The Financial Crisis of 2015
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
The Financial Crisis of 2015
โพสต์ที่ 1
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: The Financial Crisis of 2015
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณ อธิบายได้เข้าใจง่ายดีครับ
- Paul Octopus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Financial Crisis of 2015
โพสต์ที่ 3
Scenario นี้เป็นไปได้ แต่การฟันธงไปว่า 2015 ผมยังไม่ปักใจแบบนั้น มันคงต้องดูตัวเลขมากมายประกอบเสียก่อน
Factors เรื่อง India Growth และการกับมาฟื้นตัวของ USA ที่ดีกว่าที่คาด อาจเร่งให้ Bubble ของ Commodities แตกได้เร็วกว่านั้นก็ได้
ครั้งที่แล้วแค่น้ำมันราคา 140 $ ทำให้ USA พังมาแล้ว เพราะคนเป็นจำนวนมากไม่มีเงินไปส่งบ้านที่ mortgage ไปกับ สถาบันการเงิน
ครั้งนี้แค่น้ำมันกลับไปทำจุดเดิม 140 $ (วันนี้ 120$ แล้วนะครับ) ผมว่า ยุโรป และ ญี่ปุุ่น ซี่งอ่อนแอมากในตอนนี้น่าจะพบกับ Recession ได้อีก และ อาจจะกระทบไปทั่วโลก และ มันอาจเกิดขึ้นเร็วด้วย ระวังกันหน่อยแล้วกัน โดยเฉพาะตอนที่ตลาดหุ้นมัน Bullish แบบเปิดตำราหาสาเหตุกันไม่ทัน มันน่าวาดเสียวนะครับ
ขอบคุณในข้อมูลดีๆครับ
Factors เรื่อง India Growth และการกับมาฟื้นตัวของ USA ที่ดีกว่าที่คาด อาจเร่งให้ Bubble ของ Commodities แตกได้เร็วกว่านั้นก็ได้
ครั้งที่แล้วแค่น้ำมันราคา 140 $ ทำให้ USA พังมาแล้ว เพราะคนเป็นจำนวนมากไม่มีเงินไปส่งบ้านที่ mortgage ไปกับ สถาบันการเงิน
ครั้งนี้แค่น้ำมันกลับไปทำจุดเดิม 140 $ (วันนี้ 120$ แล้วนะครับ) ผมว่า ยุโรป และ ญี่ปุุ่น ซี่งอ่อนแอมากในตอนนี้น่าจะพบกับ Recession ได้อีก และ อาจจะกระทบไปทั่วโลก และ มันอาจเกิดขึ้นเร็วด้วย ระวังกันหน่อยแล้วกัน โดยเฉพาะตอนที่ตลาดหุ้นมัน Bullish แบบเปิดตำราหาสาเหตุกันไม่ทัน มันน่าวาดเสียวนะครับ
ขอบคุณในข้อมูลดีๆครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
Re: The Financial Crisis of 2015
โพสต์ที่ 4
ไม่รู้ว่า น้ำมันคราวนี้ จะวิ่งไปถึงซักกี่เหรียญ เนอะครับ คราวก่อนๆ 140 เหรียญนี้ ก็เป็นตัวผลักดันให้เกิด เงินเฟ้อแบบ Cost Push ออกไป เราอาจจะได้อยู่ในช่วงเงินเฟ้อ เนื่องจาก Cost Push นี้ไปอีกซักระยะ ช่วงนี้ อะไรๆ ก็ดูเหมือน แพงขึ้นมาเยอะ รู้สึกเหมือนว่าเงินมันควรจะเฟ้อกว่าที่ประกาศอยู่เยอะ
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: The Financial Crisis of 2015
โพสต์ที่ 5
เงินเฟ้อของเดือนมีนา ลองไปดูอัตราเงินเฟ้อแยกส่วน พวกอาหารเนื้อสัตว์ไม่ต่ำกว่า 5%
