รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
- murder_doll
- Verified User
- โพสต์: 1644
- ผู้ติดตาม: 1
รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 1
ผมมีความสนใจเรื่องReflexivity แต่ยอมรับว่าอ่านในหนังสือโซรอสหรือในบทความของคุณhumdrum ก็ยังไม่เข้าใจนักครับ ผมจึงอยากขอความกรุณาคุณ humdrum ช่วยไขความกระจ่างโดยการยกตัวอย่างการเกิดขึ้นของ Reflexivity และผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมให้ชัดๆได้ไหมครับ
เนื่องจากผมอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจจริงๆครับ
ขอบคุณในความช่วยเหลือล่วงหน้าครับ
เนื่องจากผมอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจจริงๆครับ
ขอบคุณในความช่วยเหลือล่วงหน้าครับ
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ข้าวปลาคือของจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 2
ผมขอน้อมกราบเคารพครูทั้งสามท่านที่ประสทธิความรู้็้ให้ลูกศิษย์คนนี้ ท่านแรก จอร์ส โซรอส ท่านที่สอง ดร.วิคเตอร์ แฟรงเกิล และ ท่านที่สาม ชาลี มังเกอร์
น้อมกราบ พี่มนกับพี่โจ ถ้าไม่มีพี่ทั้งสอง ผมคงไม่มีวันนี้ ขอบพระคุณมากครับ
ประโยชน์อันใดก่อเกิดคุณุประการ ข้าพเข้าขอน้อมอุทิศให้อาจารย์ทั้งสามท่าน และ พี่มนกับพี่โจทั้งหมดสิ้น
--------------------------------------------------
สวัสดีครับท่าน murder_doll
ช่วงนี้ไปออกงานขายของหลายที่ นอนน้อยจริง ๆ ครับ ผมเขียนคงไม่รู้เรื่องเหมือนเคยครับ อย่าไปคาดหวังนะครับ บางทีอาจทำให้ท่านสับสนมากขึ้น คุยกันไปเรื่อยๆ แล้วกันนะครับ ผมต้องขอโทษด้วยครับ เป้นความผิดผมเอง ขอโทษจริงๆ ครับ ผมอธิบายไม่ดีเอง ท่านเป็นคนแรกที่ถามผมใน PM รอบห้าปีเลยทีเดียวครับที่สนใจเรื่อง Reflexivity ขอบคุณนะครับ เอาแบบเป็นรูปธรรมให้ชัดๆ นะครับ จัดไปครับ ต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยนะครับ มันเกิดชัดมากเกินไปครับ ผู้อ่านทุกท่านเป้นคนเก่งทั้งนั้น ผู้เขียนขอขอบคุณในความไม่คาดหวัง เพราะผู้อ่านทราบว่า ผู้เขียนอธิบายสิ่งต่างๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง อย่าคาดหวังครับ ผุ้เขียนยังเขียนไม่เป็นสัปะรดเหมือนเดิมครับ
เริ่มเลยนะครับ……
ครั้งหนึ่งในงานสัมมนาที่จัดเป็นล่ำเป็นสันมานาน คราวนี้นักลงทุนต่างเฝ้ารอเซียนมาพูดเช่นเคย แต่คราวนี้จะยกเรื่อง reflexivity ขึ้นมาคุยกัน โดยเรียกคนพูดที่เป็นผู้จัดการกองทุนเฮจฟันมาในงานที่มีความคุ้นเคยกับหลักการของโซรอส มาสามท่าน อายุอานามก็ คนแรกกับคนที่สองสามสิบกว่าๆ คนที่สามแก่กว่าเพื่อน ห้าสิบกว่าแล้ว ทั้งสามท่านไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย แถมคนพูดก็ไม่ได้ซักซ้อมกันมาก่อนอีกด้วย มาว่ากันกลอนสด ไม่มีพิธีกร ไม่เหมือนการพุดสัมมนาเรื่องการลงทุนในสมัยนี้ การพุดเรื่อง reflexivity มันไม่จำเป็นว่าต้องพูดเรื่องใดสูตรใด แต่ละคนพูดท่านก็ซักไซ้ไล่เลียงกันเองให้นักลงทุนผู้นั่งฟังได้รู้อย่างกระจ่างในเวลานั้น สถานการณ์ปัจจุบันนั้น ในบัดนั้นทันที
คนแรกเริ่มที่ว่า....
โลกนี้เป็นอนิจจัง ดังนั้นแล้ว….ผิด ถุก ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าผิดแล้วขาดทุนเท่าใด ถูกแล้วกำไรเท่าใด ใครที่ยังมีความรู้สุกผิดถูกอยู๋ จึงยังไม่เข้าใจเรื่อง Reflexivity คนที่สองเสริมว่า ต้องตื่นเต้นก่อน เทรดทีหลัง invest first investigate later มองไปที่ข้างหน้าก่อนที่ปัญหาจะเกิด
จากนั้นการสนทนาก็ดำเนินไปตามลำดับ
คนพูดที่หนึ่ง : ผมคิดว่าหัวใจอยู่ที่ความไม่แน่นอนในโลกนี้ที่พุทธเจ้าท่านสอนไว้ เพราะฉะนั้น ต้องเอาตัวรอดอย่างไร คือ คำถามที่ต้องใช้ทุกกระบวนท่าหาคำตอบให้จงได้
สอง : ผมก็ว่าเช่นนั้น วิถีเอาตัวที่ดีที่สุดคือ รู้เขารู้เรา อีกทั้งยังต้องมีความสามารถในการจับใจความสำคัญเรื่องต่างๆ และเอาออกมาใช้ ต้องตอบให้ได้ว่าตัวเรามี Margin of Safety หรือไม่ ต้องตรวจสอบว่าสิ่งที่ทำลงไปมีโอกาสพลิกกลับหรือไม่ ถ้าพลิกแล้วจะแก้ไขอย่างไร ตรวจสอบตัวเองด้วยคำถามต่างๆ ที่ขัดแย้งกัน ถ้าจะซื้อก็ขายดีกว่า ถ้าจะขายก็ซื้อดีกว่า
หนึ่ง : การตั้งคำถามที่ขัดแย้ง ต้องมีความรวดเร็วในการมองเห็นข้อแตกต่างอย่างลึกซึ้ง แต่นั่นไม่พอ ผมว่าควรมีระเบียบแบบแผนในการคิดหาคำตอบทางตัวเลขโดยประมาณอย่างมีเหตุผลอีกด้วย ท่านว่าไหมครับ
สอง : มีความสามารถในการคำนวณไม่พอหรอก ไม่พอนะ ต้องมีความเข้าใจในหลักการ Fundamental ; Technical and Reflexivity สามารถเห็นภาพ วาดภาพ แล้วประเมิณผลออกมาเป้น Expected value ได้
หนึ่ง : ขนาดนั้นเลยหรือท่าน ผมว่าทำหลายอย่างอย่างท่านได้ ต้องมีสมาธิก่อน โดยไม่วอกแวกกับสิ่งเร้าต่างๆ ทั้งภายนอกและภายในจิตใจ เมื่อมีข้อมูลอื่นมาประกอบกันหลายอย่าง ต้องสามารถแบ่งแยกสมาธิกระจายออกไปดูข้อมูลต่างๆและรวบรวมสมาธิกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง กลับไปมามาได้
สอง : ทำได้ขนาดนั้น แสดงว่าท่านต้องปลูกฝังตัวเองให้มีมุมมองที่เป็นภาพรวม มองเห้นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ในหลายมุมมองได้ และต้องบอกได้ว่า ผู้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่มีสถานะต่างกัน มีมุมมองและความสัมพันธ์ในเหตการนั้นๆ อย่างไร และ มุมมองเหล่านี้เปลี่ยนแปลงเมื่อฐานะความสัมพันของผู้อยู๋ในเหตุการเปลี่ยนไป สามารถตัดสินใจ และ แก้ไขทันต่อเหตการอย่างมีเหตุผล
หนึ่ง : ท่านพุดได้เฉียบคมนัก ท่านคงต้องควบคลุมจิตใจและร่างกายได้ดี ตามข้อมูลที่ได้จากการเห็น ฟัง และ สัมผัสที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รู้จังหวะใดควรผ่อน จังหวะใดควรเร่ง รักษาความสมดุลของชีวิต
สอง : ท่านต้องนักเป็นนักคาดคะเนและนักวางแผนที่เยียมยอด
หนี่ง : สำคัญไม่เทากับ สติที่เป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุด อยู๋ที่ใครจะครอบครองมันได้หรือปล่าว ผมบอกได้สั้นๆ ว่า มองไปข้างหน้าป้องกันก่อนที่ปัญหาจริงจะเกิดดีที่สุด แล้วหาทางป้องกันไว้ก่อนแล้ว นักลงทุนภาพสะท้อนต้องเหลือพื้นที่ในสมองไว้มองภาพรวม
สอง : แสดงว่าท่านฝึกเทรดจำลอง simulator ก่อนเทรดทุกครั้ง
หนึ่ง : ผมแค่ทดสอบ Psychomonitor ร่วมกับ Reflexivity Possibility ในสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขั้นในแต่ละวัน ไม่ทราบว่าท่านสองมีขั้นตอนปฏิบัติอย่างไรบ้าง
สอง : ผมทดสอบ Profit / Loss Investigation และหาข้อขัดแย้งที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ขาดเหตุผลและไม่ถูกต้อง รู้อะไรรู้ให้จริง แล้วเราจะไม่กลัว คนเรามักจะกลัวมากกว่าความจริงที่เกิดขึ้นจริงสองเท่าเสมอ
หนึ่ง : ท่านสองจับผิดตัวเองในแบบที่อาจารย์โซรอสสอน ผมนับถือเลย อาจารย์ท่านพยายามที่ย้ำมาตลอด แต่ความมีวินัยละท่าน ถึงท่านจะเตรียมการไว้อย่างดี ก็ไม่มีความมหมายนะครับ อย่างผมนี่ ผมทำตาม Fund Procedures ตามกฏระเบียบอย่างมีวินัยเลยนะ ผมเคยเห็นน้องท่านหนึ่งที่เป็นศิษย์โซรอสเหมือนกัน ตอน training ทำตามแผนที่วางไว้ แต่พอ trading operation กลับทำตามใจตัวเอง การใช้ homemade procedure หรือ การใช้อารมณ์ในการเทรดอันตรายที่สุด โดยเฉพาะช่วง Honeymoon Period หรือ ช่วงเปิดตลาด
สอง : ผมก็เคยครับ นิสัยถาวรนี่แก้ยากมาก ไม่ทำตาม Fund Procedures ทางป้องกันที่ดีที่สุด คือ ต้องคัดออกไปเลย แต่ต้องมีนักจิตวิทยาการลงทุนเป็นผู้วินิจฉัยอีกทีครับ
หนึ่ง : ผมเห็นด้วยครับ บุคคลิกที่เห็นชัดที่สุดในหมู่ผู้จัดการกองทุนที่ใช้ reflexivity ในการบริหารงานกองทุน คือ สุขุมนุ่มลึก นิ่ง หนักแน่นและมีความมั่นคงทางอารมณ์
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ หลังจากนั้น ท่านผู้จัดการทั้งสองท่านนั้นได้อธิบายให้ความรู้ต่างๆ กับผู้ฟังในงานสัมมนานั้น ว่า reflexivity คืออะไร เหมือนอะไร ไม่เหมือนอะไร เกิดที่ไหน อย่างไร อาศัยอะไรถึงเกิด ผสมปนเปกับเรื่องตลกเฮอฮา ผู้ฟังก็สนุกกับลวดลายกลเม้ดที่สองท่านนำออกมาใช้ กระทั่งมุขต่างๆ ของทั้งสองท่าน เริ่มน้อยลงไป และ กระแสความอยากรู้ของคนฟังเริ่มถึงที่สุดน้อยลงไปเรื่อยๆ ขณะนั้น มีใครไม่กี่คนเริ่มสังเกตุ ว่าผู้จัดการเฮจฟันคนที่สามนั่งฟังสองคนแรกโต้กันอย่างเงียบๆ โดยดุษฎี
ท่านหนึ่งจึงหันมาถามท่านสามว่ามีความคิดอย่างไรบ้าง พอถูกถามตามฉบับว่า reflexivity คืออะไร คนในห้องสัมมนาในห้องประชุมพากันเงียบหมด ต่างเตรียมตัวเงี่ยหูฟังว่าท่านที่สามจะมีฝีปากอย่างไร เพราะยังไมได้ปิปากแม้แต่คำเดียวตั้งแต่ต้น
แทนที่ท่านสามจะพูดเป็นต่อยหอยตามธรรมเนียมแขกรับเชิญของงานสัมนา ท่านกลับเงียบไปพักหนึ่ง ทำให้ทุกคนในที่นั้นก็งงเป็นยิ่งนัก ว่าเมื่อไหร่ท่านจะเริ่มเผยเคล้ดลับของท่านบ้าง ได้แต่จ้องท่านหนึ่งที่ถามท่านอย่างไม่ละสายตา พลางท่านเอ๋ยขึ้นด้วยเสียงต่ำๆ ตามวัยของท่านว่า
“ xxxxx!!! .’’
พูดจบยังคงมองที่ท่านสองนั่นเอง
“ xxxxx “ ของท่านหลุดจากปากท่านออกมาท่ามกลางความเงียบ ทำให้ทกคนในที่ประชุมนั้น ตกใจกันไปหมด ไม่มีใครทราบว่าอะไรเกิดขึ้น ก่อนหน้านั้นท่านหนึ่งพุดออกฉอดๆ แต่มาได้รับคำย้อนขนาดนี้ถึงกับชะงัก ไม่นึกว่าจะมีคำพุดต่อหน้าคนฟังในที่สาธารณะถึงเพียงนี้ ใจก็นึกไปว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดสัมมนาคนไหนหนอ ช่างไปเชิญคนบ้ามาพุดได้ มิน่าเล่า ไม่ยอมปิปากตั้งแต่ต้น แถมมีสายตาขวางๆ อีกต่างหาก มันเรื่องอะไรกันนี่ หรือ ว่ามันดูถูกเรา ฮึ!!!
ไม่มีใครคาดคิด ท่านหนึ่งยืนขึ้นจ้องหน้าท่านสาม ทำให้ผู้ฟังได้เห็นว่า ท่านกำหมัดไว้แน่น ตัวสั่น หน้าแดงกล่ำ กระสับกระส่าย พร้อมจู่โจมท่านสามทุกเมื่อ สมควรแก่เวลา ท่านสามเจ้าของคำพูดที่ใครแปลไม่ได้ว่า “ส้นทีน” ท่านนิ่งสงบเหมือนบ่อน้ำสะท้อนเงาจันทร์ จึงเริ่มเอ๋ยปากพูดว่า reflexivity คือ ช่องว่างระหว่าง สิ่งที่เราคิดว่าควรเป็น กับ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง และช่องว่างนี้คือ ความทุกข์ อยู่ที่ว่าเราจะตัดสินใจอย่างไรเมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น จะตัดสินใจด้วยเหตุผลหรืออารมณ์ ต่อไปอย่างหน้าตาเฉย งานสัมมนาก็จบครับ
ด้วยเพียงคำพูดเพียงสองพยางค์ แต่ก็เป็นช่องทางให้ท่านสามใช้ให้เกิดการเข้าใจเรื่อง reflexivity ขึ้นตรงนั้น ผู้ฟังก็ได้ประจักษ์แก่สายตาด้วยตนเองว่า Reflexivity คืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร อาศัยอะไรถึงเกิด โดยมิต้องไปหาวิธีอธิบายอย่างอื่นให้ยุ่งยาก
Shalom…….
น้อมกราบ พี่มนกับพี่โจ ถ้าไม่มีพี่ทั้งสอง ผมคงไม่มีวันนี้ ขอบพระคุณมากครับ
ประโยชน์อันใดก่อเกิดคุณุประการ ข้าพเข้าขอน้อมอุทิศให้อาจารย์ทั้งสามท่าน และ พี่มนกับพี่โจทั้งหมดสิ้น
--------------------------------------------------
สวัสดีครับท่าน murder_doll
ช่วงนี้ไปออกงานขายของหลายที่ นอนน้อยจริง ๆ ครับ ผมเขียนคงไม่รู้เรื่องเหมือนเคยครับ อย่าไปคาดหวังนะครับ บางทีอาจทำให้ท่านสับสนมากขึ้น คุยกันไปเรื่อยๆ แล้วกันนะครับ ผมต้องขอโทษด้วยครับ เป้นความผิดผมเอง ขอโทษจริงๆ ครับ ผมอธิบายไม่ดีเอง ท่านเป็นคนแรกที่ถามผมใน PM รอบห้าปีเลยทีเดียวครับที่สนใจเรื่อง Reflexivity ขอบคุณนะครับ เอาแบบเป็นรูปธรรมให้ชัดๆ นะครับ จัดไปครับ ต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยนะครับ มันเกิดชัดมากเกินไปครับ ผู้อ่านทุกท่านเป้นคนเก่งทั้งนั้น ผู้เขียนขอขอบคุณในความไม่คาดหวัง เพราะผู้อ่านทราบว่า ผู้เขียนอธิบายสิ่งต่างๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง อย่าคาดหวังครับ ผุ้เขียนยังเขียนไม่เป็นสัปะรดเหมือนเดิมครับ
เริ่มเลยนะครับ……
ครั้งหนึ่งในงานสัมมนาที่จัดเป็นล่ำเป็นสันมานาน คราวนี้นักลงทุนต่างเฝ้ารอเซียนมาพูดเช่นเคย แต่คราวนี้จะยกเรื่อง reflexivity ขึ้นมาคุยกัน โดยเรียกคนพูดที่เป็นผู้จัดการกองทุนเฮจฟันมาในงานที่มีความคุ้นเคยกับหลักการของโซรอส มาสามท่าน อายุอานามก็ คนแรกกับคนที่สองสามสิบกว่าๆ คนที่สามแก่กว่าเพื่อน ห้าสิบกว่าแล้ว ทั้งสามท่านไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย แถมคนพูดก็ไม่ได้ซักซ้อมกันมาก่อนอีกด้วย มาว่ากันกลอนสด ไม่มีพิธีกร ไม่เหมือนการพุดสัมมนาเรื่องการลงทุนในสมัยนี้ การพุดเรื่อง reflexivity มันไม่จำเป็นว่าต้องพูดเรื่องใดสูตรใด แต่ละคนพูดท่านก็ซักไซ้ไล่เลียงกันเองให้นักลงทุนผู้นั่งฟังได้รู้อย่างกระจ่างในเวลานั้น สถานการณ์ปัจจุบันนั้น ในบัดนั้นทันที
คนแรกเริ่มที่ว่า....
