาถูกเพื่อนชักชวนไปบริหารกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) เล่นอัตราแลกเปลี่ยน หุ้น และน้ำมัน
"ผมได้ประสบการณ์หนักๆ ช่วงนั้น เทรดมัน 3 ตลาดเลย โตเกียว นิวยอร์ก ลอนดอน"
สิ่งที่ "จอร์จ ตัน" เรียนรู้ ก็คือ เทคนิคการเล่นหุ้นที่มืออาชีพระดับโลกใช้กัน
วิธีการสร้างราคาหุ้นเริ่มจากเก็บข้อมูล เลือกหุ้นที่มีวอลุ่มสูง หรือ "หุ้นร้อน" ติดอันดับวอลุ่มสูงสุด 20 อันดับแรกของตลาด
พอเลือกหุ้นได้แล้ว ต้องไปตรวจสอบ "หน้าตัก" เจ้าของหุ้นก่อนว่า "รวย" หรือไม่ สิ่งที่ต้องดู คือ ดูว่าเจ้าของ "เซียน" หรือเปล่า ถือหุ้นอยู่เยอะแค่ไหน แล้วหุ้นตัวนั้นมี Free Float (หุ้นหมุนเวียนในตลาด) อยู่เท่าไร
"ถ้า Free Float ไม่เยอะต้องเช็คว่าใครถือหุ้นใหญ่ จะติดต่อไป จะคุยกันว่าอยากขายออกมาบ้างมั๊ย เดี๋ยวเรามาขายด้วยกัน ถ้าคุยจบก็เริ่มเลย เจ้าของหุ้นจะช่วยปล่อยข่าวดีออกมาหนุนราคาพยายามดันราคาจนถึงจุดสุดยอดก็ปล่อยของ
แต่ถ้าคุยไม่ลงตัวก็มาดูหน้าตักเจ้าของหุ้น ถ้าเป็นพวกเศรษฐีเงินกู้ (เอาหุ้นไปจำนำแบงก์ไว้) หรือถ้าเจ้าของถือหุ้นหมิ่นเหม่ เขาปั่นเลย เพราะรู้ว่าคุณไม่กล้าขายออกมาสู้กับเขา"
เมื่อผ่านขบวนการตรงนี้แล้วก็จะเริ่มขบวนการปล่อยข่าวผ่านโบรกเกอร์ ซึ่งโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ก็จะรู้กันว่า "รายใหญ่" เล่นตัวไหนก็จะแกล้งเปิดพอร์ตให้ลูกค้าในบริษัท 1-2 คนดู บอกว่า "หุ้นตัวนี้....เสี่ยกำลังเล่น"
แต่ก่อนที่จะปล่อยข่าว "เสี่ย" ก็จะเข้าไปเก็บก่อน ทุบบ้างโยนบ้างเล่นกันเอง ก็คือซื้อมา...ขายถูก ซื้อมา....ขายถูก ทำอย่างนี้เพื่อสร้างวอลุ่มให้ราคาลง แต่ตัวเองยังถืออยู่ พวกนี้จะไม่กล้าทุบรุนแรง จะทำให้เสียราคา
"สมมุติราคาหุ้น 2 บาทเขาจะเล่น 1.80-2.10 บาท อยู่ตรงนี้เพื่อสร้างวอลุ่ม 1-2 เดือน เมื่อเก็บหุ้นได้มากพอก็จะกระซิบกับโบรกเกอร์ พวกนี้จะรู้กัน"
เขาบอกว่าถ้าหุ้นขนาดไม่ใหญ่เงินหน้าตักขนาด 200-300 ล้าน ก็สร้างราคาได้แล้ว แต่ถ้าเป็นหุ้นขนาดใหญ่ต้องมีหน้าตักเป็น 1,000 ล้าน เพราะเงินสด 300 ล้าน สามารถหมุนเล่นรอบได้ถึง 3,000 ล้าน ถ้ามี 3 คนมาช่วยกันปั่นวงเงินหมุนก็ระดับหมื่นล้าน ราคาหุ้นวิ่งแน่นอน
"เวลาผมเล่นหุ้นผมไม่ใช้วิธีการอย่างนี้ แต่ผมจะดูว่าใครเล่น เห็นอาการก็รู้แล้วว่าใครเล่น จุดสังเกตให้ดูวอลุ่มที่เพิ่มขึ้นจะบอกอาการ ผมจะให้เด็กนั่งเฝ้า ถ้ารู้ว่ามันเล่นแน่ เราก็เข้าไปซื้อเก็บไว้ แต่จะค่อยๆ เก็บ ถ้าคุณไปซื้อเป็นล้านหุ้นต่อวัน พวกเซียนมันตกใจ"
หุ้นที่อยู่ในขบวนการสร้างราคานั้น ระยะเวลาในการเก็บหุ้นเพื่อ "โหนกระแส" จะต้องใช้เวลาเก็บอย่างต่ำสุด 2-3 อาทิตย์ แผนของเราต้องการจะไป "กินเจ้ามือ"
"เพราะฉะนั้นต้อง "รอ" อย่างใจเย็น จะต้องเก็บที่ละแสน สองแสนหุ้น แล้วต้องกระจายหลายๆโบรกฯอย่างต่ำก็ 5-6 โบรกฯขึ้นไป แล้วต้องใช้คนหลายคน ถ้าคุณเก็บเร็วคุณเสร็จ เจ้ามือมันรู้"
ถ้าเป็นเซียนหุ้นที่ย่ามใจ และไม่ค่อยระวังตัว จะใช้วิธีค่อนข้างโจ่งแจ้ง นั่งเก็บ 3-4 โบรกฯก็โยนหุ้นได้ หรือบางทีอยู่โบรกฯเดียวกันเปิดเล่น 5 บัญชี นั่งเคาะอยู่ห้องเดียวกันเลย ซึ่งแบบนี้น่าเกลียดมากแต่ทางการก็ไม่จับ
ในกรณี "นักการเมือง" ที่เข้ามาหาประโยชน์ในตลาดหุ้น ส่วนใหญ่จะมาในรูปของ "กองทุน" ชื่อแปลกๆ หรือ มีคำว่า "นอมินี" ต่อท้าย ผ่านเงินมาจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่ใช้ประเทศสิงคโปร์เป็นแหล่งพักเงินเข้าออก แต่ตัวเองนั่งสั่งการซื้อขายอยู่ในประเทศไทย
บางคนใช้วิธีลงทุนผ่าน Private Fund (กองทุนส่วนบุคคล) มีผู้จัดการกองทุนออกหน้ารับแทนว่าเป็นคนบริหารให้ แต่จริงๆ แล้วสั่งการโดยเขาหมด
"Private Fund ของบิ๊กพวกนี้สั่งซื้อ สั่งขายหุ้นเอง เพียงแต่เขาให้โบรกฯเป็นคนคีย์คำสั่ง เงินเป็นร้อยเป็นพันล้านไม่มีทางที่จะให้โบรกเกอร์ตัดสินใจแทนเขาหรอก"
เอกยุทธ ให้ไปถามโบรกเกอร์พวกนี้รู้ข้อมูลดีที่สุด เพราะต้องบันทึกเทปคำสั่งซื้อขายไว้เป็นหลักฐาน ว่าหุ้นตัวนี้ "เสี่ย" คนไหนเล่น เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเปิดเผยเพราะเขากลัวเสียลูกค้า ไม่ใช่ฝรั่งผมทอง แต่เป็นฝรั่งผมดำ
ในขบวนการสร้างราคาขบวนการ "สร้างข่าว" สำคัญมากที่สุด วิธีการเก็บหุ้นของรายใหญ่มักใช้การปล่อยข่าวเพื่อ "ทุบหุ้น" โดย "ขายนำ" แรงๆ แล้วมารับซื้อข้างล่าง เขาเรียกว่าทุบให้ "อ้วก" รายย่อยตกใจคายหุ้นออกมา วิธีนี้เก่ามากตรวจสอบง่าย แต่ใช้ได้ผลทุกครั้ง
วิธีการทุบหุ้นที่ซับซ้อนขึ้นหน่อย คือ ไปซื้อหุ้นตัวใหญ่ๆ ที่มีผลต่อการคำนวณดัชนี เช่น PTT THAI BANPU BBL เลือก 4-5 ตัวแล้วทุบเพื่อกดให้ดัชนีลง เขาจะใช้วิธีโยน (ขาย) ไม้ละ 1 ล้านหุ้น ขายเอง รับเองยอมขาดทุนไม่มาก ถ้าเป็นหุ้นของเขาก็รับกลับ ถ้าเป็นหุ้นของคนอื่นที่ผสมโรงก็ดึงรายการซื้อออก จะมีคนนั่งหน้าจอรอดูตลอด
"เขาต้องการให้เกิด "Panic Sale" (ขายแบบตื่นตระหนก) หุ้นขนาดกลาง และเล็กมันจะลงแรงกว่าหุ้นตัวใหญ่ เขาก็จะไปเลือกเก็บหุ้นที่มีพื้นฐานบ้างถือไว้ ขบวนการต่อไปนี่แหละคลาสสิกที่สุด เมื่อเก็บหุ้นได้มากพอสมควรแล้ว ก็จะใช้วิธีไล่ราคา ยิ่งซื้อก็ยิ่งขึ้น...
แต่เขาเก็บจริงใครขายออกมาเท่าไรซื้อหมด ก่อนหน้านั้นเขาก็ไปตกลงกับกองทุนซึ่งเขาควบคุมได้ไว้ก่อน แล้ว "โยนหุ้น" ให้กองทุนรับไป สมมติเก็บมาได้ 20 ล้านหุ้นราคา 20 บาท ก็ไปคุยกับกองทุนว่าผมให้ Discount (ส่วนลด) คุณ 10% เป็นการเก็บให้กองทุน"
เอกยุทธ ยืนยันว่ามีกองทุนจำนวนไม่น้อยที่ยืมมือรายใหญ่เข้าเก็บหุ้นให้ ซึ่งมักจะได้หุ้นราคาสูงเข้าพอร์ต สาเหตุที่กองทุนยอมทำอย่างนี้ก็เพราะมันเป็น "Win-Win-Win" ทั้ง 3 ฝ่าย
"Win แรก" ในทางบัญชีจะดูดีทันที เพราะซื้อได้ในราคา Discount(ส่วนลด) ฐานะกองทุนจะมีกำไรทันที "Win ที่สอง"ผู้จัดการกองทุนมีผลงาน แต่ที่ร้ายกว่านั้นผู้จัดการกองทุนบางคนมีรถปอร์เช่ คันละ 10 กว่าล้านขับ เพราะมีรายได้พิเศษจากการรับซื้อหุ้น "Win ที่สาม" วิธีการเก็บหุ้นแล้วโยนให้กองทุนรับไปถือว่าปลอดภัยที่สุด
"แต่หลังจากกองทุนซื้อไปแล้วก็ตัวใครตัวมัน ผมถึงบอกว่าอันตรายมันไม่ได้มีเฉพาะนักลงทุนในตลาดอย่างเดียว คนที่ไปซื้อหน่วยลงทุนก็เสี่ยง ไปเช็คกองทุนของรัฐดูซิว่าเจ๊งกันไปเท่าไรกับวิธีนี้ นี่เป็นวิธีการฉ้อฉลที่ตามกฎหมายแล้วคุณจับเขาไม่ได้"
ในขบวนการสร้างราคาหุ้นการปล่อยข่าว"ด้านบวก"สำคัญมากเช่นเดียวกัน ที่นิยมใช้กันมาก คนสร้างราคา คือ "รายใหญ่"กับ"เจ้าของหุ้น"รู้เห็นเป็นใจกัน
"เขาจะคุยกันก่อน ถ้าคุยจบก็เริ่มเลย เจ้าของหุ้นจะช่วยปล่อยข่าวดีออกมาหนุนราคาทุกๆ 3-4 อาทิตย์ รวมไปถึงเชิญนักวิเคราะห์ไป Company Visit ช่วยดันราคาไปจนถึงจุดสุดยอด ถ้าเป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจ หุ้นที่เกี่ยวกับสัมปทาน หรือหุ้นที่รัฐเอื้อประโยชน์ทางภาษี ข่าวดีพวกนี้จะออกมาจากคณะรัฐมนตรีแป๊บเดียวหุ้นวิ่งก่อนแล้ว ให้สังเกตดู บางคนออกมาพูดส่งสัญญาณตรงๆ เลยก็มี"
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 9
ตอนที่ 2 : "ขี่" กระทิง..."วิ่งราว" เซียน
ในบรรดา "เซียน" ในตลาดหุ้นเวลานี้ "จอร์จ ตัน" หรือ เอกยุทธ อัญชันบุตร เปิดเผยว่า คนที่เล่นหุ้นระดับ 1,000 ล้านขึ้นไป มีไม่เกิน 30 คน ที่เล่นหุ้นระดับ 2,000 ล้านบาทขึ้นไปมีอยู่ 4-5 คนในตลาด
"พวกนี้จะรู้จักกันเองผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมาชนกันในตลาด จะรู้เลยว่าซื้อขายสไตล์นี้ใครเล่น ถ้าเห็นลักษณะการขายที่รุนแรงออกมา จะรู้ได้ว่าเขาถือ "ต้นทุนต่ำ" ได้กำไรกลับออกไปเยอะ คนพวกนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนรัฐบาล"
รายใหญ่จะวนเวียนกับโบรกเกอร์ 5-6 แห่ง ใครก๊วนใคร หุ้นตัวนี้ "ทุ่น" ของใครสามารถยกหูเช็คข้อมูลง่ายมากผ่านโบรกเกอร์ที่ตัวเองใช้บริการ ข่าวสารสำหรับรายใหญ่ค่อนข้าง "แม่นยำ" แต่บางครั้งก็มี "ข่าวลวง" ถูกปล่อยออกมาเช่นเดียวกัน
"การลากหุ้นบางครั้งจะลากครั้งละ 2-3 มือ(ตัว)พร้อมกัน พวกนี้จะมี "วอร์รูม" (ห้องปฏิบัติการ) บางกลุ่มชอบไปคุยกันในร้านอาหารว่าจะเล่นตัวไหนดี"
ตลาดหุ้นปี 2546 เป็นตลาดหุ้นวัดฝีมือเซียน ถ้า "ขาใหญ่" คนไหนกำไรไม่เกิน "เท่าตัว" ของทุนที่ลง ถือว่าเป็น "หมู" มือไม่ถึง แต่ในปี 2547 หนังคนละม้วน...หุ้นเล่นยากกว่าปีที่แล้วมาก
ชื่อย่อถูกเรียกขาน และรู้กันเองในหมู่เซียน ภาษาที่ "เซียน" ใช้กันในตลาด เอกยุทธ เล่าให้ฟังว่า คนที่ตกใจรีบขายหุ้นราคาถูกออกมาเขาเรียกว่า "ขายหมู" คำว่า "ซื้อยกไม้" หมายถึงการเก็บหุ้นเพื่อไล่ราคา "ทุ่นใครว่ะ" หมายถึง "หุ้นตัวนี้ของใคร" เช่น ทุ่น "นาย_ก" ปีที่แล้วเป็นหุ้นที่ฮิต คนเชื่อถือมาก
กฎการทำกำไรของเซียน "จังหวะ" นั้นสำคัญที่สุด เอกยุทธบอกว่า คุณต้องรู้วิธีเข้า และวิธีออก แต่ไม่ใช่รู้วิธีเข้าๆ ออกๆ คนที่เข้าเร็วออกเร็วไม่มีทางรวยหุ้น..."เชื่อผม!!!"
