หมอกับการลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 1
เคยฟังบางคนวิเคราะห์ให้ฟังว่า วิศวะเล่นหุ้นมักจะรุ่ง เพราะเรียนมาให้รู้จักมองถึงโครง
สร้าง วิเคราะห์ขั้นตอน มองอะไรก็มองได้ขาด พอมาเล่นหุ้น ก็มักจะอ่านได้ขาด ก็คุยกันใน
หมู่เพื่อนๆ ที่เป็นหมอ เห็นหมอเล่นหุ้นก็เยอะ แต่ที่ประสบความสำเร็จจริงขั้นเทพจริงๆก็
หลายท่าน เห็นตัวอย่างในเว็บนี้ แต่เพื่อนๆอีกหลายคนก็ยังไม่รุ่ง ก็เลยคิดว่าคงต้องมา
วิเคราะห์ ทำไมเป็นอย่างนั้น แล้วจะแก้จุดอ่อนนั้นได้อย่างไร บางคนบอก หมอจะมองอะไร
ถึง ความเสี่ยงก่อน ต้อง R/O ก่อน กว่าจะ R/O ได้บางทีหุ้นวิ่งไปแล้ว หรือมัวแต่กลัว
complication ทำให้บดบังข้อดีของหุ้นนั้นๆเลยไม่กล้าซื้อ ไม่กล้าตีแตก เหมือนจะขี้ระแวง
คอยจับผิด play safe ไว้ก่อน Do no harm แต่ข้อดีคงทำให้ไม่ค่อยพลาดไปลงหุ้นปั่นมั๊ง
ครับ ถ้าจะลองวิเคราะห์จุดแข็ง เช่น นิสัยจะอึด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาง specialty เห็น
resident ทำงานกันกระบือมากๆ อดนอน 2-3 วันก็ทำได้ หรือเห็นหมอรพช.หลายคนอยู่เวร
กันทั้งเดือน อดนอนเก่งมาก เช้าก็ทำงานปกติ ถ้าเอานิสัยนี้มาถือหุ้นที่ undervalue คงได้
หลายๆเด้งมากๆ ต่อมาคือนิสัยคลั่งใคล้ evidence based, guideline จะทำอะไรขอให้มี
reference นิดนึง ถ้าเอานิสัยนี้มาเล่นหุ้น จะเล่นแนวไหนยึดหลักให้มั่นก็น่าจะรุ่ง ถ้า
สามารถค้นหาแนวทางของตัวเองได้ และตั้งเป็น criteria การซื้อ-ขาย ของตัวเองและ
follow ตามนั้นอย่างเคร่งครัด ผมว่าก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีนะครับ สุดท้ายที่คิดออกคือ
ปลงได้ง่าย เห็นคนไข้ตั้งแต่อาการดีๆ บางคนปุบปับ เสียชีวิต sudden arrest เปรียบเหมือน
หุ้น ถ้าหุ้นที่ถืออยู่ อยู่ดีๆราคาลดลงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันของตลาด ที่ไม่เกี่ยวกับพื้น
ฐานบริษัท ก็น่าจะทำใจรับได้ ทนถือต่อ หรือซื้อเพิ่มโดยไม่เครียดมาก เพราะเจอเหตุการณ์
แบบนี้มาเยอะแล้ว ทำใจได้ ทั้งหมดนี้ก็ลองคิดดูเล่นๆ จริงบ้างไม่จริงบ้าง ท่านอื่นมีใคร
ลองแชร์ไอเดียดูครับ ว่าพื้นฐานอาชีพที่ท่านศึกษามา ทำให้นิสัยเราเป็นอย่างไร มันมีผล
กับการเล่นหุ้นหรือไม่ ผมเชื่อว่าถ้าเราดึงจุดเด่นนิสัยเรามาใช้ ก็น่าจะประสบความสำเร็จใน
การลงทุนครับ แต่แอบอิจฉาวิศวะครับ ถ้ามีลูกจะส่งเรียนวิศวะ จะได้มาเล่นหุ้นเผื่อจะรวย
มั่ง...