โลกนี้เป็นอนิจจัง ดังนั้นแล้ว….ผิด ถุก ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าผิดแล้วขาดทุนเท่าใด ถูกแล้วกำไรเท่าใด ใครที่ยังมีความรู้สุกผิดถูกอยู๋ จึงยังไม่เข้าใจเรื่อง Reflexivity คนที่สองเสริมว่า ต้องตื่นเต้นก่อน เทรดทีหลัง invest first investigate later มองไปที่ข้างหน้าก่อนที่ปัญหาจะเกิด
จากนั้นการสนทนาก็ดำเนินไปตามลำดับ
คนพูดที่หนึ่ง : ผมคิดว่าหัวใจอยู่ที่ความไม่แน่นอนในโลกนี้ที่พุทธเจ้าท่านสอนไว้ เพราะฉะนั้น ต้องเอาตัวรอดอย่างไร คือ คำถามที่ต้องใช้ทุกกระบวนท่าหาคำตอบให้จงได้
สอง : ผมก็ว่าเช่นนั้น วิถีเอาตัวที่ดีที่สุดคือ รู้เขารู้เรา อีกทั้งยังต้องมีความสามารถในการจับใจความสำคัญเรื่องต่างๆ และเอาออกมาใช้ ต้องตอบให้ได้ว่าตัวเรามี Margin of Safety หรือไม่ ต้องตรวจสอบว่าสิ่งที่ทำลงไปมีโอกาสพลิกกลับหรือไม่ ถ้าพลิกแล้วจะแก้ไขอย่างไร ตรวจสอบตัวเองด้วยคำถามต่างๆ ที่ขัดแย้งกัน ถ้าจะซื้อก็ขายดีกว่า ถ้าจะขายก็ซื้อดีกว่า
หนึ่ง : การตั้งคำถามที่ขัดแย้ง ต้องมีความรวดเร็วในการมองเห็นข้อแตกต่างอย่างลึกซึ้ง แต่นั่นไม่พอ ผมว่าควรมีระเบียบแบบแผนในการคิดหาคำตอบทางตัวเลขโดยประมาณอย่างมีเหตุผลอีกด้วย ท่านว่าไหมครับ
สอง : มีความสามารถในการคำนวณไม่พอหรอก ไม่พอนะ ต้องมีความเข้าใจในหลักการ Fundamental ; Technical and Reflexivity สามารถเห็นภาพ วาดภาพ แล้วประเมิณผลออกมาเป้น Expected value ได้
หนึ่ง : ขนาดนั้นเลยหรือท่าน ผมว่าทำหลายอย่างอย่างท่านได้ ต้องมีสมาธิก่อน โดยไม่วอกแวกกับสิ่งเร้าต่างๆ ทั้งภายนอกและภายในจิตใจ เมื่อมีข้อมูลอื่นมาประกอบกันหลายอย่าง ต้องสามารถแบ่งแยกสมาธิกระจายออกไปดูข้อมูลต่างๆและรวบรวมสมาธิกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง กลับไปมามาได้
สอง : ทำได้ขนาดนั้น แสดงว่าท่านต้องปลูกฝังตัวเองให้มีมุมมองที่เป็นภาพรวม มองเห้นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ในหลายมุมมองได้ และต้องบอกได้ว่า ผู้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่มีสถานะต่างกัน มีมุมมองและความสัมพันธ์ในเหตการนั้นๆ อย่างไร และ มุมมองเหล่านี้เปลี่ยนแปลงเมื่อฐานะความสัมพันของผู้อยู๋ในเหตุการเปลี่ยนไป สามารถตัดสินใจ และ แก้ไขทันต่อเหตการอย่างมีเหตุผล
หนึ่ง : ท่านพุดได้เฉียบคมนัก ท่านคงต้องควบคลุมจิตใจและร่างกายได้ดี ตามข้อมูลที่ได้จากการเห็น ฟัง และ สัมผัสที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รู้จังหวะใดควรผ่อน จังหวะใดควรเร่ง รักษาความสมดุลของชีวิต
สอง : ท่านต้องนักเป็นนักคาดคะเนและนักวางแผนที่เยียมยอด
หนี่ง : สำคัญไม่เทากับ สติที่เป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุด อยู๋ที่ใครจะครอบครองมันได้หรือปล่าว ผมบอกได้สั้นๆ ว่า มองไปข้างหน้าป้องกันก่อนที่ปัญหาจริงจะเกิดดีที่สุด แล้วหาทางป้องกันไว้ก่อนแล้ว นักลงทุนภาพสะท้อนต้องเหลือพื้นที่ในสมองไว้มองภาพรวม
สอง : แสดงว่าท่านฝึกเทรดจำลอง simulator ก่อนเทรดทุกครั้ง
หนึ่ง : ผมแค่ทดสอบ Psychomonitor ร่วมกับ Reflexivity Possibility ในสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขั้นในแต่ละวัน ไม่ทราบว่าท่านสองมีขั้นตอนปฏิบัติอย่างไรบ้าง
สอง : ผมทดสอบ Profit / Loss Investigation และหาข้อขัดแย้งที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ขาดเหตุผลและไม่ถูกต้อง รู้อะไรรู้ให้จริง แล้วเราจะไม่กลัว คนเรามักจะกลัวมากกว่าความจริงที่เกิดขึ้นจริงสองเท่าเสมอ
หนึ่ง : ท่านสองจับผิดตัวเองในแบบที่อาจารย์โซรอสสอน ผมนับถือเลย อาจารย์ท่านพยายามที่ย้ำมาตลอด แต่ความมีวินัยละท่าน ถึงท่านจะเตรียมการไว้อย่างดี ก็ไม่มีความมหมายนะครับ อย่างผมนี่ ผมทำตาม Fund Procedures ตามกฏระเบียบอย่างมีวินัยเลยนะ ผมเคยเห็นน้องท่านหนึ่งที่เป็นศิษย์โซรอสเหมือนกัน ตอน training ทำตามแผนที่วางไว้ แต่พอ trading operation กลับทำตามใจตัวเอง การใช้ homemade procedure หรือ การใช้อารมณ์ในการเทรดอันตรายที่สุด โดยเฉพาะช่วง Honeymoon Period หรือ ช่วงเปิดตลาด
สอง : ผมก็เคยครับ นิสัยถาวรนี่แก้ยากมาก ไม่ทำตาม Fund Procedures ทางป้องกันที่ดีที่สุด คือ ต้องคัดออกไปเลย แต่ต้องมีนักจิตวิทยาการลงทุนเป็นผู้วินิจฉัยอีกทีครับ
หนึ่ง : ผมเห็นด้วยครับ บุคคลิกที่เห็นชัดที่สุดในหมู่ผู้จัดการกองทุนที่ใช้ reflexivity ในการบริหารงานกองทุน คือ สุขุมนุ่มลึก นิ่ง หนักแน่นและมีความมั่นคงทางอารมณ์
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ หลังจากนั้น ท่านผู้จัดการทั้งสองท่านนั้นได้อธิบายให้ความรู้ต่างๆ กับผู้ฟังในงานสัมมนานั้น ว่า reflexivity คืออะไร เหมือนอะไร ไม่เหมือนอะไร เกิดที่ไหน อย่างไร อาศัยอะไรถึงเกิด ผสมปนเปกับเรื่องตลกเฮอฮา ผู้ฟังก็สนุกกับลวดลายกลเม้ดที่สองท่านนำออกมาใช้ กระทั่งมุขต่างๆ ของทั้งสองท่าน เริ่มน้อยลงไป และ กระแสความอยากรู้ของคนฟังเริ่มถึงที่สุดน้อยลงไปเรื่อยๆ ขณะนั้น มีใครไม่กี่คนเริ่มสังเกตุ ว่าผู้จัดการเฮจฟันคนที่สามนั่งฟังสองคนแรกโต้กันอย่างเงียบๆ โดยดุษฎี
ท่านหนึ่งจึงหันมาถามท่านสามว่ามีความคิดอย่างไรบ้าง พอถูกถามตามฉบับว่า reflexivity คืออะไร คนในห้องสัมมนาในห้องประชุมพากันเงียบหมด ต่างเตรียมตัวเงี่ยหูฟังว่าท่านที่สามจะมีฝีปากอย่างไร เพราะยังไมได้ปิปากแม้แต่คำเดียวตั้งแต่ต้น
แทนที่ท่านสามจะพูดเป็นต่อยหอยตามธรรมเนียมแขกรับเชิญของงานสัมนา ท่านกลับเงียบไปพักหนึ่ง ทำให้ทุกคนในที่นั้นก็งงเป็นยิ่งนัก ว่าเมื่อไหร่ท่านจะเริ่มเผยเคล้ดลับของท่านบ้าง ได้แต่จ้องท่านหนึ่งที่ถามท่านอย่างไม่ละสายตา พลางท่านเอ๋ยขึ้นด้วยเสียงต่ำๆ ตามวัยของท่านว่า
“ xxxxx!!! .’’
พูดจบยังคงมองที่ท่านสองนั่นเอง
“ xxxxx “ ของท่านหลุดจากปากท่านออกมาท่ามกลางความเงียบ ทำให้ทกคนในที่ประชุมนั้น ตกใจกันไปหมด ไม่มีใครทราบว่าอะไรเกิดขึ้น ก่อนหน้านั้นท่านหนึ่งพุดออกฉอดๆ แต่มาได้รับคำย้อนขนาดนี้ถึงกับชะงัก ไม่นึกว่าจะมีคำพุดต่อหน้าคนฟังในที่สาธารณะถึงเพียงนี้ ใจก็นึกไปว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดสัมมนาคนไหนหนอ ช่างไปเชิญคนบ้ามาพุดได้ มิน่าเล่า ไม่ยอมปิปากตั้งแต่ต้น แถมมีสายตาขวางๆ อีกต่างหาก มันเรื่องอะไรกันนี่ หรือ ว่ามันดูถูกเรา ฮึ!!!
ไม่มีใครคาดคิด ท่านหนึ่งยืนขึ้นจ้องหน้าท่านสาม ทำให้ผู้ฟังได้เห็นว่า ท่านกำหมัดไว้แน่น ตัวสั่น หน้าแดงกล่ำ กระสับกระส่าย พร้อมจู่โจมท่านสามทุกเมื่อ สมควรแก่เวลา ท่านสามเจ้าของคำพูดที่ใครแปลไม่ได้ว่า “ส้นทีน” ท่านนิ่งสงบเหมือนบ่อน้ำสะท้อนเงาจันทร์ จึงเริ่มเอ๋ยปากพูดว่า reflexivity คือ ช่องว่างระหว่าง สิ่งที่เราคิดว่าควรเป็น กับ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง และช่องว่างนี้คือ ความทุกข์ อยู่ที่ว่าเราจะตัดสินใจอย่างไรเมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น จะตัดสินใจด้วยเหตุผลหรืออารมณ์ ต่อไปอย่างหน้าตาเฉย งานสัมมนาก็จบครับ
ด้วยเพียงคำพูดเพียงสองพยางค์ แต่ก็เป็นช่องทางให้ท่านสามใช้ให้เกิดการเข้าใจเรื่อง reflexivity ขึ้นตรงนั้น ผู้ฟังก็ได้ประจักษ์แก่สายตาด้วยตนเองว่า Reflexivity คืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร อาศัยอะไรถึงเกิด โดยมิต้องไปหาวิธีอธิบายอย่างอื่นให้ยุ่งยาก
Shalom…….
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 3
นอกห้องสัมมนา
วิชาทุกอย่างในโลกตรงดิ่งเข้าจุดคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่า โลกนี้ไม่อะไรแน่นอน เรื่อง reflexivity ก็วิ่งเข้าหาจุดศูนย์กลางเรื่อง โลกนี้เป็นอนิจจังเหมือนกันครับ ลองคิดถึงความตายทุกวัน ตื่นมาก็ เย้ วันนี้เป้นวันดีที่จะตายเว้ยเฮ้ย แต่ใครจะมานั่งคิดใช่ไหมครับ นี่เป้นเรื่องไม่เป็นมงคล ทำไมมาแนะนำอย่างนี้ เรื่องตายนี่เป็นเรื่องใกล้ตัวมาก รอวันตายกันทุกคน ชีวิตเราสั้นลงทุนวัน แต่ความตายนี่มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน แล้วจะประมาทได้อย่างไรละครับ
กลางปีที่แล้วคนแถวบ้านผมยืนซื้อส้มตำริมถนน หันหลังให้ถนน รถกระบะวิ่งเมามาแฉลบออกพุ่งเข้าชน ขาท่อนล่างถูกบดและ ต้องตัดขา เช้านี้ยังเห็นนั่งรถเข็นมาตลาด ชีวิตนี้ไม่แน่นอน สักวินาทีหนึ่งก็เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล แต่บางทีก็ไม่ใช่จุดจบ แต่กลายเป้นจุดเริ่มต้นของชีวิต ใส่ขาเทียมไปวิ่งมาราธอนรณรงค์ให้คนดื่มแล้วไม่ขับ ใส่ขาเทียมไปปีนเขาเอฟเวอเรสหาทุนมาช่วยคนขาขาดจากสงคราม บางคนเขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องร่างกายผิดปกติ เพราะเขาไมได้ใช้พลังกายเป็นเข็มทิศในชีวิต แต่เขาใช้พลังใจในการขับเคลื่อนชีวิต ขีดจำกัดของเขานั้นอยู่ที่ใจ ไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ การลงทุนในแนว Reflexivity ก็เหมือนกันครับ มันเป้นเกมของจิตใจมากกว่าร่างกาย แล้วเราจะละเลยคำสอนของพุทธเจ้าได้อย่างไร
ทุกอย่างล้วนเป็นครู
คิดเรื่องตายก่อนเพื่อนนักลงทุนเอ๋ย
เหมือนท่านบัฟเฟตสอนคิดเรื่องขาดทุนก่อนอื่นใด
ความหมายของ Reflexivity นั้นแล้วไซร้ แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน
โลกนี้เป็นอนิจจัง เหมือน ฟิสิกควอนตัม
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู๋กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่หวัง แล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ท่านโสเกรติสพูดไว้ก่อนตายเป็นปริศนา
ช่วงเป็นหนุ่ม ข้ารู้ทุกอย่าง ช่วงวัยกลางคน รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง
ช่วงปลายชีวิต ข้าไม่รู้อะไรเลย
หรือว่า ท่านจักเข้าใจความไม่แน่นอนในสรรพสิ่ง
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
ท่านลีโอนาโดนั่นไง สอนให้คิด the end ก่อนที่จะ start ก่อนท่านชีวาวาย
ท่านมังเกอร์ยังไม่ตาย แต่สอนให้ปลูกฝังเรื่อง Invert
ปัญหาทุกอย่างคิดจากท้ายมาหน้า เวลาผิดพลาดจะไม่เตลิด
ท่านพุทธทาสสอนให้ละตัวข้า ไม่มีตัวกรูของกรู
โซรอสสอนให้คิดว่ากรูผิดเสมอ จงถ่อมตัวอยู่เสมอ
เริ่มจากจุดที่เสียเปรียบดีกว่าเพื่อนเกลอ
แล้ว expected value จะยิ่งใหญ่มากกว่าเมื่อมีชัย
เหมือน Margin of safety เรื่องเดียวกัน ไม่ผิดแน่
บัฟเฟตสอนไว้ เอาไปปรับใช้เรื่องการทำดี ทำชั่ว ควรค่าจดจำ
สักวัน คงถึงคราวเราตายเหมือนท่านอื่น
เวลาเราตายไป เราจะมี margin of safety ไปคุยกับท่านยมบาล
ความดีเท่าตะเกียบ ความชั่วเท่ากระบุง
แต่ความดีหนักกว่า เพราะเป็นความดีที่ละตัวกรู
ทุกอย่างล้วนเป็นครู คิดถึงเวลาตายก่อนที่จะตาย
วิชาทุกอย่างในโลกตรงดิ่งเข้าจุดคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่า โลกนี้ไม่อะไรแน่นอน เรื่อง reflexivity ก็วิ่งเข้าหาจุดศูนย์กลางเรื่อง โลกนี้เป็นอนิจจังเหมือนกันครับ ลองคิดถึงความตายทุกวัน ตื่นมาก็ เย้ วันนี้เป้นวันดีที่จะตายเว้ยเฮ้ย แต่ใครจะมานั่งคิดใช่ไหมครับ นี่เป้นเรื่องไม่เป็นมงคล ทำไมมาแนะนำอย่างนี้ เรื่องตายนี่เป็นเรื่องใกล้ตัวมาก รอวันตายกันทุกคน ชีวิตเราสั้นลงทุนวัน แต่ความตายนี่มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน แล้วจะประมาทได้อย่างไรละครับ
กลางปีที่แล้วคนแถวบ้านผมยืนซื้อส้มตำริมถนน หันหลังให้ถนน รถกระบะวิ่งเมามาแฉลบออกพุ่งเข้าชน ขาท่อนล่างถูกบดและ ต้องตัดขา เช้านี้ยังเห็นนั่งรถเข็นมาตลาด ชีวิตนี้ไม่แน่นอน สักวินาทีหนึ่งก็เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล แต่บางทีก็ไม่ใช่จุดจบ แต่กลายเป้นจุดเริ่มต้นของชีวิต ใส่ขาเทียมไปวิ่งมาราธอนรณรงค์ให้คนดื่มแล้วไม่ขับ ใส่ขาเทียมไปปีนเขาเอฟเวอเรสหาทุนมาช่วยคนขาขาดจากสงคราม บางคนเขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องร่างกายผิดปกติ เพราะเขาไมได้ใช้พลังกายเป็นเข็มทิศในชีวิต แต่เขาใช้พลังใจในการขับเคลื่อนชีวิต ขีดจำกัดของเขานั้นอยู่ที่ใจ ไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ การลงทุนในแนว Reflexivity ก็เหมือนกันครับ มันเป้นเกมของจิตใจมากกว่าร่างกาย แล้วเราจะละเลยคำสอนของพุทธเจ้าได้อย่างไร
ทุกอย่างล้วนเป็นครู
คิดเรื่องตายก่อนเพื่อนนักลงทุนเอ๋ย
เหมือนท่านบัฟเฟตสอนคิดเรื่องขาดทุนก่อนอื่นใด
ความหมายของ Reflexivity นั้นแล้วไซร้ แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน
โลกนี้เป็นอนิจจัง เหมือน ฟิสิกควอนตัม
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู๋กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่หวัง แล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ท่านโสเกรติสพูดไว้ก่อนตายเป็นปริศนา
ช่วงเป็นหนุ่ม ข้ารู้ทุกอย่าง ช่วงวัยกลางคน รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง
ช่วงปลายชีวิต ข้าไม่รู้อะไรเลย
หรือว่า ท่านจักเข้าใจความไม่แน่นอนในสรรพสิ่ง
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
ท่านลีโอนาโดนั่นไง สอนให้คิด the end ก่อนที่จะ start ก่อนท่านชีวาวาย
ท่านมังเกอร์ยังไม่ตาย แต่สอนให้ปลูกฝังเรื่อง Invert
ปัญหาทุกอย่างคิดจากท้ายมาหน้า เวลาผิดพลาดจะไม่เตลิด
ท่านพุทธทาสสอนให้ละตัวข้า ไม่มีตัวกรูของกรู
โซรอสสอนให้คิดว่ากรูผิดเสมอ จงถ่อมตัวอยู่เสมอ
เริ่มจากจุดที่เสียเปรียบดีกว่าเพื่อนเกลอ
แล้ว expected value จะยิ่งใหญ่มากกว่าเมื่อมีชัย
เหมือน Margin of safety เรื่องเดียวกัน ไม่ผิดแน่
บัฟเฟตสอนไว้ เอาไปปรับใช้เรื่องการทำดี ทำชั่ว ควรค่าจดจำ
สักวัน คงถึงคราวเราตายเหมือนท่านอื่น
เวลาเราตายไป เราจะมี margin of safety ไปคุยกับท่านยมบาล
ความดีเท่าตะเกียบ ความชั่วเท่ากระบุง
แต่ความดีหนักกว่า เพราะเป็นความดีที่ละตัวกรู
ทุกอย่างล้วนเป็นครู คิดถึงเวลาตายก่อนที่จะตาย
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 4
ขอขอบคุณท่านจากใจ
ด้วยความเคารพ
ด้วยความเคารพ
ลงทุนเพื่อชีวิต
- murder_doll
- Verified User
- โพสต์: 1644
- ผู้ติดตาม: 1
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 5
ถ้าเช่นนั้นreflexivity กับหลักการเรื่องนายตลาดของValue invertor นี่ก็สามารถอธิบายกันได้ใช่ไหมครับ การที่ตลาดให้ราคากับหุ้นตัวนึงสูงหรือต่ำกว่าราคาที่แท้จริงของหุ้นนั้น เกิดจากการที่คนในตลาดreflexivity กันไปมาจนเหมือนคนที่1และ2(จากPostด้านบน) ที่โต้ตอบเรื่องความหมายของreflexivity จนเรื่องมันเวิ้นเว้อ ยากจะจำกัดความจริงได้ ช่องว่างที่ว่านี้เกิดขึ้นจากการreflexivity ???humdrum เขียน:reflexivity คือ ช่องว่างระหว่าง สิ่งที่เราคิดว่าควรเป็น กับ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง และช่องว่างนี้คือ ความทุกข์ อยู่ที่ว่าเราจะตัดสินใจอย่างไรเมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น จะตัดสินใจด้วยเหตุผลหรืออารมณ์ ต่อไปอย่างหน้าตาเฉย งานสัมมนาก็จบครับ
ส่วนทางออกจากการเกิดreflexivity คือการตัดความคาดหวังออก ยอมรับเรื่องความไม่แน่นอนของทุกเรื่องในโลก มองด้วยสติไม่ใช่อารมณ์ เมื่อมีอารมณ์หรืออคติจากอะไรก็ตามสะท้อนกลับมาที่เรา ก็พิจารณาพยายามตัดอคติของตัวเองออกก่อนจึงตัดสินใจ ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกไหมหว่า???
