การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
laohanant
Verified User
โพสต์: 372
ผู้ติดตาม: 0
พุธ ธ.ค. 22, 2010 9:59 pm
ขอบคุณมากครับ ทั้งพี่หมอ
และ พี่ NB
ที่ได้เสียสละเวลา มาช่วยให้ความรู้น้องๆ ครับ
มีรุ่นพี่ดีๆ แบบนี้ ทำให้รุ่นน้องๆ นั้นพัฒนาความคิดความได้มากทีเดียวรวมถึงตัวผมด้วย
ชอบมากครับ โดยเฉพาะประโยคนี้ของพี่ NB
Nevercry.boy เขียน:
ผมยอมขาดทุนเงินแต่กำไรโอกาสครับ!
โดยนัย น่าจะสรุปเรื่องของการขายหุ้น หรือการปรับพอร์ต ควรเกิดเมื่อ
1.ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจเปลี่ยน แปลงไป ไม่ว่าจะมาจากภายในตัวองค์กรเอง หรือมาจากการเปลี่ยนแปลงจากสภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งส่งผลทำให้ตัวบริษัทนั้นสูญเสียศักยภาพทางการแข่งขันไป
2.การวิเคราะห์ผิดพลาดเอง (ส่วนมากผมว่า โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากที่มีมุมมองที่ไม่รอบด้านพอ โดยที่จุดที่มองผิดไปหรือ ไม่ได้คำนึงนั้นเป็นจุดที่มีนัยสำคัญ) แล้วมารู้ตัวภายหลัง
3.ราคาหุ้นที่ครอบครองนั้นสะท้อนคุณค่าที่แท้จริงหรือเข้าใกล้มาก หรือ พบหุ้นอื่นที่ undervalue มากกว่ามากๆ
4…………………….
น่าจะครบไหมครับพี่
Detect and Act on the market 's error.
ถุงเงินเก่า
Verified User
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 1
พฤหัสฯ. ธ.ค. 23, 2010 3:35 am
ขอชื่นชมคุณ Nevercry.boy กับการปรับปรุงและพัฒนาตัวเอง
ส่วนวิธีขายได้ที่ราคาต่ำสุด ผมเหมือนกับที่คนอื่นกล่าวมาแล้ว จะมีเพิ่มของตัวเองเองก็ไม่รู้จะถูกหรือเปล่าคือ ขายเพราะใช้เงื่อนไขเก่าที่ไม่ได้ปรับปรุงให้ทันปัจจุบันหรือคิดไปในวันข้างหน้าครับ
romee เขียน:
ดูยังไงให้เป็นกระต่ายอ่ะ ผมดูเป็น นก ตลอดเลย --"
หันหน้าไปคนละทางครับ
pat4310
Verified User
โพสต์: 732
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ธ.ค. 23, 2010 11:47 am
ถ้าไม่รู้จริงในหุ้นที่ตัวเองถือก็มีโอกาสขายได้ราคาต่ำสุดล่ะครับ
Tasco มีช่วงหนึ่งราคา 30 บาท ต่อมาก็ลงไปจุดต่ำสุดที่ 8 บาท จากวันที่ต่ำสุดถึงวันนี้กลับมาที่ 80 บาท
ตท.ผมอยู่ที่ 25 วันที่เห็นราคาไหลลงมาเรื่อยๆ สุดยอดแห่งความวิตกกังวลพอตั้งสติได้ก็มาวิเคราะห์ว่าเพราะอะไร อ่านไปอ่านมาได้รู้ว่าลงเพราะปัจจัยชั่วคราวผ่านมาแล้วก็ผ่านไป พื้นฐานที่วิเคราะห์ไว้ก็เหมือนเดิม คิดได้ดังนี้ ตัดสินใจไม่ขายและซื้อเพิ่มครับ
สรุปว่าต้องมีสติในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ยามใดที่ขาดสติ ความโลภ ความกลัวเข้าครอบงำ เหตุผลหายหมด ปัจจัยพื้นฐานที่เรานั่งวิเคราะห์มาแทบเป็นแทบตายจะหายไปต่อหน้าเลยทีเดียว
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ
เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4641
