ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 1
วันนี้ อ่านข้อเขียนการสัมนาของคุณแชมป์ ปีนี้กูรูทุกคน
กลัวเงินเฟ้อ และพูดเหมือนกันทุกคนว่าเงินเฟ้อหุ้นต้องตก
สามัญสำนักบอกผมว่าถ้าเงินเฟ้อ เงินจะด้อยค่าถ้าเทียบกับสินค้า
หรือ ทส ต่างๆหุ้นก็เป้น ทส เงินเฟ้อหุ้นน่าจะแพงมากกว่า
ยิ่งเงินเฟ้อสมัยนี้ เกิด จากการเพิ่มปริมาณเงินในโลก
ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า เราจะขายหุ้นไปถือเงินสด ที่ีมันด้อยค่าทุกวันทำไม
ผมเห็นด้วยว่าปีนี้เงินเฟ้อแน่ แต่ไม่เห็นด้วยว่าถ้าเงินเฟ้อแล้ว
ราคาหุ้นจะตก
กลัวเงินเฟ้อ และพูดเหมือนกันทุกคนว่าเงินเฟ้อหุ้นต้องตก
สามัญสำนักบอกผมว่าถ้าเงินเฟ้อ เงินจะด้อยค่าถ้าเทียบกับสินค้า
หรือ ทส ต่างๆหุ้นก็เป้น ทส เงินเฟ้อหุ้นน่าจะแพงมากกว่า
ยิ่งเงินเฟ้อสมัยนี้ เกิด จากการเพิ่มปริมาณเงินในโลก
ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า เราจะขายหุ้นไปถือเงินสด ที่ีมันด้อยค่าทุกวันทำไม
ผมเห็นด้วยว่าปีนี้เงินเฟ้อแน่ แต่ไม่เห็นด้วยว่าถ้าเงินเฟ้อแล้ว
ราคาหุ้นจะตก
Blueplanet
- leaderinshadow
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 2
ถ้าเป็นเงินเฟ้อ เพราะเศรษฐกิจดี คนมีกำลังซื้อ และจับจ่ายใช้สอยได้คล่องตัว
เงินเฟ้อแบบนี้ หุ้นขึ้นครับ เพราะ บริษัทสามารถขึ้นราคาสินค้าได้ โดยที่ยอดขายไม่ตก
แต่ถ้าเงินเฟ้อ ที่เป็นผลมาจาก supply เพราะต้นทุนพุ่ง น้ำมันแพง
อันนี้ไม่ดีกับบริษัทครับ
เพราะต้นทุนจะสูงขึ้น ในขณะที่ผลักภาระโดนการขึ้นราคาได้ไม่มาก
บางที ขึ้นราคาได้นิดหน่อย แต่ต้นทุนพุ่งสูงกว่านั้นเยอะ ทำให้ Gross margin ต่ำลง
แถมเงินเฟ้อ ยังไปทำลายกำลังซื้อของผู้บริโภคเข้าอีก
ทำให้คนลดการจับจ่ายสิ่งที่ไม่จำเป็น
ในขณะที่รายได้ โตไม่ทันกับรายจ่าย
เงินเฟ้อแบบนี้ หุ้นขึ้นครับ เพราะ บริษัทสามารถขึ้นราคาสินค้าได้ โดยที่ยอดขายไม่ตก
แต่ถ้าเงินเฟ้อ ที่เป็นผลมาจาก supply เพราะต้นทุนพุ่ง น้ำมันแพง
อันนี้ไม่ดีกับบริษัทครับ
เพราะต้นทุนจะสูงขึ้น ในขณะที่ผลักภาระโดนการขึ้นราคาได้ไม่มาก
บางที ขึ้นราคาได้นิดหน่อย แต่ต้นทุนพุ่งสูงกว่านั้นเยอะ ทำให้ Gross margin ต่ำลง
แถมเงินเฟ้อ ยังไปทำลายกำลังซื้อของผู้บริโภคเข้าอีก
ทำให้คนลดการจับจ่ายสิ่งที่ไม่จำเป็น
ในขณะที่รายได้ โตไม่ทันกับรายจ่าย
-
- Verified User
- โพสต์: 141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 3
เห็นด้วยกับคุณ leader คับ ผมว่ามันก็ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทสามารถ pass cost ไปที่ผู้บริโภคได้มากเท่าไรด้วย ยิ่งมากก็น่าจะทำให้หุ้นตกน้อยลงถ้ามีเหตุการณ์แบบที่ว่าขึ้น โดยปกติผมไม่ค่อยเห็นนะที่ inflation มาแล้วหุ้นตกแต่ถ้าใครมีเคส study มาเถียงผมก็อยากรับฟังเหมือนกัน
แต่ก็ด้วยนะ ถ้า inflation มันมาแบบปกติเพราะว่าเศรษฐกิจดี ก็ไม่น่ามีเหตุผลไรที่หุ้นต้องตก เผลอๆควรจะขึ้นด้วยซ้ำและก็มีเคสมา support หลายๆที่เหมือนกัน แบบที่ zimbabwe มั้งที่มี hyperinflation แล้วหุ้นมันพุ่งกระฉูด
แต่ก็ด้วยนะ ถ้า inflation มันมาแบบปกติเพราะว่าเศรษฐกิจดี ก็ไม่น่ามีเหตุผลไรที่หุ้นต้องตก เผลอๆควรจะขึ้นด้วยซ้ำและก็มีเคสมา support หลายๆที่เหมือนกัน แบบที่ zimbabwe มั้งที่มี hyperinflation แล้วหุ้นมันพุ่งกระฉูด
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 4
ไม่มีเหตุผลเลยที่เงินเฟ้อแล้วหุ้นตก
ถ้าใครเชื่อว่าเงินเฟ้อแล้วหุ้นตกตอนนี้ต้องขายหุ้นที่มีในพอร์ตแล้ว
กูรูที่สัมนาวันเสาร์ ที่ 19 ข้อคิดเห็นทุกอย่างมีเหตุมีผลน่าเชื่อถือ
แต่ข้อสรุปว่เงินเพ้อหุ้นตก นั้นผมว่ามั่วและไร้เหตุผล
ที่บอกว่าเงินเฟ้อจากต้นทุนเพิ่มทำให้ธุรกิจกำไรลดลง
และมีข้อยกเว้นไว้นิดว่าถ้าไม่สามารถผลักภาระให้คนซื้อได้
ความจริงคือพ่อค้าจะตั้งราคาขายที่มีกำไรและสามารถขายได้
อย่างปุ๋ยก็ไม่ต้องขายเพราะราคาควบคุมขายแล้วขาดทุน
เงินเฟ้อคือภาวะที่เงินมีมาก ดังนั้นถ้าจำเป็นแล้ว อย่างไรก็ต้องซื้อ
เงินยิ่งเฟ้อสิ่งที่ต้องทำคือ พอร์ตฟอลิโอ จะต้องมีเงินสดให้น้อยที่สุด
ยิ่งติดลบยิ่งดี
ถ้าใครเชื่อว่าเงินเฟ้อแล้วหุ้นตกตอนนี้ต้องขายหุ้นที่มีในพอร์ตแล้ว
กูรูที่สัมนาวันเสาร์ ที่ 19 ข้อคิดเห็นทุกอย่างมีเหตุมีผลน่าเชื่อถือ
แต่ข้อสรุปว่เงินเพ้อหุ้นตก นั้นผมว่ามั่วและไร้เหตุผล
ที่บอกว่าเงินเฟ้อจากต้นทุนเพิ่มทำให้ธุรกิจกำไรลดลง
และมีข้อยกเว้นไว้นิดว่าถ้าไม่สามารถผลักภาระให้คนซื้อได้
ความจริงคือพ่อค้าจะตั้งราคาขายที่มีกำไรและสามารถขายได้
อย่างปุ๋ยก็ไม่ต้องขายเพราะราคาควบคุมขายแล้วขาดทุน
เงินเฟ้อคือภาวะที่เงินมีมาก ดังนั้นถ้าจำเป็นแล้ว อย่างไรก็ต้องซื้อ
เงินยิ่งเฟ้อสิ่งที่ต้องทำคือ พอร์ตฟอลิโอ จะต้องมีเงินสดให้น้อยที่สุด
ยิ่งติดลบยิ่งดี
Blueplanet
- laohanant
- Verified User
- โพสต์: 372
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 6
มันส่งผลแบบลูกโซ่ครับblueplanet เขียน:ไม่มีเหตุผลเลยที่เงินเฟ้อแล้วหุ้นตก
ถ้าใครเชื่อว่าเงินเฟ้อแล้วหุ้นตกตอนนี้ต้องขายหุ้นที่มีในพอร์ตแล้ว
กูรูที่สัมนาวันเสาร์ ที่ 19 ข้อคิดเห็นทุกอย่างมีเหตุมีผลน่าเชื่อถือ
แต่ข้อสรุปว่เงินเพ้อหุ้นตก นั้นผมว่ามั่วและไร้เหตุผล
ที่บอกว่าเงินเฟ้อจากต้นทุนเพิ่มทำให้ธุรกิจกำไรลดลง