ผัก 18% พลังงาน 8% อื่นๆ ก็ประมาณ 4-5%
ไม่รู้ทำไมพอเวทน้ำหนักไหงออกมาแค่ 3% กว่าๆ
ผมว่ามันผิดปกตินะครับ
ผัก 18% พลังงาน 8% อื่นๆ ก็ประมาณ 4-5%
ไม่รู้ทำไมพอเวทน้ำหนักไหงออกมาแค่ 3% กว่าๆ
ผมว่ามันผิดปกตินะครับ
- CHOOKY
- Verified User
- โพสต์: 540
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Financial Crisis of 2015
โพสต์ที่ 6
ปีไหนผมคงไม่สามารถคาดได้ แต่ที่ผมรู้ผมเห็นคือ
-ปีนี้แบงค์เริ่มปล่อยสินเชื่อ แบบง่ายๆมากขึ้น
-ให้วงเงินสินเชื่อเกินหลักประกัน และเริ่มเกินหลักประกันมากขึ้นๆ
-ให้วงเงินหมุนเวียนเกิน Working Cap. NEED และไม่นับรวมวงเงิน Working Cap ที่มีกับสถาบันการเงินอื่น
-ให้วงเงินกู้ ทดแทนวงเงินกู้เดิมที่ชำระไปบางส่วนหรือเกือบทั้งหมด โดยไม่ต้องมีวัตถุประสงค์ ที่จำเป็น
ถึงแม้วันนี้จะยังไม่เห็น NEW NPL แต่ผมว่า เรื่องร้ายๆมันกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว...........
-ปีนี้แบงค์เริ่มปล่อยสินเชื่อ แบบง่ายๆมากขึ้น
-ให้วงเงินสินเชื่อเกินหลักประกัน และเริ่มเกินหลักประกันมากขึ้นๆ
-ให้วงเงินหมุนเวียนเกิน Working Cap. NEED และไม่นับรวมวงเงิน Working Cap ที่มีกับสถาบันการเงินอื่น
-ให้วงเงินกู้ ทดแทนวงเงินกู้เดิมที่ชำระไปบางส่วนหรือเกือบทั้งหมด โดยไม่ต้องมีวัตถุประสงค์ ที่จำเป็น
ถึงแม้วันนี้จะยังไม่เห็น NEW NPL แต่ผมว่า เรื่องร้ายๆมันกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว...........
"ค้นหาคุณค่าให้พบ แล้วซื้อหุ้นกิจการที่ดีนั้น ซึ่งมีกำไรต่อเนื่อง ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และถือมันไว้ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี และยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง"
- Paul Octopus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Financial Crisis of 2015
โพสต์ที่ 7
หนังสือใหม่ ชื่อ Outrageous Fortunes
ตีพิมพ์ปีนี้เอง
กล่าวถึง "The twelve surprising trends that will reshape the global economy" แต่เป็นการมองในระยะยาวเกินกว่า 10 ปี
Trend แรก "China will get richer, then it will get poorer again"
และ Trend ที่สอง "The EU will disintegrate as an economy entity"
ซี่งทั้ง 2 trends น่าจะเป็นข้อเตือนใจให้เราตระหนักว่า Crisis จะเกิดขึ้นแน่ แต่ปัญหาคือไม่สามารถบอกได้ว่า เมื่อไหร่
ทั้ง 2 trends กระทบ Global Economy แน่นอน และ อาจไม่แพ้ Hamberger Crisis
แต่ผมขอย้ำนะครับว่าเป็นมุมมองเกิน 10 ปี ขี้นไปไม่ใช่ 2015