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ธ.ค. 23, 2010 11:39 pm
สามัญชน เขียน: Green เขียน: พี่ NB ลึกซึ้งมากๆ เลยครับ
เรื่องการขาย ขายเมื่อไหร่ดี ผมเคยสงสัยเหมือนกันครับว่าทำไปคนเขียนหนังสือถึงได้พูดถึงน้อยกันจริงๆ ไม่เหมือนการเลือกหุ้น ซึ่งเขียนกันเป็นวักเป็นวา
อาจจะเป็นเพราะมีวิธีง่ายๆ คือ ทำตรงกันข้ามกับตอนซื้อมั้งครับ
เรื่องขายหุ้นนั้น เขียนนิดเดียวว่า
บัฟเฟต์ --> " ถือมันไปเรื่อยๆ ตราบใดที่มันเป็นกิจการที่ยอดเยี่ยมอยู่ "
อันนี้ผมไม่เห็นด้วย
เพราะผมไม่มีข้อจำกัดเหมือนบัฟเฟตต์ พอร์ทเขาใหญ่โตมโหฬารพอร์ทของผมเล็กจิ๋ว
เขากำไรจากการขายหุ้นเขาต้องเสียภาษี ผมไม่เสีย
แม้กิจการยังยอดเยี่ยมอยู่แต่ถ้าราคามัน overvalue ไปมาก ผมก็ขายไปซื้อตัวที่ยอดเยียมแต่
ราคายัง undervalue ได้
ลินซ์ --> "อย่าตัดดอกไม้แล้วรดน้ำวัชพืช ขายหุ้นที่ขึ้นเพื่อไปซื้อตัวที่ยังไม่ขึ้น เป็นการกระทำที่ โง่ แล้ว การขายหุ้นที่ยังไม่ขึ้นแล้วไปซื้อตัวที่กำลังขึ้น นั้นก็โง่พอกัน (เพราะใช้ราคาเป็นตัวตัดสินใจ ไม่ใช่พื้นฐานของกิจการ ) "
อันนี้เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ตอนนี้ผมคิดว่า ที่เค้าเขียนอธิบายกันน้อยๆ เพราะมันก็มีอยู่เท่านั้นเอง มันไม่มีอะไรยุ่งยาก
" ถือมันไปเรื่อยๆ ตราบใดที่มันเป็นกิจการที่ยอดเยี่ยมอยู่ " --ประโยคนี้บอกหมดเลย สุดยอดจริงๆ
โดยสรุป ผมใช้การประเมินคุณค่าในการตัดสินใจขาย
1. ถ้า fair value หรือ overvalue แล้วผมก็ขาย
2. หรือแม้แต่ยัง undervalue อยู่.ผมก็ขาย ถ้าไปเจอตัวที่ undervalue มากกว่าตัวเดิม
ผมว่าหลักการนี้ถูกต้องนะ
เพียงแต่เราเสียดายเพราะว่าราคาหุ้นมันยังวิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเราขายเรียบร้อยแล้ว แถมยังวิ่งไปซะเยอะ
ให้เจ็บใจเล่นๆ
ซึ่งถ้าเราทำใจได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร
กรณีแบบนี้เราควรทบทวนวิธีการประเมินมูลค่าของเราอีกครั้ง
ถ้าเราผิด เราก็แก้ไข
ถ้าเราไม่ผิด เราก็ไม่ต้องเสียดาย เพราะธรรมชาติของราคาหุ้นมันเป็นอย่างนี้เอง
ดังนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่หลักการ แต่อยู่ที่ตัวเราเอง
การแก้ไขหลักการเพื่อให้สอดคล้องกับตัวเรา
ก็เหมือนเราจะเปลี่ยนโลกให้ได้ดังใจเรา
ซึ่งเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเข็นภูเขาขึ้นครกเสียอีก
ขอบพระคุณอย่างสูงครับพี่
<< New >>
Verified User
โพสต์: 1147
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ธ.ค. 23, 2010 11:51 pm
คือผมเคยอ่านที่พี่ NB เขียนว่า ถ้าลงถึง x % พี่คัทแบบ no question ask แต่ถ้ามันไปต่อก็ let profit run ถ้าทำอย่างนี้หลายรอบ probability ออกมาจะให้ return ที่ดีได้ คือถ้าเป็นอย่างงั้นการตัดสินใจหลายๆรอบ มันก็เป็นกลยุทธที่วางไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือป่าวครับ ?
อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4641
ผู้ติดตาม: 0
ศุกร์ ธ.ค. 24, 2010 12:13 am
<< New >> เขียน: คือผมเคยอ่านที่พี่ NB เขียนว่า ถ้าลงถึง x % พี่คัทแบบ no question ask แต่ถ้ามันไปต่อก็ let profit run ถ้าทำอย่างนี้หลายรอบ probability ออกมาจะให้ return ที่ดีได้ คือถ้าเป็นอย่างงั้นการตัดสินใจหลายๆรอบ มันก็เป็นกลยุทธที่วางไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือป่าวครับ ?
อย่าอ่านเรื่องการคัทลอสอย่างเดียวครับมันไม่ครบ ต้องอ่านให้ครบ
อันนั้นต้องใช้ในกรอบแนวคิดของ CANSLIM ครับ ซึ่ง สามตัวแรกนั้นคือ สมมติฐานหลัก C-A และ N
ถ้าสมมติฐานถูกไม่น่าจะลงเกิน X%
หาก บริษัทสูญเสีย C, A และ N ไม่ work
แสดงว่าสมมติฐานเราไม่ work สิ่งที่คิดไว้กับบริษัทนี้ผิดครับ
<< New >>
Verified User
โพสต์: 1147
ผู้ติดตาม: 0
ศุกร์ ธ.ค. 24, 2010 12:30 am
ขอบคุณครับ
อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน
Jokeymed
Verified User
โพสต์: 31
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ธ.ค. 30, 2010 8:29 pm
เคยอ่านเจอบทความของบัฟเฟตต์ว่าขายเมื่อ
1. พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยน
2. ตลาดให้ราคาที่สูงมาก ๆ เช่น PE 30-40
3. เมื่อเจอตัวใหม่ที่ดีกว่า
สำหรับประสบการณ์ส่วนตัวว่าจะขายเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับความแม่นยำในการคาดการณ์กำไรในอนาคตคับ (ซึ่งมักจะยากที่จะแม่น แต่อาจใกล้เคียงได้) แล้วเปรียบเทียบกับค่า PE ของธุรกิจนั้น ๆ ว่ารับกันที่ประมาณเท่าไหร่
เช่น กำไร 2 ไตรมาส E = 2 , PE ของธุรกิจประมาณ 8-10 (หาได้ตามบทวิเคราะห์ต่าง ๆ ) , ซื้อที่ 20 บาท ต่อมาเราคาดการณ์ว่าน่าจะมีกำไร 4 ไตรมาสอยู่ที่ประมาณ E= 3 (พยายามตีให้ต่ำไว้ก่อน) ดังนั้นเมื่อไรที่ราคายังขึ้นมาไม่ถึง 30 ผมจะยังไม่คิดจะขายครับ ระหว่างนี้ก็คอยติดตามว่าการคาดการณ์กำไรของเราจะแม่นแค่ไหน ถ้าเราคิดไม่ผิดแล้วราคามาจนถึงใกล้ ๆ 30 ก็คิดต่อว่าในอนาคตแนวโน้มกำไรจะเติบโตหรือเปล่า ถ้าคิดว่าบริษัทมีความสามารถ หรือคิดว่ามีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้อนาคตกำไรจะเติบโตต่อ ผมก็จะถือต่อ แต่ถ้าคิดว่ากำไรปีหน้ากำไรไม่น่าจะต่างจากปีนี้มาก เมื่อราคาเต็มมูลค่า (30 ) หรือมากกว่า ผมก็จะขายมันครับ
ผมว่าน่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ สำหรับแนวความคิดของผม สังเกตุที่ผ่านมาใช้ได้ดีทีเดียวครับ เพราะไม่ต้องร้อนรนเวลาราคาขึ้น ยังไงราคาก็ต้องแปรตามผลประกอบการอยู่ดี ใช่มั๊ยครับ
จงทำในส่ิงท่ีคนอ่ืนไม่ทำ แล้วเราจะได้ในส่ิงท่ีคนอ่ืนไม่ได้
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1
พุธ ม.ค. 19, 2011 5:51 pm
ขอบคุณครับทุกท่าน
ลงทุนเพื่อชีวิต
PANMAN
Verified User
โพสต์: 76
ผู้ติดตาม: 0
พุธ ม.ค. 19, 2011 9:41 pm
ขอบคุณครับ
ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจที่หมดมานะทำให้กระดูกแห้ง สุภาษิต 17:22
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4641
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2012 1:31 pm
ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นก็ขึ้น ๆ ลง ๆ มีการย้ายกลุ่มเงินทุนจาก กลุ่มนี้ไปเป็นกลุ่มโน้น หุ้น A ไปเป็น หุ้น B กันอย่างมากมาย
นลท. ทั้งหน้าใหม่หน้าเก๋า ก็เกิดความสงสัย ว่า เอ หุ้นที่เราถืออยู่ดีจริงหรือไม่หว่า ถ้าดีทำไมไม่ขึ้น อิจฉา หุ้นตัวนั้นจังขึ้นเอาขึ้นเอา
ขายหมู ซื้อควายกลับมาก็มี บางทีขายควายไปซื้องูพิษ ก็บาดเจ็บกันไป บางคนวิตกหนักถึงขั้นว่า เอ หรือกลุ่มของเรามันไม่เป็นที่นิยมแล้ว เอ หรือมันยังไงกัน หุ้นนั้นเป็นวัฏฏะครับความนิยมรายกลุ่มอุตสาหกรรมก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง
บางคนถอดใจยอมขาย ทั้ง ๆ ที่วิเคราะห์มาอย่างดี แต่หุ้นไม่ขึ้น ไปเกาะรถด่วน ซึ่งตัวเองก็ไม่ค่อยรู้จัก มีคำถามเข้ามาว่าเราควรจะขายหุ้นหรือไม่?