และมีข้อยกเว้นไว้นิดว่าถ้าไม่สามารถผลักภาระให้คนซื้อได้
ความจริงคือพ่อค้าจะตั้งราคาขายที่มีกำไรและสามารถขายได้
อย่างปุ๋ยก็ไม่ต้องขายเพราะราคาควบคุมขายแล้วขาดทุน
เงินเฟ้อคือภาวะที่เงินมีมาก ดังนั้นถ้าจำเป็นแล้ว อย่างไรก็ต้องซื้อ
เงินยิ่งเฟ้อสิ่งที่ต้องทำคือ พอร์ตฟอลิโอ จะต้องมีเงินสดให้น้อยที่สุด
ยิ่งติดลบยิ่งดี
อุปกรณ์ป้องกันเงินเฟ้อที่สำคัญคืออะไรครับที่เหล่าธนาคารกลางใช้กัน
คำตอบก็คือ อัตราดอกเบี้ย ถ้าเงินเฟ้อมากขึ้น ไม่ต้องห่วงหรอกครับยังไงซะ อัตราดอกเบี้ยเดี๋ยวก็ต้องขึ้นตาม
เมื่ออัตราดอกเบี้ย ขึ้น กระทบไหมครับ ลองตามประวัติศาสตร์ดูก็ได้ครับ ว่าผลกระทบมีลักษณะตรงกันข้าม
ลองคิดง่ายๆ นะครับ ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า อัตราเงินปันผล นอกจาก VI แล้ว ใครจะเอาเงินฝากไว้ในหุ้น แทนที่จะไปฝากไว้กับธนาคารซึ่งมีความแน่นอนกว่าครับ
Detect and Act on the market 's error.
-
- Verified User
- โพสต์: 1070
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 7
ในตลาดหุ้นสิ่งที่น่ากลัวสุดก้คือเงินเฟ้อ บัฟเฟตกลัวเงินเฟ้อที่สุด เพราะมันกัดกร่อนอำนาจการซื้อ ก็จับตาถ้าดอกเบี้ยระยะสั้นสูงกว่าดอกเยี้ยระยะยาวเมือ่ไหร หุ้นไทยจะลงหนักมาก ตอนนี้ดอกระยะยาวก็อยุ่แถวๆ 5-6% ดอกระยะสั้นกำลังขยับขึ้นมาเรื่อยๆน่ากลัวมาก
copy มาแป๊ะ
copy มาแป๊ะ
The One
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 8
เงินเฟ้อ โดยตัวมันเองแล้ว หุ้นต้องขึ้น
1. ดอกเบี้ยขึ้นหุ้นก็ขึ้นได้ ถ้าประเมินแล้วหุ้นจะโตมากกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้น
2. แม้เงินเฟ้อ กนง อาจจะขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าอัตรเงินเฟ้อหรือไม่ขึ้นก็ได้
ดังนั้นใครสรุปว่าหุ้นต้องลงเพราะเงินเฟ้อ โดยอ้างว่าดอกเบี้ยต้องขึ้นและหุ้น
ต้องลงผมก็ว่าไม่ใช่ดังเหตุผลข้างบน
มีเหตุผลนึงที่หุ้นจะตก เพราะเงินเฟ้อ เพราะประเทศนั้นขาดดุลการค้าอย่าง
มากมาย ประเทศนั้นพึ่งตัวเองไม่ได้ ผลผลิตของประชาชนต่ำ
แบบนี้ ทส ทุกอย่างตกหมด ทุกอย่างจะถูกขายเอาเงินมาซื้อของเพื่อ
อยู่ไปวันๆ ของกินของใช้จำเป็นก็จะแพง ทส ก็จะถูก เพราะไม่รู้จะถือ
ทส ทำไมเพราะกำลังจะอดตาย
แต่เงินเฟ้อตอนนี้เกิดจาก USA ที่เพิ่มปริมาณเงินเข้ามา
ทุกประเทศในโลกก็ต้องลดค่าเงินตัวเอง เพื่อจะได้ส่งออกได้
เมื่อทุกประเทสลดค่าเงิน commodity ก็แพงขึ้นเป็นธรรมดา
เงินเฟ้อแบบนี้ อย่างไรผมก้ไม่เชื่อว่าหุ้นจะตก
อยาก รู้จังว่า ดร. ขายหุ้นที่ถือ อย่างมีนัยะสำคัญหรือยัง
1. ดอกเบี้ยขึ้นหุ้นก็ขึ้นได้ ถ้าประเมินแล้วหุ้นจะโตมากกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้น
2. แม้เงินเฟ้อ กนง อาจจะขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าอัตรเงินเฟ้อหรือไม่ขึ้นก็ได้
ดังนั้นใครสรุปว่าหุ้นต้องลงเพราะเงินเฟ้อ โดยอ้างว่าดอกเบี้ยต้องขึ้นและหุ้น
ต้องลงผมก็ว่าไม่ใช่ดังเหตุผลข้างบน
มีเหตุผลนึงที่หุ้นจะตก เพราะเงินเฟ้อ เพราะประเทศนั้นขาดดุลการค้าอย่าง
มากมาย ประเทศนั้นพึ่งตัวเองไม่ได้ ผลผลิตของประชาชนต่ำ
แบบนี้ ทส ทุกอย่างตกหมด ทุกอย่างจะถูกขายเอาเงินมาซื้อของเพื่อ
อยู่ไปวันๆ ของกินของใช้จำเป็นก็จะแพง ทส ก็จะถูก เพราะไม่รู้จะถือ
ทส ทำไมเพราะกำลังจะอดตาย
แต่เงินเฟ้อตอนนี้เกิดจาก USA ที่เพิ่มปริมาณเงินเข้ามา
ทุกประเทศในโลกก็ต้องลดค่าเงินตัวเอง เพื่อจะได้ส่งออกได้
เมื่อทุกประเทสลดค่าเงิน commodity ก็แพงขึ้นเป็นธรรมดา
เงินเฟ้อแบบนี้ อย่างไรผมก้ไม่เชื่อว่าหุ้นจะตก
อยาก รู้จังว่า ดร. ขายหุ้นที่ถือ อย่างมีนัยะสำคัญหรือยัง
Blueplanet
- Joga Bonito
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 278
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 9
เงินเฟ้อมีสองแบบครับ
Demand pull แบบที่เงินหมุนในระบบมากๆนั้นดีต่อธุรกิจส่วนใหญ่ครับเพราะคนมีเงินก็พยายามหาทางใช้จ่าย
แต่อีกแบบที่กลัวๆกัน คือ cost push ต้นทุนพุ่งครับ แบบนี้แน่นอนจะไปกดดันกำไรของบริษัทฯครับ เพราะต้นทุนจะเดิ่ม
เราวีไอเชื่ออยู่แล้วว่าราคาหุ้นวิ่งตามผลประกอบการ เพราะฉะนั้น เงินเฟ้อแบบนี้มันจะกดดันราคาหุ้นแน่นอนครับ
Demand pull แบบที่เงินหมุนในระบบมากๆนั้นดีต่อธุรกิจส่วนใหญ่ครับเพราะคนมีเงินก็พยายามหาทางใช้จ่าย
แต่อีกแบบที่กลัวๆกัน คือ cost push ต้นทุนพุ่งครับ แบบนี้แน่นอนจะไปกดดันกำไรของบริษัทฯครับ เพราะต้นทุนจะเดิ่ม
เราวีไอเชื่ออยู่แล้วว่าราคาหุ้นวิ่งตามผลประกอบการ เพราะฉะนั้น เงินเฟ้อแบบนี้มันจะกดดันราคาหุ้นแน่นอนครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 12
แล้วแต่มองด้วยถ้ามองแบบตัวบ. แบบเจาะจงก็คงตามน้องชาย
แต่ถ้ามองภาพรวม เงินเฟ้อมาก ต้องขึ้นดอกเบี้ย
เพราะเปนเครื่องมือสกัดเงินเฟ้อดีสุด
เงินลงทุนน่าจะต้องโยก
แต่มันจะมากน้อยก็ต้องคอยดูกัน
แต่ช่วงก่อนหน้านี้มันเปนเหตุการณ์ยากต่อการตัดสินใจ เพราะ เฟ้อ กับฝืด มันมาด้วยกัน
ตอนน้ำมุนขึ้นอย่างบ้าคลั่งนั่นอะคับ
แต่ถ้ามองภาพรวม เงินเฟ้อมาก ต้องขึ้นดอกเบี้ย
เพราะเปนเครื่องมือสกัดเงินเฟ้อดีสุด
เงินลงทุนน่าจะต้องโยก
แต่มันจะมากน้อยก็ต้องคอยดูกัน
แต่ช่วงก่อนหน้านี้มันเปนเหตุการณ์ยากต่อการตัดสินใจ เพราะ เฟ้อ กับฝืด มันมาด้วยกัน
ตอนน้ำมุนขึ้นอย่างบ้าคลั่งนั่นอะคับ
show me money.