จังหวะตลาดสำคัญมากในการกำหนด "กำไร" ในช่วงที่ตลาดหุ้น "ขาลง" หรือ"ไซด์เวย์" รายใหญ่ที่ชอบกินคำใหญ่ๆ จะถอนตัว พวกที่เล่นจะใช้วิธี "วิ่งราว" หรือ "วิ่งเร็ว" กำไร 2-3 ช่อง (ช่วง) ราคา..."กูหนี"
"ช่วงที่จังหวะตลาดไม่ดี เวลาไล่หุ้นเขาจะ "ซื้อขึ้น" จะใช้วิธีกวาดทีเดียว 3-4 ช่อง ล่อพวกตามแห่ ถ้าอยู่ดีๆ ช่อง Offer หายไป 3-4 ช่อง คนจะรีบคีย์คำสั่ง Bid (ซื้อ) ตามเข้ามา จากนั้นเขาจะลากขึ้นไป "ปล่อยของ" เหลือกำไร 2-3 ช่องก็ทิ้ง รายใหญ่ที่เล่นหุ้นในลักษณะนี้เขาเรียกว่าพวก "ฟาสต์ฟู้ด" (กินเร็ว) กินคำเล็กแล้วรีบออก"
เอกยุทธ ย้ำว่านักเล่นหุ้นที่มือระดับเซียน เขาไม่มานั่งดูเทคนิคแล้วซื้อๆ ขายๆ แต่เขาจะเก็บข้อมูลหุ้นเป้าหมาย ต้องรู้หมดทุกเรื่องเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น "Free Float" (จำนวนหุ้นหมุนเวียน)ในตลาด "หน้าตัก" เจ้าของหุ้น ดูว่าเจ้าของหุ้น "เซียน" แค่ไหนถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วติดต่อขอนัดคุย จากนั้นถึงมาเลือกกลยุทธ์ในการเก็บหุ้นว่าจะใช้วิธี "ทุบ" หรือจะค่อยๆ เก็บ
"ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะต้องทำควบคู่ไปกับขบวนการสร้างข่าว"
เขาเล่าว่า นักเล่นหุ้นที่พบมีหลากหลายประเภท ทั้งดูกราฟ ดูเป้าหมายราคา มีจุดตัดลากกันมั่วไปหมด แล้วก็มีอีกประเภทหนึ่งฟังข่าวลือในตลาดอย่างเดียว พวกนี้สั่งซื้อหุ้นยังไม่รู้เลยว่าบริษัททำธุรกิจอะไร ประเภทนี้ในตลาดหุ้นมีเยอะ..."เจ๊งลูกเดียว"
"ประเภทเซียนตัวจริง ข่าวลือมากูไม่สนใจ ส่วนผมชอบ "ขี่หุ้น" ก็ไม่รู้ว่าจัดอยู่ประเภทไหน ผมจะให้น้ำหนักกับ "วอลุ่ม" มากกว่าสัญญาณทุกอย่าง หุ้นไม่มีวอลุ่มผมไม่เล่น ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทคนิค รู้ว่าตัวไหนกำลังถูกเก็บก็จะเข้าก่อน เวลาออกก็จะหนีก่อน"
หุ้นที่เอกยุทธเล่นจะเลือกหุ้นที่มีโอกาสขายทำกำไรมากกว่า 10% ขึ้นไป จังหวะที่ตลาดไม่ดีเขาจะออกจากตลาด เพราะฉะนั้น กำไรมากหรือน้อยมันบอกเป็นกฎตายตัวไม่ได้ ต้องดูแนวโน้มของหุ้น ดูแนวโน้มตลาดว่ามันขึ้นมาแล้วกี่แต้ม(จุด)
"ช่วงที่ขึ้นจาก 605 แต้มขึ้นไป 800 แต้ม ใช้เวลา 2 เดือน ตลาดกำลังบ้าเลือด ช่วงนี้ผมได้กำไรเยอะมาก ไปเก็บไว้ก่อนช่วง 600-605 จุดเทหมดหน้าตัก"
ในการลงทุนของเอกยุทธ จะซื้อครั้งละไม่เกิน 4-5 ตัวมากที่สุด หุ้นที่เขาเล่นมีกฎตายตัวว่าต้องมีสภาพคล่องสูง และมีวอลุ่มแน่น (เท่านั้น)...."เช่น PTT BANPU ผมได้กำไรมาเยอะ" ช่วงนั้นจะเข้าแต่ตัวใหญ่ๆ ตัวละหลายร้อยล้านบาท
เอกยุทธ บอกว่า พวกกองทุนใหญ่ๆ ในต่างประเทศที่เข้ามาเล่นหุ้นไทย มันจะวนเวียนมาเจอกันในตลาด เขาเคยเจอ "จอร์จ โซรอส" มาแล้วหลายตลาด ไปเจอกันที่ลอนดอน ตอนไปทุบค่าเงินปอนด์
"ตอนจอร์จ โซรอสทุบเงินบาทปี 2540 ผมอยู่มาเลเซีย ช่วงนั้นหายนะประเทศไทยผมอยู่ข้างนอกมองเห็นหมด ยังโทรมาบอกเพื่อนๆ ว่ามึงขายทรัพย์สินให้หมด เก็บเงินสดไว้เดี๋ยวจะได้ซื้อของถูก"
ถ้าคุณอยากเป็นรายใหญ่ เขาย้ำว่า กฎของรายใหญ่มีเพียง 2 ข้อเท่านั้น หนึ่ง คุณต้องมี "เงินสด" ติดกระเป๋า กับอีกข้อ ?อย่าโลภ? (เด็ดขาด)
"ถ้ารู้ว่าเข้าจังหวะผิดต้อง "ทิ้ง? เขาเรียกว่า Cut Loss (ตัดขาดทุน) และ Let Profit Run (ปล่อยให้กำไรวิ่งต่อไป) ช่วงที่หุ้นกำไรดีราคากำลังขึ้น ผมจะไล่ราคาตลอด สมมติว่าราคา 2 บาท กำไรเยอะแล้วล่ะ แต่ผมจะไม่ขายเลย จะเฝ้าหน้าจอตลอดว่าจะหนีหรือไม่หนี ช่วงนี้จะไม่ให้เด็กดูเลย
....ถ้ามันกลับหัวลงมาที่ 1.90 บาท..."ผมเลิก" ถ้าไปต่อที่ 2.20 ผมจะยังตามอยู่ วิธีการคือจะขยับเป้าหมายขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าหักหัวลงมา 2 บาทผมถึงจะขาย แต่ถ้ามันไม่ลงไปต่อ 2.50 ถ้า ลงมา 2.30 ผมขาย แต่ถ้า 2.50 ยืนได้ เป้าของผมก็ขยับไป 2.80 คือ ผมจะ Let Profit Run ตลอด ผมจะไม่ Cut เลย"
หลักในการขายหุ้น "ขาขึ้น" เอกยุทธ บอกเคล็ดลับว่า จะต้องปรับราคาขายอยู่ตลอด ถึง 2 บาทผมจะกำไรมากแล้ว แต่ถ้าราคายังวิ่งต่อ ผมจะไม่ขายเด็ดขาด ใครจะมาด่าว่าโง่ก็ไม่สน เพราะไม่รู้จะขายทำไม เพื่อให้ Let Profit มัน Run ไปตลอด
"แต่เมื่อใดที่มันเริ่มหันหัวกลับ...ผมเลิก ทุกราคาผมขายหมดจะไม่รอ และไม่เสียดายเงิน 5 สตางค์ 10 สตางค์ ทุกช่องที่มีอยู่จะโยน (ขาย) ทิ้งหมดเลย สมมติว่าถ้าราคา 2 บาทลงมา 1.80 ทุกราคาที่มี 1.80 บาทผมทิ้งหมด แต่ถ้าขึ้นต่อ 1.80 ผมไม่ขายแล้ว รายใหญ่เขาเล่นกันอย่างนี้"
เอกยุทธให้นิยามของ?ความโลภ? ในมุมมองของเขาว่า คนที่โลภคือคนที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ไม่ประเมินภาวะตลาด เห็นคนอื่นได้ก็อยากได้ด้วย คุณอย่าคิดว่าหุ้นมันขึ้นเองโดยธรรมชาติ มันขึ้นเพราะ "ดีมานด์" มันขึ้นเพราะ "ความเชื่อ" 2 ปัจจัยนี้เท่านั้น
"ผมยกตัวอย่างเวลาคุณผ่านสี่แยกราชประสงค์ คุณยกมือไหว้พระพรหม เพราะคุณเชื่อถือ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง คุณผ่านประตูน้ำคุณเห็นตึกใบหยก ถ้าคุณยกมือไหว้ ที่นั่นก็ "ศักดิ์สิทธิ์" เหมือนกับการเล่นหุ้น คุณซื้อเพราะคุณเชื่อ!
....ผมจะบอกว่าคุณเชื่อได้ แต่อย่างมงาย ผมเชื่อว่ามันจะขึ้นผมก็ไม่งมงายว่ามันจะขึ้นไปจนสุดยอด เพราะไม่มีอะไรขึ้นไปสุดยอดแล้วไม่มีลง ไม่มีใครขายหุ้นได้ในราคาสูงสุด ผมเองเล่นหุ้นมาเป็นสิบๆ ปี เคยขายหุ้นจุดสุดยอดไม่กี่ครั้ง ซึ่งมันต้องฟลุ้คจริงๆ
....เพราะฉะนั้นบางคนกำไร 10-20 สตางค์ก็ขายแล้ว คือ "Cut Profit" (ตัดกำไร) แต่หุ้นตกลงมา 50 สตางค์ Let Loss Run(ปล่อยให้ขาดทุนมากขึ้นเรื่อยๆ) ไม่ยอมขาย ลงมาอีกก็ไม่ยอมขาย หวังว่ามันจะกลับไปที่เก่า เล่นอย่างงี้เจ๊งแน่ๆ"
เขากล่าวว่า ระดับมืออาชีพจริงๆ เขาจะไม่มีกฎอะไรตายตัว เช่น หุ้นลงมา 50% แล้วต้องซื้อ หรือขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์แล้วต้องขาย...."ผมว่ามันเพ้อเจ้อ" หรือพวกที่ชอบซื้อหุ้น "ถัวเฉลี่ยต้นทุน" เขาก็จะไม่ทำ พวกนี้จะตายช้าๆ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน เล่นหุ้นขาลงซื้อถัวเฉลี่ยไม่ได้...ต้อง Cut Loss ทิ้งอย่างเดียว
จุดสังเกตของหุ้นที่ถูกดึงขึ้นมาเล่นนานๆ หรือ "ลากยาว" มักจะมีการสร้าง Story (เรื่องราว) ขึ้นมาก่อนเขายกตัวอย่างกรณีหุ้น ITV ราคาขึ้นมาจาก 6 บาทวิ่งไปที่ 12 บาท หลังจากจัดงานใหญ่ครบรอบ 20 ปี ก่อตั้งบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น ระหว่างวันที่ 27- 29 มิถุนายน 2546 ที่เมืองทองธานี
ช่วงที่ราคาปรับขึ้นจาก 12 บาท วิ่งไปถึง 18 บาท เล่นข่าว ITV ได้ลดค่าสัมปทานทั้งๆ ที่ข่าวจริงยังไม่ออกมา ช่วงราคา 18 บาท ถึง 32 บาท เล่นข่าวขายหุ้นเป็นการเฉพาะเจาะจง (Private placement) ให้แก่บริษัท กันตนา กรุ๊ป และนายไตรภพ ลิมปพัทธ์
"ผมเข้า ITV ตอน 5 บาทกว่าแล้วเลิกตอน 8 บาทกว่า ใครจะไปรู้ว่าประเทศนี้ดีจริงๆ รอบที่สองผมเข้า 12 บาทกว่า พอ 32.50 บาท ผมเลิกขายทิ้งหมด เขาปล่อยข่าวว่าจะลากไป 40 ใครจะอยู่ก็อยู่ ตอนนั้นผมบอกเพื่อนว่า...กูหนีก่อน ตอนขาย N-PARK ก็เหมือนกันช่วงประกาศลดทุน แล้วเพิ่มทุน ผมทิ้งหมด อะไรที่ไม่ชัวร์ต้องทิ้งก่อน"
เอกยุทธเล่าว่า วิธีการของรายใหญ่บางกลุ่มซึ่งเขาถือว่า "สกปรก" ที่สุด คือ จับบริษัท "เน่า" แต่งตัวแล้วนำมาซื้อขายในตลาด หุ้นเน่าจะมาจาก 2 แหล่ง จากหมวด Rehabco(ฟื้นฟูกิจการ) และผ่านเข้ามาทาง "ไอพีโอ" (หุ้นจอง)
ขบวนการจะเริ่มจากซื้อบริษัทที่ "เจ๊ง" ไปแล้วอาจจะอยู่ในตลาด หรือไม่ได้อยู่ในตลาด แต่ต้องมีขนาดที่ใหญ่หน่อยระดับหลายๆ ร้อยล้านบาทขึ้นไป เล็กๆ จะทำไม่คุ้ม ระดับที่เขาสนใจจริงๆ คือระดับ 2,000-3,000 ล้าน มันเห็นน้ำเห็นเนื้อ
"ผมอยากจะเปรียบเหมือนกับเอาของเน่าๆ มาต้มให้ร้อน กินดูก็รู้ว่าเน่า หุ้นพวกนี้ราคาจะพุ่งแรงมากในช่วงแรกๆ แต่ไม่นานมันก็จะตกลงมาอย่างหนัก กราฟเหมือนยอดภูเขา"
ส่วนหุ้น "ไอพีโอ" วิธีการที่จะได้เงินตอนเข้าตลาดจะกำหนดค่าพี/อี เรโช สูงๆ บางบริษัทพื้นฐานไม่ดี แต่ขายพี/อี 12-13 เท่า บางตัวขาย 15 เท่า
"ในความเห็นผมที่มาเลเซีย หรือ สิงคโปร์ บริษัทใหม่เขาจะให้พี/อีไม่เกิน 8 เท่า ตลาดจะต้องเป็นผู้กำหนดไม่ใช่ให้เจ้าของบริษัทเป็นผู้กำหนด หรือให้โบรกเกอร์เป็นคนกำหนด ผมคิดว่าไม่ถูกต้อง ก่อนเอาหุ้นเข้าตลาดต้องประมาณการ Cashflow และคาดการณ์กำไรปีถัดไป พอเข้าตลาดได้เงินแล้วประกาศตัวเลขขาดทุน จริงๆ แล้วเขาต้องมี Profit การันตี 3 ปี โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องเป็นคนรับประกัน"
ที่ไม่ถูกต้องอีกข้อทางการต้องห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ ผู้บริหาร ซื้อๆ ขายๆ (เทรดหุ้น)เพราะคุณรู้ข้อมูลภายใน ในต่างประเทศเขาไม่ให้เรื่องนี้ เพราะเป็นการชี้นำราคา
นี้คือเกร็ดความรู้เชิงลึกที่ "จอร์จ ตัน" เซียนหุ้น 1,000 ล้าน ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
ในบรรดา "เซียน" ในตลาดหุ้นเวลานี้ "จอร์จ ตัน" หรือ เอกยุทธ อัญชันบุตร เปิดเผยว่า คนที่เล่นหุ้นระดับ 1,000 ล้านขึ้นไป มีไม่เกิน 30 คน ที่เล่นหุ้นระดับ 2,000 ล้านบาทขึ้นไปมีอยู่ 4-5 คนในตลาด
"พวกนี้จะรู้จักกันเองผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมาชนกันในตลาด จะรู้เลยว่าซื้อขายสไตล์นี้ใครเล่น ถ้าเห็นลักษณะการขายที่รุนแรงออกมา จะรู้ได้ว่าเขาถือ "ต้นทุนต่ำ" ได้กำไรกลับออกไปเยอะ คนพวกนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนรัฐบาล"
รายใหญ่จะวนเวียนกับโบรกเกอร์ 5-6 แห่ง ใครก๊วนใคร หุ้นตัวนี้ "ทุ่น" ของใครสามารถยกหูเช็คข้อมูลง่ายมากผ่านโบรกเกอร์ที่ตัวเองใช้บริการ ข่าวสารสำหรับรายใหญ่ค่อนข้าง "แม่นยำ" แต่บางครั้งก็มี "ข่าวลวง" ถูกปล่อยออกมาเช่นเดียวกัน
"การลากหุ้นบางครั้งจะลากครั้งละ 2-3 มือ(ตัว)พร้อมกัน พวกนี้จะมี "วอร์รูม" (ห้องปฏิบัติการ) บางกลุ่มชอบไปคุยกันในร้านอาหารว่าจะเล่นตัวไหนดี"
ตลาดหุ้นปี 2546 เป็นตลาดหุ้นวัดฝีมือเซียน ถ้า "ขาใหญ่" คนไหนกำไรไม่เกิน "เท่าตัว" ของทุนที่ลง ถือว่าเป็น "หมู" มือไม่ถึง แต่ในปี 2547 หนังคนละม้วน...หุ้นเล่นยากกว่าปีที่แล้วมาก
ชื่อย่อถูกเรียกขาน และรู้กันเองในหมู่เซียน ภาษาที่ "เซียน" ใช้กันในตลาด เอกยุทธ เล่าให้ฟังว่า คนที่ตกใจรีบขายหุ้นราคาถูกออกมาเขาเรียกว่า "ขายหมู" คำว่า "ซื้อยกไม้" หมายถึงการเก็บหุ้นเพื่อไล่ราคา "ทุ่นใครว่ะ" หมายถึง "หุ้นตัวนี้ของใคร" เช่น ทุ่น "นาย_ก" ปีที่แล้วเป็นหุ้นที่ฮิต คนเชื่อถือมาก
กฎการทำกำไรของเซียน "จังหวะ" นั้นสำคัญที่สุด เอกยุทธบอกว่า คุณต้องรู้วิธีเข้า และวิธีออก แต่ไม่ใช่รู้วิธีเข้าๆ ออกๆ คนที่เข้าเร็วออกเร็วไม่มีทางรวยหุ้น..."เชื่อผม!!!"