และ เท่าที่อ่านหนังสือเล่มนี้ใช้ข้อมูลเชิงสังคมเป็นตัวทำนายอนาคต (มากกว่าข้อมูลเชิงสถิติ) ไม่เหมือนหนังสือเรื่อง Megatrends ที่ โด่งดังในปี 1990 ที่ทำนาย 10 megatrends ที่จะเกิดขึ้นใน 2000+ และ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจริงถ้าใครเคยอ่าน หนังสือเล่นนั้นใช้ข้อมูลสถิติ และ Extraporate ออกไป
เรื่อง Crisis เกิดแน่ แต่เมื่อไหร่เท่านั้นเองครับ
ตีพิมพ์ปีนี้เอง
กล่าวถึง "The twelve surprising trends that will reshape the global economy" แต่เป็นการมองในระยะยาวเกินกว่า 10 ปี
Trend แรก "China will get richer, then it will get poorer again"
และ Trend ที่สอง "The EU will disintegrate as an economy entity"
ซี่งทั้ง 2 trends น่าจะเป็นข้อเตือนใจให้เราตระหนักว่า Crisis จะเกิดขึ้นแน่ แต่ปัญหาคือไม่สามารถบอกได้ว่า เมื่อไหร่
ทั้ง 2 trends กระทบ Global Economy แน่นอน และ อาจไม่แพ้ Hamberger Crisis
แต่ผมขอย้ำนะครับว่าเป็นมุมมองเกิน 10 ปี ขี้นไปไม่ใช่ 2015
และ เท่าที่อ่านหนังสือเล่มนี้ใช้ข้อมูลเชิงสังคมเป็นตัวทำนายอนาคต (มากกว่าข้อมูลเชิงสถิติ) ไม่เหมือนหนังสือเรื่อง Megatrends ที่ โด่งดังในปี 1990 ที่ทำนาย 10 megatrends ที่จะเกิดขึ้นใน 2000+ และ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจริงถ้าใครเคยอ่าน หนังสือเล่นนั้นใช้ข้อมูลสถิติ และ Extraporate ออกไป
เรื่อง Crisis เกิดแน่ แต่เมื่อไหร่เท่านั้นเองครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 775
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Financial Crisis of 2015
โพสต์ที่ 9
เท่าที่ผมสังเกตุ ตอนนี้รอบของวิกฤติเกิดขึ้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ
มันเหมือนยิ่งแก้ปัญหา มันก็จะเจออีกปัญหา
คล้ายๆแก้ปมเชือกที่มันพันกันจนเละ พอแก้ปมนึงได้ก็เจออีกปม
ทางเดียวที่ทำได้ไม่ใช่การแก้ปม แต่มันต้องตัดปมนั้นทิ้งไปเลย
ผมยังมองเหมือนเดิมว่า ภายใน 2 ปี เราจะเจอวิกฤติที่หนักกว่า sub prime
เพราะรอบนี้ไม่ได้เกิดแค่เงินเฟ้อ แต่มันมีเงินฝืดด้วย
ปัญหากำลังก่อตัวอย่างช้าๆ คนดูเหมือนมีเงินมากขึ้น
แต่กลับไม่สามารถซื้อของได้มากขึ้น
แต่ที่หนักคือความต้องการของคนเพิ่มขึ้น
จากการส่งเสริมการใช้จ่าย ผ่านบัตรเครดิต ผ่านสินเชื่อต่างๆ
ตอนนี้ก็เริ่มพยายามเอาบัตรเครดิต เอาสินเชื่อไปปล่อยให้กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำมากขึ้นแล้ว
แล้วคิดดูว่า กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำมีรายได้ที่มั่นคงหรือไม่
มีระเบียบวินัยในการใช้จ่ายหรือไม่