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 14
ภาพรวมตอนนี้มันจ่ากลัวเพราะมันกำลังจะเข้าแนวเดิม คือ
ดอกเบี้ยแนวโน้มขาขึ้น น้ำมันราคาขึ้น หุ้นไม่ถูก อสังหาชะลอตัว
ถ้าไม่ลงก็ดีไป แต่จะไม่ระวังเลยคงไม่ใช่ที่
แตีถ้ามองในแง่ดีน้ำมันอาจะเปนปัณหาชั่วคตาว
เงินฝืดอาจะไม่มาด้วย
แต่แน่นอนมันต้องมีภาพรวม ภาพเล็ก บ.ได้ประโยชน์เสียประโยชน์
ดอกเบี้ยแนวโน้มขาขึ้น น้ำมันราคาขึ้น หุ้นไม่ถูก อสังหาชะลอตัว
ถ้าไม่ลงก็ดีไป แต่จะไม่ระวังเลยคงไม่ใช่ที่
แตีถ้ามองในแง่ดีน้ำมันอาจะเปนปัณหาชั่วคตาว
เงินฝืดอาจะไม่มาด้วย
แต่แน่นอนมันต้องมีภาพรวม ภาพเล็ก บ.ได้ประโยชน์เสียประโยชน์
show me money.
-
- Verified User
- โพสต์: 141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 15
พี่ก็ตอบคำถามแล้วนี่ครับ ว่าถ้าผลักภาระไปที่ผู้ซื้อไม่ได้หุ้นก็ตก..... ขายแล้วขาดทุน กับไม่ขายเลย หุ้นมันก็ตกอยู่ดี ตกน้อยตกมากแค่นั้นนิblueplanet เขียน: ที่บอกว่าเงินเฟ้อจากต้นทุนเพิ่มทำให้ธุรกิจกำไรลดลง
และมีข้อยกเว้นไว้นิดว่าถ้าไม่สามารถผลักภาระให้คนซื้อได้
ความจริงคือพ่อค้าจะตั้งราคาขายที่มีกำไรและสามารถขายได้
อย่างปุ๋ยก็ไม่ต้องขายเพราะราคาควบคุมขายแล้วขาดทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 16
เหมือนที่อธิบายให้คุณ blueplanet ฟังแล้วอ่ะครับ ถ้าในแง่ finance เงินเฟ้อก็จะทำให้ discount rate สูงขึ้นแต่ว่าสมมติว่าบริษัทสามารถ pass cost ไปที่ผู้บริโภคได้เต็ม 100% ก็จะได้รับผลกระทบน้อยลงเพราะว่า FCF ก็จะเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อด้วย แต่จะมีพวก Depreciation ที่ไม่ได้เพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อจึงทำให้ได้ tax-saving น้อยลงและอาจทำให้ valuation ตกลงนิดหน่อยเบื๊อก เขียน:เงินเฟ้อทำให้ discount rate สูงขึ้น ซึ่งทำให้ fair value ของหุ้นลดลงรึเปล่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 17
เงินเฟ้อ ถ้าพ่อค้าไม่สามารถผลักราคาให้ผู้บริโภคได้ รายได้ก็จะลดลง
เงินเฟ้อ ถ้าพ่อค้าสามารถผลักราคาให้ผู้บริโภคได้ ปริมาณการซื้อก็จะลดลง
ยังไม่นับรวม ดอกเบี้ยขึ้น ต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น ราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ฯลฯ
แต่รายได้ลดลง
พอเห็นภาพยังครับ ง่าย ๆ
เงินเฟ้อ ถ้าพ่อค้าสามารถผลักราคาให้ผู้บริโภคได้ ปริมาณการซื้อก็จะลดลง
ยังไม่นับรวม ดอกเบี้ยขึ้น ต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น ราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ฯลฯ
แต่รายได้ลดลง
พอเห็นภาพยังครับ ง่าย ๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 18
ทส คือ ทรัพย์สิน
ทุกประเทศ ถ้าปล่อยไว้เฉย ไม่แทรกแทรง ค่าเงิน ปล่อยให้
USA เพิ่มปริมาณเงินประเทศเดียว ทุกประเทศเงินจะแข็งขึ้น
แต่ ทุกประเทสก็เพิ่มปริมาณเงินเหมือนกัน
การแทรกแซงค่าเงินง่ายมาก ถ้าต้องการให้เงินอ่อนตัว
แต่ถ้าต้องการให้แข็งค่าอาจจะยากต้อง ขึ้นอยู่กับ
ความสามารถในหารผลิตของประเทศนั้นๆ
ดูแล้วกันเงินเฟ้อ จะทำให้หุ้นตกไม๊
ตอนนี้ใครๆก็เชื่อว่าเงินเฟ้อแน่
เฟ้อจากการเพิ่มปริมาณเงินของ USA
ที่บางคนเรียกว่า cost push ผมว่ามันไร้สาระ
เงินมาก ของก็แพง เป็นธรรมดา ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนเลย
คิดให้มันดูยาก และเป็นวิชาการ
เงินมากค่าของเงินลดของแพง หลักมีแค่นี้จริงๆ
ทุกประเทศ ถ้าปล่อยไว้เฉย ไม่แทรกแทรง ค่าเงิน ปล่อยให้
USA เพิ่มปริมาณเงินประเทศเดียว ทุกประเทศเงินจะแข็งขึ้น
แต่ ทุกประเทสก็เพิ่มปริมาณเงินเหมือนกัน
การแทรกแซงค่าเงินง่ายมาก ถ้าต้องการให้เงินอ่อนตัว
แต่ถ้าต้องการให้แข็งค่าอาจจะยากต้อง ขึ้นอยู่กับ
ความสามารถในหารผลิตของประเทศนั้นๆ
ดูแล้วกันเงินเฟ้อ จะทำให้หุ้นตกไม๊
ตอนนี้ใครๆก็เชื่อว่าเงินเฟ้อแน่
เฟ้อจากการเพิ่มปริมาณเงินของ USA
ที่บางคนเรียกว่า cost push ผมว่ามันไร้สาระ
เงินมาก ของก็แพง เป็นธรรมดา ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนเลย
คิดให้มันดูยาก และเป็นวิชาการ
เงินมากค่าของเงินลดของแพง หลักมีแค่นี้จริงๆ
Blueplanet
-
- Verified User
- โพสต์: 141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 19
ผมว่าบางคนที่ปิดกั้นตัวเองแล้วเชื่อแค่ว่า ถ้าเกิด x แล้ว y จะต้องตามมาอย่างเดียวไม่มีอย่างอื่นนี่ไร้สาระมากกว่านะครับ เหมือนแบบพวกนักวิชาการที่บอกว่าเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องลงไม่มีทางขึ้น หรือบอกว่าเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องขึ้นไม่มีทางลง แต่ก็อ่ะนะ...เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของผมblueplanet เขียน:ทส คือ ทรัพย์สิน
ทุกประเทศ ถ้าปล่อยไว้เฉย ไม่แทรกแทรง ค่าเงิน ปล่อยให้
USA เพิ่มปริมาณเงินประเทศเดียว ทุกประเทศเงินจะแข็งขึ้น
แต่ ทุกประเทสก็เพิ่มปริมาณเงินเหมือนกัน
การแทรกแซงค่าเงินง่ายมาก ถ้าต้องการให้เงินอ่อนตัว
แต่ถ้าต้องการให้แข็งค่าอาจจะยากต้อง ขึ้นอยู่กับ
ความสามารถในหารผลิตของประเทศนั้นๆ
ดูแล้วกันเงินเฟ้อ จะทำให้หุ้นตกไม๊
ตอนนี้ใครๆก็เชื่อว่าเงินเฟ้อแน่
เฟ้อจากการเพิ่มปริมาณเงินของ USA
ที่บางคนเรียกว่า cost push ผมว่ามันไร้สาระ
เงินมาก ของก็แพง เป็นธรรมดา ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนเลย
คิดให้มันดูยาก และเป็นวิชาการ
เงินมากค่าของเงินลดของแพง หลักมีแค่นี้จริงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 20
ผมคิดว่า การสนทนา คือการแสดงความเห็น และรับฟังความเห็น
ถ้าเรามีธงปักอยู่แต่ละฝั่งอยู่แล้ว อย่าคุยดีกว่าครับ
ไม่มีประโยชน์เลย เพราะเราคาดหวังให้อีกฝ่าย เชื่ออย่างที่เราคิด เท่านั้น
เราแค่อยากชี้นำ ไม่ได้อยากเปิดรับฟังความเห็น
ถ้าเรามีธงปักอยู่แต่ละฝั่งอยู่แล้ว อย่าคุยดีกว่าครับ
ไม่มีประโยชน์เลย เพราะเราคาดหวังให้อีกฝ่าย เชื่ออย่างที่เราคิด เท่านั้น
เราแค่อยากชี้นำ ไม่ได้อยากเปิดรับฟังความเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 21
เห็นถกกันเรื่องนี้ เอาบทความมาให้อ่านดูครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์
http://www.economywatch.com/inflation/e ... arket.html
Inflation And Stock Market
Inflation is a state in the economy of a country, when there is a price rise of goods as well as services. To meet the required price rise, individuals have to shell out more than is presumed.