จังหวะตลาดสำคัญมากในการกำหนด "กำไร" ในช่วงที่ตลาดหุ้น "ขาลง" หรือ"ไซด์เวย์" รายใหญ่ที่ชอบกินคำใหญ่ๆ จะถอนตัว พวกที่เล่นจะใช้วิธี "วิ่งราว" หรือ "วิ่งเร็ว" กำไร 2-3 ช่อง (ช่วง) ราคา..."กูหนี"
"ช่วงที่จังหวะตลาดไม่ดี เวลาไล่หุ้นเขาจะ "ซื้อขึ้น" จะใช้วิธีกวาดทีเดียว 3-4 ช่อง ล่อพวกตามแห่ ถ้าอยู่ดีๆ ช่อง Offer หายไป 3-4 ช่อง คนจะรีบคีย์คำสั่ง Bid (ซื้อ) ตามเข้ามา จากนั้นเขาจะลากขึ้นไป "ปล่อยของ" เหลือกำไร 2-3 ช่องก็ทิ้ง รายใหญ่ที่เล่นหุ้นในลักษณะนี้เขาเรียกว่าพวก "ฟาสต์ฟู้ด" (กินเร็ว) กินคำเล็กแล้วรีบออก"
เอกยุทธ ย้ำว่านักเล่นหุ้นที่มือระดับเซียน เขาไม่มานั่งดูเทคนิคแล้วซื้อๆ ขายๆ แต่เขาจะเก็บข้อมูลหุ้นเป้าหมาย ต้องรู้หมดทุกเรื่องเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น "Free Float" (จำนวนหุ้นหมุนเวียน)ในตลาด "หน้าตัก" เจ้าของหุ้น ดูว่าเจ้าของหุ้น "เซียน" แค่ไหนถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วติดต่อขอนัดคุย จากนั้นถึงมาเลือกกลยุทธ์ในการเก็บหุ้นว่าจะใช้วิธี "ทุบ" หรือจะค่อยๆ เก็บ
"ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะต้องทำควบคู่ไปกับขบวนการสร้างข่าว"
เขาเล่าว่า นักเล่นหุ้นที่พบมีหลากหลายประเภท ทั้งดูกราฟ ดูเป้าหมายราคา มีจุดตัดลากกันมั่วไปหมด แล้วก็มีอีกประเภทหนึ่งฟังข่าวลือในตลาดอย่างเดียว พวกนี้สั่งซื้อหุ้นยังไม่รู้เลยว่าบริษัททำธุรกิจอะไร ประเภทนี้ในตลาดหุ้นมีเยอะ..."เจ๊งลูกเดียว"
"ประเภทเซียนตัวจริง ข่าวลือมากูไม่สนใจ ส่วนผมชอบ "ขี่หุ้น" ก็ไม่รู้ว่าจัดอยู่ประเภทไหน ผมจะให้น้ำหนักกับ "วอลุ่ม" มากกว่าสัญญาณทุกอย่าง หุ้นไม่มีวอลุ่มผมไม่เล่น ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทคนิค รู้ว่าตัวไหนกำลังถูกเก็บก็จะเข้าก่อน เวลาออกก็จะหนีก่อน"
หุ้นที่เอกยุทธเล่นจะเลือกหุ้นที่มีโอกาสขายทำกำไรมากกว่า 10% ขึ้นไป จังหวะที่ตลาดไม่ดีเขาจะออกจากตลาด เพราะฉะนั้น กำไรมากหรือน้อยมันบอกเป็นกฎตายตัวไม่ได้ ต้องดูแนวโน้มของหุ้น ดูแนวโน้มตลาดว่ามันขึ้นมาแล้วกี่แต้ม(จุด)
"ช่วงที่ขึ้นจาก 605 แต้มขึ้นไป 800 แต้ม ใช้เวลา 2 เดือน ตลาดกำลังบ้าเลือด ช่วงนี้ผมได้กำไรเยอะมาก ไปเก็บไว้ก่อนช่วง 600-605 จุดเทหมดหน้าตัก"
ในการลงทุนของเอกยุทธ จะซื้อครั้งละไม่เกิน 4-5 ตัวมากที่สุด หุ้นที่เขาเล่นมีกฎตายตัวว่าต้องมีสภาพคล่องสูง และมีวอลุ่มแน่น (เท่านั้น)...."เช่น PTT BANPU ผมได้กำไรมาเยอะ" ช่วงนั้นจะเข้าแต่ตัวใหญ่ๆ ตัวละหลายร้อยล้านบาท
เอกยุทธ บอกว่า พวกกองทุนใหญ่ๆ ในต่างประเทศที่เข้ามาเล่นหุ้นไทย มันจะวนเวียนมาเจอกันในตลาด เขาเคยเจอ "จอร์จ โซรอส" มาแล้วหลายตลาด ไปเจอกันที่ลอนดอน ตอนไปทุบค่าเงินปอนด์
"ตอนจอร์จ โซรอสทุบเงินบาทปี 2540 ผมอยู่มาเลเซีย ช่วงนั้นหายนะประเทศไทยผมอยู่ข้างนอกมองเห็นหมด ยังโทรมาบอกเพื่อนๆ ว่ามึงขายทรัพย์สินให้หมด เก็บเงินสดไว้เดี๋ยวจะได้ซื้อของถูก"
ถ้าคุณอยากเป็นรายใหญ่ เขาย้ำว่า กฎของรายใหญ่มีเพียง 2 ข้อเท่านั้น หนึ่ง คุณต้องมี "เงินสด" ติดกระเป๋า กับอีกข้อ ?อย่าโลภ? (เด็ดขาด)
"ถ้ารู้ว่าเข้าจังหวะผิดต้อง "ทิ้ง? เขาเรียกว่า Cut Loss (ตัดขาดทุน) และ Let Profit Run (ปล่อยให้กำไรวิ่งต่อไป) ช่วงที่หุ้นกำไรดีราคากำลังขึ้น ผมจะไล่ราคาตลอด สมมติว่าราคา 2 บาท กำไรเยอะแล้วล่ะ แต่ผมจะไม่ขายเลย จะเฝ้าหน้าจอตลอดว่าจะหนีหรือไม่หนี ช่วงนี้จะไม่ให้เด็กดูเลย
....ถ้ามันกลับหัวลงมาที่ 1.90 บาท..."ผมเลิก" ถ้าไปต่อที่ 2.20 ผมจะยังตามอยู่ วิธีการคือจะขยับเป้าหมายขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าหักหัวลงมา 2 บาทผมถึงจะขาย แต่ถ้ามันไม่ลงไปต่อ 2.50 ถ้า ลงมา 2.30 ผมขาย แต่ถ้า 2.50 ยืนได้ เป้าของผมก็ขยับไป 2.80 คือ ผมจะ Let Profit Run ตลอด ผมจะไม่ Cut เลย"
หลักในการขายหุ้น "ขาขึ้น" เอกยุทธ บอกเคล็ดลับว่า จะต้องปรับราคาขายอยู่ตลอด ถึง 2 บาทผมจะกำไรมากแล้ว แต่ถ้าราคายังวิ่งต่อ ผมจะไม่ขายเด็ดขาด ใครจะมาด่าว่าโง่ก็ไม่สน เพราะไม่รู้จะขายทำไม เพื่อให้ Let Profit มัน Run ไปตลอด
"แต่เมื่อใดที่มันเริ่มหันหัวกลับ...ผมเลิก ทุกราคาผมขายหมดจะไม่รอ และไม่เสียดายเงิน 5 สตางค์ 10 สตางค์ ทุกช่องที่มีอยู่จะโยน (ขาย) ทิ้งหมดเลย สมมติว่าถ้าราคา 2 บาทลงมา 1.80 ทุกราคาที่มี 1.80 บาทผมทิ้งหมด แต่ถ้าขึ้นต่อ 1.80 ผมไม่ขายแล้ว รายใหญ่เขาเล่นกันอย่างนี้"
เอกยุทธให้นิยามของ?ความโลภ? ในมุมมองของเขาว่า คนที่โลภคือคนที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ไม่ประเมินภาวะตลาด เห็นคนอื่นได้ก็อยากได้ด้วย คุณอย่าคิดว่าหุ้นมันขึ้นเองโดยธรรมชาติ มันขึ้นเพราะ "ดีมานด์" มันขึ้นเพราะ "ความเชื่อ" 2 ปัจจัยนี้เท่านั้น
"ผมยกตัวอย่างเวลาคุณผ่านสี่แยกราชประสงค์ คุณยกมือไหว้พระพรหม เพราะคุณเชื่อถือ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง คุณผ่านประตูน้ำคุณเห็นตึกใบหยก ถ้าคุณยกมือไหว้ ที่นั่นก็ "ศักดิ์สิทธิ์" เหมือนกับการเล่นหุ้น คุณซื้อเพราะคุณเชื่อ!