ฟิล ฟิชเชอร์ ให้หลักการณ์ ไว้สามข้อ
1 เมื่อเราผิด
2 เมื่อธุรกิจผิด
3 เมื่อพบธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตแบบยั่งยืนมากกว่าหุ้นของเราอย่างชัดเจน
ไว้มีเวลาจะมาขยายความครับ
.........
แต่ช่วงนี้ใครที่เกิดความสับสนก็ลองอ่านกระทู้นี้ไล่เรียงดูก่อนเผื่อทำให้จิตใจสงบขึ้นครับ แม้ว่ากระทู้จะเก่าแล้วแต่ก็เทียบเคียงได้ดีพอควร
shesha
Verified User
โพสต์: 28
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2012 2:15 pm
ของผม ขายให้เร็วที่สุด ในปริมาณที่มากที่สุด ด้วยความมั่นใจว่าหุ้นจะลงอย่างที่สุด
ไม่เคยพลาดคับ LOW ประจำ
ดำ
Verified User
โพสต์: 4366
ผู้ติดตาม: 1
พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2012 5:33 pm
Nevercry.boy เขียน: เค้าบอกว่า การซื้อของบัฟเฟตต์นั้นแตกต่างจากคนอื่น ๆ คือ บัฟเฟตต์ซื้อนกอินทรีย์ในยามบาดเจ็บ (ซึ่งมันไม่ง่าย ปีนึงหรือสองปีจะมีสักครั้งหรือไม่)
ตอนนี้เห็นในตลาดมีไก่บาดเจ็บขาย ซื้อแทนนกอินทรีย์กันมั้ยครับ
multipleceilings
Verified User
โพสต์: 2141
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2012 5:43 pm
ไก่บาดเจ็บนานๆที
เม่าบาดเจ็บ ทุกวัน
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2012 5:49 pm
Nevercry.boy เขียน:
ฟิล ฟิชเชอร์ ให้หลักการณ์ ไว้สามข้อ
1 เมื่อเราผิด
2 เมื่อธุรกิจผิด
3 เมื่อพบธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตแบบยั่งยืนมากกว่าหุ้นของเราอย่างชัดเจน
ไว้มีเวลาจะมาขยายความครับ
.........