With increase in inflation, every sector of the economy is affected. Ranging from unemployment, interest rates, exchange rates, investment, stock markets, there is an aftermath of inflation in every sector. Inflation is bound to impact all sectors, either directly or indirectly. Inflation and stock market have a very close association. If there is inflation, stock markets are the worst affected.
Inflation and stock market- the logistics:
Prices of stocks are determined by the net earnings of a company. It depends on how much profit, the company is likely to make in the long run or the near future. If it is reckoned that a company is likely to do well in the years to come, the stock prices of the company will escalate. On the other hand, if it is observed from trends that the company may not do well in the long run, the stock prices will not be high. In other words, the price of stocks are directly proportional to the performance of the company.In the event when inflation increases, the company earnings (worth) will also subside. This will adversely affect the stock prices and eventually the returns.
Effect of inflation on stock market is also evident from the fact that it increases the rates if interest. If the inflation rate is high, the interest rate is also high. In the wake of both (inflation and interest rates) being high, the creditor will have a tendency to compensate for the rise in interest rates. Therefore, the debtor has to avail of a loan at a higher rate. This plays a significant role in prohibiting funds from being invested in stock markets.
When the government has enough fund to circulate in the market, the cost of goods, services usually go up. This leads to the decrease in the purchasing power of individuals. The value of money also decreases. In a nut shell, for the economy to flourish, inflation and stock market ought to be more conforming and predictable.
http://www.economywatch.com/inflation/e ... arket.html
Inflation And Stock Market
Inflation is a state in the economy of a country, when there is a price rise of goods as well as services. To meet the required price rise, individuals have to shell out more than is presumed.
With increase in inflation, every sector of the economy is affected. Ranging from unemployment, interest rates, exchange rates, investment, stock markets, there is an aftermath of inflation in every sector. Inflation is bound to impact all sectors, either directly or indirectly. Inflation and stock market have a very close association. If there is inflation, stock markets are the worst affected.
Inflation and stock market- the logistics:
Prices of stocks are determined by the net earnings of a company. It depends on how much profit, the company is likely to make in the long run or the near future. If it is reckoned that a company is likely to do well in the years to come, the stock prices of the company will escalate. On the other hand, if it is observed from trends that the company may not do well in the long run, the stock prices will not be high. In other words, the price of stocks are directly proportional to the performance of the company.In the event when inflation increases, the company earnings (worth) will also subside. This will adversely affect the stock prices and eventually the returns.
Effect of inflation on stock market is also evident from the fact that it increases the rates if interest. If the inflation rate is high, the interest rate is also high. In the wake of both (inflation and interest rates) being high, the creditor will have a tendency to compensate for the rise in interest rates. Therefore, the debtor has to avail of a loan at a higher rate. This plays a significant role in prohibiting funds from being invested in stock markets.
When the government has enough fund to circulate in the market, the cost of goods, services usually go up. This leads to the decrease in the purchasing power of individuals. The value of money also decreases. In a nut shell, for the economy to flourish, inflation and stock market ought to be more conforming and predictable.
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 22
ต่อด้วย เมื่อมีเงินเฟ้อที่สูงขึ้น จะกระทบกับผลตอบแทนการลงทุนที่แท้จริงอย่างไรบ้างมีบทความมาให้ดูประกอบพร้อมภาพที่แสดงด้วยครับ และแสดงระดับของผลกระทบของgross profit กับ ระดับของ Inflation ในระดับ ต่ำกว่า เท่ากัน และสูงกว่า เพื่อตอบคำถามว่าทำไม Inflation จึงกระทบกับผลตอบแทนการลงทุน และมีโอกาสกระทบกับความเสี่ยงของราคาหุ้นได้อย่างไรครับ
http://www.inflationdata.com/inflation/ ... _price.asp
What is The True Stock Market Price (Inflation Adjusted)
by Tim McMahon, Editor
Updated July 16, 2010
With the recent Wall Street crash and recovery, how does the Stock Market compare? Where has the stock market really gone over the long run? Or is the upward trend an illusion based on inflation?
Adjusting stock market prices for inflation using the "Consumer Price Index" is known as the Stock price in "real dollars".
(A "real dollar" is the price after adjusting for inflation).
One of the worst problems with inflation is that distorts our perception... things are not always what they seem and this introduces uncertainty into our decision making process.
Here are some various scenarios:
1) The stock market went up 5% a year and inflation went up 3%.
2) The stock market went up 5% a year and inflation went up 5%.
3) The stock market went up 5% a year and inflation went up 6%.
In example #1 above inflation increased less than the stock market so the real return is 5% minus 3% so you had a "real return" of 2% (before taxes and after the inflation adjustment).