....ผมจะบอกว่าคุณเชื่อได้ แต่อย่างมงาย ผมเชื่อว่ามันจะขึ้นผมก็ไม่งมงายว่ามันจะขึ้นไปจนสุดยอด เพราะไม่มีอะไรขึ้นไปสุดยอดแล้วไม่มีลง ไม่มีใครขายหุ้นได้ในราคาสูงสุด ผมเองเล่นหุ้นมาเป็นสิบๆ ปี เคยขายหุ้นจุดสุดยอดไม่กี่ครั้ง ซึ่งมันต้องฟลุ้คจริงๆ
....เพราะฉะนั้นบางคนกำไร 10-20 สตางค์ก็ขายแล้ว คือ "Cut Profit" (ตัดกำไร) แต่หุ้นตกลงมา 50 สตางค์ Let Loss Run(ปล่อยให้ขาดทุนมากขึ้นเรื่อยๆ) ไม่ยอมขาย ลงมาอีกก็ไม่ยอมขาย หวังว่ามันจะกลับไปที่เก่า เล่นอย่างงี้เจ๊งแน่ๆ"
เขากล่าวว่า ระดับมืออาชีพจริงๆ เขาจะไม่มีกฎอะไรตายตัว เช่น หุ้นลงมา 50% แล้วต้องซื้อ หรือขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์แล้วต้องขาย...."ผมว่ามันเพ้อเจ้อ" หรือพวกที่ชอบซื้อหุ้น "ถัวเฉลี่ยต้นทุน" เขาก็จะไม่ทำ พวกนี้จะตายช้าๆ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน เล่นหุ้นขาลงซื้อถัวเฉลี่ยไม่ได้...ต้อง Cut Loss ทิ้งอย่างเดียว
จุดสังเกตของหุ้นที่ถูกดึงขึ้นมาเล่นนานๆ หรือ "ลากยาว" มักจะมีการสร้าง Story (เรื่องราว) ขึ้นมาก่อนเขายกตัวอย่างกรณีหุ้น ITV ราคาขึ้นมาจาก 6 บาทวิ่งไปที่ 12 บาท หลังจากจัดงานใหญ่ครบรอบ 20 ปี ก่อตั้งบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น ระหว่างวันที่ 27- 29 มิถุนายน 2546 ที่เมืองทองธานี
ช่วงที่ราคาปรับขึ้นจาก 12 บาท วิ่งไปถึง 18 บาท เล่นข่าว ITV ได้ลดค่าสัมปทานทั้งๆ ที่ข่าวจริงยังไม่ออกมา ช่วงราคา 18 บาท ถึง 32 บาท เล่นข่าวขายหุ้นเป็นการเฉพาะเจาะจง (Private placement) ให้แก่บริษัท กันตนา กรุ๊ป และนายไตรภพ ลิมปพัทธ์
"ผมเข้า ITV ตอน 5 บาทกว่าแล้วเลิกตอน 8 บาทกว่า ใครจะไปรู้ว่าประเทศนี้ดีจริงๆ รอบที่สองผมเข้า 12 บาทกว่า พอ 32.50 บาท ผมเลิกขายทิ้งหมด เขาปล่อยข่าวว่าจะลากไป 40 ใครจะอยู่ก็อยู่ ตอนนั้นผมบอกเพื่อนว่า...กูหนีก่อน ตอนขาย N-PARK ก็เหมือนกันช่วงประกาศลดทุน แล้วเพิ่มทุน ผมทิ้งหมด อะไรที่ไม่ชัวร์ต้องทิ้งก่อน"
เอกยุทธเล่าว่า วิธีการของรายใหญ่บางกลุ่มซึ่งเขาถือว่า "สกปรก" ที่สุด คือ จับบริษัท "เน่า" แต่งตัวแล้วนำมาซื้อขายในตลาด หุ้นเน่าจะมาจาก 2 แหล่ง จากหมวด Rehabco(ฟื้นฟูกิจการ) และผ่านเข้ามาทาง "ไอพีโอ" (หุ้นจอง)
ขบวนการจะเริ่มจากซื้อบริษัทที่ "เจ๊ง" ไปแล้วอาจจะอยู่ในตลาด หรือไม่ได้อยู่ในตลาด แต่ต้องมีขนาดที่ใหญ่หน่อยระดับหลายๆ ร้อยล้านบาทขึ้นไป เล็กๆ จะทำไม่คุ้ม ระดับที่เขาสนใจจริงๆ คือระดับ 2,000-3,000 ล้าน มันเห็นน้ำเห็นเนื้อ
"ผมอยากจะเปรียบเหมือนกับเอาของเน่าๆ มาต้มให้ร้อน กินดูก็รู้ว่าเน่า หุ้นพวกนี้ราคาจะพุ่งแรงมากในช่วงแรกๆ แต่ไม่นานมันก็จะตกลงมาอย่างหนัก กราฟเหมือนยอดภูเขา"
ส่วนหุ้น "ไอพีโอ" วิธีการที่จะได้เงินตอนเข้าตลาดจะกำหนดค่าพี/อี เรโช สูงๆ บางบริษัทพื้นฐานไม่ดี แต่ขายพี/อี 12-13 เท่า บางตัวขาย 15 เท่า
"ในความเห็นผมที่มาเลเซีย หรือ สิงคโปร์ บริษัทใหม่เขาจะให้พี/อีไม่เกิน 8 เท่า ตลาดจะต้องเป็นผู้กำหนดไม่ใช่ให้เจ้าของบริษัทเป็นผู้กำหนด หรือให้โบรกเกอร์เป็นคนกำหนด ผมคิดว่าไม่ถูกต้อง ก่อนเอาหุ้นเข้าตลาดต้องประมาณการ Cashflow และคาดการณ์กำไรปีถัดไป พอเข้าตลาดได้เงินแล้วประกาศตัวเลขขาดทุน จริงๆ แล้วเขาต้องมี Profit การันตี 3 ปี โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องเป็นคนรับประกัน"
ที่ไม่ถูกต้องอีกข้อทางการต้องห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ ผู้บริหาร ซื้อๆ ขายๆ (เทรดหุ้น)เพราะคุณรู้ข้อมูลภายใน ในต่างประเทศเขาไม่ให้เรื่องนี้ เพราะเป็นการชี้นำราคา
นี้คือเกร็ดความรู้เชิงลึกที่ "จอร์จ ตัน" เซียนหุ้น 1,000 ล้าน ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 10
ตอนที่ 3 (ตอนสุดท้าย) : แกะรอย "เซียน"...เปลี่ยน "ถุงเงิน"
ประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 10 ปี ในตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ “เอกยุทธ อัญชันบุตร” หรือ “จอร์จ ตัน” เซียนหุ้นแถวหน้าของเมืองไทย รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของขบวนการสร้างราคาหุ้น รู้ลึกถึงเส้นทางเคลื่อนย้ายเงินเข้าออกในคราบนักลงทุนต่างชาติ และกลเม็ดเปลี่ยน "ถุงเงิน” โอนกำไรไปเก็บไว้ใน Asset รูปแบบใหม่ เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะย้อนกลับมาหาตัวเอง
เอกยุทธ เล่าให้ฟังว่า พวกนี้จะไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทชื่อแปลกๆ ในประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านการโอนเงิน และปลอดภาษี เช่น บริติช เวอร์จิ้น ไอร์แลนด์ จากนั้นก็ใช้ชื่อบริษัทไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์ต่างประเทศหลายบัญชี พร้อมกับตั้งตัวแทน (นอมินี) ขึ้นมาดูแลผลประโยชน์
"ขบวนการต่อไปจะโอนเงินมาพักไว้ที่ประเทศสิงคโปร์ จุดหมายปลายทางของเงิน คือ ตลาดหุ้นไทย เพื่อปกปิดชื่อ และแหล่งที่มาของเงิน ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นเงินนอก จริงๆ แล้วคนออกคำสั่งซื้อ-ขาย นั่งอยู่ในประเทศไทย แต่เงินซื้อขายจะถูกหมุนถ่ายเข้าออกเหมือนกับเป็นเงินของนักลงทุนต่างชาติ...พวกนี้ฝรั่งผมดำทั้งนั้น
เค้กก้อนใหญ่ที่สุดเป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจที่เอาไปขายให้พวกฝรั่ง หุ้นพวกนี้ไม่ได้อยู่ในพอร์ตกองทุนต่างชาติทั้งหมด แต่จะมีโบรกเกอร์ฝรั่งทำหน้าที่เป็น "ตัวกลาง" รับหุ้นไป "ขายต่อ" ให้กับบริษัทของคนไทยที่ไปจดทะเบียนในต่างประเทศ ถ้าดูรายชื่อผู้ถือหุ้นจะมองไม่เห็น เพราะเขาให้โบรกเกอร์ฝรั่ง "บล็อก" ชื่อไว้ชั้นหนึ่ง จากนั้นก็เข้าสู่ขบวนการสร้างราคาหุ้นเพื่อเก็บกำไร"
หุ้นที่เอกยุทธตั้งข้อสังเกตมากที่สุดคือหุ้น PTT และ AOT
เอกยุทธยืนยันว่าในปี 2546 ความมั่งคั่งของกลุ่มทุนใหญ่อย่างน้อย 2 กลุ่มที่อาจเกี่ยวข้องกับ "ถุงเงิน" ของผู้มีอำนาจได้กำไรจาก "ตลาดหุ้น" กลับออกไปกว่า 1 หมื่นล้านบาทด้วยวิธีนี้...โดยเฉพาะหุ้น "รัฐวิสาหกิจ" และหุ้นในกลุ่ม "ชินคอร์ป"
ขั้นตอนการทำกำไรชนิดที่ไม่ให้ใครตามดมกลิ่นได้ง่ายๆ นี้ กลุ่มที่ทำได้ต้องเป็นเซียนระดับ "เฟิร์สคลาส" เท่านั้น
แหล่งข่าวระดับสูงในวงการธนาคารพาณิชย์ของรัฐแห่งหนึ่งไขปริศนาว่า รายใหญ่ที่เข้ามาซื้อขายในลักษณะดูแลราคาหุ้น PTT ไม่ใช่ฝรั่ง หรือ "ป..ขายกาแฟ" แต่เป็น "ป..ปตท." สอดคล้องกับข้อสังเกตของเอกยุทธ ราคา PTT ที่วิ่งจาก (ไอพีโอ) 35 บาท ขึ้นมา 193 บาท อาจมีการใช้ข้อมูลภายในเพื่อผลประโยชน์ของใครบางคน
ส่วนวิธีการเก็บเงินหลังทำกำไรจากตลาดหุ้นไทย เอกยุทธ อธิบายต่อว่าในยุคเก่า พวกเผด็จการ หรือพ่อค้ายาเสพติด เวลาถ่ายเงินออกนอกประเทศจะไปเปิดบัญชี หรือไม่ก็ไปเปิดตู้เซฟเอาไว้ เช่นที่ สวิตเซอร์แลนด์ แล้วก็ให้ "โค้ด" ลูกหลานไว้ เวลาตายไปก็โดนแบงก์โกงไปบ้าง เงินหายไปบ้าง เอาเงินกลับมาได้ยาก
“แต่เศรษฐีรุ่นใหม่มีวิธีการเก็บเงินแบบใหม่ เวลาพวกนี้ขายหุ้นเสร็จ โอนเงินออกไปเขาจะไม่เก็บเป็นเงินสดไว้ในบัญชี ไม่ถือเงินสด ไม่ซื้อพร็อพเพอร์ตี้ ไม่เอาไปซื้อทองไว้ในตู้เซฟ เขาใช้วิธีไปซื้อพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งมันมีดอกเบี้ย แล้วมันเป็น Transferable (เอกสารแสดงการโอน) คุณสลักหลังอย่างเดียว มันก็เหมือนเงินสด ซื้อใบละ 1 ล้านดอลลาร์ เพราะเก็บง่าย เอาไปขายที่ไหนก็ได้ในโลก"
“วิธีถ่ายเงินไปซื้อพันธบัตรสหรัฐตรวจสอบยาก เปลี่ยนเป็นเงินง่าย ให้ใครถือก็ได้ เอาไปแลกที่ฮ่องกง หรือขึ้นเงินที่ไหนก็ได้ คุณ Discount (ขายลดราคา) ได้หมด อันนี้อันตราย...คลาสสิกที่สุดแล้วในยุคนี้"
ในบรรดาความเสี่ยงทุกชนิดที่เคยสัมผัสมาเอกยุทธ ยอมรับว่า "ค่าเงิน" เล่นยากที่สุด และเคยขาดทุนมาแล้วจำนวนมาก..."แต่ตลาดหุ้นไทยเล่นง่ายที่สุด"
"ถ้าคุณอยู่ในแวดวงตลาดหุ้น ซึ่งผมอยู่มาเกือบ 20 ปี มันมองเห็นหมด เขาถึงบอกว่า "คนเห็นผี" ไง คือ มันรู้ ผมไม่เคยอยากรู้ เพราะรู้แล้วมันคัน...อยากบอก ถ้าเล่นหุ้นในต่างประเทศมันต้อง "ฝีมือ" เล็งแล้วเล็งอีกกว่าจะฟันกันได้ แต่ที่นี่ไม่ต้องรอเลย นั่งดูเดี๋ยวเดียวก็รู้แล้วว่ากำลังเก็บ ผม "ขี่" ไปกับมันดีกว่า ปีที่แล้วผม "ขี่" หุ้นนาย_กเยอะ ขี่ตัวใหญ่ๆทั้งนั้น เขาก็เลยแค้นผม"
เมื่อถามว่ามีใครบ้าง ”เซียน” ตัวจริงในตลาดหุ้น
เอกยุทธ ตอบว่าคนที่เก่งจริงในวงการหุ้น ไม่ใช่คนในรัฐบาล เซียนที่มีพอร์ตเล่นหุ้นระดับพันล้านหลายคนโตขึ้นมาจาก "ฝีมือ" ตัวเองจริงๆ ไม่ใช่กลุ่มการเมือง แต่บางคนถูกกลุ่มการเมืองมาขอให้ช่วยทำราคา
"ที่คุณเห็นส่วนใหญ่ "รวย" มาจาก "ข้อมูลวงใน" ที่ได้เปรียบคนอื่น กลุ่มทนายเล่นหุ้นมากกว่า 2,000 ล้าน...กลุ่มนี้ใหญ่มาก ข้อมูลวงในแม่นยำ ส่วนพวกนักการเมืองจะเล่นหุ้นผ่านอดีตปลัดคลังคนหนึ่ง ข้อมูลจะรู้ก่อน 10 นาที รู้จากข้างในห้องประชุมเลย หุ้นตัวไหนที่ได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลพวกนี้จะรู้ก่อนหมด
ส่วนคนที่ขายกาแฟ เขารับว่าเล่นหุ้น 1,000 ล้าน ผมอยากจะถามว่าทำไมมีน้อยเหลือเกิน 1,000 ล้าน นั่นชื่อใคร ยังมีเล่นในชื่อคนอื่นอีกเท่าไร คนนี้รวยขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ช่วงวิกฤติธุรกิจเขาโดนหนักมาก"
เขายังกล่าวถึง "ซีอีโอ" ของบริษัทสื่อสารระดับชาติคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกลุ่มการเมือง ในวงการหุ้นเขารู้จักในฐานะ "มือทุบ"...เซียนโดนกันมาแล้วทุกคน
"ซีอีโอคนนี้มีผลงานเคยเข้าไปไล่หุ้นบง.ธนชาติ มีคนเข้าไปติดร่างแหกันเยอะ เขาจะเก็บล็อตใหญ่แล้วหาคนมารับไม้ (หุ้น) ต่อ ลากหุ้นขึ้นไป 19.90 บาท(ช่วงเดือนกันยายน 2546) จากนั้นเขาก็ทิ้งทุกไม้ (ทุกช่องราคา) ทุบหุ้นร่วงอย่างแรง มีบริษัทหนึ่งเข้าไปรับไว้ยังติดหุ้นที่ราคา 19 บาทมาจนถึงทุกวันนี้"
สำหรับขนาดหุ้นที่รายใหญ่เลือกเก็บ เอกยุทธ บอกว่า "ต้องใหญ่" Free Float(ปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาด) ต้องมาก ถ้าเป็นหุ้นใหม่ๆ (ไอพีโอ) ก็ต้องเร็ว ได้มาแล้วต้องเลิกเลย เพราะมันไม่ใช่หุ้นที่ติดอันดับ (Most Active) เล่นรอบเดียวแล้วหายไปเป็นปี