มีความสามารถในการชำระหนี้หรือไม่
ปัญหาตรงนี้ยังไม่เกิดตอนนี้หรอก
เพราะในระยะสั้นช่วงนี้เราอาจจะเห็นแค่เงินเฟ้อ
แต่เรายังไม่เห็นเงินฝืด เพราะเรายังเอาเงินในอนาคตมาใช้ได้
แต่เมื่อไรที่เราเอาเงินในอนาคตมาใช้หมดเมื่อไร
คนจะเริ่มรู้ตัวว่า เงินไม่พอใช้จ่าย ไม่พอจะผ่อนสินเชื่อ ไม่พอจ่ายหนี้
เพราะปัญหาเงินเฟ้อจะค่อยๆเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ
จนในที่สุด ความสามารถในการชำระหนี้ของคนจะลดลง
การปล่อยสินเชื่อจะเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะเกิดภาวะเงินฝืดตามมา
Stagflation จะมาแน่ๆในวิกฤติรอบหน้า และจะต้องใช้เวลาแก้ไขนานมาก
เพราะแก้เงินเฟ้อ ก็เกิดเงินฝืด แก้เงินฝืดก็เกิดเงินเฟ้อ
เจอปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พอดีมานด์เริ่มลด ซัพพลายเริ่มล้น ก็จะเริ่มลดการผลิต
ลดการผลิตก็ลดจำนวนแรงงาน
แรงงานไม่มีรายได้ ก็ไม่มีเงินจ่ายหนี้
ไม่เงินจ่ายหนี้ ก็เกิดหนี้เสีย ที่นี้ก็จบเลย
ปัญหามันพันกันเป็นปมจนเละ ในอนาคตเราอาจได้เห็นการตัดปมปัญหาทิ้ง
ไม่แน่ว่า ต่อไป เราอาจจะไม่ได้ใช้ "เงิน"กันเลยก็ได้
แต่จะมีอย่างอื่นมาทดแทน
มันเหมือนยิ่งแก้ปัญหา มันก็จะเจออีกปัญหา
คล้ายๆแก้ปมเชือกที่มันพันกันจนเละ พอแก้ปมนึงได้ก็เจออีกปม
ทางเดียวที่ทำได้ไม่ใช่การแก้ปม แต่มันต้องตัดปมนั้นทิ้งไปเลย
ผมยังมองเหมือนเดิมว่า ภายใน 2 ปี เราจะเจอวิกฤติที่หนักกว่า sub prime
เพราะรอบนี้ไม่ได้เกิดแค่เงินเฟ้อ แต่มันมีเงินฝืดด้วย
ปัญหากำลังก่อตัวอย่างช้าๆ คนดูเหมือนมีเงินมากขึ้น
แต่กลับไม่สามารถซื้อของได้มากขึ้น
แต่ที่หนักคือความต้องการของคนเพิ่มขึ้น
จากการส่งเสริมการใช้จ่าย ผ่านบัตรเครดิต ผ่านสินเชื่อต่างๆ
ตอนนี้ก็เริ่มพยายามเอาบัตรเครดิต เอาสินเชื่อไปปล่อยให้กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำมากขึ้นแล้ว
แล้วคิดดูว่า กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำมีรายได้ที่มั่นคงหรือไม่
มีระเบียบวินัยในการใช้จ่ายหรือไม่
มีความสามารถในการชำระหนี้หรือไม่
ปัญหาตรงนี้ยังไม่เกิดตอนนี้หรอก
เพราะในระยะสั้นช่วงนี้เราอาจจะเห็นแค่เงินเฟ้อ
แต่เรายังไม่เห็นเงินฝืด เพราะเรายังเอาเงินในอนาคตมาใช้ได้
แต่เมื่อไรที่เราเอาเงินในอนาคตมาใช้หมดเมื่อไร
คนจะเริ่มรู้ตัวว่า เงินไม่พอใช้จ่าย ไม่พอจะผ่อนสินเชื่อ ไม่พอจ่ายหนี้
เพราะปัญหาเงินเฟ้อจะค่อยๆเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ
จนในที่สุด ความสามารถในการชำระหนี้ของคนจะลดลง
การปล่อยสินเชื่อจะเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะเกิดภาวะเงินฝืดตามมา