In example #2 inflation increased the same as the stock market so the real return is 5% minus 5% so you broke even (before taxes). But after paying taxes on the phantom gain of 5% you will actually lose money.
In example #3 above inflation increased more than the stock market so the real return is 5% minus 6% so you had a real loss of 1% (before taxes). But you will still have to pay taxes on the 5% gain making your real loss even worse.
As you can see the only way to see the true picture is to look at the inflation adjusted prices. We have created several other inflation adjusted price charts including Oil, Gold, Corn, Gasoline and Education.
Now, there are many ways to measure the stock market. The one that most people are interested in and commonly mentioned one by the press is the Dow Jones industrials.
I have often wondered why this index is so widely quoted by economic pundits, (other than the fact that it was originally created on May 26, 1896, making it the first index). At the time the DJIA represented the average of twelve stocks from various important American industries. Today the "DOW" is made up of 30 "representative" stocks and it's composition has changed many times over the last 100 plus years.
Rather than rely on "representative" stock indexes I prefer the real thing so I have created this "inflation adjusted stock price" chart by adjusting for inflation on the entire New York Stock Exchange (NYSE). With the largest dollar volume of any stock exchange in the world and with 2,764 listed securities it gives us a much broader view of the stock market.
Current Commentary:
Let's look at the stock market and see how it has fared this year in real inflation adjusted dollars over the past several years
As you can see from the chart, (above right) the blue line shows the "nominal NYSE index" . To adjust the stock price for inflation we used the Consumer Price Index (CPI-U) which is typically referred to as the "Inflation Rate".
In nominal terms (blue line) the NYSE stock index began 1966 just under 500. And by July of 1982 the nominal stock index had increased to 615 after having been even higher. So on the surface it would appear that the "stock market" posted an increase of roughly 23%.
(615-500=115) and (115 ÷ 500=.23)
Now a 23% increase in 16 years would be a nominal increase of 1.43% a year (less if you consider compounding) which doesn't sound that great, but in those days stocks paid higher dividends than they do today. So investors expected to get their profit from dividends rather than capital appreciation. So most investors would be happy with a 23% increase in their stock portfolio over and above their dividends.
The inflation adjusted stock price
However, when you take off the increase due to inflation, we can see from the red line (which is the "inflation adjusted NYSE Index stock price" in current dollars) that in inflation adjusted dollars the index began 1966 higher and fell through July of 1982.
So rather than a 23% increase, if you count inflation and had held stocks for the 16 years from 1966 to 1982, you would have actually lost about 59% of your purchasing power due to inflation.
But to make matters worse you would have paid taxes on your dividends and "paper gains" further reducing your final remainder. This may be one reason companies began reducing dividends, so more money was pumped into increasing the stock price.
In the time since 1982 the stock market has increased both in nominal terms and in inflation adjusted terms. Interestingly in inflation adjusted terms the NYSE stock index is below the peak of 2000.
The August 2000 stock peak in nominal terms occurred at around 6800 while it is 8546 in inflation adjusted terms.
From the August 2000 peak the market moved higher until the July 2007 peak which was at 10,563 in "real" inflation adjusted dollars. This is a 24.7% increase in seven years or about 3.2% per year (compound interest).
Our NYSE - ROC (Rate of Change) chart tracks the nominal rate of change in the NYSE and gives an excellent visual presentation of stock market nominal rates of return thus making it easier to determine when you should be in the market and when you should be on the sidelines.
http://www.inflationdata.com/inflation/ ... _price.asp
What is The True Stock Market Price (Inflation Adjusted)
by Tim McMahon, Editor
Updated July 16, 2010
With the recent Wall Street crash and recovery, how does the Stock Market compare? Where has the stock market really gone over the long run? Or is the upward trend an illusion based on inflation?
Adjusting stock market prices for inflation using the "Consumer Price Index" is known as the Stock price in "real dollars".
(A "real dollar" is the price after adjusting for inflation).
One of the worst problems with inflation is that distorts our perception... things are not always what they seem and this introduces uncertainty into our decision making process.
Here are some various scenarios:
1) The stock market went up 5% a year and inflation went up 3%.
2) The stock market went up 5% a year and inflation went up 5%.
3) The stock market went up 5% a year and inflation went up 6%.
In example #1 above inflation increased less than the stock market so the real return is 5% minus 3% so you had a "real return" of 2% (before taxes and after the inflation adjustment).
In example #2 inflation increased the same as the stock market so the real return is 5% minus 5% so you broke even (before taxes). But after paying taxes on the phantom gain of 5% you will actually lose money.
In example #3 above inflation increased more than the stock market so the real return is 5% minus 6% so you had a real loss of 1% (before taxes). But you will still have to pay taxes on the 5% gain making your real loss even worse.
As you can see the only way to see the true picture is to look at the inflation adjusted prices. We have created several other inflation adjusted price charts including Oil, Gold, Corn, Gasoline and Education.
Now, there are many ways to measure the stock market. The one that most people are interested in and commonly mentioned one by the press is the Dow Jones industrials.
I have often wondered why this index is so widely quoted by economic pundits, (other than the fact that it was originally created on May 26, 1896, making it the first index). At the time the DJIA represented the average of twelve stocks from various important American industries. Today the "DOW" is made up of 30 "representative" stocks and it's composition has changed many times over the last 100 plus years.
Rather than rely on "representative" stock indexes I prefer the real thing so I have created this "inflation adjusted stock price" chart by adjusting for inflation on the entire New York Stock Exchange (NYSE). With the largest dollar volume of any stock exchange in the world and with 2,764 listed securities it gives us a much broader view of the stock market.
Current Commentary:
Let's look at the stock market and see how it has fared this year in real inflation adjusted dollars over the past several years
As you can see from the chart, (above right) the blue line shows the "nominal NYSE index" . To adjust the stock price for inflation we used the Consumer Price Index (CPI-U) which is typically referred to as the "Inflation Rate".
In nominal terms (blue line) the NYSE stock index began 1966 just under 500. And by July of 1982 the nominal stock index had increased to 615 after having been even higher. So on the surface it would appear that the "stock market" posted an increase of roughly 23%.
(615-500=115) and (115 ÷ 500=.23)
Now a 23% increase in 16 years would be a nominal increase of 1.43% a year (less if you consider compounding) which doesn't sound that great, but in those days stocks paid higher dividends than they do today. So investors expected to get their profit from dividends rather than capital appreciation. So most investors would be happy with a 23% increase in their stock portfolio over and above their dividends.
The inflation adjusted stock price
However, when you take off the increase due to inflation, we can see from the red line (which is the "inflation adjusted NYSE Index stock price" in current dollars) that in inflation adjusted dollars the index began 1966 higher and fell through July of 1982.
So rather than a 23% increase, if you count inflation and had held stocks for the 16 years from 1966 to 1982, you would have actually lost about 59% of your purchasing power due to inflation.
But to make matters worse you would have paid taxes on your dividends and "paper gains" further reducing your final remainder. This may be one reason companies began reducing dividends, so more money was pumped into increasing the stock price.
In the time since 1982 the stock market has increased both in nominal terms and in inflation adjusted terms. Interestingly in inflation adjusted terms the NYSE stock index is below the peak of 2000.
The August 2000 stock peak in nominal terms occurred at around 6800 while it is 8546 in inflation adjusted terms.
From the August 2000 peak the market moved higher until the July 2007 peak which was at 10,563 in "real" inflation adjusted dollars. This is a 24.7% increase in seven years or about 3.2% per year (compound interest).
Our NYSE - ROC (Rate of Change) chart tracks the nominal rate of change in the NYSE and gives an excellent visual presentation of stock market nominal rates of return thus making it easier to determine when you should be in the market and when you should be on the sidelines.