ถ้าเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องหมุนเวียนไม่มาก เซียนพวกที่เข้าไปเล่นจะไม่ใช้วิธี "ไล่ราคา" เพราะการไล่ราคาจะทำให้ต้นทุนสูง ถ้าเขาต้องการเก็บหุ้นจะใช้วิธี "ทุบ" ให้รายย่อย "อ๊วก" หรือ "สำลัก" ออกมา จากนั้นเขาจะเข้าไปเก็บเพื่อดันราคาให้มันวิ่ง...ทีนี้ก็บ๊ายบาย!!!เลย
จุดสังเกตที่เอกยุทธแนะให้จับตา เมื่อมีการลากหุ้นขึ้นมาแล้วระยะหนึ่ง ถ้าราคาเริ่มนิ่ง หรือขยับขึ้นเล็กน้อย แต่วอลุ่มยังคงหน้าแน่นผิดปกติ เป็นสัญญาณเตือนว่าขณะนั้นรายใหญ่กำลัง ”โยนหุ้น” ซื้อขายกันเองระหว่างกลุ่ม เพื่อเปิดไฟ "ล่อแมลงเม่า"....ในไม่ช้าราคาหุ้นจะตกลงอย่างรวดเร็ว
"หุ้น Free Float น้อย พวกรายใหญ่จะไม่กล้าเสี่ยงถือยาวๆ ถึงแนวโน้มกิจการจะดี แต่พอมีกำไรก็ต้องทิ้ง หุ้นลักษณะนี้จะขึ้นเร็ว ลงเร็ว รอรอบอีกทีนานเป็นปี"
ในการทำศึก "การข่าว" นั้นสำคัญมาก เอกยุทธ เปิดเผยว่า เซียนหุ้นแทบทุกคนในตลาดจะเลี้ยงดู "เด็ก" (แหล่งข่าว)ทุกโบรกฯ ถ้าเล่นหุ้นเยอะต้องทำแบบนี้
คราวนี้มาถึงยุทธวิธีตลบหลัง "เซียน" กันบ้าง ในกรณีที่มี "รายใหญ่" ดอดเข้ามาเก็บหุ้นแล้วเจ้าของหุ้นอยากแก้เผ็ดพวกนี้ เอกยุทธ บอกเคล็ดลับว่า ให้ใช้วิธี "ทุบ" ให้ "อ๊วก" ก่อน จากนั้นก็ออกหุ้นใหม่ขายเฉพาะเจาะจงทำให้ "สัดส่วน" มันเล็กลง
"ถ้าบริษัทขนาดไม่ใหญ่มาก "ทุบ" แล้วหาทุนใหม่ยัดเข้าไป ใช้เงินซัก 500 ล้าน ก็พอ ให้มันซีดลงไปเรื่อยๆ Dilute (ลดสัดส่วนหุ้น) ให้มันกลายเป็นหุ้นเล็ก ต้องหาคนที่ไว้ใจได้ร่วมมือกัน เรื่องพวกนี้ผมถนัด เคยทำอาชีพนี้ตอนอยู่มาเลเซีย คนที่ทำดีลควบรวมกิจการเยอะที่สุดในรอบ 10 ปีคือ "ผม" ทำมาแล้ว 50-60 บริษัท"
ในทางตรงกันข้ามถ้าพวกเซียนรู้ว่า "เจ้าของหุ้น" เอาหุ้นไป "จำนำ" ไว้กับสถาบันการเงิน ถ้าใช้วิธี "ทุบ" เจ้าของหุ้นเสร็จเลย สมมติราคาหุ้น 100 บาท สถาบันการเงินอาจให้คุณ 50 บาท ถ้าราคาหุ้นตกก็ต้องหาหลักประกันมาเพิ่ม มันเดือดร้อนตรงนี้
"ผมถึงบอกว่าถ้าจะต่อสู้กันก็ต้องดู "หน้าตัก" ของอีกฝ่าย เพราะเวลาหุ้นตกมันก็จะยิ่งตกหนัก ถ้าไม่มีหลักประกันไปเพิ่มจะเป็นการ Force Sale (บังคับขาย) ทันที เจ้าหนี้จะต้อง Cut Loss โยนทิ้งออกมาบ้าง เขาจะเก็บเฉพาะบล็อกใหญ่เอาไว้ Controlling (ควบคุม) เท่านั้นเอง สมมติรายใหญ่รู้ว่าเจ้าของเอาหุ้นไปจำนำไว้อย่างนี้เสร็จเลย"
ในขณะที่วิธีการ "คอร์รัปชัน" สมัยใหม่ในแวดวงการเงิน แหล่งข่าวระดับสูงจากธนาคารพาณิชย์ของรัฐแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า สมัยก่อนผู้บริหารระดับสูงของธนาคารจะใช้วิธี "กินเปอร์เซ็นต์" จากวงเงินกู้ หรือที่ภาษาในวงการเขาเรียกว่า "กินปากถุง"
"เดี๋ยวนี้กินปากถุงมันเสี่ยง เจอหนี้ไม่ดีเป็นเอ็นพีแอล (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) มันสาวถึงต้นตอเลยว่าใครอนุมัติบ้าง เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนเป็น "ขอหุ้น" ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์แทน"
แหล่งข่าวรายนี้ บอกว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีหุ้น "ไอพีโอ" อย่างน้อย 30-40 บริษัท เป็นลูกหนี้ของธนาคารเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต้อง "จ่ายหุ้น" ให้กับ "บิ๊ก" ของธนาคาร หรือ ขอซื้อมาใน "ราคาถูก" แต่เขาจะไม่รับมาเป็นก้อนใหญ่ จะกระจายหุ้นให้กับคนใกล้ชิดจำนวนหลายสิบคน แล้วนำไปขายเปลี่ยนเป็น "เงิน" ในตลาดหุ้นอีกทอดหนึ่ง ได้กำไรจากวิธีนี้ไปหลายร้อยล้านบาท
ทางด้าน เอกยุทธ บอกว่าทุกวันนี้วิธีการสร้างราคาหุ้นไม่ได้ซับซ้อนขึ้น แต่กฎหมายเมืองไทยมีช่องโหว่ ถ้าพฤติกรรมฟ้องว่า "ปั่นหุ้น" ชัดๆแต่กฎหมายต้องพิสูจน์ว่าเขาได้เงินมาจากการปั่นหุ้นอย่างไร ซึ่งพิสูจน์ยาก
ปัจจุบันการปั่นหุ้นถือเป็นความผิดทางอาญา กฎหมายกำหนดโทษให้จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 500,000 บาท จนถึง 2 เท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับ เมื่อสู้กันในชั้นศาลสุดท้ายผู้ถูกกล่าวหามักจะหลุดคดี
"ผมถึงบอกว่าถ้าคุณ (ผู้มีอำนาจ) แน่จริงไปเปิดบัญชีเล่นหุ้นพร้อมกันในต่างประเทศดีกว่า แล้วจะรู้ว่าใครเก่งกว่าใคร ประเทศไหนก็ได้คุณชี้มาเลย เก่งแบบเล่นหุ้นรู้ข้อมูลวงใน...ปัดโธ่!!!ใครก็เล่นเป็น"
===========================================================
ประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 10 ปี ในตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ “เอกยุทธ อัญชันบุตร” หรือ “จอร์จ ตัน” เซียนหุ้นแถวหน้าของเมืองไทย รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของขบวนการสร้างราคาหุ้น รู้ลึกถึงเส้นทางเคลื่อนย้ายเงินเข้าออกในคราบนักลงทุนต่างชาติ และกลเม็ดเปลี่ยน "ถุงเงิน” โอนกำไรไปเก็บไว้ใน Asset รูปแบบใหม่ เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะย้อนกลับมาหาตัวเอง
เอกยุทธ เล่าให้ฟังว่า พวกนี้จะไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทชื่อแปลกๆ ในประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านการโอนเงิน และปลอดภาษี เช่น บริติช เวอร์จิ้น ไอร์แลนด์ จากนั้นก็ใช้ชื่อบริษัทไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์ต่างประเทศหลายบัญชี พร้อมกับตั้งตัวแทน (นอมินี) ขึ้นมาดูแลผลประโยชน์
"ขบวนการต่อไปจะโอนเงินมาพักไว้ที่ประเทศสิงคโปร์ จุดหมายปลายทางของเงิน คือ ตลาดหุ้นไทย เพื่อปกปิดชื่อ และแหล่งที่มาของเงิน ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นเงินนอก จริงๆ แล้วคนออกคำสั่งซื้อ-ขาย นั่งอยู่ในประเทศไทย แต่เงินซื้อขายจะถูกหมุนถ่ายเข้าออกเหมือนกับเป็นเงินของนักลงทุนต่างชาติ...พวกนี้ฝรั่งผมดำทั้งนั้น
เค้กก้อนใหญ่ที่สุดเป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจที่เอาไปขายให้พวกฝรั่ง หุ้นพวกนี้ไม่ได้อยู่ในพอร์ตกองทุนต่างชาติทั้งหมด แต่จะมีโบรกเกอร์ฝรั่งทำหน้าที่เป็น "ตัวกลาง" รับหุ้นไป "ขายต่อ" ให้กับบริษัทของคนไทยที่ไปจดทะเบียนในต่างประเทศ ถ้าดูรายชื่อผู้ถือหุ้นจะมองไม่เห็น เพราะเขาให้โบรกเกอร์ฝรั่ง "บล็อก" ชื่อไว้ชั้นหนึ่ง จากนั้นก็เข้าสู่ขบวนการสร้างราคาหุ้นเพื่อเก็บกำไร"
หุ้นที่เอกยุทธตั้งข้อสังเกตมากที่สุดคือหุ้น PTT และ AOT
เอกยุทธยืนยันว่าในปี 2546 ความมั่งคั่งของกลุ่มทุนใหญ่อย่างน้อย 2 กลุ่มที่อาจเกี่ยวข้องกับ "ถุงเงิน" ของผู้มีอำนาจได้กำไรจาก "ตลาดหุ้น" กลับออกไปกว่า 1 หมื่นล้านบาทด้วยวิธีนี้...โดยเฉพาะหุ้น "รัฐวิสาหกิจ" และหุ้นในกลุ่ม "ชินคอร์ป"
ขั้นตอนการทำกำไรชนิดที่ไม่ให้ใครตามดมกลิ่นได้ง่ายๆ นี้ กลุ่มที่ทำได้ต้องเป็นเซียนระดับ "เฟิร์สคลาส" เท่านั้น
แหล่งข่าวระดับสูงในวงการธนาคารพาณิชย์ของรัฐแห่งหนึ่งไขปริศนาว่า รายใหญ่ที่เข้ามาซื้อขายในลักษณะดูแลราคาหุ้น PTT ไม่ใช่ฝรั่ง หรือ "ป..ขายกาแฟ" แต่เป็น "ป..ปตท." สอดคล้องกับข้อสังเกตของเอกยุทธ ราคา PTT ที่วิ่งจาก (ไอพีโอ) 35 บาท ขึ้นมา 193 บาท อาจมีการใช้ข้อมูลภายในเพื่อผลประโยชน์ของใครบางคน
ส่วนวิธีการเก็บเงินหลังทำกำไรจากตลาดหุ้นไทย เอกยุทธ อธิบายต่อว่าในยุคเก่า พวกเผด็จการ หรือพ่อค้ายาเสพติด เวลาถ่ายเงินออกนอกประเทศจะไปเปิดบัญชี หรือไม่ก็ไปเปิดตู้เซฟเอาไว้ เช่นที่ สวิตเซอร์แลนด์ แล้วก็ให้ "โค้ด" ลูกหลานไว้ เวลาตายไปก็โดนแบงก์โกงไปบ้าง เงินหายไปบ้าง เอาเงินกลับมาได้ยาก
“แต่เศรษฐีรุ่นใหม่มีวิธีการเก็บเงินแบบใหม่ เวลาพวกนี้ขายหุ้นเสร็จ โอนเงินออกไปเขาจะไม่เก็บเป็นเงินสดไว้ในบัญชี ไม่ถือเงินสด ไม่ซื้อพร็อพเพอร์ตี้ ไม่เอาไปซื้อทองไว้ในตู้เซฟ เขาใช้วิธีไปซื้อพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งมันมีดอกเบี้ย แล้วมันเป็น Transferable (เอกสารแสดงการโอน) คุณสลักหลังอย่างเดียว มันก็เหมือนเงินสด ซื้อใบละ 1 ล้านดอลลาร์ เพราะเก็บง่าย เอาไปขายที่ไหนก็ได้ในโลก"
“วิธีถ่ายเงินไปซื้อพันธบัตรสหรัฐตรวจสอบยาก เปลี่ยนเป็นเงินง่าย ให้ใครถือก็ได้ เอาไปแลกที่ฮ่องกง หรือขึ้นเงินที่ไหนก็ได้ คุณ Discount (ขายลดราคา) ได้หมด อันนี้อันตราย...คลาสสิกที่สุดแล้วในยุคนี้"
ในบรรดาความเสี่ยงทุกชนิดที่เคยสัมผัสมาเอกยุทธ ยอมรับว่า "ค่าเงิน" เล่นยากที่สุด และเคยขาดทุนมาแล้วจำนวนมาก..."แต่ตลาดหุ้นไทยเล่นง่ายที่สุด"
"ถ้าคุณอยู่ในแวดวงตลาดหุ้น ซึ่งผมอยู่มาเกือบ 20 ปี มันมองเห็นหมด เขาถึงบอกว่า "คนเห็นผี" ไง คือ มันรู้ ผมไม่เคยอยากรู้ เพราะรู้แล้วมันคัน...อยากบอก ถ้าเล่นหุ้นในต่างประเทศมันต้อง "ฝีมือ" เล็งแล้วเล็งอีกกว่าจะฟันกันได้ แต่ที่นี่ไม่ต้องรอเลย นั่งดูเดี๋ยวเดียวก็รู้แล้วว่ากำลังเก็บ ผม "ขี่" ไปกับมันดีกว่า ปีที่แล้วผม "ขี่" หุ้นนาย_กเยอะ ขี่ตัวใหญ่ๆทั้งนั้น เขาก็เลยแค้นผม"
เมื่อถามว่ามีใครบ้าง ”เซียน” ตัวจริงในตลาดหุ้น
เอกยุทธ ตอบว่าคนที่เก่งจริงในวงการหุ้น ไม่ใช่คนในรัฐบาล เซียนที่มีพอร์ตเล่นหุ้นระดับพันล้านหลายคนโตขึ้นมาจาก "ฝีมือ" ตัวเองจริงๆ ไม่ใช่กลุ่มการเมือง แต่บางคนถูกกลุ่มการเมืองมาขอให้ช่วยทำราคา
"ที่คุณเห็นส่วนใหญ่ "รวย" มาจาก "ข้อมูลวงใน" ที่ได้เปรียบคนอื่น กลุ่มทนายเล่นหุ้นมากกว่า 2,000 ล้าน...กลุ่มนี้ใหญ่มาก ข้อมูลวงในแม่นยำ ส่วนพวกนักการเมืองจะเล่นหุ้นผ่านอดีตปลัดคลังคนหนึ่ง ข้อมูลจะรู้ก่อน 10 นาที รู้จากข้างในห้องประชุมเลย หุ้นตัวไหนที่ได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลพวกนี้จะรู้ก่อนหมด
ส่วนคนที่ขายกาแฟ เขารับว่าเล่นหุ้น 1,000 ล้าน ผมอยากจะถามว่าทำไมมีน้อยเหลือเกิน 1,000 ล้าน นั่นชื่อใคร ยังมีเล่นในชื่อคนอื่นอีกเท่าไร คนนี้รวยขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ช่วงวิกฤติธุรกิจเขาโดนหนักมาก"
เขายังกล่าวถึง "ซีอีโอ" ของบริษัทสื่อสารระดับชาติคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกลุ่มการเมือง ในวงการหุ้นเขารู้จักในฐานะ "มือทุบ"...เซียนโดนกันมาแล้วทุกคน
"ซีอีโอคนนี้มีผลงานเคยเข้าไปไล่หุ้นบง.ธนชาติ มีคนเข้าไปติดร่างแหกันเยอะ เขาจะเก็บล็อตใหญ่แล้วหาคนมารับไม้ (หุ้น) ต่อ ลากหุ้นขึ้นไป 19.90 บาท(ช่วงเดือนกันยายน 2546) จากนั้นเขาก็ทิ้งทุกไม้ (ทุกช่องราคา) ทุบหุ้นร่วงอย่างแรง มีบริษัทหนึ่งเข้าไปรับไว้ยังติดหุ้นที่ราคา 19 บาทมาจนถึงทุกวันนี้"