ถ้าผมเข้าใจถูกมันก็ดูคล้ายๆหลักการของ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า+ความเข้าทางพุทธศาสนาเรื่องความไม่มีตัวตน หรือเปล่าครับ แล้วถ้าผมเข้าใจถูก อยากจะขอความกรุณาคุณhumdrum อธิบายวิธีการตัดอคติในการมองตลาดหุ้นอันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อและขายเพื่อเป็นความรู้ด้วยครับ แต่ถ้าผมเข้าใจผิดทั้งหมด ก็ขอคุณhumdrum ช่วยชี้แจ
ด้วยครับ
รบกวนครั้งที่สอง
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ข้าวปลาคือของจริง
- ดาวหางสีแดง
- Verified User
- โพสต์: 635
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 7
ยอดเยี่ยมมากครับคุณโหน่ง ขอคารวะ
-
- Verified User
- โพสต์: 68
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณครับเดี๋ยวกลับมาอ่าน ตอนนี้ง่วงมาก
If a business does well, the stock eventually follows.
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 10
ตอบครั้งที่สอง
บทความนี้เก่าแล้วนะครับ
ขอโทษด้วยนะครับ
ผมพยายาทแทรกรายละเอียดเพิ่มเติมเข้าไปเท่าที่คิดออกนะครับ
...........................................
Psychology of human misjudgement
สวัสดีครับ บทความนี้ ไม่ใช่จะใช้ประมวลข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ในตลาดที่เกิดขึ้นประจำวัน หรือใช้อ้างอิงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในการเทรดหุ้น แต่เป้นประสบการเฉพาะตนช่วงหนึ่ง ในฐานะคนอ่านจากเรื่องใด ย่อมต้องการความมีเหตุและผลที่ปราศจากอคติอย่างชิ้นเชิงหรือในระดับหนึ่งที่ยอมรับได้
ผู้เขียนพยายามนำเสนอบทความอย่างเป้นระบบ แต่มันยากลำบากมาก เหนืออคติอย่างนั้นหรือ แต่คนอ่านที่ตั้งข้อสังเกตในขณะนี้ ล้วนเป็นเทรดเดอร์ในตลาดเช่นกัน ท่านจะวางตัวอยู่เหนืออคติเท่าที่จำเป้นได้หรือไม่ สำหรับคนนอกตลาด การวางตัวอยู่เหนืออคติเป้นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า เพราะห่างไกลจากประสบการจริงๆ ในตลาด มีแต่คนที่อยู๋ในตลาดเท่านั้นที่ทราบได้ ผู้เขียนตั้งตนเขียนด้วยสมมุติฐานว่าตัวเองตัดสินใจเขียนด้วยความผิดในครั้งนี้ ผู้เขียนย่อมมีอคติถึงจะมาเขียน ระหว่างทีเขียนก็มีอคติที่ใช้ในการเขียน ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านที่ไม่สามารถเขียนโดยปราศจากอคติได้ทั้งหมด
การอ่านแบบเดิม เป็นการอ่านจากเนือเรื่อง แต่การอ่านบทความนี้ ท่านอาจต้องตั้งคำถามกับตัวเองมากกว่าตั้งคำถามกับผู้เขียน แน่นอนว่า ผู้อ่านย่อมมีความสนใจในคุณค่าของตนเอง แต่การสนใจตัวเอง มองตัวเองเป็นศูนย์กลางระหว่างการอ่าน เป็นการถูกต้องหรือไม่ หรือว่า การตีความหมายสิ่งที่คนอ่านรับรู้ถูกกำนหนดโดยอคติจากตัวผู้อ่านเองที่เป็นฉากบังตาซ่อนอยู่ในช่องว่างของ reflexivity ขัดแย้งภายในซ่อนอยู่มาตั้งแต่วัยเด็กแล้ว
แทรก ; อาชีพการลงทุนของเราจะเป็นอย่างไรจะออกหัวออกก้อย อย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ การได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างไม่มีอคติจากสังคมแวดล้อมที่เราโตขึ้นมา หรือ พุดให้ตรงหน่อย ถ้าเราขาดความอบอุ่นในวัยเด็ก เรามีแนวโน้มที่จะจัดการกับความเครียดระหว่างการลงทุนได้ยากกว่าคนอื่นที่โตมาด้วยความรักจากพ่อแม่
ลองตอบคำถามต่อไปนี้ดูนะครับ
Psychology Test for Hedge Fund Manager
ชื่อเราความหมายว่าอะไร พ่อ แม่ พี น้อง ด้วยครับ
ชื่อเล่นของเรามีความหมายว่าอะไร พี่ น้อง ด้วยครับ
เราเกิดที่ไหน เวลาเท่าไหร่
พ่อเราจบที่ไหน อาชีพอะไร แม่ละครับ
พ่อเราเกิดที่ไหน เวลาเท่าใด แม่ละครับ
ปู่ ย่า ตา ยาย ชื่ออะไร
บุคคลิกพ่อเราเป้นอย่างไร แม่ละครับ
พี่ น้อง พ่อเรา ชื่ออะไร แม่ละครับ
พ่อ แม่ สอนอะไรเรา ตอนเราเป็นเด็ก
พ่อ แม่เรา ทะเลาะกันบ่อยแค่ไหน
พ่อ แม่ เราตีเราเวลาเราทำผิดหรือไม่ เราคิดอย่างไรกับพ่อ มันดีกับเราไหม
พี่ น้อง เรา เป็นอย่างไร ชื่อ วันเกิด ปีที่จบมาหลัย อาชีพ เบอร์โทร นิสัย งานอดิเรก
เลือดกรุปอะไร สีที่ชอบ
ความสัมพันะระหว่างพ่อ แม่ พี่ น้อง เป็นอย่างไร
พ่อ แม่ แต่งงานกันตอนอายุเท่าใด ที่ไหน
ความสุขที่สุด ความทุกข์ที่สุดในวัยเด็กคืออะไร
กลัวอะไรมากที่สุดในชีวิต
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต แก้ไขอย่างไร
อะไรทำให้เราโกรธมากที่สุด เพราะอะไร
จุดแข็ง จุดอ่อนของเรา คืออะไร
ถ้าเปลี่ยนแปลงอดีตได้ จะเปลี่ยนแปลงอะไร
ความฝันในชีวิต คืออะไร
เคยทำผิดกฏของโรงเรียนไหม อะไร เพราะอะไร
เคยมีแฟนไหม ทำไมเลิกกัน ถ้ายังไม่เลิกกัน เพราะอะไรถึงคบกันอยู่
แฟนมีนิสัยอย่างไร ถ้าถามแฟนว่าเรามีนิสัยอย่างไร แฟนจะตอบอย่างไร
เราดูดบุหรี่ กินเหล้าหรือไม่ ถ้ามันไม่ดีแล้ว ยังทำอยู่ทำไม เพราะอะไร
อะไรทำให้เราหัวเราะ
อะไรทำให้ตื่นเต้น
ปัญหาที่ลิเบียเกิดขึ้นเพราะอะไร จะแก้ไขอย่างไร
ผมยกตัวอย่างมาแค่นี้ ที่ Hedge Fund manager ต้องถูกทดสอบจากนักจิตวิทยา เขาถามเป็นร้อยข้อ กินเวลาหลายชั่วโมง ถามกลับไปกลับมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก บางทีก็พยายามยั่วให้เราโมโห จุดไหนที่เราแสดงอาการลังเล หรือ ว่าอารมร์ออกมาในคำถามนั้น เขาจะรุกมากเป็นพิเศษ เราต้องเตรียมตัวไปอย่างดี ก่อนที่ test
จำไว้ข้อหนึ่งนะครับ สิ่งต่าง ๆ ในโลก ไม่ว่าอะไรก็ตาม จะส่งผลต่อเราไม่มากนัก ถ้าเราได้คาดการณ์ไว้แล้ว การหาเวลากับตัวเองสำหรับเทรดเดอร์ระดับโลกจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะอยู่กับสมาธิ อยู่กับตัวเอง และฟอกจิตใจของเราให้สดชื่น ปราศจากอคติเวลาที่ต้องลงทุนจริง
อย่างที่อาจารย์โซรอสบอกละครับ Invest first , investigate later
บทความนี้เก่าแล้วนะครับ
ขอโทษด้วยนะครับ
ผมพยายาทแทรกรายละเอียดเพิ่มเติมเข้าไปเท่าที่คิดออกนะครับ
...........................................
Psychology of human misjudgement
สวัสดีครับ บทความนี้ ไม่ใช่จะใช้ประมวลข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ในตลาดที่เกิดขึ้นประจำวัน หรือใช้อ้างอิงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในการเทรดหุ้น แต่เป้นประสบการเฉพาะตนช่วงหนึ่ง ในฐานะคนอ่านจากเรื่องใด ย่อมต้องการความมีเหตุและผลที่ปราศจากอคติอย่างชิ้นเชิงหรือในระดับหนึ่งที่ยอมรับได้
ผู้เขียนพยายามนำเสนอบทความอย่างเป้นระบบ แต่มันยากลำบากมาก เหนืออคติอย่างนั้นหรือ แต่คนอ่านที่ตั้งข้อสังเกตในขณะนี้ ล้วนเป็นเทรดเดอร์ในตลาดเช่นกัน ท่านจะวางตัวอยู่เหนืออคติเท่าที่จำเป้นได้หรือไม่ สำหรับคนนอกตลาด การวางตัวอยู่เหนืออคติเป้นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า เพราะห่างไกลจากประสบการจริงๆ ในตลาด มีแต่คนที่อยู๋ในตลาดเท่านั้นที่ทราบได้ ผู้เขียนตั้งตนเขียนด้วยสมมุติฐานว่าตัวเองตัดสินใจเขียนด้วยความผิดในครั้งนี้ ผู้เขียนย่อมมีอคติถึงจะมาเขียน ระหว่างทีเขียนก็มีอคติที่ใช้ในการเขียน ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านที่ไม่สามารถเขียนโดยปราศจากอคติได้ทั้งหมด
การอ่านแบบเดิม เป็นการอ่านจากเนือเรื่อง แต่การอ่านบทความนี้ ท่านอาจต้องตั้งคำถามกับตัวเองมากกว่าตั้งคำถามกับผู้เขียน แน่นอนว่า ผู้อ่านย่อมมีความสนใจในคุณค่าของตนเอง แต่การสนใจตัวเอง มองตัวเองเป็นศูนย์กลางระหว่างการอ่าน เป็นการถูกต้องหรือไม่ หรือว่า การตีความหมายสิ่งที่คนอ่านรับรู้ถูกกำนหนดโดยอคติจากตัวผู้อ่านเองที่เป็นฉากบังตาซ่อนอยู่ในช่องว่างของ reflexivity ขัดแย้งภายในซ่อนอยู่มาตั้งแต่วัยเด็กแล้ว
แทรก ; อาชีพการลงทุนของเราจะเป็นอย่างไรจะออกหัวออกก้อย อย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ การได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างไม่มีอคติจากสังคมแวดล้อมที่เราโตขึ้นมา หรือ พุดให้ตรงหน่อย ถ้าเราขาดความอบอุ่นในวัยเด็ก เรามีแนวโน้มที่จะจัดการกับความเครียดระหว่างการลงทุนได้ยากกว่าคนอื่นที่โตมาด้วยความรักจากพ่อแม่
ลองตอบคำถามต่อไปนี้ดูนะครับ
Psychology Test for Hedge Fund Manager
ชื่อเราความหมายว่าอะไร พ่อ แม่ พี น้อง ด้วยครับ
ชื่อเล่นของเรามีความหมายว่าอะไร พี่ น้อง ด้วยครับ
เราเกิดที่ไหน เวลาเท่าไหร่
พ่อเราจบที่ไหน อาชีพอะไร แม่ละครับ
พ่อเราเกิดที่ไหน เวลาเท่าใด แม่ละครับ
ปู่ ย่า ตา ยาย ชื่ออะไร
บุคคลิกพ่อเราเป้นอย่างไร แม่ละครับ
พี่ น้อง พ่อเรา ชื่ออะไร แม่ละครับ
พ่อ แม่ สอนอะไรเรา ตอนเราเป็นเด็ก
พ่อ แม่เรา ทะเลาะกันบ่อยแค่ไหน
พ่อ แม่ เราตีเราเวลาเราทำผิดหรือไม่ เราคิดอย่างไรกับพ่อ มันดีกับเราไหม
พี่ น้อง เรา เป็นอย่างไร ชื่อ วันเกิด ปีที่จบมาหลัย อาชีพ เบอร์โทร นิสัย งานอดิเรก
เลือดกรุปอะไร สีที่ชอบ
ความสัมพันะระหว่างพ่อ แม่ พี่ น้อง เป็นอย่างไร
พ่อ แม่ แต่งงานกันตอนอายุเท่าใด ที่ไหน
ความสุขที่สุด ความทุกข์ที่สุดในวัยเด็กคืออะไร
กลัวอะไรมากที่สุดในชีวิต
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต แก้ไขอย่างไร
อะไรทำให้เราโกรธมากที่สุด เพราะอะไร
จุดแข็ง จุดอ่อนของเรา คืออะไร
ถ้าเปลี่ยนแปลงอดีตได้ จะเปลี่ยนแปลงอะไร
ความฝันในชีวิต คืออะไร
เคยทำผิดกฏของโรงเรียนไหม อะไร เพราะอะไร
เคยมีแฟนไหม ทำไมเลิกกัน ถ้ายังไม่เลิกกัน เพราะอะไรถึงคบกันอยู่
แฟนมีนิสัยอย่างไร ถ้าถามแฟนว่าเรามีนิสัยอย่างไร แฟนจะตอบอย่างไร
เราดูดบุหรี่ กินเหล้าหรือไม่ ถ้ามันไม่ดีแล้ว ยังทำอยู่ทำไม เพราะอะไร
อะไรทำให้เราหัวเราะ
อะไรทำให้ตื่นเต้น
ปัญหาที่ลิเบียเกิดขึ้นเพราะอะไร จะแก้ไขอย่างไร
ผมยกตัวอย่างมาแค่นี้ ที่ Hedge Fund manager ต้องถูกทดสอบจากนักจิตวิทยา เขาถามเป็นร้อยข้อ กินเวลาหลายชั่วโมง ถามกลับไปกลับมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก บางทีก็พยายามยั่วให้เราโมโห จุดไหนที่เราแสดงอาการลังเล หรือ ว่าอารมร์ออกมาในคำถามนั้น เขาจะรุกมากเป็นพิเศษ เราต้องเตรียมตัวไปอย่างดี ก่อนที่ test
จำไว้ข้อหนึ่งนะครับ สิ่งต่าง ๆ ในโลก ไม่ว่าอะไรก็ตาม จะส่งผลต่อเราไม่มากนัก ถ้าเราได้คาดการณ์ไว้แล้ว การหาเวลากับตัวเองสำหรับเทรดเดอร์ระดับโลกจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะอยู่กับสมาธิ อยู่กับตัวเอง และฟอกจิตใจของเราให้สดชื่น ปราศจากอคติเวลาที่ต้องลงทุนจริง
อย่างที่อาจารย์โซรอสบอกละครับ Invest first , investigate later
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 11
ตอบสองต่อนะครับ
ผมต้องรีบไปซื้อของแล้ว
ช่วงนี่ออกงานเยอะครับ นอนน้อยมากจริง ๆ ครับ
ขอบคุณสำหรับคำติชมจากทุกท่านนะครับ
นักลงทุนเน้นคุณค่าอย่างเรานั้นไม่ใช่ยอดมนุษย์
เราเป็นเพียงแค่บุคคลที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักเท่านั้นเอง
แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราก็คือคนเหมือนกันครับ
.............................