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 23
มีบทวิจัยเรื่องนี้ Inflation, Stock Prices and Leverage in Emerging Markets ซึ่งมีการดูความสัมพันธ์ของ Inflation และ stock prices
จุดที่ให้ความสำคัญก็คือ บริษัทที่มีการกู้ยืมเงินค่อนข้างมาก จะมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงในช่วงที่มีภาวะเงินเฟ้อที่สูง เพราะจะเผชิญกับแนวโน้มต้นทุนดอกเบี้ยกู้ยืมที่สูงขึ้น เนื่องจากจะมีภาวะของต้นทุนการเงินที่สูงตามไปด้วย แต่หากมีเงินกู้น้อย ก็จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าครับ ลองอ่านcomment ของ บทวิจัยตอนท้ายดูครับ
http://www.wbiconpro.com/15-Diego-Main.pdf
จุดที่ให้ความสำคัญก็คือ บริษัทที่มีการกู้ยืมเงินค่อนข้างมาก จะมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงในช่วงที่มีภาวะเงินเฟ้อที่สูง เพราะจะเผชิญกับแนวโน้มต้นทุนดอกเบี้ยกู้ยืมที่สูงขึ้น เนื่องจากจะมีภาวะของต้นทุนการเงินที่สูงตามไปด้วย แต่หากมีเงินกู้น้อย ก็จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าครับ ลองอ่านcomment ของ บทวิจัยตอนท้ายดูครับ
http://www.wbiconpro.com/15-Diego-Main.pdf
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 24
ผมอ่านสิ่งที่ คุณchaitorn โพสต์แล้วแต่ผมไม่เข้าใจเลย
คำตอบที่มีเหตผลอาจจะอยู่ที่ คุณchaitornโพสตฺก็ได้
"ผมคิดว่า การสนทนา คือการแสดงความเห็น และรับฟังความเห็น
ถ้าเรามีธงปักอยู่แต่ละฝั่งอยู่แล้ว อย่าคุยดีกว่าครับ
ไม่มีประโยชน์เลย เพราะเราคาดหวังให้อีกฝ่าย เชื่ออย่างที่เราคิด เท่านั้น
เราแค่อยากชี้นำ ไม่ได้อยากเปิดรับฟังความเห็น
ผมคิดว่า การสนทนา คือการแสดงความเห็น และรับฟังความเห็น
ถ้าเรามีธงปักอยู่แต่ละฝั่งอยู่แล้ว อย่าคุยดีกว่าครับ
ไม่มีประโยชน์เลย เพราะเราคาดหวังให้อีกฝ่าย เชื่ออย่างที่เราคิด เท่านั้น
เราแค่อยากชี้นำ ไม่ได้อยากเปิดรับฟังความเห็น"
ผมมีธงของผมอยู่ ซึ่งไม่ตรงกับกูรู ผมเชื่ออย่างที่ผมเชื่อจริงๆ
สิ่งที่เพื่อนๆโพสต์ในตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถทำให้ผมเปลี่ยนความเชื่อเดิมได้
หลายครั้งผมต้องทิ้งความเชื่อของผมเอง หลังจากได้ฟังเหตุผลที่ดีๆ
มีประโยชน์แน่ถ้าเราทำให้คนอื่นเชื่ออย่างที่เราเชื่อ(ถ้าความเชื่อของเราคือ
สัมมาฐิจฐิ) และถ้าความเชื่อของเราเป็นมิจฉาฐิจฐิละ เราก็หวังว่า เราคงมีบุญพอ
ที่จะประเมินว่าอะไรถูกอะไรผิด
คำตอบที่มีเหตผลอาจจะอยู่ที่ คุณchaitornโพสตฺก็ได้
"ผมคิดว่า การสนทนา คือการแสดงความเห็น และรับฟังความเห็น
ถ้าเรามีธงปักอยู่แต่ละฝั่งอยู่แล้ว อย่าคุยดีกว่าครับ
ไม่มีประโยชน์เลย เพราะเราคาดหวังให้อีกฝ่าย เชื่ออย่างที่เราคิด เท่านั้น
เราแค่อยากชี้นำ ไม่ได้อยากเปิดรับฟังความเห็น
ผมคิดว่า การสนทนา คือการแสดงความเห็น และรับฟังความเห็น
ถ้าเรามีธงปักอยู่แต่ละฝั่งอยู่แล้ว อย่าคุยดีกว่าครับ
ไม่มีประโยชน์เลย เพราะเราคาดหวังให้อีกฝ่าย เชื่ออย่างที่เราคิด เท่านั้น
เราแค่อยากชี้นำ ไม่ได้อยากเปิดรับฟังความเห็น"
ผมมีธงของผมอยู่ ซึ่งไม่ตรงกับกูรู ผมเชื่ออย่างที่ผมเชื่อจริงๆ
สิ่งที่เพื่อนๆโพสต์ในตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถทำให้ผมเปลี่ยนความเชื่อเดิมได้
หลายครั้งผมต้องทิ้งความเชื่อของผมเอง หลังจากได้ฟังเหตุผลที่ดีๆ
มีประโยชน์แน่ถ้าเราทำให้คนอื่นเชื่ออย่างที่เราเชื่อ(ถ้าความเชื่อของเราคือ
สัมมาฐิจฐิ) และถ้าความเชื่อของเราเป็นมิจฉาฐิจฐิละ เราก็หวังว่า เราคงมีบุญพอ
ที่จะประเมินว่าอะไรถูกอะไรผิด
Blueplanet
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 25
ผมเห็นด้วยกับคุณblueplanetเรื่องแนวคิดเรื่องผลกระทบเงินเฟ้อครับ
แต่อย่างไรก็ตามผมก็เชื่อว่ามันไม่ได้เป็นผลกระทบแบบตายตัว เพราะมันมีหลายปัจจัยให้คิด
คาดการณ์ศก.สำหรับผม...ไม่ถนัดเท่าไร
ขอตัวไปวิเคราะห์หุ้นตอนว่างๆดีกว่า
แต่อย่างไรก็ตามผมก็เชื่อว่ามันไม่ได้เป็นผลกระทบแบบตายตัว เพราะมันมีหลายปัจจัยให้คิด
คาดการณ์ศก.สำหรับผม...ไม่ถนัดเท่าไร
ขอตัวไปวิเคราะห์หุ้นตอนว่างๆดีกว่า
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 26
คุณ blueplanet
เรื่องเงินเฟ้อ กับหุ้นตกนี้ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ
สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุด ก็คือ ลองหาข้อมูลมาดูว่า เขามีเหตุผลอย่างไรที่คิดว่า เงินเฟ้อจะกระทบกับราคาหุ้น
ความเชื่อนี้มีสมมุติฐานการคิดอย่างไร
หลังจากนั้น ผมนึกถึงวิชาสถิติก็คือ การตั้งสมมุติฐานว่าจะเชื่อหรือไม่
วิธีการก็คือ ต้องหาข้อหักล้างกับสมมุติฐานความเชื่อที่นักวิชาการ หรือคนส่วนใหญ่เขาเชื่อแบบนั้น หรือเราเรียกว่า Alternative Hyprothesis นั้นเอง
ก็เลยเป็นที่มาที่ผมทดลองหาข้อมูลความเชื่อ และสมมุติฐานที่อยู่บนความเชื่อดังกล่าวครับ
ซึ่งหากเราสามารถหาสมมุติฐานทางเลือก และหาข้อมูลมาหักล้างความเชื่อบางอย่างได้
ประโยชน์ที่ได้รับก็คือ จะทำให้เราเข้าใจความเสี่ยงของเรื่องเงินเฟ้อในภาพใหญ่ และเข้าใจข้อจำกัดบางเรื่อง รวมถึงภาพเล็กรายอุตสาหกรรมและรายบริษัทเพื่อเป็นประโยชน์ในการลงทุนต่อไป
ดังนั้น เราต้องเปิดใจกว้างรับฟังความเห็นทั้ง 2 ด้าน อย่างไม่มีธงก่อน (แม้เราจะมีความเชื่อบางอย่างอยู่ก็ตาม) แล้วเราก็จะได้ความคิดที่ตกผลึกมาใช้เพื่อประโยชน์ในการลงทุนต่อไป ทั้งมูมมองเชิงบวก และเชิงลบ และหลักฐานที่น่าเชื่อถือเท่าที่หาได้ครับ