Stagflation จะมาแน่ๆในวิกฤติรอบหน้า และจะต้องใช้เวลาแก้ไขนานมาก
เพราะแก้เงินเฟ้อ ก็เกิดเงินฝืด แก้เงินฝืดก็เกิดเงินเฟ้อ
เจอปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พอดีมานด์เริ่มลด ซัพพลายเริ่มล้น ก็จะเริ่มลดการผลิต
ลดการผลิตก็ลดจำนวนแรงงาน
แรงงานไม่มีรายได้ ก็ไม่มีเงินจ่ายหนี้
ไม่เงินจ่ายหนี้ ก็เกิดหนี้เสีย ที่นี้ก็จบเลย
ปัญหามันพันกันเป็นปมจนเละ ในอนาคตเราอาจได้เห็นการตัดปมปัญหาทิ้ง
ไม่แน่ว่า ต่อไป เราอาจจะไม่ได้ใช้ "เงิน"กันเลยก็ได้
แต่จะมีอย่างอื่นมาทดแทน
-
- Verified User
- โพสต์: 775
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Financial Crisis of 2015
โพสต์ที่ 10
เรื่องธนาคารนี่ มันเริ่มเห็นสัญญาณว่า ธ.เริ่มเปิดความเสี่ยงมากขึ้นเกินไป
ตั้งแต่รัฐบาลเริ่มนโยบายจำกัดเพดานค้ำประกันเงินฝากแล้ว
จำนวนเงินที่รัฐจะค้ำให้จะอยู่ที่ 1 ล้านบาทเท่านั้น
รัฐคงรู้แหละว่า ความเสี่ยงของธ.เริ่มมากขึ้น
ผมกำลังคิดว่า ธ.เหมือนกำลังเล่นพนันอยู่
อยากได้กำไรเยอะขึ้น ก็ต้องเสี่ยงมากขึ้น ปล่อยกู้ง่ายขึ้น
คุ้นมั้ยว่า เราเริ่มทำตัวเหมือนสรอ.มากขึ้นทุกที
แต่เรามีอย่างนึงที่เราไม่เหมือนสรอ. คือ สรอ.สามารถพิมพ์เงินได้โดยที่ไม่กระทบกับค่าเงิน$มาก
แต่ที่เราจะเหมือนคือ เราจะเหมือน ซิมบับเวย์ต่างหาก
แล้วเมื่อคิดทั้งหมดแล้ว ก็จะเข้าใจได้ว่า ทำไมหลวงตาบัวถึงให้นำเงินเปลี่ยนเป็นทองแทน
ว่าแต่วันนี้พวกคุณมีทองกันบ้างแล้วหรือยัง
ตั้งแต่รัฐบาลเริ่มนโยบายจำกัดเพดานค้ำประกันเงินฝากแล้ว
จำนวนเงินที่รัฐจะค้ำให้จะอยู่ที่ 1 ล้านบาทเท่านั้น
รัฐคงรู้แหละว่า ความเสี่ยงของธ.เริ่มมากขึ้น
ผมกำลังคิดว่า ธ.เหมือนกำลังเล่นพนันอยู่
อยากได้กำไรเยอะขึ้น ก็ต้องเสี่ยงมากขึ้น ปล่อยกู้ง่ายขึ้น
คุ้นมั้ยว่า เราเริ่มทำตัวเหมือนสรอ.มากขึ้นทุกที
แต่เรามีอย่างนึงที่เราไม่เหมือนสรอ. คือ สรอ.สามารถพิมพ์เงินได้โดยที่ไม่กระทบกับค่าเงิน$มาก
แต่ที่เราจะเหมือนคือ เราจะเหมือน ซิมบับเวย์ต่างหาก
แล้วเมื่อคิดทั้งหมดแล้ว ก็จะเข้าใจได้ว่า ทำไมหลวงตาบัวถึงให้นำเงินเปลี่ยนเป็นทองแทน
ว่าแต่วันนี้พวกคุณมีทองกันบ้างแล้วหรือยัง
- Paul Octopus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Financial Crisis of 2015
โพสต์ที่ 11
ทอง ?
มีแต่สินสอดเมียตอนราคาบาทละ 5000
แต่ปัญหาคือเมียไม่ให้คืน
มีแต่สินสอดเมียตอนราคาบาทละ 5000
แต่ปัญหาคือเมียไม่ให้คืน
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Financial Crisis of 2015
โพสต์ที่ 12
ได้ครับรู้มากเลยครับ