ผู้เขียนจำได้ว่าอาจารย์ชาลี มังเกอร์กล่าวว่าการค้นพบอคติตนเองเป็นสิ่งที่ท่านต่อต้านมาตลอด จนกระทั่งท่านถามตนเองว่าทำไมท่านถึงตัดสนใจในหลายๆ เรื่องจนเกิดความผิดพลาด ท่านนั่งค้นศึกษาอคติตัวเองเขียนออกมาชื่อ psychology of human misjudgement จนท่านสามารถทำนายพฤติกรรมตนเองได้ ท่านกล่าวว่าภายในตนเองมีศักยภาพ 2 อย่างในตนเอง ทว่าอย่างไหนจะปรากฎออกมาขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา ว่าเขาตัดสินใจด้วยตนเอง หรือว่า ตัดสินใจด้วยอคติที่กำหนดชีวิตของเขามานาน
แทรก : แนะนำดูเรื่อง Revolver ตอนพระเอกเอาชนะ อคติ ตัวเอง
Reflexivity เป้นวงจรอุบาทย์ ระหว่างที่อ่านบทความในขณะนี้
ท่านก็มี reflexivity เกิดในใจตลอดเวลา คติประโยคนี้แฝงไว้ด้วยความจริงสำหรับการเทรด ไม่ว่ารุปแบบใด ผู้อ่านจะได้ประจักษ์ว่าการเทรดในตลาดล้วน เป็นความตรึงเครียดระหว่างสิ่งที่คนอ่านทำได้สำเร็จกับสิ่งที่คนอ่านควรจะทำให้สำเร็จ สำหรับผู้เขียนเอง reflexivity เป็นช่องว่างระหว่างสิ่งที่คนคนนหนึ่งเป็นอยู่กับสิ่งที่เขาคิดว่าเขาควรจะเป็น และดูเหมือนสภาพจิตใจของเทรดเดอร์จะแกว่งไกวไปมาตลอดเวลาระหว่างความสุดโต่ง /2 ขั้วนี้
ไม่เร็ว ไม่ช้า ผ้เขียนสังเกตเพื่อนร่วมห้องคนจีนท่านหนึ่ง มีอาการปั่นจิ้งหรีด แทรก : อาการชักเว้าละครับ หรือ อาการโพสลงในเวบบอร์ดต่างๆ อาการต้องออกจากบ้านไปเดินที่ห้างในวันอาทิตย์ แทรก : หรือ อาการอยู่เฉยไมได้ในวันอาทิตย์ ต้องหาอะไรทำในที่คนเยอะๆ
เมื่อสิ่งที่ยากได้ หรือ คิดว่าควรจะเป็น ไมได้อย่างใจหวัง ความวุ่นวายในใจและความว่างเปล่าในตัวเองจะแสดงออกมาอย่างเด่นชัด ยังมีอคติทำหน้าที่เป็นฉากบังตาซ่อนอยู่ในความว่างเปล่าของ reflexivity เมื่อเจตนาของคนติดขัดข้องเมื่อใด สิ่งนั้นจะถูกชดเชยด้วยการแสวงหาการยอมรับจากสังคมใน เนต หรือ รวมไปถึงการมุ่งแสวงหาเงินในตลาดเพื่อทดแทน ความพึงพอใจที่ติดขัดข้องใจ บางทีมักจบลงด้วยความต้องการทางเพศออกไปเที่ยวตามแหล่งจูเหมิน แทรก : ไปตีหม้อหญิงครับ
เพื่อนร่วมห้องของผมไม่ใช่คนป่วย แต่เขาเป็นโรค reflexivity symtoms
การเติมช่องว่าง reflexivity ไม่มีวันเต็ม มีแต่ทำลายช่องว่างนี้ในช่วงขณะหนึ่งเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในที่สุดคนเป้นผู้ลิขิตชีวิตตนเองได้หรือไม่ หรือว่าดวงดาวที่ห่างไหลจากโลกเป็นล้านปีแสงไกลโพ้นจะมากำหนดชีวิตเราได้อย่างไร ทำไมดวงดาวเหล่านั้นจึงให้ความสำคัญกับเรานัก หรือว่าพวกมันหมุนรอบตัวเรา หรือว่าเรามีอคติให้พวกดวงดาวไว้หมุนรอบ ถ้าไม่มีอคติแล้วพวกมันจะหมุนรอบอะไร แทรก : คนที่ชอบดูดวงนั้น เห้นจะเป็นนักลงทุนที่ดีได้ลำบากกว่าคนอื่น
ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับการตะหนักถึงความไม่เที่ยง ตรงนั้นต่างหากที่สำคัญ
วิธีกำจัดอาการข้างงนี้เคียงที่เกิดจาก reflexivity เป็นแก่นสาระสำคัญที่ผู้เขียนต้องรับผิดชอบ
ผู้เขียนขอตอบคำถาม แต่ละวัน แต่ละชั่วโมง การตั้งปุจฉากับตนเองว่า อคติเป็นต้นเหตุการตัดสินใจที่ผิดพลาดและเป็นต้นเหตุของภาพอีกด้านหนึ่งของช่อว่าง reflexivity ใช่หรือไม่
ถ้าสมมุติมันใช่ เราจะแก้มันอย่างไร
วิธีแก้ของผู้เขียน invert always invert
ทุกวันเหมือนได้ผ่านมาแล้ว ทุกวันเหมือนได้ทำผิดมาหมดเลย ปัจจุบันคืออดีตไปแล้ว เราจะใช้ชีวิตเหมือนเมื่อวานที่เราได้ผิดมาแล้ว คราวนี้เราจะแก้ไขอดีตของเราได้ เราจะกำหนดเองว่าเราจะเลือกทำผิดเหมือนเดิมหรือไม่ อดีตแก้ไขได้ แทรก : เทคนิดนี้ ทำให้เราระวังครอบมาก จนบางครั้งทำให้เราไม้กล้าตัดสินใจได้เหมือนกัน
ยิ่งไม่คิดถึงตัวเอง ยิ่งตัดอคติออกไปหมด
แทรก : ดูปรมาจารย์เคนโด้ ตัดอคติท่านออกหมด
http://www.youtube.com/watch?v=_XHSZ-sL ... re=related
เวลาตลกแสดงบนเวที เขายังต้องจ้องตา ฟังเสียงหัวเราะจากคนดู
เขาเข้าไปอยู่ในหัวของคนดู
เหมือนที่นักลงทุนเน้นคุณค่าพยายามเข้าใจธุรกิจ
สิ่งที่โซรอสพยายามทำ คือ เข้าไปอยู่ข้างในความรู้สึกของตลาด
ไม่ใช่แยกตัวออกมามองจากข้างนอก
เขาปรับใช้หลักการความเข้าใจในฟิสิกควอนตัมกับการลงทุน
แทรก : พระพุทธศาสนาไม่เคยทะเลาะกับวิทยาศาสตร์
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=5787.0
ผมต้องรีบไปซื้อของแล้ว
ช่วงนี่ออกงานเยอะครับ นอนน้อยมากจริง ๆ ครับ
ขอบคุณสำหรับคำติชมจากทุกท่านนะครับ
นักลงทุนเน้นคุณค่าอย่างเรานั้นไม่ใช่ยอดมนุษย์
เราเป็นเพียงแค่บุคคลที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักเท่านั้นเอง
แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราก็คือคนเหมือนกันครับ
.............................
ผู้เขียนจำได้ว่าอาจารย์ชาลี มังเกอร์กล่าวว่าการค้นพบอคติตนเองเป็นสิ่งที่ท่านต่อต้านมาตลอด จนกระทั่งท่านถามตนเองว่าทำไมท่านถึงตัดสนใจในหลายๆ เรื่องจนเกิดความผิดพลาด ท่านนั่งค้นศึกษาอคติตัวเองเขียนออกมาชื่อ psychology of human misjudgement จนท่านสามารถทำนายพฤติกรรมตนเองได้ ท่านกล่าวว่าภายในตนเองมีศักยภาพ 2 อย่างในตนเอง ทว่าอย่างไหนจะปรากฎออกมาขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา ว่าเขาตัดสินใจด้วยตนเอง หรือว่า ตัดสินใจด้วยอคติที่กำหนดชีวิตของเขามานาน
แทรก : แนะนำดูเรื่อง Revolver ตอนพระเอกเอาชนะ อคติ ตัวเอง
Reflexivity เป้นวงจรอุบาทย์ ระหว่างที่อ่านบทความในขณะนี้
ท่านก็มี reflexivity เกิดในใจตลอดเวลา คติประโยคนี้แฝงไว้ด้วยความจริงสำหรับการเทรด ไม่ว่ารุปแบบใด ผู้อ่านจะได้ประจักษ์ว่าการเทรดในตลาดล้วน เป็นความตรึงเครียดระหว่างสิ่งที่คนอ่านทำได้สำเร็จกับสิ่งที่คนอ่านควรจะทำให้สำเร็จ สำหรับผู้เขียนเอง reflexivity เป็นช่องว่างระหว่างสิ่งที่คนคนนหนึ่งเป็นอยู่กับสิ่งที่เขาคิดว่าเขาควรจะเป็น และดูเหมือนสภาพจิตใจของเทรดเดอร์จะแกว่งไกวไปมาตลอดเวลาระหว่างความสุดโต่ง /2 ขั้วนี้
ไม่เร็ว ไม่ช้า ผ้เขียนสังเกตเพื่อนร่วมห้องคนจีนท่านหนึ่ง มีอาการปั่นจิ้งหรีด แทรก : อาการชักเว้าละครับ หรือ อาการโพสลงในเวบบอร์ดต่างๆ อาการต้องออกจากบ้านไปเดินที่ห้างในวันอาทิตย์ แทรก : หรือ อาการอยู่เฉยไมได้ในวันอาทิตย์ ต้องหาอะไรทำในที่คนเยอะๆ
เมื่อสิ่งที่ยากได้ หรือ คิดว่าควรจะเป็น ไมได้อย่างใจหวัง ความวุ่นวายในใจและความว่างเปล่าในตัวเองจะแสดงออกมาอย่างเด่นชัด ยังมีอคติทำหน้าที่เป็นฉากบังตาซ่อนอยู่ในความว่างเปล่าของ reflexivity เมื่อเจตนาของคนติดขัดข้องเมื่อใด สิ่งนั้นจะถูกชดเชยด้วยการแสวงหาการยอมรับจากสังคมใน เนต หรือ รวมไปถึงการมุ่งแสวงหาเงินในตลาดเพื่อทดแทน ความพึงพอใจที่ติดขัดข้องใจ บางทีมักจบลงด้วยความต้องการทางเพศออกไปเที่ยวตามแหล่งจูเหมิน แทรก : ไปตีหม้อหญิงครับ
เพื่อนร่วมห้องของผมไม่ใช่คนป่วย แต่เขาเป็นโรค reflexivity symtoms
การเติมช่องว่าง reflexivity ไม่มีวันเต็ม มีแต่ทำลายช่องว่างนี้ในช่วงขณะหนึ่งเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในที่สุดคนเป้นผู้ลิขิตชีวิตตนเองได้หรือไม่ หรือว่าดวงดาวที่ห่างไหลจากโลกเป็นล้านปีแสงไกลโพ้นจะมากำหนดชีวิตเราได้อย่างไร ทำไมดวงดาวเหล่านั้นจึงให้ความสำคัญกับเรานัก หรือว่าพวกมันหมุนรอบตัวเรา หรือว่าเรามีอคติให้พวกดวงดาวไว้หมุนรอบ ถ้าไม่มีอคติแล้วพวกมันจะหมุนรอบอะไร แทรก : คนที่ชอบดูดวงนั้น เห้นจะเป็นนักลงทุนที่ดีได้ลำบากกว่าคนอื่น
ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับการตะหนักถึงความไม่เที่ยง ตรงนั้นต่างหากที่สำคัญ
วิธีกำจัดอาการข้างงนี้เคียงที่เกิดจาก reflexivity เป็นแก่นสาระสำคัญที่ผู้เขียนต้องรับผิดชอบ
ผู้เขียนขอตอบคำถาม แต่ละวัน แต่ละชั่วโมง การตั้งปุจฉากับตนเองว่า อคติเป็นต้นเหตุการตัดสินใจที่ผิดพลาดและเป็นต้นเหตุของภาพอีกด้านหนึ่งของช่อว่าง reflexivity ใช่หรือไม่
ถ้าสมมุติมันใช่ เราจะแก้มันอย่างไร
วิธีแก้ของผู้เขียน invert always invert
ทุกวันเหมือนได้ผ่านมาแล้ว ทุกวันเหมือนได้ทำผิดมาหมดเลย ปัจจุบันคืออดีตไปแล้ว เราจะใช้ชีวิตเหมือนเมื่อวานที่เราได้ผิดมาแล้ว คราวนี้เราจะแก้ไขอดีตของเราได้ เราจะกำหนดเองว่าเราจะเลือกทำผิดเหมือนเดิมหรือไม่ อดีตแก้ไขได้ แทรก : เทคนิดนี้ ทำให้เราระวังครอบมาก จนบางครั้งทำให้เราไม้กล้าตัดสินใจได้เหมือนกัน
ยิ่งไม่คิดถึงตัวเอง ยิ่งตัดอคติออกไปหมด
แทรก : ดูปรมาจารย์เคนโด้ ตัดอคติท่านออกหมด
http://www.youtube.com/watch?v=_XHSZ-sL ... re=related
เวลาตลกแสดงบนเวที เขายังต้องจ้องตา ฟังเสียงหัวเราะจากคนดู
เขาเข้าไปอยู่ในหัวของคนดู
เหมือนที่นักลงทุนเน้นคุณค่าพยายามเข้าใจธุรกิจ
สิ่งที่โซรอสพยายามทำ คือ เข้าไปอยู่ข้างในความรู้สึกของตลาด
ไม่ใช่แยกตัวออกมามองจากข้างนอก
เขาปรับใช้หลักการความเข้าใจในฟิสิกควอนตัมกับการลงทุน
แทรก : พระพุทธศาสนาไม่เคยทะเลาะกับวิทยาศาสตร์
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=5787.0
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 12
ตอบสองตอนจบครับ
โชคดีทุกท่านครับ
ผมต้องไปแล้วครับ
ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง
ช่วยกันพัฒนา THAIVI ให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปให้ลูกหลานของเรา
...................
สิง่ที่เป้นธรรมชาติของคนคือความเครียด สุขภาพจิตจะดีขึ้นอยู่กับความเครียดในระดับหนึง ซึ่งมันเกิดขึ้นได้เพราะเราเปรียบเทียบจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่เราคิดว่าควรจะเกิด มันมีช่องว่างเกิดขึ้นระหว่างสองขั้วนี้ หรือเป้นช่องว่างที่คนคนนั้นเป้นอยู๋กับสิ่งที่คนคนนั้นควรจะเป้น
แทรก : ฮัน เซล นักจิตวิทยาบอกว่า “เรายิ่งปราถนาการยอมรับ เรายิ่งกลัวการติเตียนมากเท่านั้น”……
ก่อนที่ผมจะรู้ว่าจากจำนวน 100 ครั้งที่ผมทำผิดนั้น 99 ครั้งผมจะไม่โทษตัวเองเลยไม่ว่าเรื่องนั้นจะผิดอย่างไร เป็นเวลาหลายปีที่ผมเริ่มขบวนการ invert ตัวเองและจดบันทึกต่างๆ ที่เกี่ยวสิ่งที่ทำในแต่วันมานั่งดูช่วงเย็นแล้วหาขั้นตอนในการตรวจสอบตนเอง ทบทวนสิ่งต่างๆ และประเมินตัวเองอย่าไม่เกรงใจ และถามตัวเองว่า “ผมได้ทำผิดพลาดอะไรไปบ้าง” แต่ผมก็ยังพลาดอีกจนได้ อคติมีมากมายให้เราค้นหาและได้เรียนรู้จากประสบการณ์นั้นๆ การทบทวน “อคติ” ในแต่วันทำให้ผมมีความรูสึกที่แย่มาก แต่บ่อยครั้ง อคติ เหล่านั้นทำให้ผมประหลาดใจอย่างมากว่าเรามี อคติ ตัวนี้ ฝังในตัวเราอยู่ด้วยหรือนี่? แน่นอนว่าผ่านไปหลายปี ความผิดลพาดย่อมน้อยลง บางครั้งผมโน้มเอียงเพื่อปลอบใจตัวเองภายหลังมีการตรวจสอบ “อคติ” ของตัวเอง การวิเคราะห์ตัวเองอย่างปีแล้วปีเหล่าเป็นวิธีการลงทุนที่ได้ผลกว่าวิธี อื่นๆ ที่ผมเคยพยายามใช้มาก่อนทั้งหมด
ผมได้จดลงหัวข้อต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้
1. เราต้องมีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจับผิดตัวเอง
2. ขณะทำทุกอย่างให้ถามตัวเองเรื่อยๆ ว่า เราทำสิ่งนั้นอยู่ด้วย อคติ หรือไม่
3. จดและขีดเส้นใต้ อคติ ที่สำคัญเอาไว้
4. อ่านทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเองในแต่ละวัน
5. พัฒนาเทคนิคและนำวิธี invert อคติไปใช้ทุกครั้งเมือมีโอกาส ใช้เนือหา “อคติ” ของท่านสามสลึงทีผมจดมาในกระทู้นี้เพื่อช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดในชีวิตประจำวัน ของเรา
6. ทำให้การนั่งจับ อคติ เป้นเรื่องที่สนุก โดยการเสนอเงินให้ตัวเองอาจเป็น 100 บาท หรือ ตามที่กำหนด ทุกครั้งที่เราจับได้ว่า อคติ ของเราตัวไหนทำให้เราต้องละเมิดสติของเราและจับอคติตัวนั้นไม่ได้
7. ตรวจสอบทุกอาทิตย์ ถามตัวเองอะไรผิดพลาดไป อะไรที่ต้องปรับปรุง เรียนอะไรไปบ้าง
8. คอยเก็บบันทึกไว้ติดตัว เพื่อให้เห้นว่าเราจะนำวิธี invert อคติเหล่านั้นที่เราคิดได้ ไปใช้เมื่อไหร่และอย่างไรได้บ้าง
ต้นเหตุของการผิดพลาดที่เรียกว่า “อคติ” …….
1.เจ้าระเบียบ
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/19.html
2. ว่าง่าย
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/18.html
3. หลงตามความคิด
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/24.html
4. บทเรียน
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/21.html
5. เปลี่ยนใจ
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/17.html
6. ลืมตัว
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/01.html
7. ตายไม่ว่า
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/02.html
8. คนใจร้อน
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/03.html
9. มองแยกส่วน
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/04.html
โชคดีทุกท่านครับ
ผมต้องไปแล้วครับ
ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง
ช่วยกันพัฒนา THAIVI ให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปให้ลูกหลานของเรา
...................
