"วิชา พูลวรลักษณ์" เจ้าของ เมเจอร์ ซินีเพล็กซ์ กรุ้ป เตรียมแผนนำ "แมคไทย" เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ หลังจากบริหารครบ 5 ปี กำไรโตต่อเนื่อง ล่าสุดมีกำไรแตะ 200 ล้านบาท ครบตามเงื่อนไขที่บริษัทแม่ต่างประเทศกำหนดไว้ ขณะที่หุ้นในเครือเมเจอร์ 3 บริษัทมาร์เก็ตแคปโตยกกลุ่ม โดยเฉพาะสยามฟิวเจอร์ฯ แรงที่สุด 83%
แหล่งข่าวใกล้ชิดนายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซินีเพล็กซ์ กรุ้ป กล่าวว่า ขณะนี้ นายวิชา มีแผนเตรียมนำบริษัทแมคไทย จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย หลังจากที่เข้ามาลงทุนในบริษัทดังกล่าวมาเป็นเวลา 5 ปี และสามารถทำให้บริษัทแมคไทย มีผลประกอบการที่ดีพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไร
ล่าสุด ปี 2553 บริษัท แมคไทย จำกัด มีกำไรแตะระดับ 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน มีกำไร 130 ล้านบาท รวมทั้งแผนการขยายสาขาแมคไทยไปในต่างจังหวัดและการเปิดร้านเต็ม 24 ชั่วโมงทำให้ยอดขายเติบโตดี และถือว่าประสบความสำเร็จ
"ปัจจุบัน แมคไทย มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น และมีสาขารวมทั่วประเทศ 140 แห่ง และแนวโน้มยอดขายเติบโตดี ทำให้กลุ่มผู้ถือหุ้นอยู่ระหว่างพิจารณานำเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งตามเงื่อนไขของบริษัทแม่ในต่างประเทศ หากบริหารครบ 5 ปีและมีกำไร จึงจะสามารถนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นได้ ซึ่งบริษัทแมคไทยก็น่าจะมีความพร้อมแล้ว" แหล่งข่าวกล่าว
บริษัท แมคไทย จำกัด ดำเนินธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เป็นผู้บริหารร้านแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดังแมคโดนัลด์ ในประเทศไทย โดยแฮมเบอร์เกอร์ แมคโดนัลด์ ให้บริการในประเทศไทยครั้งแรกในปี 2528 ซึ่งนับเป็นประเทศที่ 35 ของโลก โดยมีสาขาแรกที่อัมรินทร์ พลาซ่า
นายวิชา ได้ใช้เงินประมาณ 2 พันล้านบาท เข้ามาซื้อบริษัท แมคไทย จำกัด เมื่อเดือนต.ค. 2549 โดยในครั้งนั้นนายวิชา ระบุว่า McDonald's ไม่ใช่การลงทุนของกลุ่ม ฯ แต่เป็นการลงทุนเองด้วยทุนส่วนตัว ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวะทางการเงินของ McDonald's ที่ติดตัวแดงยาวนานมาถึง 6 ปี อีกทั้งภาพลักษณ์ที่ดูถดถอยตลอด 3 ปีที่ถูกขายกลับไปอยู่ในมือบริษัทแม่ ซึ่งมีแต่การปิดสาขา ดังนั้นจะเป็นการเสี่ยงเกินไปหากจะถือในนามของเมเจอร์ฯ เพราะอาจจะฉุดพี/อีของเมเจอร์ฯ ให้ต่ำลงมา
นอกจากนี้ นายวิชา ยังเห็นว่า เนื่องจาก McDonald's เป็น Franchisee บริษัทมหาชนจึงไม่สามารถเข้าไปซื้อได้ ซึ่งหลังจากเขาได้ McDonald's มาแล้ว สิ่งแรกที่เขาลงมือทำคือ การเปิดตัวร้านคอนเซปต์ใหม่ พร้อมๆ กับการรีโนเวตรูปลักษณ์ของร้านสาขาเก่าด้วยงบร่วม 500 ล้านบาท
การนำหุ้นบริษัท แมคไทย จำกัด เข้าตลาดหุ้น แน่นอนว่าจะทำให้มูลค่าความมั่งคั่งของนายวิชาเพิ่มขึ้น หลังจากที่ในรอบปีที่ผ่านมา มูลค่าตลาดของหุ้นในกลุ่มเมเจอร์ฯ ซึ่งมี 3 บริษัท คือ บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ และ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกบริษัท
บริษัทที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด ได้แก่ บริษัท สยามฟิวเจอร์ มูลค่าตลาดรวมต้นปี 2553 อยู่ที่ 3.2 พันล้านบาท เป็น 5.87 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.42% รองลงมาเป็น บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ มูลค่ารวม 7.62 พันล้านบาท เป็น 1.14 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.43% บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จาก 135 ล้านบาท เป็น 181.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.53% และ บริษัท เอ็ม เจอร์ส จาก 833 ล้านบาท เป็น 1,058 ล้านบาท คิดเป็น 27.01%
ขณะที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) kest กล่าวว่า ปัจจุบันราคาหุ้นบริษัทเมเจอร์ฯ ยังไม่ตอบรับกับการเติบโตของผลประกอบการปี 2554 ซึ่งจะเป็นปีที่ภาพยนตร์ทำรายได้สูงเนื่องจากภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ทั้งไทยและฮอลลีวู้ดเข้าฉายหลายเรื่องเริ่มตั้งแต่ไตรมาสแรกเป็นต้นไป ส่วนไตรมาส 4/2553 คาดว่าจะมีการรับรู้กำไรจากการขาย ซูซูกิ อเวนิว รัชโยธิน เข้ากองทุน mjlf รวม 134 ล้านบาท จึงจะมีการปรับประมาณการกำไรขึ้น โดยยังคงแนะนำ ซื้อ โดยให้ราคาเหมาะสม ที่ 17.40 บาท
"ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ ซื้อหุ้นเมเจอร์ฯ เพราะเชื่อว่าราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนถึงศักยภาพเติบโตของบริษัท หุ้นมีอัพไซด์ไปสู่ราคาที่เหมาะสม 17.40 บาท ในปี 2554 คาดว่าจะเป็นปีที่รายได้ภาพยนตร์ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากมีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่หลายเรื่องเข้าฉายน่าจะได้รับความนิยมและทำรายได้ดี" นักวิเคราะห์กล่าว
เธอกล่าวว่า ภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่คาดว่าจะเข้าฉายปีนี้ ได้แก่ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 3 และ 4 ซึ่ง ก่อนหน้านี้ทำรายได้ภาคละ 250 ล้านบาท), pirates of the caribbean 4 ซึ่งภาค 3 รายได้ 154 ล้านบาท, transformers 3 และ ภาค 2 ทำรายได้ 210 ล้านบาท, harry potter 7.2 โดยภาค 7.1 รายได้ 147 ล้านบาท, twilight 4.1 ซึ่งภาค 3 รายได้ 102 ล้านบาท, mission impossible 4 และ ภาค 3 รายได้ 109 ล้านบาท, fast&furious 5 ภาค 4 รายได้ 95 ล้านบาท และ บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 3 โดยภาค 2 รายได้ 98 ล้านบาท ประกอบกับราคาตั๋วภาพยนตร์เฉลี่ยจะถูกผลักดันจากการฉายภาพยนตร์ในระบบ 3ดี มากขึ้น
นอกจากนี้รายได้โฆษณาซึ่งมีอัตรากำไรไม่ต่ำกว่า 80% คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมโฆษณา จึงประเมินว่ากำไรปกติของ เมเจอร์ฯ จะเติบโต 15% เป็น 663 ล้านบาท ในปี 2554 โดยปกติไตรมาสแรกเป็นช่วงที่ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดไม่แข็งแกร่งนัก แต่ในไตรมาส 1/2554 ภาพยนตร์ไทยทำรายได้ค่อนข้างดี
เมื่อเเมคไทย หรือ เเมคโดนัลด์เมืองไทย เตรียมตัวเข้าตลาดหุ้นไ
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเเมคไทย หรือ เเมคโดนัลด์เมืองไทย เตรียมตัวเข้าตลาดหุ้นไ
โพสต์ที่ 1
- jojolorsud
- Verified User
- โพสต์: 101
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อเเมคไทย หรือ เเมคโดนัลด์เมืองไทย เตรียมตัวเข้าตลาดห
โพสต์ที่ 2
+ เลย
หุ้นมันไม่ได้สวยหรู่
แต่ถ้าได้รอ . . . รับรองว่าคุ้ม
แต่ถ้าได้รอ . . . รับรองว่าคุ้ม