สำหรับขนาดหุ้นที่รายใหญ่เลือกเก็บ เอกยุทธ บอกว่า "ต้องใหญ่" Free Float(ปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาด) ต้องมาก ถ้าเป็นหุ้นใหม่ๆ (ไอพีโอ) ก็ต้องเร็ว ได้มาแล้วต้องเลิกเลย เพราะมันไม่ใช่หุ้นที่ติดอันดับ (Most Active) เล่นรอบเดียวแล้วหายไปเป็นปี
ถ้าเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องหมุนเวียนไม่มาก เซียนพวกที่เข้าไปเล่นจะไม่ใช้วิธี "ไล่ราคา" เพราะการไล่ราคาจะทำให้ต้นทุนสูง ถ้าเขาต้องการเก็บหุ้นจะใช้วิธี "ทุบ" ให้รายย่อย "อ๊วก" หรือ "สำลัก" ออกมา จากนั้นเขาจะเข้าไปเก็บเพื่อดันราคาให้มันวิ่ง...ทีนี้ก็บ๊ายบาย!!!เลย
จุดสังเกตที่เอกยุทธแนะให้จับตา เมื่อมีการลากหุ้นขึ้นมาแล้วระยะหนึ่ง ถ้าราคาเริ่มนิ่ง หรือขยับขึ้นเล็กน้อย แต่วอลุ่มยังคงหน้าแน่นผิดปกติ เป็นสัญญาณเตือนว่าขณะนั้นรายใหญ่กำลัง ”โยนหุ้น” ซื้อขายกันเองระหว่างกลุ่ม เพื่อเปิดไฟ "ล่อแมลงเม่า"....ในไม่ช้าราคาหุ้นจะตกลงอย่างรวดเร็ว
"หุ้น Free Float น้อย พวกรายใหญ่จะไม่กล้าเสี่ยงถือยาวๆ ถึงแนวโน้มกิจการจะดี แต่พอมีกำไรก็ต้องทิ้ง หุ้นลักษณะนี้จะขึ้นเร็ว ลงเร็ว รอรอบอีกทีนานเป็นปี"
ในการทำศึก "การข่าว" นั้นสำคัญมาก เอกยุทธ เปิดเผยว่า เซียนหุ้นแทบทุกคนในตลาดจะเลี้ยงดู "เด็ก" (แหล่งข่าว)ทุกโบรกฯ ถ้าเล่นหุ้นเยอะต้องทำแบบนี้
คราวนี้มาถึงยุทธวิธีตลบหลัง "เซียน" กันบ้าง ในกรณีที่มี "รายใหญ่" ดอดเข้ามาเก็บหุ้นแล้วเจ้าของหุ้นอยากแก้เผ็ดพวกนี้ เอกยุทธ บอกเคล็ดลับว่า ให้ใช้วิธี "ทุบ" ให้ "อ๊วก" ก่อน จากนั้นก็ออกหุ้นใหม่ขายเฉพาะเจาะจงทำให้ "สัดส่วน" มันเล็กลง
"ถ้าบริษัทขนาดไม่ใหญ่มาก "ทุบ" แล้วหาทุนใหม่ยัดเข้าไป ใช้เงินซัก 500 ล้าน ก็พอ ให้มันซีดลงไปเรื่อยๆ Dilute (ลดสัดส่วนหุ้น) ให้มันกลายเป็นหุ้นเล็ก ต้องหาคนที่ไว้ใจได้ร่วมมือกัน เรื่องพวกนี้ผมถนัด เคยทำอาชีพนี้ตอนอยู่มาเลเซีย คนที่ทำดีลควบรวมกิจการเยอะที่สุดในรอบ 10 ปีคือ "ผม" ทำมาแล้ว 50-60 บริษัท"
ในทางตรงกันข้ามถ้าพวกเซียนรู้ว่า "เจ้าของหุ้น" เอาหุ้นไป "จำนำ" ไว้กับสถาบันการเงิน ถ้าใช้วิธี "ทุบ" เจ้าของหุ้นเสร็จเลย สมมติราคาหุ้น 100 บาท สถาบันการเงินอาจให้คุณ 50 บาท ถ้าราคาหุ้นตกก็ต้องหาหลักประกันมาเพิ่ม มันเดือดร้อนตรงนี้
"ผมถึงบอกว่าถ้าจะต่อสู้กันก็ต้องดู "หน้าตัก" ของอีกฝ่าย เพราะเวลาหุ้นตกมันก็จะยิ่งตกหนัก ถ้าไม่มีหลักประกันไปเพิ่มจะเป็นการ Force Sale (บังคับขาย) ทันที เจ้าหนี้จะต้อง Cut Loss โยนทิ้งออกมาบ้าง เขาจะเก็บเฉพาะบล็อกใหญ่เอาไว้ Controlling (ควบคุม) เท่านั้นเอง สมมติรายใหญ่รู้ว่าเจ้าของเอาหุ้นไปจำนำไว้อย่างนี้เสร็จเลย"
ในขณะที่วิธีการ "คอร์รัปชัน" สมัยใหม่ในแวดวงการเงิน แหล่งข่าวระดับสูงจากธนาคารพาณิชย์ของรัฐแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า สมัยก่อนผู้บริหารระดับสูงของธนาคารจะใช้วิธี "กินเปอร์เซ็นต์" จากวงเงินกู้ หรือที่ภาษาในวงการเขาเรียกว่า "กินปากถุง"
"เดี๋ยวนี้กินปากถุงมันเสี่ยง เจอหนี้ไม่ดีเป็นเอ็นพีแอล (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) มันสาวถึงต้นตอเลยว่าใครอนุมัติบ้าง เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนเป็น "ขอหุ้น" ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์แทน"
แหล่งข่าวรายนี้ บอกว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีหุ้น "ไอพีโอ" อย่างน้อย 30-40 บริษัท เป็นลูกหนี้ของธนาคารเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต้อง "จ่ายหุ้น" ให้กับ "บิ๊ก" ของธนาคาร หรือ ขอซื้อมาใน "ราคาถูก" แต่เขาจะไม่รับมาเป็นก้อนใหญ่ จะกระจายหุ้นให้กับคนใกล้ชิดจำนวนหลายสิบคน แล้วนำไปขายเปลี่ยนเป็น "เงิน" ในตลาดหุ้นอีกทอดหนึ่ง ได้กำไรจากวิธีนี้ไปหลายร้อยล้านบาท
ทางด้าน เอกยุทธ บอกว่าทุกวันนี้วิธีการสร้างราคาหุ้นไม่ได้ซับซ้อนขึ้น แต่กฎหมายเมืองไทยมีช่องโหว่ ถ้าพฤติกรรมฟ้องว่า "ปั่นหุ้น" ชัดๆแต่กฎหมายต้องพิสูจน์ว่าเขาได้เงินมาจากการปั่นหุ้นอย่างไร ซึ่งพิสูจน์ยาก
ปัจจุบันการปั่นหุ้นถือเป็นความผิดทางอาญา กฎหมายกำหนดโทษให้จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 500,000 บาท จนถึง 2 เท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับ เมื่อสู้กันในชั้นศาลสุดท้ายผู้ถูกกล่าวหามักจะหลุดคดี
"ผมถึงบอกว่าถ้าคุณ (ผู้มีอำนาจ) แน่จริงไปเปิดบัญชีเล่นหุ้นพร้อมกันในต่างประเทศดีกว่า แล้วจะรู้ว่าใครเก่งกว่าใคร ประเทศไหนก็ได้คุณชี้มาเลย เก่งแบบเล่นหุ้นรู้ข้อมูลวงใน...ปัดโธ่!!!ใครก็เล่นเป็น"
===========================================================
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 11
ปล.
อ้อ...เกือบลืมไป
ผม Copy บทความทั้ง 3 ตอนนี้ มาจาก Blog ของ K.nut_siri
ที่ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... =2&gblog=3
ขอบคุณมากๆครับ
อ้อ...เกือบลืมไป
ผม Copy บทความทั้ง 3 ตอนนี้ มาจาก Blog ของ K.nut_siri
ที่ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... =2&gblog=3
ขอบคุณมากๆครับ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 625
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 12
Chinese Price
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ใครที่เคยไปเมืองจีนโดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวระดับท้องถิ่นอย่างคุนหมิงคงได้เจอประสบการณ์ในการซื้อของที่ระลึกแบบที่ผมเจอมาบ้าง
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับผมก็คือ ในขณะที่ลูกทัวร์ซึ่งรวมผมอยู่ด้วยกำลังนั่งอยู่ในรถบัสรอลูกทัวร์คนอื่นทยอยขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นนั้น คนขายของที่ระลึกที่เป็นขิมจีนทำด้วยไม้ก็ขึ้นมาบนรถและเสนอราคาขายที่ตัวละ 200 หยวนหรือประมาณ 1,000 บาทไทย นักท่องเที่ยวที่อยู่ด้านหน้าของรถสนใจจะซื้อแต่ก็รู้ว่าที่เมืองจีนนั้น ราคาสินค้าที่เรียกจะสูงกว่าราคาจริงมาก จึงต่อราคาเหลือเพียงครึ่งเดียวคือ 100 หยวน คนขายอิดออดเล็กน้อยแต่ก็ยอมขายให้
คนขายขิมเดินต่อมาก็พบกับลูกค้าอีกคนหนึ่งซึ่งสนใจแต่เห็นว่าน่าจะต่อรองราคาขิมลงได้อีก จึงเสนอราคา "เผื่อต่อรอง" ไปที่ 50 หยวน คนขายไม่ยอมรับราคาและเจรจาอยู่สักครู่ก็ตกลงซื้อขายกันที่ 60 หยวน ซึ่งทำให้คนซื้อรู้สึกพอใจ แต่คนซื้อคนแรกรู้สึกเจ็บใจที่ตนเองต้องซื้อของราคาแพงเนื่องจากต่อรองราคาน้อยเกินไปในตอนแรก
พ่อค้าขิม "ตัวแสบ" เดินต่อไปที่ท้ายรถและก็เสนอขายขิมอีกในราคาที่ตกลงกับคนซื้อรายที่สามที่ 30 หยวน ซึ่งทำให้ลูกค้าทั้งรายที่หนึ่งและสองรู้สึกเจ็บปวดหนักที่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกหลอกให้ซื้อของที่แพงเกินไปมาก อย่างไรก็ตามพ่อค้าขิมก็ยังเดินต่อไปและเสนอราคาขายขิมในราคาที่ต่ำลงอีกเหลือเพียง 15 หยวน สำหรับลูกค้ารายที่สี่ ซึ่งเมื่อถึงจุดนี้ ลูกค้าทั้งสามรายที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ก็แทบคลั่งที่นึกว่าตนเองซื้อของถูกแล้ว แต่กลับมีราคาที่ถูกกว่า
ถึงตอนนี้หัวหน้าทัวร์ก็ประกาศว่ารถกำลังจะออกแล้ว ลูกทัวร์ที่นั่งอยู่ท้ายรถคนหนึ่งรู้สึกสนุกกับ "ความเขลา" ของผู้ซื้อขิมทั้งหลาย และเพื่อที่จะเล่นสนุกกับพ่อค้าขิมเจ้าเล่ห์จึง "แกล้ง"ต่อรองราคาขิมเหลือเพียง 5 หยวน เพราะคิดว่าอย่างไรเสียพ่อค้าขิมก็คงไม่ขายให้ เพราะราคา 5 หยวนนั้น น่าจะต่ำกว่าต้นทุนของขิม เขาเข้าใจผิด พ่อค้าขายขิมให้เขาและรีบลงจากรถที่กำลังเคลื่อนตัวออก เขาส่งยิ้มแสดงความขอบคุณให้ทุกคนที่ซื้อขิมเขา เพราะรายได้จากการขายขิม 5 ตัวคือ 220 หยวน ต้นทุนของขิมคือตัวละ 4 หยวน 5 ตัวเท่ากับ 20 หยวน กำไรของเขาก็คือ 200 หยวน ซึ่งเขาใช้เวลาขายเพียง 15 นาที
พ่อค้าขิมขายสินค้าของเขาได้ในราคาสูงลิ่วเพราะขิมจีนทำด้วยไม้แบบที่เขาขายนั้นเป็นสิ่งที่มีเอกลักษณ์ในตัวที่คนซื้อที่ไม่มีประสบการณ์จะไม่สามารถรู้ได้ว่าราคาควรจะเป็นเท่าไร แต่การตั้งราคาเริ่มต้นที่ 200 หยวนนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นราคาที่ "สมเหตุผล" สำหรับของที่ระลึกที่ดูมีค่าอย่างขิมจีน และที่สำคัญ มันเหมาะกับกระเป๋านักท่องเที่ยวชาวไทย และเมื่อเขากำหนดราคา "พื้นฐาน" ที่เป็นราคาเริ่มต้นได้แล้ว เขาสามารถที่จะ "ขายทำกำไร" ได้ในเกือบจะทุกราคาโดยที่คนซื้อจะพร้อมที่จะเข้ามาซื้อต่อเนื่อง เพราะคิดว่า "ของมันถูก" และไม่น่าจะ "ถูกกว่านี้"
ในตลาดหุ้นไทยนั้น ผมคิดว่ามีหุ้นที่มีลักษณะของการซื้อขายโดยมีราคาในลักษณะที่ผมจะเรียกให้เท่ ๆ ว่า Chinese Price หรือ "ราคาเมืองจีน" ดังที่กล่าวข้างต้นอยู่ไม่น้อย
แนวความคิดก็คือ มี "พ่อค้าหุ้น" ที่มีหุ้นราคาถูกอยู่ในมือจำนวนมาก คำว่าราคาถูกก็คือ เช่น ต้นทุนหุ้นละ 1 บาท สิ่งที่พ่อค้าหุ้นทำก็คือ การพยายาม "เปิดราคา" นั่นคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้หุ้นมีการซื้อขายที่ราคาสูงที่สุดที่จะทำได้ เช่น ราคาหุ้นละ 10 บาท การทำให้หุ้นมีราคา 10 บาทได้นั้นก็ต้องพยายามทำให้คนเชื่อว่าราคา 10 บาทเป็นราคาที่ "สมเหตุผล" เหมือนกับ "ราคาเปิด"ของขิมในตัวอย่าง และก็เช่นเดียวกับขิมจีน ราคาหุ้นนั้น บางทีก็สามารถจะวิเคราะห์คำนวณให้มันวิ่งอยู่ระหว่าง 1-10 บาทได้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสร้างเงื่อนไขหรือสมมุติฐานอย่างไร ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่นการสร้างกำไรที่ดูโดดเด่นมาก ๆ ให้กับบริษัทสัก 1-2 ปี เพื่อทำให้บริษัทดูดี มีการเจริญเติบโตสูงมาก ซึ่งจะทำให้นักวิเคราะห์มาตีราคาหุ้นที่น่าจะมีราคา 1 บาทให้เป็น 10 บาทได้ หลังจากเปิดราคาแล้ว หน้าที่ของพ่อค้าหุ้นก็คือ พยายาม "ประคอง" ราคาหุ้นให้เหมือนกับการประคองราคาของขิมจีน และทยอยขายหุ้นจนหมดและยังกำไรจากการขายล็อตสุดท้าย
หุ้นที่จะทำ Chinese Price ที่ผมเห็นว่าทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงน่าจะมาจากหุ้นที่ยังไม่มีสถิติของราคาหรือสถิติเดิมล้าสมัยแล้วและนักลงทุนไม่รู้หรือไม่สามารถกำหนดราคาที่เหมาะสมได้เช่นเดียวกับกรณีของขิมจีน ซึ่งในตลาดหุ้นที่ผมนึกออกอย่างน้อยน่าจะมีหุ้น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ นั่นคือ หุ้นของกิจการที่กำลังออกจากการฟื้นฟูกิจการ และ หุ้นของบริษัทที่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นเป็นครั้งแรก หรือหุ้น IPO เพราะหุ้น 2 กลุ่มนี้คนยังไม่รู้ราคาที่เหมาะสม ดังนั้น มันจึงสามารถถูกกำหนดราคาให้สูงลิ่วได้ทั้ง ๆ ที่มูลค่าที่แท้จริงอาจจะน้อยมาก