เรื่องเงินเฟ้อที่กระทบกับราคาหุ้นนั้น ผมเคยอ่านหนังสือของเบนเกรแฮม the Intelligence iinvestor ที่แปลโดยคุณ พรชัย รัตนนนทชัยสุข ก็มีการศึกษาเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน หน้า 105 - 107 ใครมีหนังสือนี้ลองอ่านดูนะครับ
มีข้อมูลที่น่าสนใจก็คือ
ช่วงปี 1926 - 2002 ในปีที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่า 6% หุ้นก็เน่าเช่นกัน โดยช่วงเวลา 14 ปีอัตราเงินเฟ้อระดับสูงกว่า 6% หุ้นให้ผลตอบแทนติดลบถึง 8 ปีทีเดียว
อย่างไรก็ตามหากมีเงินเฟ้อในระดับอ่อน ๆ จะทำให้บริษัทสามารถผลักภาระต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นไปสู่ลูกค้าได้ เนื่องจากเงินเฟ้อระดับที่สูงจะทำให้ลูกค้าตัดการใช้จ่ายของพวกเขาลง และทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดน้อยลง
แต่ที่น่าสนใจก็คือ จากสถิติข้อมูล1926 - 2002 นั้น หากแบ่งช่วงเวลาเป็น 64 ช่วงมีช่วงเวลาสูงถึง 50 ช่วงหรือ 78%ของระยะเวลาทั้งหมด ที่หุ้นชนะเงินเฟ้อ โดยหุ้นไม่สามารถไล่ทันอัตราเงินเฟ้อประมาณ 1 ใน 5 ครับ
ก็คงนำข้อมูลที่ผ่านมาในอดีตที่มีการบันทึกไว้มาเล่าให้ฟังครับ
คงจะเป็นประโยชน์ในการถกกันต่อนะครับ ขอบคุณคุณ Blueplanet ที่ช่วยตั้งกระทู้ดี ๆ มาให้ถกกัน และหาข้อมูลมา Share กันครับ
ก่อนอื่นต้องขอชมคุณ blueplanet ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ซึ่งเป็นกระทู้ที่มีประโยชน์ในการถกถึงแนวคิดทั้ง 2 ด้านผมอ่านสิ่งที่ คุณchaitorn โพสต์แล้วแต่ผมไม่เข้าใจเลย
คำตอบที่มีเหตผลอาจจะอยู่ที่ คุณchaitornโพสตฺก็ได้
"ผมคิดว่า การสนทนา คือการแสดงความเห็น และรับฟังความเห็น
ถ้าเรามีธงปักอยู่แต่ละฝั่งอยู่แล้ว อย่าคุยดีกว่าครับ
ไม่มีประโยชน์เลย เพราะเราคาดหวังให้อีกฝ่าย เชื่ออย่างที่เราคิด เท่านั้น
เราแค่อยากชี้นำ ไม่ได้อยากเปิดรับฟังความเห็น
ผมคิดว่า การสนทนา คือการแสดงความเห็น และรับฟังความเห็น
ถ้าเรามีธงปักอยู่แต่ละฝั่งอยู่แล้ว อย่าคุยดีกว่าครับ
ไม่มีประโยชน์เลย เพราะเราคาดหวังให้อีกฝ่าย เชื่ออย่างที่เราคิด เท่านั้น
เราแค่อยากชี้นำ ไม่ได้อยากเปิดรับฟังความเห็น"
ผมมีธงของผมอยู่ ซึ่งไม่ตรงกับกูรู ผมเชื่ออย่างที่ผมเชื่อจริงๆ
สิ่งที่เพื่อนๆโพสต์ในตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถทำให้ผมเปลี่ยนความเชื่อเดิมได้
หลายครั้งผมต้องทิ้งความเชื่อของผมเอง หลังจากได้ฟังเหตุผลที่ดีๆ
มีประโยชน์แน่ถ้าเราทำให้คนอื่นเชื่ออย่างที่เราเชื่อ(ถ้าความเชื่อของเราคือ
สัมมาฐิจฐิ) และถ้าความเชื่อของเราเป็นมิจฉาฐิจฐิละ เราก็หวังว่า เราคงมีบุญพอ
ที่จะประเมินว่าอะไรถูกอะไรผิด
เรื่องเงินเฟ้อ กับหุ้นตกนี้ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ
สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุด ก็คือ ลองหาข้อมูลมาดูว่า เขามีเหตุผลอย่างไรที่คิดว่า เงินเฟ้อจะกระทบกับราคาหุ้น
ความเชื่อนี้มีสมมุติฐานการคิดอย่างไร
หลังจากนั้น ผมนึกถึงวิชาสถิติก็คือ การตั้งสมมุติฐานว่าจะเชื่อหรือไม่
วิธีการก็คือ ต้องหาข้อหักล้างกับสมมุติฐานความเชื่อที่นักวิชาการ หรือคนส่วนใหญ่เขาเชื่อแบบนั้น หรือเราเรียกว่า Alternative Hyprothesis นั้นเอง
ก็เลยเป็นที่มาที่ผมทดลองหาข้อมูลความเชื่อ และสมมุติฐานที่อยู่บนความเชื่อดังกล่าวครับ
ซึ่งหากเราสามารถหาสมมุติฐานทางเลือก และหาข้อมูลมาหักล้างความเชื่อบางอย่างได้
ประโยชน์ที่ได้รับก็คือ จะทำให้เราเข้าใจความเสี่ยงของเรื่องเงินเฟ้อในภาพใหญ่ และเข้าใจข้อจำกัดบางเรื่อง รวมถึงภาพเล็กรายอุตสาหกรรมและรายบริษัทเพื่อเป็นประโยชน์ในการลงทุนต่อไป
ดังนั้น เราต้องเปิดใจกว้างรับฟังความเห็นทั้ง 2 ด้าน อย่างไม่มีธงก่อน (แม้เราจะมีความเชื่อบางอย่างอยู่ก็ตาม) แล้วเราก็จะได้ความคิดที่ตกผลึกมาใช้เพื่อประโยชน์ในการลงทุนต่อไป ทั้งมูมมองเชิงบวก และเชิงลบ และหลักฐานที่น่าเชื่อถือเท่าที่หาได้ครับ
เรื่องเงินเฟ้อที่กระทบกับราคาหุ้นนั้น ผมเคยอ่านหนังสือของเบนเกรแฮม the Intelligence iinvestor ที่แปลโดยคุณ พรชัย รัตนนนทชัยสุข ก็มีการศึกษาเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน หน้า 105 - 107 ใครมีหนังสือนี้ลองอ่านดูนะครับ
มีข้อมูลที่น่าสนใจก็คือ
ช่วงปี 1926 - 2002 ในปีที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่า 6% หุ้นก็เน่าเช่นกัน โดยช่วงเวลา 14 ปีอัตราเงินเฟ้อระดับสูงกว่า 6% หุ้นให้ผลตอบแทนติดลบถึง 8 ปีทีเดียว
อย่างไรก็ตามหากมีเงินเฟ้อในระดับอ่อน ๆ จะทำให้บริษัทสามารถผลักภาระต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นไปสู่ลูกค้าได้ เนื่องจากเงินเฟ้อระดับที่สูงจะทำให้ลูกค้าตัดการใช้จ่ายของพวกเขาลง และทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดน้อยลง
แต่ที่น่าสนใจก็คือ จากสถิติข้อมูล1926 - 2002 นั้น หากแบ่งช่วงเวลาเป็น 64 ช่วงมีช่วงเวลาสูงถึง 50 ช่วงหรือ 78%ของระยะเวลาทั้งหมด ที่หุ้นชนะเงินเฟ้อ โดยหุ้นไม่สามารถไล่ทันอัตราเงินเฟ้อประมาณ 1 ใน 5 ครับ
ก็คงนำข้อมูลที่ผ่านมาในอดีตที่มีการบันทึกไว้มาเล่าให้ฟังครับ
คงจะเป็นประโยชน์ในการถกกันต่อนะครับ ขอบคุณคุณ Blueplanet ที่ช่วยตั้งกระทู้ดี ๆ มาให้ถกกัน และหาข้อมูลมา Share กันครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 27