สิง่ที่เป้นธรรมชาติของคนคือความเครียด สุขภาพจิตจะดีขึ้นอยู่กับความเครียดในระดับหนึง ซึ่งมันเกิดขึ้นได้เพราะเราเปรียบเทียบจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่เราคิดว่าควรจะเกิด มันมีช่องว่างเกิดขึ้นระหว่างสองขั้วนี้ หรือเป้นช่องว่างที่คนคนนั้นเป้นอยู๋กับสิ่งที่คนคนนั้นควรจะเป้น
แทรก : ฮัน เซล นักจิตวิทยาบอกว่า “เรายิ่งปราถนาการยอมรับ เรายิ่งกลัวการติเตียนมากเท่านั้น”……
ก่อนที่ผมจะรู้ว่าจากจำนวน 100 ครั้งที่ผมทำผิดนั้น 99 ครั้งผมจะไม่โทษตัวเองเลยไม่ว่าเรื่องนั้นจะผิดอย่างไร เป็นเวลาหลายปีที่ผมเริ่มขบวนการ invert ตัวเองและจดบันทึกต่างๆ ที่เกี่ยวสิ่งที่ทำในแต่วันมานั่งดูช่วงเย็นแล้วหาขั้นตอนในการตรวจสอบตนเอง ทบทวนสิ่งต่างๆ และประเมินตัวเองอย่าไม่เกรงใจ และถามตัวเองว่า “ผมได้ทำผิดพลาดอะไรไปบ้าง” แต่ผมก็ยังพลาดอีกจนได้ อคติมีมากมายให้เราค้นหาและได้เรียนรู้จากประสบการณ์นั้นๆ การทบทวน “อคติ” ในแต่วันทำให้ผมมีความรูสึกที่แย่มาก แต่บ่อยครั้ง อคติ เหล่านั้นทำให้ผมประหลาดใจอย่างมากว่าเรามี อคติ ตัวนี้ ฝังในตัวเราอยู่ด้วยหรือนี่? แน่นอนว่าผ่านไปหลายปี ความผิดลพาดย่อมน้อยลง บางครั้งผมโน้มเอียงเพื่อปลอบใจตัวเองภายหลังมีการตรวจสอบ “อคติ” ของตัวเอง การวิเคราะห์ตัวเองอย่างปีแล้วปีเหล่าเป็นวิธีการลงทุนที่ได้ผลกว่าวิธี อื่นๆ ที่ผมเคยพยายามใช้มาก่อนทั้งหมด
ผมได้จดลงหัวข้อต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้
1. เราต้องมีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจับผิดตัวเอง
2. ขณะทำทุกอย่างให้ถามตัวเองเรื่อยๆ ว่า เราทำสิ่งนั้นอยู่ด้วย อคติ หรือไม่
3. จดและขีดเส้นใต้ อคติ ที่สำคัญเอาไว้
4. อ่านทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเองในแต่ละวัน
5. พัฒนาเทคนิคและนำวิธี invert อคติไปใช้ทุกครั้งเมือมีโอกาส ใช้เนือหา “อคติ” ของท่านสามสลึงทีผมจดมาในกระทู้นี้เพื่อช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดในชีวิตประจำวัน ของเรา
6. ทำให้การนั่งจับ อคติ เป้นเรื่องที่สนุก โดยการเสนอเงินให้ตัวเองอาจเป็น 100 บาท หรือ ตามที่กำหนด ทุกครั้งที่เราจับได้ว่า อคติ ของเราตัวไหนทำให้เราต้องละเมิดสติของเราและจับอคติตัวนั้นไม่ได้
7. ตรวจสอบทุกอาทิตย์ ถามตัวเองอะไรผิดพลาดไป อะไรที่ต้องปรับปรุง เรียนอะไรไปบ้าง
8. คอยเก็บบันทึกไว้ติดตัว เพื่อให้เห้นว่าเราจะนำวิธี invert อคติเหล่านั้นที่เราคิดได้ ไปใช้เมื่อไหร่และอย่างไรได้บ้าง
ต้นเหตุของการผิดพลาดที่เรียกว่า “อคติ” …….
1.เจ้าระเบียบ
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/19.html
2. ว่าง่าย
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/18.html
3. หลงตามความคิด
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/24.html
4. บทเรียน
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/21.html
5. เปลี่ยนใจ
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/17.html
6. ลืมตัว
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/01.html
7. ตายไม่ว่า
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/02.html
8. คนใจร้อน
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/03.html
9. มองแยกส่วน
http://www.khonnaruk.com/html/verandah/ ... an/04.html
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 13
ในตลาดหุ้นมีความวิตกกังวลแบบที่เรียกว่าอาการที่ชอบคาดการณ์ไปล่วงหน้า อาการวิตกกังวลเหล่านี้เป็นปัจจุยสำคัญที่ทำให้ตลาด ขึ้น/ลง เพราะตลาดตอบสนองต่อความกลัวโดยปราศจากเหตุและผลและเจ้าความกลัวในลักษณะอาการโรคประสาทของตลาด เป็นตัวกระตุ้นอาการดังกล่าว ซึ่งผลสะท้อนกลับของอาการดังกล่าวนี้ยิ่งตอกย้ำให้ตลาดเองมีความกลัวมากขึ้น
แทรก : ผมเป็นคนเหงื่อเยอะ เวลาขึ้นรถไฟฟ้า ตัวมันจะเหม็น แล้วใครอยู่ใกล้ๆ เกรงใจเขา ยิ่งเป็นสาวๆ มายืนใกล้ๆ งถ้าวันไหน มีธุระต้องขึ้น แต่ยังไม่ขึ้น แค่คิดเวลาขึ้น อาการกลัวมันมาก่อน เหงื่อมันออกมารอะ ยังไม่ได้ไปไหนเลย เหงิ่อมารอแล้ว ยิ่งไม่อยากให้ออก ยิ่งออก เราเจอเหตุการร์คล้ายๆ กันอย่างนี้ทุกคน แล้วแต่ว่าเราจะมีอาการประสาทในเรื่องอะไร แล้วการย้ำคิดย้ำทำสะท้อนกลับไปกลับมาอย่างนี้มันเกิดในตลาดหุ้นตลอดเวลา
คำถามคือมันคืออาการของ reflexivity symtoms ใช่หรือไม่
Reflexivity จะเป้นสิ่งที่กำหนดว่า เราจะกลายเป้นเครื่องเล่นของอคติตนเอง ยอมละทิ้งอิสรภาพของความมีเหตุและผลในตัวเอง จากนั้นยอมให้อคติดังกล่าวหลอมกลืนตัวเราจนมีพฤติกรรมแบบเดียวกับนักลงทุนอื่นๆ ที่เห็นกันทั่วๆ ไป
แทรก :
เทรดเดอร์จะมีบุคคลิกอย่างไรเป็นผลมาจากอคติของคนคนนั้นที่กำหนดการตัดสินใจภายในจิตใจของของเขา หาใช่เป็นผลมาจากอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมอย่างเดียวไม่
ความแตกต่างของการตะหนักถึงอคติตนเองนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าคนคนนั้นจะอยู่ในสงครามตลาดหุ้นได้นานแค่ไหน
การใช้เทคนิค invert always invert ในชีวิตประจำวัน
เรื่องเหงื่อออก กลัวคนอื่นเหม็น คราวนี้พอขึ้นรถไฟ ผมก็คิดตรงข้ามทันที เปิดเผยเต็มที่ คือมีผ้าขนหนู แต่งตัวเป้นนักกีฬาเลย ทั้ง ๆที่ขอโทษนะครับ “กรูรรไม่ได้เล่นอะไรมาเลย” แต่เดินขึ้นบรรไดก้เหงือออกแล้ว คราวนี้โชวเต๋มที่ให้คนอื่นเห็นไปเลยว่าเราเหงื่อออกเยอะขนาดไหน แล้วต้องคิดถึงเรื่องตลกตลอดนะ มันไปด้วยกัน อย่างคิดว่าถ้าเหงื่อออกมาก ๆ คิดไปเลยว่าแม่มออกมามากขนาดนี้ ใส่ชุดว่ายน้ำไปเลยดีกว่า ผมเรียนรู้ที่จะหัวเราะเยอะตัวเองไปกับเรื่องเหล่านี้ไปเลย
หยุด วงจรอุบาทย์ reflexivity
อีกเรื่องหนึ่งที่ตรึงผู้เขียนให้คิดถึงตลอดในวัยเด็ก
ผมติดอ่างตอนเด้กจนถึง 10 ขวบ เชื่อไหมครับมีวันหนึ่งในชีวิตช่วงนั้นที่ผมพูดไม่ติดเลย คือ ไปงานวันเด็กแล้วเขาบอกว่าใครดูน่าสงสารที่สุดให้มารับสมุดได้ 2 เล่ม ผมติดอ่าง เลยเดินไปบอกเขาบอกว่า ผมน่าสงสารเพราะพูดติดอ่าง ไอ้เราเลยพยายามจะพุดติดอ่างให้เขาดู แต่พูดออกไปแล้ว มันพูดคล่องปื๋อเลย นี่ถ้าตั้งใจจะติดอ่างกลับไม่ติด
แทรก : ลองเอาเทคนิคนี้ไปทำตรงกันข้าม คิดตรงข้ามเสมอ มองสิ่งต่างๆ ในแง่มุมอารมณ์ขันเข้าไว้ มันเป็นอุบายที่จะเอาตัวรอดในชีวิตและในตลาดหุ้นได้เป้นอย่างดีครับ เราจะได้ไม่ตกลงไปในกับดักของ reflexivity
ถ้าปัจจุบันคืออดีต ทุกวินาทีจึงมีความหมาย เพราะจะกลายเป้นความทรงจำที่เราเก้บไว้ แล้วคิดอย่างนี้ อดีตมันเลยแก้ไขได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าเราทำอะไรในวินาทีนั้น ยิ่งคิดว่าเราเคยผ่านวันนี้มาแล้ว แต่คราวนั้นเราทำผิดหมดเลย คราวนี้เราจะทำให้มันถูกละ พอคิดอย่างนี้เราจะได้คิดรอบครอบมากขึ้น แล้วโอกาสผิดพลาดมันน้อย เพราะเราจินตนาการในสิ่งที่เราทำวันนี้จากเมื่อวานแล้ว จินตนาการเป็นภาพ เป็นเสียงเลย นึกออกมาเป็นฉาก ๆ ว่าจะเทรดหุ้นอย่างไร ถ้ามันมาอย่างนี้ แล้วเราจะทำอย่างไรบ้าง
เท่าที่คิดออก ผมสรุปว่าความวิตกกังวลในเชิงคาดการณ์ล่วงหน้าแบบ reflexivity ต้องเอาเทคนิคการจัดการในทางตรงกันข้ามไปปะทะมันไว้
โอกาสอันโดดเด่นของอาจารย์โซรอสที่สำคัญ
ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ ในชีวิต
สร้างสมมุติฐานขั้นมาก่อน
แล้ว Invert first , Investigate, then Invest
ลงทุนทีละน้อย คอยดูว่าสมมุติฐานของเราถุกหรือผิด
สร้างสัมผัสขึ้นแบบ invert ขึ้นมา ถ้าอยากซื้อ ให้ขายก่อน ดูถ้ามีคนรับมาก ถึงจะซื้อ
ให้แน่ใจว่าซื้อไปแล้ว มีคนมารอซื้อต่อแน่ๆ
การสร้างความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมานั้น
ทำต่อเมื่อ ไม่แน่ใจเท่านั้น
ถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน
ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้
ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน
ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสิน ใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด
การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัยอย่างมาก
ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ
อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล
และยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา
หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่
หากผิดพลาด ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด
ผมอาจผิดครับ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
สุดท้ายขอบคุณครับ
แทรก : ผมเป็นคนเหงื่อเยอะ เวลาขึ้นรถไฟฟ้า ตัวมันจะเหม็น แล้วใครอยู่ใกล้ๆ เกรงใจเขา ยิ่งเป็นสาวๆ มายืนใกล้ๆ งถ้าวันไหน มีธุระต้องขึ้น แต่ยังไม่ขึ้น แค่คิดเวลาขึ้น อาการกลัวมันมาก่อน เหงื่อมันออกมารอะ ยังไม่ได้ไปไหนเลย เหงิ่อมารอแล้ว ยิ่งไม่อยากให้ออก ยิ่งออก เราเจอเหตุการร์คล้ายๆ กันอย่างนี้ทุกคน แล้วแต่ว่าเราจะมีอาการประสาทในเรื่องอะไร แล้วการย้ำคิดย้ำทำสะท้อนกลับไปกลับมาอย่างนี้มันเกิดในตลาดหุ้นตลอดเวลา
คำถามคือมันคืออาการของ reflexivity symtoms ใช่หรือไม่
Reflexivity จะเป้นสิ่งที่กำหนดว่า เราจะกลายเป้นเครื่องเล่นของอคติตนเอง ยอมละทิ้งอิสรภาพของความมีเหตุและผลในตัวเอง จากนั้นยอมให้อคติดังกล่าวหลอมกลืนตัวเราจนมีพฤติกรรมแบบเดียวกับนักลงทุนอื่นๆ ที่เห็นกันทั่วๆ ไป
แทรก :
เทรดเดอร์จะมีบุคคลิกอย่างไรเป็นผลมาจากอคติของคนคนนั้นที่กำหนดการตัดสินใจภายในจิตใจของของเขา หาใช่เป็นผลมาจากอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมอย่างเดียวไม่
ความแตกต่างของการตะหนักถึงอคติตนเองนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าคนคนนั้นจะอยู่ในสงครามตลาดหุ้นได้นานแค่ไหน
การใช้เทคนิค invert always invert ในชีวิตประจำวัน
เรื่องเหงื่อออก กลัวคนอื่นเหม็น คราวนี้พอขึ้นรถไฟ ผมก็คิดตรงข้ามทันที เปิดเผยเต็มที่ คือมีผ้าขนหนู แต่งตัวเป้นนักกีฬาเลย ทั้ง ๆที่ขอโทษนะครับ “กรูรรไม่ได้เล่นอะไรมาเลย” แต่เดินขึ้นบรรไดก้เหงือออกแล้ว คราวนี้โชวเต๋มที่ให้คนอื่นเห็นไปเลยว่าเราเหงื่อออกเยอะขนาดไหน แล้วต้องคิดถึงเรื่องตลกตลอดนะ มันไปด้วยกัน อย่างคิดว่าถ้าเหงื่อออกมาก ๆ คิดไปเลยว่าแม่มออกมามากขนาดนี้ ใส่ชุดว่ายน้ำไปเลยดีกว่า ผมเรียนรู้ที่จะหัวเราะเยอะตัวเองไปกับเรื่องเหล่านี้ไปเลย
หยุด วงจรอุบาทย์ reflexivity
อีกเรื่องหนึ่งที่ตรึงผู้เขียนให้คิดถึงตลอดในวัยเด็ก
ผมติดอ่างตอนเด้กจนถึง 10 ขวบ เชื่อไหมครับมีวันหนึ่งในชีวิตช่วงนั้นที่ผมพูดไม่ติดเลย คือ ไปงานวันเด็กแล้วเขาบอกว่าใครดูน่าสงสารที่สุดให้มารับสมุดได้ 2 เล่ม ผมติดอ่าง เลยเดินไปบอกเขาบอกว่า ผมน่าสงสารเพราะพูดติดอ่าง ไอ้เราเลยพยายามจะพุดติดอ่างให้เขาดู แต่พูดออกไปแล้ว มันพูดคล่องปื๋อเลย นี่ถ้าตั้งใจจะติดอ่างกลับไม่ติด
แทรก : ลองเอาเทคนิคนี้ไปทำตรงกันข้าม คิดตรงข้ามเสมอ มองสิ่งต่างๆ ในแง่มุมอารมณ์ขันเข้าไว้ มันเป็นอุบายที่จะเอาตัวรอดในชีวิตและในตลาดหุ้นได้เป้นอย่างดีครับ เราจะได้ไม่ตกลงไปในกับดักของ reflexivity
ถ้าปัจจุบันคืออดีต ทุกวินาทีจึงมีความหมาย เพราะจะกลายเป้นความทรงจำที่เราเก้บไว้ แล้วคิดอย่างนี้ อดีตมันเลยแก้ไขได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าเราทำอะไรในวินาทีนั้น ยิ่งคิดว่าเราเคยผ่านวันนี้มาแล้ว แต่คราวนั้นเราทำผิดหมดเลย คราวนี้เราจะทำให้มันถูกละ พอคิดอย่างนี้เราจะได้คิดรอบครอบมากขึ้น แล้วโอกาสผิดพลาดมันน้อย เพราะเราจินตนาการในสิ่งที่เราทำวันนี้จากเมื่อวานแล้ว จินตนาการเป็นภาพ เป็นเสียงเลย นึกออกมาเป็นฉาก ๆ ว่าจะเทรดหุ้นอย่างไร ถ้ามันมาอย่างนี้ แล้วเราจะทำอย่างไรบ้าง
เท่าที่คิดออก ผมสรุปว่าความวิตกกังวลในเชิงคาดการณ์ล่วงหน้าแบบ reflexivity ต้องเอาเทคนิคการจัดการในทางตรงกันข้ามไปปะทะมันไว้
โอกาสอันโดดเด่นของอาจารย์โซรอสที่สำคัญ
ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ ในชีวิต
สร้างสมมุติฐานขั้นมาก่อน
แล้ว Invert first , Investigate, then Invest
ลงทุนทีละน้อย คอยดูว่าสมมุติฐานของเราถุกหรือผิด
สร้างสัมผัสขึ้นแบบ invert ขึ้นมา ถ้าอยากซื้อ ให้ขายก่อน ดูถ้ามีคนรับมาก ถึงจะซื้อ
ให้แน่ใจว่าซื้อไปแล้ว มีคนมารอซื้อต่อแน่ๆ
การสร้างความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมานั้น
ทำต่อเมื่อ ไม่แน่ใจเท่านั้น
ถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน
ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้
ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน
ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสิน ใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด
การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัยอย่างมาก
ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ
อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล
และยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา
หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่
หากผิดพลาด ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด
ผมอาจผิดครับ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
สุดท้ายขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1992
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 14
เข้ามาชื่นชมคุณโหน่งด้วยคนครับ
Reflexivity เป็นหลักการที่เข้าใจยาก และน้อยคนที่จะเข้าใจ เพราะมันต้องคิดนอกกรอบเดิม ๆ แต่ถ้าเข้าใจแล้ว จะทำให้การลงทุนมีความสุขมากขึ้นมากมายครับ
Reflexivity เป็นหลักการที่เข้าใจยาก และน้อยคนที่จะเข้าใจ เพราะมันต้องคิดนอกกรอบเดิม ๆ แต่ถ้าเข้าใจแล้ว จะทำให้การลงทุนมีความสุขมากขึ้นมากมายครับ
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
------------------------
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 15
ยังสุดยอดเหมือนเดิม
กลับมาทบทวนความรู้ที่ลืมนึกถึงมานาน
กลับมาทบทวนความรู้ที่ลืมนึกถึงมานาน
- murder_doll
- Verified User
- โพสต์: 1644
- ผู้ติดตาม: 1
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 16
ขอบคุณมากครับ ยังทำความเข้าใจไม่หมด แต่จะค่อยๆทำความเข้าใจครับ
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ข้าวปลาคือของจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 334
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 17
สุดยอด .....