แต่ช่วงนี้ใครที่เกิดความสับสนก็ลองอ่านกระทู้นี้ไล่เรียงดูก่อนเผื่อทำให้จิตใจสงบขึ้นครับ แม้ว่ากระทู้จะเก่าแล้วแต่ก็เทียบเคียงได้ดีพอควร
ปู่เสื่อรอฟังต่อครับ
dome@perth
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4741
ผู้ติดตาม: 1
พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2012 8:42 pm
มารอฟังด้วยคน ครับท่าน NB
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง "
multipleceilings
Verified User
โพสต์: 2141
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2012 8:58 pm
อย่างที่พี่ nb บอก ผมว่าขึ้นอยู่กับ ขายแล้วเอาเงินไปทำอะไร
ถ้าขายเพราะแค่กลัวมันลงแล้วขายได้ต่ำสุดอันนี้ช่วยไม่ได้
แต่ถ้ามีแผน และแผนนั้น require การลด หรือ liquidate position
การขายต่ำสุดเกิดขึ้นได้ระดับ random occurence
ไม่ว่าจะอะไร
ท้ายสุดดู cagr over time จบครับ
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
multipleceilings
Verified User
โพสต์: 2141
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2012 9:06 pm
และขึ้นอยู่ว่าเราแคร์มันรึเปล่าด้วย
บางคนไม่ได้สนใจ อะไรคือ ดอย อะไรคือ ตีนเขา วัดกันเมื่อไหร่ถึงจะ define ได้จริงๆ
หลายคนไม่ดูกราฟเลย ขายเสร็จไม่รู้ด้วยซ้ำ คือต่ำสุด
การตัดสินใจก้าวต่อไปนั้นมีน้ำหนักมากกว่า
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
charonp
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 409
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2012 9:37 pm
อยากถามหน่อยครับ
เวลาที่หุ้นมันลง แล้วเราหาข่าวเท่าไร ก็หาไม่เจอ
เราใช้อะไรตัดสินครับว่า ราคามันลงเพราะอารมณ์ หรือ ราคามันลงเพราะ พื้นฐานเปลี่ยน
ประเด็นที่กลัว คือ ราคาลงมาก่อน ข่าวตามมาสมทบทีหลัง
t_winyoo
Verified User
โพสต์: 262
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2012 9:56 pm
ผมว่าพูดง่ายแต่ทำยากมากเลยครับ
เวลาหุ้นตกหนักๆ ผมเห็นหลายคนก็เถียงกันประจำว่า
ตกเพราะพื้นฐานกิจการเปลี่ยน หรือตกเพราะปัญหาชั่วคราว
นกอินทรีบาดเจ็บ จะบาดจ็บเรื้อรังมั๊ย หรือจะบาดเจ็บแล้วตายเลย
หรือ บาดเจ็บแล้วเดี๋ยวก็หาย
ยกตัวอย่างง่ายๆตอนนี้ก็ banpu ผมเองก็ยังมองไม่ออกว่า
เรื่อง ราคาถ่านหิน เรื่อง shale gas panic กันไปเอง หรือพื้นฐานกิจการมันเปลี่ยนจริงๆ
ฝ่ายนึงบอก shale gas ยังต้องพัฒนา technology อีกเยอะ
อีกทั้ง ดูสิผู้บริหาร(ซึ่งเป็นคนที่น่าจะรู้พื้นฐานกิจการดีมากๆ)ยังซื้อ เป็น สิบๆล้านเลย
อีกฝ่ายบอก shale gas มาแล้ว บริษัท พลังงานใหญ่ๆ เข้าไปลงทุนกันเต็มไปหมด
ถ่านหิน ขาลงยาวแน่ๆ
เฮ้อ สรุปคือ ต้องเก่งมากๆและมีความรู้ ในหุ้นตัวนั้นจริงๆ ถึงจะพอดูออก
Stand by me - nobody knows
the way it's gonna be
sipoonya
Verified User
โพสต์: 469
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2012 10:46 pm
มีคำพูดนึงของอาจารย์นิเวศน์ ที่ผมเพิ่งได้ฟังไม่นาน
แต่รู้สึกว่าลึกซึ้งมากเลยคือ "ขายหุ้นเป็นเรื่องง่าย ถ้าขายได้แพงอีกหน่อย ก็ได้ค่าขนม"
ขายแล้วได้แพงขึ้นอีก 5% 10% เมื่อเทียบกับกำไร ที่ได้มากกว่านั้นเยอะ ก็ไม่ได้มีผลอะไร