ตอนนี้นอกจากมองภาพใหญ่ในเรื่องเงินเฟ้อแล้ว
ตอนนี้ผมมองข้ามช้อตไปอีกก้าวว่า เมื่อเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ อุตสาหกรรม หรือหุ้นกลุ่มใดที่น่าจะทานเงินเฟ้อได้ดี
กำลังหาข้อมูลสถิติเดิมในอดีตในช่วงเงินเฟ้อสูงๆ ครับ ผมคิดว่าแม้ภาพใหญ่นั้นอาจไม่ดีต่อหุ้นหลาย ๆ กลุ่ม แต่ก็น่าจะมีหุ้นบางกลุ่มที่มองระยะยาวแล้ว สามารถต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ดี
และการที่จะต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ดีนั้น หุ้นเหล่านั้นต้องมีคุณสมบัติอะไรเป็นพิเศษ ที่สามารถสวนทางกับหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ได้บ้าง
ใครมีข้อมูลช่วย Share กันหน่อยก็ดีครับ จะได้ไปทำการบ้านเพิ่มเติมต่อไปครับ เพราะทุกวิกฤต ควรมองให้เห็นโอกาสบ้าง
ตอนนี้ผมมองข้ามช้อตไปอีกก้าวว่า เมื่อเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ อุตสาหกรรม หรือหุ้นกลุ่มใดที่น่าจะทานเงินเฟ้อได้ดี
กำลังหาข้อมูลสถิติเดิมในอดีตในช่วงเงินเฟ้อสูงๆ ครับ ผมคิดว่าแม้ภาพใหญ่นั้นอาจไม่ดีต่อหุ้นหลาย ๆ กลุ่ม แต่ก็น่าจะมีหุ้นบางกลุ่มที่มองระยะยาวแล้ว สามารถต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ดี
และการที่จะต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ดีนั้น หุ้นเหล่านั้นต้องมีคุณสมบัติอะไรเป็นพิเศษ ที่สามารถสวนทางกับหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ได้บ้าง
ใครมีข้อมูลช่วย Share กันหน่อยก็ดีครับ จะได้ไปทำการบ้านเพิ่มเติมต่อไปครับ เพราะทุกวิกฤต ควรมองให้เห็นโอกาสบ้าง
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 28
ผมชอบจริงๆกระทู้น่าจะมีประโยชน์ดี
ขอปูเสื่อฟังเงียบๆตามประสาคนประสบการณ์น้อยนะครับ
ขอปูเสื่อฟังเงียบๆตามประสาคนประสบการณ์น้อยนะครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต
- Joga Bonito
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 278
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 29
พี่ chaitorn อธิบายชัดเจนดีครับ
มันคือความเสี่ยงหนึ่ง ที่มากระทบต่อการดำเนินงานของ บริษัท
จริงครับมันไม่มีสูตรตายตัวหรอก ว่าเงินเฟ้อแล้วหุ้นจะลงหรือขึ้น
เพราะเหตุการณ์หนึ่งๆ ย่อมมีคนได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์
คนที่คาดว่าเงินเฟ้อแล้วหุ้นลงอาจจะเป็นเพราะเขาคิดว่ามันมีนัยยะสำคัญเยอะ
แต่พี่ blueplanet อาจจะคิดว่ามันขี้หมามากๆ ไม่กระทบกับหุ้นที่พี่ถือและตลาด
โดยรวมเลย มันไม่มีใครไร้สาระหรอกครับ
สิ่งที่เราควรทำคือหาดูว่าใครจะได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อ
เท่าที่ผมลองนึกมาน่าจะมี
ประกันฯ น่าจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่เพิ่ม
ขายน้ำ เพราะราคาปรับได้ตามเงินเฟ้อ
พลังงาน ราคาสินค้าแพงขึ้น
ส่วนแบงค์นี่ไม่แน่ใจ แต่ปกติก็ไม่เล่นหุ้นแบงค์อยู่แล้ว
มันคือความเสี่ยงหนึ่ง ที่มากระทบต่อการดำเนินงานของ บริษัท
จริงครับมันไม่มีสูตรตายตัวหรอก ว่าเงินเฟ้อแล้วหุ้นจะลงหรือขึ้น
เพราะเหตุการณ์หนึ่งๆ ย่อมมีคนได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์
คนที่คาดว่าเงินเฟ้อแล้วหุ้นลงอาจจะเป็นเพราะเขาคิดว่ามันมีนัยยะสำคัญเยอะ
แต่พี่ blueplanet อาจจะคิดว่ามันขี้หมามากๆ ไม่กระทบกับหุ้นที่พี่ถือและตลาด
โดยรวมเลย มันไม่มีใครไร้สาระหรอกครับ
สิ่งที่เราควรทำคือหาดูว่าใครจะได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อ
เท่าที่ผมลองนึกมาน่าจะมี
ประกันฯ น่าจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่เพิ่ม
ขายน้ำ เพราะราคาปรับได้ตามเงินเฟ้อ
พลังงาน ราคาสินค้าแพงขึ้น
ส่วนแบงค์นี่ไม่แน่ใจ แต่ปกติก็ไม่เล่นหุ้นแบงค์อยู่แล้ว
- Paul Octopus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
โพสต์ที่ 30
ในหนังสือ The Intelligent Investor ของ Benjamin Graham ฉบับล่าสุด มีค่าสถิติของ Dow เมื่อเทียบกับ Inflation ตั้งแต่ปี 1926 ถีง 2002 จะเห็นได้ว่า
1 ถ้าเกิด Deflation ตั้งแต่ -10 -->-5% หุ้น Dow จะตกทั้งหมด
2 Deflation ตั้งแต่ -4% จนถีง Inflation +5% หุ้น Dow ส่วนใหญ่ > 85% จะขึ้น
3 Infaltion มากกว่า +5% --> + 18% หุ้น Dow จะตก 50% ขึ้น 50%
ถ้ายังไม่ต้องอธิบายด้วยทฤษฎี จะเห็นว่าตลาดหุ้นกลัว Deflation มากกว่า Infation ครับ
ส่วนการเพิ่มหรือลดตามทฤษฎี ขึ้นกับว่า Inflation/Deflation เกิดจากอะไรจาก 3 อย่างนี้
1. Cost Push
2. Demand Pull
3. Expectation หรือ Speculation
การแก้ใข้ภาครัฐต่อ 3 เรื่องนี้จะแตกต่างกัน และ จะกระทบบริษัทฯแตกต่างกันด้วย ถ้า Post คงต้องพิมพ์ถึงเช้า ตอนนี้ขอแบบนี้ก่อนแล้วกัน
1 ถ้าเกิด Deflation ตั้งแต่ -10 -->-5% หุ้น Dow จะตกทั้งหมด
2 Deflation ตั้งแต่ -4% จนถีง Inflation +5% หุ้น Dow ส่วนใหญ่ > 85% จะขึ้น
3 Infaltion มากกว่า +5% --> + 18% หุ้น Dow จะตก 50% ขึ้น 50%
ถ้ายังไม่ต้องอธิบายด้วยทฤษฎี จะเห็นว่าตลาดหุ้นกลัว Deflation มากกว่า Infation ครับ
ส่วนการเพิ่มหรือลดตามทฤษฎี ขึ้นกับว่า Inflation/Deflation เกิดจากอะไรจาก 3 อย่างนี้
1. Cost Push
2. Demand Pull
3. Expectation หรือ Speculation
การแก้ใข้ภาครัฐต่อ 3 เรื่องนี้จะแตกต่างกัน และ จะกระทบบริษัทฯแตกต่างกันด้วย ถ้า Post คงต้องพิมพ์ถึงเช้า ตอนนี้ขอแบบนี้ก่อนแล้วกัน