==================================
คิดใคร่ครวญผลตอบแทนและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
โดยคํานึงถึงเป้าหมายระยะยาวมากว่าระยะสั้น
==================================
คิดใคร่ครวญผลตอบแทนและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
โดยคํานึงถึงเป้าหมายระยะยาวมากว่าระยะสั้น
==================================
- ^^
- Verified User
- โพสต์: 519
- ผู้ติดตาม: 1
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 19
จะติดตามผลงานต่อไปนะครับ โดยส่วนตัวผมก็ชอบSorosเป็นทุนเดิม
แต่ยังคงต้องศึกษาอารมณ์ตัวเองเพิ่มขึ้น
ปล.คำถามครับ Invest first ปัญหาคือระดับแค่ไหนครับ ที่จะบอกว่า ฉันผิดทาง ฉันถูกทาง
หรือแค่เป็นการเข้าร่วมสัมผัสตลาด จับอารมณ์ครับ
แต่ยังคงต้องศึกษาอารมณ์ตัวเองเพิ่มขึ้น
ปล.คำถามครับ Invest first ปัญหาคือระดับแค่ไหนครับ ที่จะบอกว่า ฉันผิดทาง ฉันถูกทาง
หรือแค่เป็นการเข้าร่วมสัมผัสตลาด จับอารมณ์ครับ
หุ้นมันอยู่รอบๆตัวเราเสมอ
- Highway_Star
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 452
- ผู้ติดตาม: 1
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 20
ขอสอบถามท่านพี่ humdrum หน่อยครับ ว่ามีหนังสือเกี่ยวกับ Soros เล่มไหนบ้างที่น่าสนใจ
หรือแสดงแนวคิดของเขาแบบละเอียดๆ ได้บ้าง
เพราะผมซื้อ The Soros lecture มาอ่านแล้ว รู้สึกไม่ถูกจริต ถึงกับทำใจอ่านต่อไม่ได้
แกมผิดหวังเล็กๆ เลยยังอ่านไม่จบมาจนปัจจุับัน ทั้งๆ ที่หนังสือมันเล่มเล็กมาก
ผมอ่านเกี่ยวกับเรื่อง Reflexivity ในนั้นแล้วเข้าใจว่า มันเป็นการสะท้อนกลับของผลลัพธ์ ที่มีผลต่อปัจจัยหรือสิ่งต่างๆ ในระบบ ทำให้ระบบหรือสิ่งแวดล้อม react ในรูปแบบที่ต่างออกไป (จะเพราะจากความคาดหวังหรืออะไรก็แล้วแต่) เหมือนสะท้อนกันกลับไปมา
ปล. เรื่องพยายามพิจารณาอคติที่เกิดขึ้นกับตัวเองและพยายามแก้ไขนี้ ถ้าใครคนไหนได้มีโอกาสทำก็ควรทำนะครับ ผมเองก็ได้ทำมาระยะหนึ่งแล้ว มันเป็นส่วนที่สำคัญและจะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นมาก มันทำให้เราเข้าใจหลาย ๆสิ่งได้จากการในมุมมองที่ต่างออกไปโดยปราศจากอคติ แต่การจะมองอะไรให้เป็นกลางอย่างที่สุดนั้น ผมว่าถ้าจะให้ดี
ควรมีหลักหรือแก่นในธรรมะให้ยึดก่อน แล้วการมองสิ่งต่างๆ เพื่อแก้ไขจะเป็นอะไรที่ง่ายขึ้นมากเลยทีเดียว
(อย่างไรก็ตาม ผมยังคงมีอคติกับการอ่าน Soros เพราะไม่เชื่อในแนวคิดบางอย่างของเขา และคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้)
หรือแสดงแนวคิดของเขาแบบละเอียดๆ ได้บ้าง
เพราะผมซื้อ The Soros lecture มาอ่านแล้ว รู้สึกไม่ถูกจริต ถึงกับทำใจอ่านต่อไม่ได้
แกมผิดหวังเล็กๆ เลยยังอ่านไม่จบมาจนปัจจุับัน ทั้งๆ ที่หนังสือมันเล่มเล็กมาก
ผมอ่านเกี่ยวกับเรื่อง Reflexivity ในนั้นแล้วเข้าใจว่า มันเป็นการสะท้อนกลับของผลลัพธ์ ที่มีผลต่อปัจจัยหรือสิ่งต่างๆ ในระบบ ทำให้ระบบหรือสิ่งแวดล้อม react ในรูปแบบที่ต่างออกไป (จะเพราะจากความคาดหวังหรืออะไรก็แล้วแต่) เหมือนสะท้อนกันกลับไปมา
ปล. เรื่องพยายามพิจารณาอคติที่เกิดขึ้นกับตัวเองและพยายามแก้ไขนี้ ถ้าใครคนไหนได้มีโอกาสทำก็ควรทำนะครับ ผมเองก็ได้ทำมาระยะหนึ่งแล้ว มันเป็นส่วนที่สำคัญและจะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นมาก มันทำให้เราเข้าใจหลาย ๆสิ่งได้จากการในมุมมองที่ต่างออกไปโดยปราศจากอคติ แต่การจะมองอะไรให้เป็นกลางอย่างที่สุดนั้น ผมว่าถ้าจะให้ดี
ควรมีหลักหรือแก่นในธรรมะให้ยึดก่อน แล้วการมองสิ่งต่างๆ เพื่อแก้ไขจะเป็นอะไรที่ง่ายขึ้นมากเลยทีเดียว
(อย่างไรก็ตาม ผมยังคงมีอคติกับการอ่าน Soros เพราะไม่เชื่อในแนวคิดบางอย่างของเขา และคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้)
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 21
Reflexivity ผมเข้าใจว่าไม่ใช่การสะท้อนไปมาของทุกๆอย่างนะครับHighway_Star เขียน:ขอสอบถามท่านพี่ humdrum หน่อยครับ ว่ามีหนังสือเกี่ยวกับ Soros เล่มไหนบ้างที่น่าสนใจ
หรือแสดงแนวคิดของเขาแบบละเอียดๆ ได้บ้าง
เพราะผมซื้อ The Soros lecture มาอ่านแล้ว รู้สึกไม่ถูกจริต ถึงกับทำใจอ่านต่อไม่ได้
แกมผิดหวังเล็กๆ เลยยังอ่านไม่จบมาจนปัจจุับัน ทั้งๆ ที่หนังสือมันเล่มเล็กมาก
ผมอ่านเกี่ยวกับเรื่อง Reflexivity ในนั้นแล้วเข้าใจว่า มันเป็นการสะท้อนกลับของผลลัพธ์ ที่มีผลต่อปัจจัยหรือสิ่งต่างๆ ในระบบ ทำให้ระบบหรือสิ่งแวดล้อม react ในรูปแบบที่ต่างออกไป (จะเพราะจากความคาดหวังหรืออะไรก็แล้วแต่) เหมือนสะท้อนกันกลับไปมา
ปล. เรื่องพยายามพิจารณาอคติที่เกิดขึ้นกับตัวเองและพยายามแก้ไขนี้ ถ้าใครคนไหนได้มีโอกาสทำก็ควรทำนะครับ ผมเองก็ได้ทำมาระยะหนึ่งแล้ว มันเป็นส่วนที่สำคัญและจะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นมาก มันทำให้เราเข้าใจหลาย ๆสิ่งได้จากการในมุมมองที่ต่างออกไปโดยปราศจากอคติ แต่การจะมองอะไรให้เป็นกลางอย่างที่สุดนั้น ผมว่าถ้าจะให้ดี
ควรมีหลักหรือแก่นในธรรมะให้ยึดก่อน แล้วการมองสิ่งต่างๆ เพื่อแก้ไขจะเป็นอะไรที่ง่ายขึ้นมากเลยทีเดียว
(อย่างไรก็ตาม ผมยังคงมีอคติกับการอ่าน Soros เพราะไม่เชื่อในแนวคิดบางอย่างของเขา และคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้)
แต่เป็นการสะท้อนไปมาระหว่างความสุดโต่งสองข้าง อันเกิดจากช่องว่าง(ทุกข์)
ระหว่างความจริง(ธรรม) กับสิ่งที่ผู้มีส่วนร่วมคิดหรือเข้าใจ(อคติ) เนื่องมาจากความไม่รู้ (อวิชา)
ถ้าความคิดเห็นส่วนใหญ่ของผู้มีส่วนร่วม เห็นไปในทางที่ดีกว่าความเป็นจริง จะเกิด bubble
ถ้าความคิดเห็นส่วนใหญ่ของผู้มีส่วนร่วม เห็นไปในทางที่แย่กว่าความเป็นจริง จะเกิด panic
ถ้าความคิดเห็นส่วนใหญ่ของผู้มีส่วนร่วม เห็นไปในทางที่ตรงความเป็นจริง จะเกิดดุลย์ภาพ
ตรงตามพระพุทธเจ้าสอนเลยครับ ให้มองตามจริงจึงจะพ้นทุกข์
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 22
คุณกล้วยไม้เข้าใจมากว่าผมอีก
อย่างที่คุณกล้วยบอกไว้ เรื่องหนังสือที่คุณไฮถามก็อาจไม่จำเป็นแล้ว
มีลมหายใจเข้า ก็มีลมหายใจออก
ความสุขมีรากเหง้ามากจากความทุกข์
ถามท่านกล้วยไม้ไปก่อนนะครับ
ขอบคุณที่ถามครับ ขอบคุณทุกท่านครับ
ขอบคุณท่าน murdur ที่เป็นคนตั้งกระทู้
อย่างที่คุณกล้วยบอกไว้ เรื่องหนังสือที่คุณไฮถามก็อาจไม่จำเป็นแล้ว
มีลมหายใจเข้า ก็มีลมหายใจออก
ความสุขมีรากเหง้ามากจากความทุกข์
ถามท่านกล้วยไม้ไปก่อนนะครับ
ขอบคุณที่ถามครับ ขอบคุณทุกท่านครับ
ขอบคุณท่าน murdur ที่เป็นคนตั้งกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 23
ขอตอบท่าน ^ ^ เรื่อง invest first investigate later เป็นเรื่องสุดท้ายนะครับ
ผมไม่ค่อยว่างในช่วงนี้ ขอโทษทุกท่านที่อาจมีคำถามด้วยครับ
แล้วช่วงไหนว่างๆ จะกลับมาใหม่ครับ
ขอบคุณมากครับ
..........................
กาลครั้งหนึ่ง…..
มีนักลงทุนสี่ท่านนั่งคุยกัน ทั้งหมดสี่ท่านเป็นศิษย์โซรอส แต่มีนิสัยต่างกัน คนเป้นเป็นนักลงทุนจ้องโลก
คนที่สองกอดโลก
คนที่สามขวางโลก
คนที่สี่แบกโลก
สี่ท่านกำลังคุยกันเรื่อง invest first investigate later มาลองฟังกันว่าสนุกขนาดไหน ขอให้ทุกท่านเทรดอย่างมีความสุขนะครับ
นักลงทุนขวางโลก : ไม่มีทาง เทรดอย่างไงก็ต้องเครียด จะไปมีความสุขในการลงทุนทุกอย่างเป็นไปไมได้หรอก ถ้าเทรดแล้ว ไม่มีความเครียดอยู่ มันจะเป็นเกมได้อย่างไร ความตื่นเต้นมันหายหมด มันไม่สนุกแล้ว อย่าหลอกตัวเองว่าลงทุนอย่างมีความสุขเลย มันไม่มีในโลกหรอก
นักลงทุนกอดโลก : ถ้ามองเห็นก่อนว่าเราตอบสนองอย่างไรก่อนที่เหตุการจะเกิดขึ้นจริง เราจะสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่เข้าไมไปมีอารมณ์ร่วมในการสถานะการณ์นั้น
นักลงทุนจ้องโลก: เหมือนจากผู้สังเกตเป็นผู้ถูกสังเกตหรือปล่าว หลักการเดียวกับการนั่งสมาธิ การเฝ้ามองอารมณ์ตัวเอง
นักลงทุนแบกโลก : นั่งสมาธิคือการหายใจทิ้งฆ่าเวลา ผมไม่ชอบมองตัวเองหายใจ หาอะไรทำที่มีประโยชน์ทำดีกว่านั่งเฉยๆ
นักลงทุนจ้องโลก : แปลกดีนะครับ โซรอสสอนให้พวกเราเข้าไปสัมผัสสิ่งต่างๆ อย่าแยกตัวเองออกมา เหมือนเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหล่าตาตาม แต่หลักการอินเวสเฟิส กลับต้องเริ่มแยกตัวเองออกจากสถานการณ์ต่างๆ ก่อนที่กลับเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ใดก็ตาม
นักลงทุนขวางโลก : ถ้าไม่ทำอย่างนั้น พวกเราจะจับอารมร์ของเราไมได้เลยหรือ มันจะมีผลต่อการตัดสินใจเมื่อเทรดจริงซักแค่ไหนกัน
นักลงทุนกอดโลก : ยิ่งอ่านใจตัวเองมากเท่าใด ยิ่งเป็นผลดีต่อการเทรดของเราเท่านั้น
นักลงทุนแบกโลก : อ่านงบการเงินเก่ง อ่านกราฟเก่ง แต่อ่านมใจตัวเองไมเก่ง แล้วจะมีความหมายอะไรกัน
นักลงทุนกอดโลก : โลภ กับ กลัว เทรดเดอร์ต้องอ่านให้เป้น อย่าให้มันควบคลุมเราได้
นักลงทุนจ้องโลก : ลงทุนไปแล้วมันไม่เวิกทำอย่างไร มีใครตอบได้บ้าง
นักลงทุนขวางโลก : ก็ขายสิครับ จะอยู่ทำแมวทำไม
นักลงทุนกอดโลก : ลงทุนน้อยๆ ก่อนที่สิ่งเร้าบางอย่างจะเกิดขึ้น เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของหุ้นและที่สำคัญเฝ้ามองอารมณ์ตัวเอง
นักลงทุนจ้องโลก : ท่านกอดโลก หลักปฏิบัติว่าจะลงเท่าใดในตอนแรก ตอบน้องเขาได้ไหม
นักลงทุนขวางโลก : ตอบไปก็เปลืองตัวปล่าวๆ
นักลงทุนกอดโลก : ขึ้นอยู่กับว่า น้องเขาตั้งเป้าแบบไหน สมมุติว่า ตั้งเป้าทำได้สักประมาณสามล้านในปีนี้ ค่ราวๆ นั้นสามแสนต่อเดือน แปดหมื่นต่ออาทิตย์ หมืนห้าต่อวัน เขาต้องถามตัวเงอละว่า เงินลงทุนพอไหมที่จะทำให้เราหาเงินได้ขนาดที่ต้องการ สำหรับหุ้นในตัวนั้น สำหรับสิ่งเร้าต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันนั้น มันสมดุลกันไหม เงินตัวนั้นจะหาจากหุ้นตัวไหน จะหาจากเหตุการณ์แบบไหน วันนี้ พรุ่งนี้ละ อาทิตย์หน้าละ เงินห้าหมื่นห้าจะหาจากไหน ขยายตัวเงินในเวลาที่เหมาะสม ในขณะที่ต้องหาทางป้องกันหรือตัดขาดทุนเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นอย่างที่คิด
นักลงทุนแบกโลก : การป้องกันความเสี่ยงขาดได้อย่างไร ขาดก็แย่แล้ว
ผมไม่ค่อยว่างในช่วงนี้ ขอโทษทุกท่านที่อาจมีคำถามด้วยครับ
แล้วช่วงไหนว่างๆ จะกลับมาใหม่ครับ
ขอบคุณมากครับ
..........................
กาลครั้งหนึ่ง…..