ถ้าเราลงทุนหุ้นโดยที่เรามองระยะเวลา 3 ปี 5 ปี นี่แทบไม่มีใครเป็นคู่แข่งเราเลย
ทุกวันนี้ ผมเองก็พยายามฝึกที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาวให้มากขึ้น
ในหลายๆครั้ง ก็มีการเก็งกำไรผลประกอบการบ้าง ทำอาบริทาจบ้าง
แต่ดูจากสถิติ กำไรที่ได้ อาจจะน้อยกว่าหรือพอๆกันกับการลงทุนระยะยาว
ลองสังเกตุดู พักหลังๆ อาจารย์จะเลือกหุ้นไม่ค่อยผิด
หรือแม้แต่ตัวบัฟเฟตต์เอง มังเกอร์ก็บอกว่ายิ่งนานวันบัฟเฟตต์ยิ่งทำได้ดีขึ้น
เพราะการเลือกลงทุนในบริษัทที่ดี แพ้ยาก ในระยะยาว ในราคาที่ไม่แพงเกินไป ยังไงก็กำไร
โอกาสที่จะพลาดจะมากขึ้น ถ้าอยู่ใกล้ตลาดมากเกินไป โอกาสพลาดจะมากขึ้น ถ้าซื้อขายบ่อยขึ้น
โอกาสพลาดจะมากขึ้น ถ้าเหตุผลในการซื้อมีเพียงเหตุผลเดียว มักจะเป็นเมื่อเก็งกำไรผลประกอบการ
วิกฤติจะกลายเป็นโอกาสด้วยซ้ำ ถ้าเราลงทุนในระยะยาวพอ แต่กระนั้นก็ต้องเผื่อๆกระสุนไว้ด้วย
และข้อดีอีกอย่างคือ เรามีเวลามากขึ้นในการหาความรู้เพิ่ม เมื่อเราลงทุนระยะยาว + มี mos
ทั้งหมดนี้อาจไม่เกี่ยวกับกระทู้โดยตรง แต่เวลาในการถือ เป็นสิ่งที่ทำให้ผมมองเรื่องราคาเปลี่ยนไปเหมือนกันครับ
Sixth Sense Investor
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4641
ผู้ติดตาม: 0
พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2012 11:05 pm
When to Sell and when not to
ผมอ่านหนังสือเรื่อง Growth Stock เป็นลมหายใจและกระดูกสันหลัง และไม่หลุดไปแนวทางอื่นเลย อาจารย์ของผม (ทางตำรา) เช่น อ.โอนีล, อ.ฟิชเชอร์ คนพ่อ และ เคน ฟิชเชอร์คนลูก ก็เป็นแนวทางที่ผมยึดมาใช้และดัดแปลง เน้นว่ายึดมาใช้และดัดแปลง เพราะแต่ละคนก็ยังมีรายละเอียดที่แตกต่าง ผมก็นำแนวทางหลัก ๆ ของเค้ามาและดัดแปลงต่อ
5 ปีนับจากวันแรกที่ลงทุนผมอ่านหนังสือมาก็เรียกได้ว่าเยอะพอสมควรครับ แต่กว่าจะหาได้ว่า ควรจะขายเมื่อไร? นานน่าดูครับ
ฟิล ฟิชเชอร์ หลายคนเรียกท่านว่าเป็นบิดาแห่ง Growth Stock ให้หลักไว้ 3 ข้อ ผมจะสื่อสารทีละข้อดังนี้ครับ
1. เมื่อท่านผิด คือ ท่านวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัทและปัจจัยในการเติบโตของบริษัทผิด ตัวเลขและรวมถึงผลประกอบการณ์ที่ท่านวิเคราะห์ไว้ (ส่วนใหญ่) ท่านวิเคราะห์ไว้มากกว่าที่บริษัทโดยพื้นฐานแล้วสามารถทำได้ และบริษัทไม่มีวันไปถึงจุดนั้นได้ท่านคาดหวังสูงเกินไปเป็นความคาดหวังที่ผิด ท่านพลาดไปแล้ว
ผมเน้นคำว่าพื้นฐานของบริษัทและปัจจัยในการเติบโตนะครับ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดกำไร กำไรนั้นคือผลลัพธ์เท่านั้นครับ และอย่าให้ราคามาชี้นำเรานะครับอย่าขายเพราะราคาชี้นำครับ
คำว่า "พลาดไปแล้ว" หรือ "ผิดไปแล้ว" เราจะกล้าพูดออกมาก็ต่อเมื่อเรามีความซื่อสัตย์กับตนเองคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์กับตนเองมากพอมักจะไม่กล้าพูดคำนี้ออกมา
คุณลักษณะของการลงทุนที่เหมาะสมประกอบด้วย หนึ่ง กำไรมหาศาลที่ได้จากการถือครองหุ้นที่มีการเติบโตยั่งยืน และ สอง พฤติกรรมความสามารถ ความเฉลียวฉลาด การวิเคราะห์เสาะหาและการควบคุมอารมณ์ของผู้ถือครองหุ้นที่มีคุณสมบัตินั้น