ในฐานะของ Value Investor ผมเองมักจะไม่เข้าซื้อหุ้นที่มีราคาตกลงไปอย่างต่อเนื่องมหาศาล ผมไม่คิดว่ามันเป็นโอกาสของการซื้อหุ้นถูก เพราะว่า บ่อยครั้ง ราคาของหุ้นเหล่านั้น กลายเป็นราคาแบบ Chinese Price คือตกลงไปจนหาฐานไม่เจอแต่คนขายที่มีต้นทุนต่ำก็ยังได้กำไรอยู่
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ใครที่เคยไปเมืองจีนโดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวระดับท้องถิ่นอย่างคุนหมิงคงได้เจอประสบการณ์ในการซื้อของที่ระลึกแบบที่ผมเจอมาบ้าง
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับผมก็คือ ในขณะที่ลูกทัวร์ซึ่งรวมผมอยู่ด้วยกำลังนั่งอยู่ในรถบัสรอลูกทัวร์คนอื่นทยอยขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นนั้น คนขายของที่ระลึกที่เป็นขิมจีนทำด้วยไม้ก็ขึ้นมาบนรถและเสนอราคาขายที่ตัวละ 200 หยวนหรือประมาณ 1,000 บาทไทย นักท่องเที่ยวที่อยู่ด้านหน้าของรถสนใจจะซื้อแต่ก็รู้ว่าที่เมืองจีนนั้น ราคาสินค้าที่เรียกจะสูงกว่าราคาจริงมาก จึงต่อราคาเหลือเพียงครึ่งเดียวคือ 100 หยวน คนขายอิดออดเล็กน้อยแต่ก็ยอมขายให้
คนขายขิมเดินต่อมาก็พบกับลูกค้าอีกคนหนึ่งซึ่งสนใจแต่เห็นว่าน่าจะต่อรองราคาขิมลงได้อีก จึงเสนอราคา "เผื่อต่อรอง" ไปที่ 50 หยวน คนขายไม่ยอมรับราคาและเจรจาอยู่สักครู่ก็ตกลงซื้อขายกันที่ 60 หยวน ซึ่งทำให้คนซื้อรู้สึกพอใจ แต่คนซื้อคนแรกรู้สึกเจ็บใจที่ตนเองต้องซื้อของราคาแพงเนื่องจากต่อรองราคาน้อยเกินไปในตอนแรก
พ่อค้าขิม "ตัวแสบ" เดินต่อไปที่ท้ายรถและก็เสนอขายขิมอีกในราคาที่ตกลงกับคนซื้อรายที่สามที่ 30 หยวน ซึ่งทำให้ลูกค้าทั้งรายที่หนึ่งและสองรู้สึกเจ็บปวดหนักที่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกหลอกให้ซื้อของที่แพงเกินไปมาก อย่างไรก็ตามพ่อค้าขิมก็ยังเดินต่อไปและเสนอราคาขายขิมในราคาที่ต่ำลงอีกเหลือเพียง 15 หยวน สำหรับลูกค้ารายที่สี่ ซึ่งเมื่อถึงจุดนี้ ลูกค้าทั้งสามรายที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ก็แทบคลั่งที่นึกว่าตนเองซื้อของถูกแล้ว แต่กลับมีราคาที่ถูกกว่า
ถึงตอนนี้หัวหน้าทัวร์ก็ประกาศว่ารถกำลังจะออกแล้ว ลูกทัวร์ที่นั่งอยู่ท้ายรถคนหนึ่งรู้สึกสนุกกับ "ความเขลา" ของผู้ซื้อขิมทั้งหลาย และเพื่อที่จะเล่นสนุกกับพ่อค้าขิมเจ้าเล่ห์จึง "แกล้ง"ต่อรองราคาขิมเหลือเพียง 5 หยวน เพราะคิดว่าอย่างไรเสียพ่อค้าขิมก็คงไม่ขายให้ เพราะราคา 5 หยวนนั้น น่าจะต่ำกว่าต้นทุนของขิม เขาเข้าใจผิด พ่อค้าขายขิมให้เขาและรีบลงจากรถที่กำลังเคลื่อนตัวออก เขาส่งยิ้มแสดงความขอบคุณให้ทุกคนที่ซื้อขิมเขา เพราะรายได้จากการขายขิม 5 ตัวคือ 220 หยวน ต้นทุนของขิมคือตัวละ 4 หยวน 5 ตัวเท่ากับ 20 หยวน กำไรของเขาก็คือ 200 หยวน ซึ่งเขาใช้เวลาขายเพียง 15 นาที
พ่อค้าขิมขายสินค้าของเขาได้ในราคาสูงลิ่วเพราะขิมจีนทำด้วยไม้แบบที่เขาขายนั้นเป็นสิ่งที่มีเอกลักษณ์ในตัวที่คนซื้อที่ไม่มีประสบการณ์จะไม่สามารถรู้ได้ว่าราคาควรจะเป็นเท่าไร แต่การตั้งราคาเริ่มต้นที่ 200 หยวนนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นราคาที่ "สมเหตุผล" สำหรับของที่ระลึกที่ดูมีค่าอย่างขิมจีน และที่สำคัญ มันเหมาะกับกระเป๋านักท่องเที่ยวชาวไทย และเมื่อเขากำหนดราคา "พื้นฐาน" ที่เป็นราคาเริ่มต้นได้แล้ว เขาสามารถที่จะ "ขายทำกำไร" ได้ในเกือบจะทุกราคาโดยที่คนซื้อจะพร้อมที่จะเข้ามาซื้อต่อเนื่อง เพราะคิดว่า "ของมันถูก" และไม่น่าจะ "ถูกกว่านี้"
ในตลาดหุ้นไทยนั้น ผมคิดว่ามีหุ้นที่มีลักษณะของการซื้อขายโดยมีราคาในลักษณะที่ผมจะเรียกให้เท่ ๆ ว่า Chinese Price หรือ "ราคาเมืองจีน" ดังที่กล่าวข้างต้นอยู่ไม่น้อย
แนวความคิดก็คือ มี "พ่อค้าหุ้น" ที่มีหุ้นราคาถูกอยู่ในมือจำนวนมาก คำว่าราคาถูกก็คือ เช่น ต้นทุนหุ้นละ 1 บาท สิ่งที่พ่อค้าหุ้นทำก็คือ การพยายาม "เปิดราคา" นั่นคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้หุ้นมีการซื้อขายที่ราคาสูงที่สุดที่จะทำได้ เช่น ราคาหุ้นละ 10 บาท การทำให้หุ้นมีราคา 10 บาทได้นั้นก็ต้องพยายามทำให้คนเชื่อว่าราคา 10 บาทเป็นราคาที่ "สมเหตุผล" เหมือนกับ "ราคาเปิด"ของขิมในตัวอย่าง และก็เช่นเดียวกับขิมจีน ราคาหุ้นนั้น บางทีก็สามารถจะวิเคราะห์คำนวณให้มันวิ่งอยู่ระหว่าง 1-10 บาทได้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสร้างเงื่อนไขหรือสมมุติฐานอย่างไร ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่นการสร้างกำไรที่ดูโดดเด่นมาก ๆ ให้กับบริษัทสัก 1-2 ปี เพื่อทำให้บริษัทดูดี มีการเจริญเติบโตสูงมาก ซึ่งจะทำให้นักวิเคราะห์มาตีราคาหุ้นที่น่าจะมีราคา 1 บาทให้เป็น 10 บาทได้ หลังจากเปิดราคาแล้ว หน้าที่ของพ่อค้าหุ้นก็คือ พยายาม "ประคอง" ราคาหุ้นให้เหมือนกับการประคองราคาของขิมจีน และทยอยขายหุ้นจนหมดและยังกำไรจากการขายล็อตสุดท้าย
หุ้นที่จะทำ Chinese Price ที่ผมเห็นว่าทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงน่าจะมาจากหุ้นที่ยังไม่มีสถิติของราคาหรือสถิติเดิมล้าสมัยแล้วและนักลงทุนไม่รู้หรือไม่สามารถกำหนดราคาที่เหมาะสมได้เช่นเดียวกับกรณีของขิมจีน ซึ่งในตลาดหุ้นที่ผมนึกออกอย่างน้อยน่าจะมีหุ้น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ นั่นคือ หุ้นของกิจการที่กำลังออกจากการฟื้นฟูกิจการ และ หุ้นของบริษัทที่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นเป็นครั้งแรก หรือหุ้น IPO เพราะหุ้น 2 กลุ่มนี้คนยังไม่รู้ราคาที่เหมาะสม ดังนั้น มันจึงสามารถถูกกำหนดราคาให้สูงลิ่วได้ทั้ง ๆ ที่มูลค่าที่แท้จริงอาจจะน้อยมาก
ในฐานะของ Value Investor ผมเองมักจะไม่เข้าซื้อหุ้นที่มีราคาตกลงไปอย่างต่อเนื่องมหาศาล ผมไม่คิดว่ามันเป็นโอกาสของการซื้อหุ้นถูก เพราะว่า บ่อยครั้ง ราคาของหุ้นเหล่านั้น กลายเป็นราคาแบบ Chinese Price คือตกลงไปจนหาฐานไม่เจอแต่คนขายที่มีต้นทุนต่ำก็ยังได้กำไรอยู่
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 15
ถึงกับอึ้งเลยครับ
ความโลภมันทำให้คนหน้ามืดตามัวจริงๆ
ความโลภมันทำให้คนหน้ามืดตามัวจริงๆ
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 181
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 16
เป็นอีกมุมหนึ่งที่มีอยู่จริง และอาจต้องอ่านเกมให้ออก ขอบคุณสำหรับอีกมุมมองของการลงทุน
ถ้าไม่เคยผิดพลาด คงยังเรียกตัวเอง ว่านักลงทุนมืออาชีพ ไม่ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 227
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 17
แต่ถ้าเจ้าของร่วมมือด้วยสิ แล้วธรรมาภิบาลจะอยู่ตรงไหน ควบคุม EPS ให้ขึ้น-ลงได้ด้วย
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 20
ผมว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเทคนิคและความเชื่อส่วนตัวของคนคนนั้นromee เขียน:ขอบคุณกับบทความครับ
เซียนพวกนี้ เขาไม่ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง เลยนะครับ ผมสังเกตมาเยอะ หลายคนละ
ที่มาของความเชื่อต่างหากที่สำคัญกว่า
คนที่ทำเหมือนกันไม่ได้แปลว่ามีที่มาเหมือนกัน
ที่มาจะเป็นตัวบอกทัศนคติว่าคิดอย่างไร
การตัดสินใจไม่ซื้อถัวเฉลี่ยอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์ก็ได้
อาจจะถูกก็ได้
ขึ้นอยู่กับอนาคตของหุ้นนั้น
วิธีพิจารณาว่าในสถานการณ์แบบนี้ควรทำอย่างไร ไม่ได้ยุ่งยากอะไร
ก็มีหลักการง่ายๆของวีไอ
ว่าเรารู้มูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นไหม
ถ้าเรารู้. รู้จากฐานของพื้นฐานกิจการไม่ใช่จากฐานด้านอื่นๆ
และเราเห็นว่าราคาปัจจุบันต่ำมากๆเมื่อเทียบกับราคาที่เหมาะสม
เราก็ซื้อสิครับ. ลงมาขนาดนี้ถ้ามีเงินซื้อได้ก็ซื้อไป ก็แพงกว่านี้ยังเคยซื้อ
จ้าวโน้นเจ้านี้ก็แค่จ้าวชั่วคราว มาแล้วก็ไป
เหมือนคนทรงเจ้า. จะชักดิ้นชักงอทั้งวันทั้งคืน จ้าวเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน
บางจ้าวก็ยังเอาตัวเองไม่รอด
สุดท้ายจ้าวชั่วคราวก็ต้องหลีกทางให้จ้าวตัวจริง
ผลประกอบการนี่แหละในระยะยาวคือจ้าวตัวจริง. น้องลูกอิสานเคยบอกไว้
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- SupachaiZ594
- Verified User
- โพสต์: 834
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 21
เข้ามาอ่านเฉย ๆ ครับ
คุณ pak มีอะไรมาให้ตามเรื่อย ๆ นะครับ
คุณ pak มีอะไรมาให้ตามเรื่อย ๆ นะครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 22
ผมเห็นด้วยนะครับHisoka เขียน:ฟังดูน่าสนใจดีครับ แต่ผมมองว่าไม่น่าจะมีผลเพราะพลัง vi ที่แท้จริงนั้นน้อยเกินไป
ยิ่งได้ฟังจาก dvd ที่พี่หมอศรรามบอกว่า vi แท้จริงนั้นเป็นยาก
เพราะหลักการมันไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์
ทำให้ในระยะยาวแล้ว ใครฝืนไม่ไหวหรือปรับตัวไม่ได้ ก็ต้องหลุดออกไป
:lovl: :lovl: :lovl:
แต่จำได้ลางๆแบบไม่แน่ใจนักว่า
ผมพูดว่า เพราะวิธีการของวีไอไม่ค่อยสอดคล้องกับสัญชาติญาณ(ดิบ) ของมนุษย์
แต่ผมอาจจะจำผิดก็ได้ แฮ่
เรื่องพลังวีไอจะมีผลต่อหุ้นปั่นพวกนี้มากไหม
ผมก็มองว่าไม่น่ามากเหมือนเดิม
แม้วีไอจะมีเงินมากขึ้น. มีคนมากขึ้น
แตวีไอไม่ค่อยสนใจหุ้นแบบนี้นัก
หุ้นที่สร้าง eps ได้ตามใจฉัน วีไอคงไม่ไปยุ่งตั้งแต่แรก
เหมือนปลาคนละน้ำ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- aviruth
- Verified User
- โพสต์: 334
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 23
แก้โดยการเป็นนักลงทุนไม่ใช่นักเล่นหุ้น ถ้าเจอ บจใหน ใช้วิธีทางบัญชีตบตานักลงทุน ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ลงทุนในหุ้นที่มีผลกำไรสม่ำเสมอ ผมว่าคนสองกลุ่มนี้อาจจะโคจรมาเจอกันบ้าง แต่ vi มีน้อยเค้าไม่สนใจเราหรอกเขาสนแมงเม่า เราก็อาจโชคดีได้ซื้อหุ้นถูกเพิ่ม
อย่าคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างด้วยการทำแบบเดิม
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 24
มุมมองในเรื่อง "จ้าวที่ กับ วีไอ"
ผมมองเรื่องนี้ว่า...