มีนักลงทุนสี่ท่านนั่งคุยกัน ทั้งหมดสี่ท่านเป็นศิษย์โซรอส แต่มีนิสัยต่างกัน คนเป้นเป็นนักลงทุนจ้องโลก
คนที่สองกอดโลก
คนที่สามขวางโลก
คนที่สี่แบกโลก
สี่ท่านกำลังคุยกันเรื่อง invest first investigate later มาลองฟังกันว่าสนุกขนาดไหน ขอให้ทุกท่านเทรดอย่างมีความสุขนะครับ
นักลงทุนขวางโลก : ไม่มีทาง เทรดอย่างไงก็ต้องเครียด จะไปมีความสุขในการลงทุนทุกอย่างเป็นไปไมได้หรอก ถ้าเทรดแล้ว ไม่มีความเครียดอยู่ มันจะเป็นเกมได้อย่างไร ความตื่นเต้นมันหายหมด มันไม่สนุกแล้ว อย่าหลอกตัวเองว่าลงทุนอย่างมีความสุขเลย มันไม่มีในโลกหรอก
นักลงทุนกอดโลก : ถ้ามองเห็นก่อนว่าเราตอบสนองอย่างไรก่อนที่เหตุการจะเกิดขึ้นจริง เราจะสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่เข้าไมไปมีอารมณ์ร่วมในการสถานะการณ์นั้น
นักลงทุนจ้องโลก: เหมือนจากผู้สังเกตเป็นผู้ถูกสังเกตหรือปล่าว หลักการเดียวกับการนั่งสมาธิ การเฝ้ามองอารมณ์ตัวเอง
นักลงทุนแบกโลก : นั่งสมาธิคือการหายใจทิ้งฆ่าเวลา ผมไม่ชอบมองตัวเองหายใจ หาอะไรทำที่มีประโยชน์ทำดีกว่านั่งเฉยๆ
นักลงทุนจ้องโลก : แปลกดีนะครับ โซรอสสอนให้พวกเราเข้าไปสัมผัสสิ่งต่างๆ อย่าแยกตัวเองออกมา เหมือนเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหล่าตาตาม แต่หลักการอินเวสเฟิส กลับต้องเริ่มแยกตัวเองออกจากสถานการณ์ต่างๆ ก่อนที่กลับเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ใดก็ตาม
นักลงทุนขวางโลก : ถ้าไม่ทำอย่างนั้น พวกเราจะจับอารมร์ของเราไมได้เลยหรือ มันจะมีผลต่อการตัดสินใจเมื่อเทรดจริงซักแค่ไหนกัน
นักลงทุนกอดโลก : ยิ่งอ่านใจตัวเองมากเท่าใด ยิ่งเป็นผลดีต่อการเทรดของเราเท่านั้น
นักลงทุนแบกโลก : อ่านงบการเงินเก่ง อ่านกราฟเก่ง แต่อ่านมใจตัวเองไมเก่ง แล้วจะมีความหมายอะไรกัน
นักลงทุนกอดโลก : โลภ กับ กลัว เทรดเดอร์ต้องอ่านให้เป้น อย่าให้มันควบคลุมเราได้
นักลงทุนจ้องโลก : ลงทุนไปแล้วมันไม่เวิกทำอย่างไร มีใครตอบได้บ้าง
นักลงทุนขวางโลก : ก็ขายสิครับ จะอยู่ทำแมวทำไม
นักลงทุนกอดโลก : ลงทุนน้อยๆ ก่อนที่สิ่งเร้าบางอย่างจะเกิดขึ้น เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของหุ้นและที่สำคัญเฝ้ามองอารมณ์ตัวเอง
นักลงทุนจ้องโลก : ท่านกอดโลก หลักปฏิบัติว่าจะลงเท่าใดในตอนแรก ตอบน้องเขาได้ไหม
นักลงทุนขวางโลก : ตอบไปก็เปลืองตัวปล่าวๆ
นักลงทุนกอดโลก : ขึ้นอยู่กับว่า น้องเขาตั้งเป้าแบบไหน สมมุติว่า ตั้งเป้าทำได้สักประมาณสามล้านในปีนี้ ค่ราวๆ นั้นสามแสนต่อเดือน แปดหมื่นต่ออาทิตย์ หมืนห้าต่อวัน เขาต้องถามตัวเงอละว่า เงินลงทุนพอไหมที่จะทำให้เราหาเงินได้ขนาดที่ต้องการ สำหรับหุ้นในตัวนั้น สำหรับสิ่งเร้าต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันนั้น มันสมดุลกันไหม เงินตัวนั้นจะหาจากหุ้นตัวไหน จะหาจากเหตุการณ์แบบไหน วันนี้ พรุ่งนี้ละ อาทิตย์หน้าละ เงินห้าหมื่นห้าจะหาจากไหน ขยายตัวเงินในเวลาที่เหมาะสม ในขณะที่ต้องหาทางป้องกันหรือตัดขาดทุนเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นอย่างที่คิด
นักลงทุนแบกโลก : การป้องกันความเสี่ยงขาดได้อย่างไร ขาดก็แย่แล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 24
นักลงทุนขวางโลก : ขายออกไปเลย จะมาพูดให้ยึดยาวทำไม ถ้ารับความเครียดไม่ได้ ไปหาอย่างอื่นทำดีกว่า
นักลงทุนจ้องโลก : คนที่ใช้หลักอินเวสเฟิสมีนิสัยกลัวพลาดโอกาสมากว่ากลัวขาดทุนหรือปล่าว
นักลงทุนกอดโลก : คิดถึงสิ่งที่ไม่คาดคิดมากๆ บางทีใช้พลังสมอง ใช้เวลาคิดไปกับการวิตกกังวลกับสิ่งที่ทำให้เราขาดทุนได้ ก็ท้อเหมือนกันนะครับ ผมขนาดว่า ไม่ได้แทรดเลยทั้ง ๆ ที่เห้นว่าโอกาสมันมาแน่
นักลงทุนขวางโลก : ผมเสียดายแทนคุณจริง ๆ ทำไมคุณไม่จดเอาไว้แบบที่อาจารย์สอน
นักลงทุนจ้องโลก : จดบันทึกอะไรหรือครับ
นักลงทุนกอดโลก : จดบันทึกประวัติการเทรดของตัวเอง รวมถึงความคิดคาดการณ์เกี่ยวกับตลาด ความจริงที่เกิดขึ้นในวันนั้น เพราะอะไรเราถึงคาดการณ์ผิดพลาด สมุมติฐานของเราผิดไปจากความจริงหรือไม่ สังเกตอารมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเทรด ระหว่างการเทรด หลังเทรด เป็นอย่างไรบ้าง observing ego ของคุณเก่งขนาดไหน ซึ่งมันวัดกันตรงนั้นว่าเราจะไปได้ไกลขนาดไหน อารมณ์ต่างๆ มันจะมีผลต่อการตัดสินใจของเราน้อยลงเรื่อยๆ
นักลงทุนแบกโลก : observe มากยิ่งเจ็บปวดมาก
นักลงทุนกอดโลก : รูปแบบต่างๆ ในตลาดไม่เคยเปลี่ยนแปลง การบันทึกกสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น สมุดบันทึกนี้ ลุกหลานเราได้ประโยชน์มากกว่า เพราะพวกเขาไม่ต้องลองผิดเหมือนเรา
นักลงทุนแบกโลก : เหมือนอย่าง remenisance of stock operator ใช่ไหม อ่านแล้วเครียดมากเลย
นักลงทุนกอดโลก : เล่มโปรดผมเลย อารมร์ตลาดหุ้นเมื่อร้อยปีที่แล้ว กับอารมณ์ในตลาดหุ้นในวันนี้ ไม่ต่างกันเลย
นักลงทุนขวางโลก : คนในตลาดเหมือนกัน จะต่างกันได้อย่างไร
นักลงทุนจ้องโลก : คนที่ใช้หลักอินเวสเฟิสมีนิสัยกลัวพลาดโอกาสมากว่ากลัวขาดทุนหรือปล่าว
นักลงทุนกอดโลก : คิดถึงสิ่งที่ไม่คาดคิดมากๆ บางทีใช้พลังสมอง ใช้เวลาคิดไปกับการวิตกกังวลกับสิ่งที่ทำให้เราขาดทุนได้ ก็ท้อเหมือนกันนะครับ ผมขนาดว่า ไม่ได้แทรดเลยทั้ง ๆ ที่เห้นว่าโอกาสมันมาแน่
นักลงทุนขวางโลก : ผมเสียดายแทนคุณจริง ๆ ทำไมคุณไม่จดเอาไว้แบบที่อาจารย์สอน
นักลงทุนจ้องโลก : จดบันทึกอะไรหรือครับ
นักลงทุนกอดโลก : จดบันทึกประวัติการเทรดของตัวเอง รวมถึงความคิดคาดการณ์เกี่ยวกับตลาด ความจริงที่เกิดขึ้นในวันนั้น เพราะอะไรเราถึงคาดการณ์ผิดพลาด สมุมติฐานของเราผิดไปจากความจริงหรือไม่ สังเกตอารมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเทรด ระหว่างการเทรด หลังเทรด เป็นอย่างไรบ้าง observing ego ของคุณเก่งขนาดไหน ซึ่งมันวัดกันตรงนั้นว่าเราจะไปได้ไกลขนาดไหน อารมณ์ต่างๆ มันจะมีผลต่อการตัดสินใจของเราน้อยลงเรื่อยๆ
นักลงทุนแบกโลก : observe มากยิ่งเจ็บปวดมาก
นักลงทุนกอดโลก : รูปแบบต่างๆ ในตลาดไม่เคยเปลี่ยนแปลง การบันทึกกสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น สมุดบันทึกนี้ ลุกหลานเราได้ประโยชน์มากกว่า เพราะพวกเขาไม่ต้องลองผิดเหมือนเรา
นักลงทุนแบกโลก : เหมือนอย่าง remenisance of stock operator ใช่ไหม อ่านแล้วเครียดมากเลย
นักลงทุนกอดโลก : เล่มโปรดผมเลย อารมร์ตลาดหุ้นเมื่อร้อยปีที่แล้ว กับอารมณ์ในตลาดหุ้นในวันนี้ ไม่ต่างกันเลย
นักลงทุนขวางโลก : คนในตลาดเหมือนกัน จะต่างกันได้อย่างไร
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 25
นักลงทุนกอดโลก : รูปแบบโดยรวม มีโลภ มีกลัว ถ้าไม่เล่นตามแผนที่วางไว้ ปล่อยให้อารมณ์ต่างๆ ดีใจ เสียใจ มามีผลต่อการการเทรดของเรา
นักลงทุนแบกโลก : อย่างนั้น คงเป้นเทรดเดอร์ที่ดีได้ยาก
นักลงทุนขวางโลก : นิยายกันอยู่ได้ ตอบน้องเขาไปเลย ตัวไหนขาดทุน ตัดออก ตัวไหนกำไร ถือเอาไว้ หาหุ้นที่มีสิ่งเร้าในทางบวกมาก กว่า ลบ catalysts บ่อยๆ ยิ่งดี จบ ไม่ต้องคิดมาก
นักลงทุนจ้องโลก : catalyst นี่สำคัญมากใช่ไหมครับ
นักลงทุนกอดโลก ; วาดแผนที่ในหัวในการเล่น เล่นตามแผน ผมรับมือกับความเครียดแบบนั้น อย่าให้ตลาดกำหนดอารมณ์ของเรา หรือ ใครก็ตาม เล่นตามเกมของเรา ไม่ใช่เกมของคนอื่น จะไปไหน ออกอย่างไร อย่าวอกแวก
นักลงทุนขวางโลก : ความไม่แน่นอนที่แท้จริงอยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่ตลาด Intrinsic uncertainty is in youself.
นักลงทุนแบกโลก : ลืมหมดแล้ว แต่ก่อนเข้า thaivi ใหม่ ๆ เขาก็สอนให้มองว่านักลงุทนเน้นคุณค่าต้องมองที่ intrinsic value คิดยากซับซ้อน ตอนนี้อะไรอีกละ นักลงทุนภาพสะท้อนมองที่ความไม่แน่นอนที่แท้จริงที่เกิดขึ้นภายในจิตใจมนุษย์ โอ้ย เวียนเฮดเข้าไปอีก
นักลงทุนกอดโลก : อคติในตัวคนจะกำหนดชะตาชีวิตของคนคนนั้น รัก โลภ โกรธ หลง
นักลงทุนจ้องโลก : จะเอาอคติออกจากหัวได้อย่างไร
นักลงทุนกอดโลก : ผมหาอคติตัวเอง จดใส่กระดาษ จับพวกเขาใส่ขวด ขับสกูตเตอร์ออกไปกลางทะเล แล้วโยนขวดทิ้ง บางทีผมก็จินตนาการ ชวนพวกเขาทั้งหมดนั่งเรือด้วยกัน จินตนาการว่าผมแล่นเรือใบออกไปกลางทะเล แล้วไปที่ที่มันมีคลื่นแรงๆ ในวันที่มีพายุเข้า ปล่อยพวกเขาลงตรงนั้น
นักลงทุนแบกโลก : อย่างนั้น คงเป้นเทรดเดอร์ที่ดีได้ยาก
นักลงทุนขวางโลก : นิยายกันอยู่ได้ ตอบน้องเขาไปเลย ตัวไหนขาดทุน ตัดออก ตัวไหนกำไร ถือเอาไว้ หาหุ้นที่มีสิ่งเร้าในทางบวกมาก กว่า ลบ catalysts บ่อยๆ ยิ่งดี จบ ไม่ต้องคิดมาก
นักลงทุนจ้องโลก : catalyst นี่สำคัญมากใช่ไหมครับ
นักลงทุนกอดโลก ; วาดแผนที่ในหัวในการเล่น เล่นตามแผน ผมรับมือกับความเครียดแบบนั้น อย่าให้ตลาดกำหนดอารมณ์ของเรา หรือ ใครก็ตาม เล่นตามเกมของเรา ไม่ใช่เกมของคนอื่น จะไปไหน ออกอย่างไร อย่าวอกแวก
นักลงทุนขวางโลก : ความไม่แน่นอนที่แท้จริงอยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่ตลาด Intrinsic uncertainty is in youself.
นักลงทุนแบกโลก : ลืมหมดแล้ว แต่ก่อนเข้า thaivi ใหม่ ๆ เขาก็สอนให้มองว่านักลงุทนเน้นคุณค่าต้องมองที่ intrinsic value คิดยากซับซ้อน ตอนนี้อะไรอีกละ นักลงทุนภาพสะท้อนมองที่ความไม่แน่นอนที่แท้จริงที่เกิดขึ้นภายในจิตใจมนุษย์ โอ้ย เวียนเฮดเข้าไปอีก
นักลงทุนกอดโลก : อคติในตัวคนจะกำหนดชะตาชีวิตของคนคนนั้น รัก โลภ โกรธ หลง
นักลงทุนจ้องโลก : จะเอาอคติออกจากหัวได้อย่างไร
นักลงทุนกอดโลก : ผมหาอคติตัวเอง จดใส่กระดาษ จับพวกเขาใส่ขวด ขับสกูตเตอร์ออกไปกลางทะเล แล้วโยนขวดทิ้ง บางทีผมก็จินตนาการ ชวนพวกเขาทั้งหมดนั่งเรือด้วยกัน จินตนาการว่าผมแล่นเรือใบออกไปกลางทะเล แล้วไปที่ที่มันมีคลื่นแรงๆ ในวันที่มีพายุเข้า ปล่อยพวกเขาลงตรงนั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 26
นักลงทุนแบกโลก : สิ่งที่เรามอง ไม่ใช่สิ่งที่เป็น สิ่งทุกอย่างที่เรามองว่าเป็นอย่างไรนั้นสะท้อนจากอคติของที่มีในตัวเราทั้งนั้น ทำไมต้องลงทุนนั่งเรือไปกางทะเลด้วย น่ากลัวชะมัด เพี้ยนหรือปล่าวนี่
นักลงทุนจ้องโลก : หรือว่า อคติ แปลความหมายผิดเพี้ยนไปจากความจริง มันเหมือนไปงานฮาโลวีนหรือปล่าว ที่ว่า คุณดูไม่ออกว่า ใครเป็นใคร จนกว่าจะพูดออกมา เวลามองสิ่งต่าง ๆ เราควรให้คิดอย่างนั้น เป้นไปได้ไหม
นักลงทุนขวางโลก : แน่ยิ่งกว่าอะไร ลดความคาดหวังออกให้เหลือน้อยที่สุด อย่าออกจากตลาด อย่าหยุดพัก อย่ายอมแพ้ เทรดน้อยๆ ให้น้อยที่สุด ถ้าไม่เทรดเลย คุณจะแยกตัวเองออกมาเป้นผู้สังเกตอยู่ภายนอก แล้วจะเข้าใจตลาดได้อย่างไร
นักลงทุนแบกโลก : ไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่เข้าใจคนอื่น อนาคตน่าเป็นห่วง
นักลงทุนกอดโลก : เรื่องอะไรนะที่ แม่ ลุก ทะเลาะกันตลอด พอไปร้านอาหารจีน อ่านคุ๊กกี้วอจูนเสร็จ สับร่างกันเฉยเลย ลุกไปอยู๋ในร่างแม่ต้องไปทำหน้าที่เป้นหมอจิตวิทยา ส่วนแม่ต้องไปอยู่ในร่างลูก ต้องไปโรงเรียนไฮสกูล ตอนหลังพอเข้าอยู๋ในชีวิตของอีกฝ่ายจริงๆ ถึงเข้าใจกันได้
นักลงทุนแบกโลก : ทุกคนมองแต่ตัวเอง คิดถึงตัวเองมากเกินไปจนลืมมองความรู้สึกคนอื่น
นักลงทุนขวางโลก : มีใครสนใจความรู้สึกผมบ้าง ผมอยากไปอาบน้ำแถวรัชดา
นักลงทุนแบกโลก : พุดจาลามก เดี่ยวโดนมดแบนหรอก
นักลงทุนจ้องโลก : ประสบการณ์ส่วนตัวในการใช้อินเวสเฟิส
นักลงทุนขวางโลก : นอนกับหมดนวด
นักลงทุนแบกโลก : นั่นจ่ายก่อนแล้วซอยทีหลัง ไม่ใช่ลงทุนก่อน ตรวจสอบทีหลัง มีใครที่พอมีสาระได้บ้างไหมในที่นี้
นักลงทุนจ้องโลก : หรือว่า อคติ แปลความหมายผิดเพี้ยนไปจากความจริง มันเหมือนไปงานฮาโลวีนหรือปล่าว ที่ว่า คุณดูไม่ออกว่า ใครเป็นใคร จนกว่าจะพูดออกมา เวลามองสิ่งต่าง ๆ เราควรให้คิดอย่างนั้น เป้นไปได้ไหม
นักลงทุนขวางโลก : แน่ยิ่งกว่าอะไร ลดความคาดหวังออกให้เหลือน้อยที่สุด อย่าออกจากตลาด อย่าหยุดพัก อย่ายอมแพ้ เทรดน้อยๆ ให้น้อยที่สุด ถ้าไม่เทรดเลย คุณจะแยกตัวเองออกมาเป้นผู้สังเกตอยู่ภายนอก แล้วจะเข้าใจตลาดได้อย่างไร
นักลงทุนแบกโลก : ไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่เข้าใจคนอื่น อนาคตน่าเป็นห่วง
นักลงทุนกอดโลก : เรื่องอะไรนะที่ แม่ ลุก ทะเลาะกันตลอด พอไปร้านอาหารจีน อ่านคุ๊กกี้วอจูนเสร็จ สับร่างกันเฉยเลย ลุกไปอยู๋ในร่างแม่ต้องไปทำหน้าที่เป้นหมอจิตวิทยา ส่วนแม่ต้องไปอยู่ในร่างลูก ต้องไปโรงเรียนไฮสกูล ตอนหลังพอเข้าอยู๋ในชีวิตของอีกฝ่ายจริงๆ ถึงเข้าใจกันได้
นักลงทุนแบกโลก : ทุกคนมองแต่ตัวเอง คิดถึงตัวเองมากเกินไปจนลืมมองความรู้สึกคนอื่น
นักลงทุนขวางโลก : มีใครสนใจความรู้สึกผมบ้าง ผมอยากไปอาบน้ำแถวรัชดา