มันยุ่งยากครับ และนั่นก็ยากที่จะมีบางคนไม่น้อยที่จะถอดใจ และก็ยากอีกครับเพราะบางทีท่านอาจจะคิดว่า ขาดทุนแล้วทำไงดีหว่า คือมันทำใจยากครับ คนทุกคนมี EGO ครับ และก็สำคัญอีกก็คือคนเรามีพฤติกรรมไม่ชอบการขาดทุนครับ
แต่เชื่อหรือไม่ว่า หากบริษัทถูกรุกรานทำให้พังทะลายลงไปแล้ว หุ้นตัวนั้นยิ่งจะสร้างความเสียหายกับพอร์ตของผู้ที่ถือไว้อย่างมหาศาล ต้องตีโจทย์ให้แตกนะครับอย่าขายเพราะราคามันตกจนทำให้คุณหัวเสีย เลย คัทลอส มันไม่ใช่
ผมยกตัวอย่าง หุ้น ABC เป็นหุ้น ปิโตรกลางน้ำ
เรามีความเชื่อว่า Spread เป็นสิ่งที่จะเป็นปัจจัยในการโตของกำไรของบริษัท
เมื่อเราซื้อแล้วเราเชื่อว่ามันจะขึ้นไปอีก
ปรากฎว่าเมื่อเราซื้อ เป็นจุดสูงสุดของ Spread มันตก ฮวบ ๆ ๆ (และแน่นอนเป็นตัวชี้นำราคา)
แบบนี้เกิดการขัดกันแล้ว ความเชื่อกับความจริงมันต่างกัน ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์กับตัวเอง ก็คอยดูไว้หุ้นมันก็ขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวมันก็ขึ้น ปรากฎว่ามันไม่ขึ้นมาแล้วเราก็ไม่ขายเพราะเรามีอีโก้คอยยับยั้งไว้ บวกกับความคิดที่ว่าไม่ชอบการขาดทุนซึ่งเป็นพฤติกรรมมนุษย์ แบบนี้ผิดครับ
และนี่คือเหตุผลข้อที่หนึ่ง When to Sell
...............
มีอีกสองข้อ ขอติดไว้ยาว ๆ เลยนะครับ
sipoonya
Verified User
โพสต์: 469
ผู้ติดตาม: 0
ศุกร์ ก.ค. 27, 2012 12:05 am
Nevercry.boy เขียน: ฟิล ฟิชเชอร์ ให้หลักการณ์ ไว้สามข้อ
1 เมื่อเราผิด
2 เมื่อธุรกิจผิด
3 เมื่อพบธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตแบบยั่งยืนมากกว่าหุ้นของเราอย่างชัดเจน
ข้อสังเกตนะครับ ทั้งสามข้อเป็นผลสืบเนื่องมาจากการซื้อทั้งนั้น
และไม่มีข้อที่ว่า fair value หรือ overvalued อาจเป็นเพราะท่านเป็น growth invester ด้วยมั๊งครับ
ป.ล. บล็อก คุณ Nevercry.boy ดีมากเลยนะครับ
Sixth Sense Investor
pat4310
Verified User
โพสต์: 732
ผู้ติดตาม: 0
ศุกร์ ก.ค. 27, 2012 10:05 am
ให้ดูราคาหุ้นบ่อยๆครับ เห็นราคาตกไอ้ที่เราวิเคราะห์ไว้หายหมด ลงมาช่วงแรกๆยังมั่นใจ จนช่วงที่เราถอดใจนั่นแหละครับจุดต่ำสุด ขายปุ้บขึ้นปั้บ
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ
เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
luz666
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 845
ผู้ติดตาม: 0
ศุกร์ ก.ค. 27, 2012 12:33 pm
ขายตอน panic ครับ โอกาสได้ราคา low สูงมาก เวลามีข่าวร้ายอะไร ขายเลย ไม่ต้องสนว่าเกี่ยวกับหุ้นเราหรือไม่ครับ ยิ่งข่าวร้ายข้ามทวีป นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเกี่ยวกับหุ้นของเรายังไง ยิ่งน่าขายครับ low แน่
all i need is Zero
Saran
Verified User
โพสต์: 2377
ผู้ติดตาม: 1
อังคาร ก.ค. 31, 2012 10:31 am
เข้ามาติดตามด้วยคนครับ ขอบคุณครับ
KimVi
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 991
ผู้ติดตาม: 0
พุธ ส.ค. 01, 2012 12:46 am
ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ดีๆ ที่มีความกรุณาแบ่งปัน
"Look at market fluctuations as your friend rather than your enemy; profit from folly rather than participate in it." – Warren Buffett