กลุ่มก้อนที่เรียกตัวเองว่าเป็น "นักลงทุนประเภทวีไอ(VI)" ก็คือ Demand ประเภทหนึ่ง
แต่มันเป็น Demand ที่เรียกว่า "Demand ที่มีประสิทธิภาพ"
มักจะลงทุนด้วย "เหตุผล" มากกว่าการใช้ "อารมณ์"
และกลุ่มวีไอนี้ มักจะเป็นกลุ่มที่แสวงหาข้อมูล และนำมาคิดวิเคราะห์เป็นอย่างดี
ดังนั้นจึงไม่ค่อยหวั่นไหวกับความบ้าคลั่งของ "นายตลาด"
หรือแม้แต่จะไม่ค่อยติดกับในหลุมพลางที่ "จ้าวที่" หรือ "รายใหญ่" ขุดวางล่อไว้
โลกเปลี่ยนไป การศึกษาเปลี่ยนไป
การเข้าถึงข้อมูลบนโลกอินเตอร์เน็ตทำได้ง่ายดายมากขึ้น
ผมเชื่อเอาเองว่า "จ้าว" ก็ต้องปรับตัวเช่นกัน
ผมว่า "จ้าวคงจะไม่ชอบ วีไอ ซักเท่าไหร่นัก"
เพราะ Demand ลักษณะนี้ มักจะไม่เชื่อในบทละครที่เค้าเขียนขึ้นมาซักเท่าไหร่
ซึ่งมักจะเต็มไปด้วย "สุข เศร้า เคล้าน้ำตา" ซึ่งจะคอยกระตุ้นทั้งความโลภและความกลัวของเรา
แต่บางครั้งวีไอกลับ "อดทนดั่งภูผา และ สงบนิ่งราวกับน้ำในทะเลสาป"
วีไอ อาจจะทำให้ต้นทุนหุ้นของเค้าสูงขึ้น
วีไอ อาจจะเข้ามาทำ Profit Shareing กับเค้ามากขึ้น
"ไม่รู้คือเสี่ยง และ รู้คือไม่เสี่ยง(หรือเสี่ยงน้อยลง)"
ดังนั้น วีไอ ซึ่งรักในการแสวงหาข้อมูล จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่านักลงทุนกลุ่มอื่นๆ
"รู้ทันจ้าวที่ รู้ทันเจ้าของ และรู้ทันเจ้ามือ แล้วอย่าลืมรู้ทันหัวใจตัวเองนะขอรับ"
(^_^)
ผมมองเรื่องนี้ว่า...
กลุ่มก้อนที่เรียกตัวเองว่าเป็น "นักลงทุนประเภทวีไอ(VI)" ก็คือ Demand ประเภทหนึ่ง
แต่มันเป็น Demand ที่เรียกว่า "Demand ที่มีประสิทธิภาพ"
มักจะลงทุนด้วย "เหตุผล" มากกว่าการใช้ "อารมณ์"
และกลุ่มวีไอนี้ มักจะเป็นกลุ่มที่แสวงหาข้อมูล และนำมาคิดวิเคราะห์เป็นอย่างดี
ดังนั้นจึงไม่ค่อยหวั่นไหวกับความบ้าคลั่งของ "นายตลาด"
หรือแม้แต่จะไม่ค่อยติดกับในหลุมพลางที่ "จ้าวที่" หรือ "รายใหญ่" ขุดวางล่อไว้
โลกเปลี่ยนไป การศึกษาเปลี่ยนไป
การเข้าถึงข้อมูลบนโลกอินเตอร์เน็ตทำได้ง่ายดายมากขึ้น
ผมเชื่อเอาเองว่า "จ้าว" ก็ต้องปรับตัวเช่นกัน
ผมว่า "จ้าวคงจะไม่ชอบ วีไอ ซักเท่าไหร่นัก"
เพราะ Demand ลักษณะนี้ มักจะไม่เชื่อในบทละครที่เค้าเขียนขึ้นมาซักเท่าไหร่
ซึ่งมักจะเต็มไปด้วย "สุข เศร้า เคล้าน้ำตา" ซึ่งจะคอยกระตุ้นทั้งความโลภและความกลัวของเรา
แต่บางครั้งวีไอกลับ "อดทนดั่งภูผา และ สงบนิ่งราวกับน้ำในทะเลสาป"
วีไอ อาจจะทำให้ต้นทุนหุ้นของเค้าสูงขึ้น
วีไอ อาจจะเข้ามาทำ Profit Shareing กับเค้ามากขึ้น
"ไม่รู้คือเสี่ยง และ รู้คือไม่เสี่ยง(หรือเสี่ยงน้อยลง)"
ดังนั้น วีไอ ซึ่งรักในการแสวงหาข้อมูล จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่านักลงทุนกลุ่มอื่นๆ
"รู้ทันจ้าวที่ รู้ทันเจ้าของ และรู้ทันเจ้ามือ แล้วอย่าลืมรู้ทันหัวใจตัวเองนะขอรับ"
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 25
pak เขียน:มุมมองในเรื่อง "จ้าวที่ กับ วีไอ"
ผมมองเรื่องนี้ว่า...
แต่บางครั้งวีไอกลับ "อดทนดั่งภูผา และ สงบนิ่งราวกับน้ำในทะเลสาป"
วีไอ อาจจะทำให้ต้นทุนหุ้นของเค้าสูงขึ้น
วีไอ อาจจะเข้ามาทำ Profit Shareing กับเค้ามากขึ้น
"ไม่รู้คือเสี่ยง และ รู้คือไม่เสี่ยง(หรือเสี่ยงน้อยลง)"
ดังนั้น วีไอ ซึ่งรักในการแสวงหาข้อมูล จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่านักลงทุนกลุ่มอื่นๆ
"รู้ทันจ้าวที่ รู้ทันเจ้าของ และรู้ทันเจ้ามือ แล้วอย่าลืมรู้ทันหัวใจตัวเองนะขอรับ"
(^_^)
แหะๆ อ่านมาตั้งนาน รู้สึกว่าอันหลังมีเค้าความจริงมากที่สุด
การใช้คำว่าเจ้าที่ อาจฟังดูมีมนต์ขลัง
แต่ถ้าลองใช้ความคิดธรรมดา ง่ายๆ เช่น สมมติ คุณรู้จักข้อมูลเยอะกว่า คุณอยากเก็บหุ้นให้เยอะกว่า
เพราะคุณมั่นใจว่า ราคามันควรตอบรับผลประกอบการ หรือ พื้นฐานดีๆ
เจ้าที่ ก็คือ คนธรรมดานั่นแหละครับ
วันนี้ผมคุยกับเพื่อนคนนึง ที่เพิ่งหัดมาเล่นหุ้น ในปีนี้
กำไรแค่ตัวเดียว แต่ขาดทุนไป ห้า-หกตัว เพราะว่า เชื่อเพื่อนอีกคนว่า เจ้าจะลากไปนั่น ลากไปนี่
ผมเห็นแล้วก็ละเหี่ยใจ
พยายามถามว่า ซื้อตัวนั้นเพราะอะไร เขาก็บอกว่า เจ้าบอกจะลากไปเท่านั้นเท่านี้
ผมถามหลายครั้งว่า ทำไมถึงเชื่อแบบนั้น เขาก็บอกว่า เคยได้กำไรตัวนึง
แล้วผมก็ถามว่า แล้วไอ้ตัวที่พลาดล่ะ เขาก็บอกว่า ไม่เป็นไร
สุดท้าย ช่วงนี้เขาเริ่มขาดทุนพอสมควร
แล้วก็บอกว่าให้ผมแนะนำวิธีการลงทุนให้หน่อย
ผมก็บอกว่า ยินดีครับ มีอะไรก็จะช่วยชี้แนะให้ ว่าหลักการที่เหมาะสมควรเป็นเช่นไร
เขาก็บอกว่า จะลองเอาไปประยุกต์ดูว่า วิธีคิดแบบวีไอ กับ คำเจ้ามือ อันไหน น่าจะเหมาะสมกว่ากัน
ผมลงทุนมาสามปี ไม่เคยเห็นว่า เวลาเจ้าบอกว่าจะลากไปนู่นไปนี่
ไม่เคยถูกสักครั้ง แต่ก็งง ว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ ถึงได้เชื่อมันอยู่ร่ำไป
สำหรับบทความคุณ pak ผมว่า เขียนได้ดีนะครับ
สำนวนโวหาร ราวกับเป็นกวีเลยครับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 26
กลุ่มไหนก็ไม่มีผลกับเจ้าหรอก แต่การที่กลุ่มViรวมตัวกันเยอะๆก็กลายเป็นเจ้าได้เหมือนกันpak เขียน:
หรือบางคนเคยพูดไว้ทำนองว่า "จ้าวมือเค้าแทบจะเช็คชื่อ หรือนับจำนวนหุ้น" กันเลยทีเดียว
แต่...............................................................................
"ปัจจุบัน...เมื่อเจ้ามือ ไม่ได้เจอเฉพาะแต่รายย่อย!!!
แต่จ้าวมือ กลับมาเจอกลุ่มก้อนที่เรียกตัวเองโดยรวมๆว่า "กลุ่ม VI"
เจ้ามือตั้งใจ "ทุบให้อ๊วก" แต่พวกนี้กลับไม่ยอมอ๊วก
เจ้ามือตั้งใจ "ทำให้เบื่อหน่าย" แต่พวกนี้กลับใจเย็นเป็นน้ำแข็ง ไม่ยอมคายหุ้นออกมา
คำถามของผมก็คือ...
"ในความรู้สึกของคุณ
คุณมองว่า กลุ่ม VI จะมีผลต่อ เจ้ามือ หรือจ้าวที่ บ้างไหมครับ???"
พูดถึงเจ้าเยอะแยะขนาดนี้ ทำไมปล่อยไว้กระทู้นี้
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
-
- Verified User
- โพสต์: 1679
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 27
ตอบไม่ได้หรอกครับ ถ้ามีจ้าวจริงๆมันเป็นเกมครับ ผมตอบได้เลยอย่างมั่นใจว่าถ้าสัดส่วนของตลาดเป็น value investor ซะส่วนมาก อะให้ 90%...ยังไม่มีผลครับ ไม่ได้ทำให้ manipulate ราคาหุ้นยากขึ้น ถ้าคุณบอกว่าจุดตัดคือการที่ VI ไม่คลายหุ้นออกมาให้จ้าวทีเก็บไปกิน.................... เพราะท้ายที่สุดมันไม่ได้ตัดกันที่ การคนเป็น value investor หรือไม่ จุดตัดอยู่ที่ ณ ราคาหนึ่งจุด คนๆนั้นมองราคา ณ จุดนั้นหมายความว่าอะไร............ผมมั่นใจว่า VI แต่ละคนในนี้มองหุ้นตัวเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน ตราบใดที่คนยังความเห็นแตกต่างกัน มีการซื้อขายแน่นอนครับ ราคาเหมาะสมเข้าเก็บ ราคาเหมาะสมที่ขายก็ต่างกัน ยกเว้นถ้าเอา mindset คนนึงคนแล้วมา clone ให้เหมือนกันเป๊ะทุกอย่าง (ซึ่งเปนไปไม่ได้...และตลาดคง exist ไม่ได้ เพราะไม่มีการซื้อขาย !!!!)pak เขียน:คำถามของผมก็คือ...
"ในความรู้สึกของคุณ
คุณมองว่า กลุ่ม VI จะมีผลต่อ เจ้ามือ หรือจ้าวที่ บ้างไหมครับ???"
อีกอย่าง ผมว่าที่ไม่ใช่ VI แล้วไม่คลายหุ้นทนถือไปงั้นๆก็เยอะครับ เคยเจอไม๊ครับ พวกที่คิดว่าไม่ขายไม่ขาดทุน เยอะนะครับ ผมว่าเผลอๆเยอะกว่า VI อีก แล้วแม่งถือทนกันจริงๆ (แบบไร้เหตุผล)
ผมว่าการยึดติดกับ term VI มากไปไม่ดีหรอกครับถ้าเข้าใจผิดๆ (ไม่ได้พูดถึง จขกท นะครับ) เพราะหลังๆผมเห็นหลายคนแล้ว.... ดู sig ผมดิครับ 555+ ความเห็นส่วนตัวนะครับ
ถึงแม้ assume ว่า ถ้าบริษัทหนึ่งบริษัทมีสัดส่วนของนักลงทุนเป็น value investor ซะมาก และ กระทบเจ้า .......แต่ถ้าผมเป็นจ้าวคงรู้ครับ หุ้นตัวไหนน่าแต่ง........ดังนั้นประเด็นนี้คงน่าตกไป ให้ VI ไปซื้อ n-park มีไม๊ครับ ณ ตอนนี้ ...แต่ก็อาจจะมีคนเห็น value ใน n-park ก็เป็นได้.... 0.01 น่าสนใจ? อิอิ
value trap
- Pn3um0n1a
- Verified User
- โพสต์: 1935
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 28
โม้ไปได้crazyrisk เขียน: ผมลงทุนมาสามปี ไม่เคยเห็นว่า เวลาเจ้าบอกว่าจะลากไปนู่นไปนี่
ไม่เคยถูกสักครั้ง แต่ก็งง ว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ ถึงได้เชื่อมันอยู่ร่ำไป
ประสบการณ์ระดับเทพ
สามปี ถ่อมตัวไปไหมครับ
ดูประวัติ ID ก็รู้ว่าโม้ :lovl:
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 29
อ่านดีๆครับ ผมเขียนคำว่า ลงทุนPn3um0n1a เขียน:โม้ไปได้crazyrisk เขียน: ผมลงทุนมาสามปี ไม่เคยเห็นว่า เวลาเจ้าบอกว่าจะลากไปนู่นไปนี่
ไม่เคยถูกสักครั้ง แต่ก็งง ว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ ถึงได้เชื่อมันอยู่ร่ำไป
ประสบการณ์ระดับเทพ
สามปี ถ่อมตัวไปไหมครับ
ดูประวัติ ID ก็รู้ว่าโม้ :lovl:
กับ การสมัครเป็นสมาชิกเวป จริงๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นเวลาเดียวกันนะครับ
แล้วอีกอย่าง ผมไม่ได้ถ่อมตัวครับ ผมยังด้อยฝีมือมากนัก เมื่อเทียบกับฝีมือของหมอนิว
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 30
ด้วยความเคารพครับพี่นัน เท่าที่ผมอ่านโดยรวมnanchan เขียน:กลุ่มไหนก็ไม่มีผลกับเจ้าหรอก แต่การที่กลุ่มViรวมตัวกันเยอะๆก็กลายเป็นเจ้าได้เหมือนกันpak เขียน:
หรือบางคนเคยพูดไว้ทำนองว่า "จ้าวมือเค้าแทบจะเช็คชื่อ หรือนับจำนวนหุ้น" กันเลยทีเดียว
แต่...............................................................................
"ปัจจุบัน...เมื่อเจ้ามือ ไม่ได้เจอเฉพาะแต่รายย่อย!!!
แต่จ้าวมือ กลับมาเจอกลุ่มก้อนที่เรียกตัวเองโดยรวมๆว่า "กลุ่ม VI"
เจ้ามือตั้งใจ "ทุบให้อ๊วก" แต่พวกนี้กลับไม่ยอมอ๊วก
เจ้ามือตั้งใจ "ทำให้เบื่อหน่าย" แต่พวกนี้กลับใจเย็นเป็นน้ำแข็ง ไม่ยอมคายหุ้นออกมา
คำถามของผมก็คือ...
"ในความรู้สึกของคุณ
คุณมองว่า กลุ่ม VI จะมีผลต่อ เจ้ามือ หรือจ้าวที่ บ้างไหมครับ???"
พูดถึงเจ้าเยอะแยะขนาดนี้ ทำไมปล่อยไว้กระทู้นี้
เหมือนมีพื้นที่ ให้คนมาอธิบายความเข้าใจใหม่ ให้กับเจ้าของกระทู้
และ เพื่อให้ได้ความคิดในมุมมองใหม่ กับคนที่ยังยึดติดกับการลงทุนแบบมีเจ้าเป็นที่ตั้งอยู่
น่าจะได้ประโยชน์มากกว่านะครับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.