นักลงทุนแบกโลก : พุดจาลามก เดี่ยวโดนมดแบนหรอก
นักลงทุนจ้องโลก : ประสบการณ์ส่วนตัวในการใช้อินเวสเฟิส
นักลงทุนขวางโลก : นอนกับหมดนวด
นักลงทุนแบกโลก : นั่นจ่ายก่อนแล้วซอยทีหลัง ไม่ใช่ลงทุนก่อน ตรวจสอบทีหลัง มีใครที่พอมีสาระได้บ้างไหมในที่นี้
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 27
นักลงทุนจ้องโลก : หลักอินเวสเฟิสทำให้เราต้องเทรดบ่อยขนาดไหน
นักลงทุนกอดโลก : ปีที่แล้วผมเทรดสองร้อยห้าสิบครั้ง แต่กำไรส่วนใหญ่เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์มาจากการเทรดแค่ห้าครั้งเอง
นักลงทุนขวางโลก : เทรดกี่ครั้งนะ ทำไมเยอะขนาดนั้น
นักลงทุนกอดโลก : สองร้อยห้าสิบ
นักลงทุนจ้องโลก ; คุณเทรดสองร้อยกว่าครั้ง แต่กำไรทั้งหมดของปีที่แล้วมาจากการเทรดเพียงแค่ห้าครั้ง
นักลงทุนกอดโลก : ครับ การเทรดสองร้อยกว่าครั้งทำให้ผมเจอโอกาสห้าครั้งที่ทำให้ผมได้กำไรปีที่แล้ว
นักลงทุนขวางโลก : นี่จะแต่งนิยายกันหรือนี่ บอกไปเลย สาธยายอยู่ได้ เทรดน้อย ๆ เทรดน้อยๆ ลองทดสอบสมุติฐานของเราก่อน ถ่าผิดก็ตัดขาดทุน ถ้าถูกก็ลงเพิ่ม ถ้าไม่เทรดเลย ก็ไม่มีทางได้เห็นโอกาส สั้นๆ น่า
นักลงทุนจ้องโลก : ผิด ถูก เลยไม่สำคัญอย่างนั้นสิครับ
นักลงทุนแบกโลก : คนที่ชอบให้ทุกอย่างมัน perfect คงทำใจลำบาก ที่แย่กว่า เจอโอกาสแล้วปล่อยมันไป ลงทุนน้อย พอทุกอย่างเป็นอย่างที่คิด กลับรีบขายเอากำไร แทนที่จะลงทุนเพิ่ม
นักลงทุนจ้องโลก : เทรดเป็นร้อยครั้งขนาดนี้ มีนิสัยชอบการผจญภัยสิครับ
นักลงทุนแบกโลก : นั่นเป็นนิสัยที่อันตรายที่สุดในการลงทุน
นักลงทุนกอดโลก : ผมว่าเราควร วิ่งเข้าหาความสำเร็จ ไม่ใช่รอให้มันมาหาคุณเอง
นักลงทุนจ้องโลก ; การลงทุนแบบ อินเวสเฟิส มันก็ต้องมี margin of safety ไหมครับ
นักลงทุนกอดโลก : ปีที่แล้วผมเทรดสองร้อยห้าสิบครั้ง แต่กำไรส่วนใหญ่เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์มาจากการเทรดแค่ห้าครั้งเอง
นักลงทุนขวางโลก : เทรดกี่ครั้งนะ ทำไมเยอะขนาดนั้น
นักลงทุนกอดโลก : สองร้อยห้าสิบ
นักลงทุนจ้องโลก ; คุณเทรดสองร้อยกว่าครั้ง แต่กำไรทั้งหมดของปีที่แล้วมาจากการเทรดเพียงแค่ห้าครั้ง
นักลงทุนกอดโลก : ครับ การเทรดสองร้อยกว่าครั้งทำให้ผมเจอโอกาสห้าครั้งที่ทำให้ผมได้กำไรปีที่แล้ว
นักลงทุนขวางโลก : นี่จะแต่งนิยายกันหรือนี่ บอกไปเลย สาธยายอยู่ได้ เทรดน้อย ๆ เทรดน้อยๆ ลองทดสอบสมุติฐานของเราก่อน ถ่าผิดก็ตัดขาดทุน ถ้าถูกก็ลงเพิ่ม ถ้าไม่เทรดเลย ก็ไม่มีทางได้เห็นโอกาส สั้นๆ น่า
นักลงทุนจ้องโลก : ผิด ถูก เลยไม่สำคัญอย่างนั้นสิครับ
นักลงทุนแบกโลก : คนที่ชอบให้ทุกอย่างมัน perfect คงทำใจลำบาก ที่แย่กว่า เจอโอกาสแล้วปล่อยมันไป ลงทุนน้อย พอทุกอย่างเป็นอย่างที่คิด กลับรีบขายเอากำไร แทนที่จะลงทุนเพิ่ม
นักลงทุนจ้องโลก : เทรดเป็นร้อยครั้งขนาดนี้ มีนิสัยชอบการผจญภัยสิครับ
นักลงทุนแบกโลก : นั่นเป็นนิสัยที่อันตรายที่สุดในการลงทุน
นักลงทุนกอดโลก : ผมว่าเราควร วิ่งเข้าหาความสำเร็จ ไม่ใช่รอให้มันมาหาคุณเอง
นักลงทุนจ้องโลก ; การลงทุนแบบ อินเวสเฟิส มันก็ต้องมี margin of safety ไหมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 28
นักลงทุนขวางโลก : MOS หรือครับ ผมใช้ถุงยางทุกครั้ง ใส่สองชั้นเลย ถ้าพลาดแล้วเสร็จแน่ เอดส์ถามหา ตายอย่างเดียว
นักลงทุนแบกโลก : ทั้งที่รู้ก็ยังไป เที่ยวอย่างนั้น ค่า Expected Value ไม่ว่าประเมินอย่างไรก้เป็นลบ
นักลงทุนขวางโลก : คนยังไม่มีแฟน เวลาผมเครียดก็ต้องหาที่ลง ผมจินตนาการไม่เก่งเหมือนคุณ เห็นหญิงแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ
นักลงทุนแบกโลก : ผมไม่คุยกับคุณแล้ว
นักลงทุนจ้องโลก : จินตนการกับอินเวสเฟิสเกี่ยวข้องกันไหม
นักลงทุนกอดโลก : ทุกเช้า ผมต้องทำสมาธิ นั่งมองภาพรวมของวัน มองปัจจัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น วางแผนและถามตัวเองว่า ถ้าถูกผมจะทำอย่างไร ถ้าผิดผมจะทำอย่างไร มันทำให้ผมนิ่งขึ้น เหมือนกันไหม
นักลงทุนจ้องโลก : ไม่เชิงครับ ผมชอบกำหนดสิ่งที่ไม่คาดคิด หลายๆ อย่างพร้อมกัน เอาเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ที่แย่ที่สุดในวันนั้น ทั้งที่เป็นไปได้ และ เป็นไปไมได้ แล้ววางแผนว่าจะแก้อย่างไร
นักลงทุนขวางโลก : ผมเล่นโยคะทุกเช้า
นักลงทุนแบกโลก : ไม่น่าเชื่อ ผมคิดว่าคุณช่วยตัวเองทุกเช้า
นักลงทุนจ้องโลก : ได้ข่าวว่าคุณยกเวทตอนเช้าด้วย
นักลงทุนขวางโลก ; ผมยกเวทหนักขึ้นขึ้นทุกอาทิตย์นะครับ เหมือนเวลาลงทุน ผมตั้งเป้าหมายกำไรที่ต้องการให้สูงขึ้นตลอด แล้วย้อนกลับมาหาวิธีที่จะไปถึงจุดนั้น
นักลงทุนแบกโลก : ผมคิดว่าคุณเก่งแต่เรื่องคลำเป้า
นักลงทุนกอดโลก : ให้เขาพูดเขานะ นานๆ จะพุดอะไรมีสาระสักที
นักลงทุนขวางโลก : ขอบคุณครับ สิ่งแรกต้องมีเป้าหมาย โกลของเราคืออะไร มีเป้าหมายต่อวัน ต่ออาทิตย์ไหม สมมุติอยากได้กำไรยี่สิบเปอร์เซ็นต์ต่อปีนะครับ ย้อนกลับมาที่ต่อเดือน ต่ออาทิตย์ ต่อวัน
นักลงทุนแบกโลก : ทั้งที่รู้ก็ยังไป เที่ยวอย่างนั้น ค่า Expected Value ไม่ว่าประเมินอย่างไรก้เป็นลบ
นักลงทุนขวางโลก : คนยังไม่มีแฟน เวลาผมเครียดก็ต้องหาที่ลง ผมจินตนาการไม่เก่งเหมือนคุณ เห็นหญิงแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ
นักลงทุนแบกโลก : ผมไม่คุยกับคุณแล้ว
นักลงทุนจ้องโลก : จินตนการกับอินเวสเฟิสเกี่ยวข้องกันไหม
นักลงทุนกอดโลก : ทุกเช้า ผมต้องทำสมาธิ นั่งมองภาพรวมของวัน มองปัจจัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น วางแผนและถามตัวเองว่า ถ้าถูกผมจะทำอย่างไร ถ้าผิดผมจะทำอย่างไร มันทำให้ผมนิ่งขึ้น เหมือนกันไหม
นักลงทุนจ้องโลก : ไม่เชิงครับ ผมชอบกำหนดสิ่งที่ไม่คาดคิด หลายๆ อย่างพร้อมกัน เอาเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ที่แย่ที่สุดในวันนั้น ทั้งที่เป็นไปได้ และ เป็นไปไมได้ แล้ววางแผนว่าจะแก้อย่างไร
นักลงทุนขวางโลก : ผมเล่นโยคะทุกเช้า
นักลงทุนแบกโลก : ไม่น่าเชื่อ ผมคิดว่าคุณช่วยตัวเองทุกเช้า
นักลงทุนจ้องโลก : ได้ข่าวว่าคุณยกเวทตอนเช้าด้วย
นักลงทุนขวางโลก ; ผมยกเวทหนักขึ้นขึ้นทุกอาทิตย์นะครับ เหมือนเวลาลงทุน ผมตั้งเป้าหมายกำไรที่ต้องการให้สูงขึ้นตลอด แล้วย้อนกลับมาหาวิธีที่จะไปถึงจุดนั้น
นักลงทุนแบกโลก : ผมคิดว่าคุณเก่งแต่เรื่องคลำเป้า
นักลงทุนกอดโลก : ให้เขาพูดเขานะ นานๆ จะพุดอะไรมีสาระสักที
นักลงทุนขวางโลก : ขอบคุณครับ สิ่งแรกต้องมีเป้าหมาย โกลของเราคืออะไร มีเป้าหมายต่อวัน ต่ออาทิตย์ไหม สมมุติอยากได้กำไรยี่สิบเปอร์เซ็นต์ต่อปีนะครับ ย้อนกลับมาที่ต่อเดือน ต่ออาทิตย์ ต่อวัน
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 29
แล้วต่อมองหาโอกาสในตลาดที่ทำให้เราไปถึงจุดหมายนั้น เป้าหมายเหมือนเข็มทิศนำทาง ถ้าไม่มี คุณหลงทางแน่
นักลงทุนกอดโลก : ตรงแผลงเลย เราต้องมีความกระตือรื้อร้นที่จะไปตามฝันที่ที่มีแต่เราเท่านั้นที่มองเห็น เมื่อเรารู้สึกว่ามันเหนื่อย ไปไม่ถึงสักที ก็หยุดพัก หายใจลึกๆ แล้วจดบันทึกอารมณ์ต่างๆที่ เกิดขึ้น ใน Psychomonitor
นักลงทุนขวางโลก : ผมบันทึกเสียงระหว่างที่เทรดเป็น Voice Data ผมว่าอารมณ์ไวกว่าแสง จดไม่ค่อยทันครับ พูดลงไปเลยดีกว่า
นักลงทุนจ้องโลก : หรือว่า อินเวสเฟิสเป็นเรื่องของจิตวิทยามากกว่าตัวเลข
นักลงทุนขวางโลก : ผมว่าจิตวิทยามันวัดกันยาก มันหลอกกันได้ คุณหลอกตัวเองได้ แต่มันสะท้อนในตัวเลขเสมอ ตัวเลขหลอกกันไม่ได้
นักลงทุนจ้องโลก : ตัวเลขอะไรบ้างที่สำคัญที่สุดเวลาอินเวสเฟิส
Sharpe Ratio ตัวนี้จะบอกว่าเรามี Margin of Safety ที่ดีขนาดไหน การบริหารความเสี่ยงของเราสุดยอดขนาดไหน มันบอกถึงว่าเวลาเราถูกเราได้เงินแค่ไหน เวลาเราผิดเราขาดทุนแค่ไหน ถ้ามันน้อยกว่า 1 เราต้องทบทวน MOS ของเราใหม่ทั้งหมด
นักลงทุนขวางโลก : ของผมอยู๋ที่ 3
นักลงทุนกอดโลก : 3 เท่า เลยหรือครับ สุดยอดไปเลยครับ
นักลงทุนแบกโลก : ค่า P&L ละครับ อยู่ที่เท่าไหร่
นักลงทุนขวางโลก : 52 เปอร์เซ็นต์ ครับ
นักลงทุนจ้องโลก : P&L นี่ค่าอะไรครับ
นักลงทุนแบกโลก : เปอร์เซ็นต์ถูกผิด ท่าน กอดโลก ดีที่สุดของกลุ่มเรา อยู่ที่ประมาณ 6O เปอร์เซ็นต์
นักลงทุนกอดโลก : ตรงแผลงเลย เราต้องมีความกระตือรื้อร้นที่จะไปตามฝันที่ที่มีแต่เราเท่านั้นที่มองเห็น เมื่อเรารู้สึกว่ามันเหนื่อย ไปไม่ถึงสักที ก็หยุดพัก หายใจลึกๆ แล้วจดบันทึกอารมณ์ต่างๆที่ เกิดขึ้น ใน Psychomonitor
นักลงทุนขวางโลก : ผมบันทึกเสียงระหว่างที่เทรดเป็น Voice Data ผมว่าอารมณ์ไวกว่าแสง จดไม่ค่อยทันครับ พูดลงไปเลยดีกว่า
นักลงทุนจ้องโลก : หรือว่า อินเวสเฟิสเป็นเรื่องของจิตวิทยามากกว่าตัวเลข
นักลงทุนขวางโลก : ผมว่าจิตวิทยามันวัดกันยาก มันหลอกกันได้ คุณหลอกตัวเองได้ แต่มันสะท้อนในตัวเลขเสมอ ตัวเลขหลอกกันไม่ได้
นักลงทุนจ้องโลก : ตัวเลขอะไรบ้างที่สำคัญที่สุดเวลาอินเวสเฟิส
Sharpe Ratio ตัวนี้จะบอกว่าเรามี Margin of Safety ที่ดีขนาดไหน การบริหารความเสี่ยงของเราสุดยอดขนาดไหน มันบอกถึงว่าเวลาเราถูกเราได้เงินแค่ไหน เวลาเราผิดเราขาดทุนแค่ไหน ถ้ามันน้อยกว่า 1 เราต้องทบทวน MOS ของเราใหม่ทั้งหมด
นักลงทุนขวางโลก : ของผมอยู๋ที่ 3
นักลงทุนกอดโลก : 3 เท่า เลยหรือครับ สุดยอดไปเลยครับ
นักลงทุนแบกโลก : ค่า P&L ละครับ อยู่ที่เท่าไหร่
นักลงทุนขวางโลก : 52 เปอร์เซ็นต์ ครับ
นักลงทุนจ้องโลก : P&L นี่ค่าอะไรครับ
นักลงทุนแบกโลก : เปอร์เซ็นต์ถูกผิด ท่าน กอดโลก ดีที่สุดของกลุ่มเรา อยู่ที่ประมาณ 6O เปอร์เซ็นต์
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนคุณhumdrum ไขความข้องใจเรื่องReflexivity
โพสต์ที่ 30
นักลงทุนขวางโลก : แต่ค่า Sharp Ratio น้อยกว่าท่านจ้องโลก 60 ไม่มีความหมาย ถูกมากก็จริง แต่กำไรอาจน้อยกว่าเมื่อเวลาผิดอีก 40 percent ต้องดู sharp ratio ประกอบด้วยเสมอครับ มันไม่แน่หรอก
นักลงทุนกอดโลก : อินเวสเฟิสจะต้องผิดเยอะมากทีเดียว เพราะฉะนั้นเวลาผิดต้องให้ตัวเงินมันน้อยกว่ากำไรเมื่อเวลาที่เราถูก
นักลงทุนจ้องโลก : ใครที่กลัวการทำผิด คงทำใจลำบากกับหลักการแบบนี้
นักลงทุนแบกโลก : อย่างนักลงทุนที่ในวัยเด็กทำผิดแล้วถูกลงโทษ หรือ การทำผิดเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในบ้าน ผมว่าคงมีปัญหากับหลักการอินเวสเฟิส
นักลงทุนจ้องโลก : พ่อแม่พลักดันออกไปโลกข้างนอกไปทำผิดตั้งแต่วัยเด้ก น่าจะลงทุนแบบหลักการของโซรอสได้ดีกว่านะครับ
นักลงทุนกอดโลก : ถ้ากลัวการทำผิด อาจมีแนวโน้มลงทุนตามตลาด เวลาเห้นหุ้นขึ้นแล้ว คนอื่นแย่งกันซื้อ จะซื้อตามหรือปล่าว
นักลงทุนขวางโลก : จดบันทึกดีกว่า เรื่องอย่างนี้เหมือนการรื้อตัวเองขึ้นมาแล้วนั่งทำความเข้าใจกับความรู้สึกตัวเอง ไม่ใช่หนีมัน
นักลงทุนจ้องโลก : ไรนอล แมสเนอร์ นักปีนเขาที่เก่งที่สุดของโลก บอกว่า เขาไม่เคยสนใจภูเขา แปลกไหมครับ เขาพุดอย่างนี้จริงๆ
นักลงทุนแบกโลก : เขาไปปีนทำไมละครับ
นักลงทุนจ้องโลก : เขาบอกว่า เขาสนใจแต่ประสบการณ์ของตัวเองระหว่างปีนครับ
นักลงทุนกอดโลก : แปลได้ว่า เป้าหมายไม่สำคัญ แต่กระบวนการสำคัญกว่า บางทีถ้าเราทำทุกอย่างที่วางแผนไว้ แล้วเป้าหมายจะมาถึงเอง
นักลงทุนขวางโลก : วิธีทำถูก คำตอบก็ถูก
นักลงทุนกอดโลก : อินเวสเฟิสจะต้องผิดเยอะมากทีเดียว เพราะฉะนั้นเวลาผิดต้องให้ตัวเงินมันน้อยกว่ากำไรเมื่อเวลาที่เราถูก
นักลงทุนจ้องโลก : ใครที่กลัวการทำผิด คงทำใจลำบากกับหลักการแบบนี้
นักลงทุนแบกโลก : อย่างนักลงทุนที่ในวัยเด็กทำผิดแล้วถูกลงโทษ หรือ การทำผิดเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในบ้าน ผมว่าคงมีปัญหากับหลักการอินเวสเฟิส
นักลงทุนจ้องโลก : พ่อแม่พลักดันออกไปโลกข้างนอกไปทำผิดตั้งแต่วัยเด้ก น่าจะลงทุนแบบหลักการของโซรอสได้ดีกว่านะครับ
นักลงทุนกอดโลก : ถ้ากลัวการทำผิด อาจมีแนวโน้มลงทุนตามตลาด เวลาเห้นหุ้นขึ้นแล้ว คนอื่นแย่งกันซื้อ จะซื้อตามหรือปล่าว
นักลงทุนขวางโลก : จดบันทึกดีกว่า เรื่องอย่างนี้เหมือนการรื้อตัวเองขึ้นมาแล้วนั่งทำความเข้าใจกับความรู้สึกตัวเอง ไม่ใช่หนีมัน
นักลงทุนจ้องโลก : ไรนอล แมสเนอร์ นักปีนเขาที่เก่งที่สุดของโลก บอกว่า เขาไม่เคยสนใจภูเขา แปลกไหมครับ เขาพุดอย่างนี้จริงๆ
นักลงทุนแบกโลก : เขาไปปีนทำไมละครับ
นักลงทุนจ้องโลก : เขาบอกว่า เขาสนใจแต่ประสบการณ์ของตัวเองระหว่างปีนครับ
นักลงทุนกอดโลก : แปลได้ว่า เป้าหมายไม่สำคัญ แต่กระบวนการสำคัญกว่า บางทีถ้าเราทำทุกอย่างที่วางแผนไว้ แล้วเป้าหมายจะมาถึงเอง
นักลงทุนขวางโลก : วิธีทำถูก คำตอบก็ถูก