สร้าง วิเคราะห์ขั้นตอน มองอะไรก็มองได้ขาด พอมาเล่นหุ้น ก็มักจะอ่านได้ขาด ก็คุยกันใน
หมู่เพื่อนๆ ที่เป็นหมอ เห็นหมอเล่นหุ้นก็เยอะ แต่ที่ประสบความสำเร็จจริงขั้นเทพจริงๆก็
หลายท่าน เห็นตัวอย่างในเว็บนี้ แต่เพื่อนๆอีกหลายคนก็ยังไม่รุ่ง ก็เลยคิดว่าคงต้องมา
วิเคราะห์ ทำไมเป็นอย่างนั้น แล้วจะแก้จุดอ่อนนั้นได้อย่างไร บางคนบอก หมอจะมองอะไร
ถึง ความเสี่ยงก่อน ต้อง R/O ก่อน กว่าจะ R/O ได้บางทีหุ้นวิ่งไปแล้ว หรือมัวแต่กลัว
complication ทำให้บดบังข้อดีของหุ้นนั้นๆเลยไม่กล้าซื้อ ไม่กล้าตีแตก เหมือนจะขี้ระแวง
คอยจับผิด play safe ไว้ก่อน Do no harm แต่ข้อดีคงทำให้ไม่ค่อยพลาดไปลงหุ้นปั่นมั๊ง
ครับ ถ้าจะลองวิเคราะห์จุดแข็ง เช่น นิสัยจะอึด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาง specialty เห็น
resident ทำงานกันกระบือมากๆ อดนอน 2-3 วันก็ทำได้ หรือเห็นหมอรพช.หลายคนอยู่เวร
กันทั้งเดือน อดนอนเก่งมาก เช้าก็ทำงานปกติ ถ้าเอานิสัยนี้มาถือหุ้นที่ undervalue คงได้
หลายๆเด้งมากๆ ต่อมาคือนิสัยคลั่งใคล้ evidence based, guideline จะทำอะไรขอให้มี
reference นิดนึง ถ้าเอานิสัยนี้มาเล่นหุ้น จะเล่นแนวไหนยึดหลักให้มั่นก็น่าจะรุ่ง ถ้า
สามารถค้นหาแนวทางของตัวเองได้ และตั้งเป็น criteria การซื้อ-ขาย ของตัวเองและ
follow ตามนั้นอย่างเคร่งครัด ผมว่าก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีนะครับ สุดท้ายที่คิดออกคือ
ปลงได้ง่าย เห็นคนไข้ตั้งแต่อาการดีๆ บางคนปุบปับ เสียชีวิต sudden arrest เปรียบเหมือน
หุ้น ถ้าหุ้นที่ถืออยู่ อยู่ดีๆราคาลดลงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันของตลาด ที่ไม่เกี่ยวกับพื้น
ฐานบริษัท ก็น่าจะทำใจรับได้ ทนถือต่อ หรือซื้อเพิ่มโดยไม่เครียดมาก เพราะเจอเหตุการณ์
แบบนี้มาเยอะแล้ว ทำใจได้ ทั้งหมดนี้ก็ลองคิดดูเล่นๆ จริงบ้างไม่จริงบ้าง ท่านอื่นมีใคร
ลองแชร์ไอเดียดูครับ ว่าพื้นฐานอาชีพที่ท่านศึกษามา ทำให้นิสัยเราเป็นอย่างไร มันมีผล
กับการเล่นหุ้นหรือไม่ ผมเชื่อว่าถ้าเราดึงจุดเด่นนิสัยเรามาใช้ ก็น่าจะประสบความสำเร็จใน
การลงทุนครับ แต่แอบอิจฉาวิศวะครับ ถ้ามีลูกจะส่งเรียนวิศวะ จะได้มาเล่นหุ้นเผื่อจะรวย
มั่ง...
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 4
ทุกๆคนไม่ว่าทำอาชีพอะไร คนๆนั้นก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีความโลภ มีความกัลว มีความเสียใจพอๆกับคนอื่นๆ
แต่ละคนในอาชีพเดียวกัน มีความถนัดต่างกัน
มีพื้นฐานความเข้าใจ มีสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน
เป็นไปได้ครับที่ผมอจะทนต่อสิ่งที่ผิดหวังได้มาก แต่ไม่เคยมีใครทำมาตรวัดสิ่งเหล่านั้นครับ
ผมว่า ความอดทน หรือการยอมรับสิ่งที่ผิดคาดของทุกคนมีจำกัดนะครับ
พี่มนเคยพูดกับผมไว้ ตอนที่คุยกันเรื่องการลงทุน ในปลายปี 2551
หมอ...ผมก็คนนะ
แต่บริษัทดีๆ มี margin of safety มากๆ หนี้แทบไม่มี
ผมไม่ดูหุ้นเป็นหลายๆปี ผมก็ลงทุนแล้วน่าจะกำำไร
ผมก็จะลงทุน แล้วก็ไปทำอย่างอื่นๆบ้าง อย่ามองแต่ราคาหุ้น เดี๋ยวจะถูก mr.market เล่นงาน
คำสอนของพี่มนเป็นคำสอนที่จ๊าบที่สุดตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้เลยครับ
คนที่เป็นวิศวะก็มีหลายคนที่ลงทุนหุ้น
และหลายคนก็สนใจหุ้นในกลุ่มต่างๆกัน
ผมคิดว่า คนรอบข้างมีผลต่อความสนใจนะครับ
เพื่อนๆที่เป็นวิศวะสนใจหุ้นกันเยอะ ก็มาเล่นหุ้นกันเยอะ
ตอนผมเป็นหมอ ไม่ค่อยมีคนเล่นนะ
พอเข้า กรุงเทพ oh เล่นกันเยอะนะเนี่ย(ความรู้สึกส่วนตัวนะครับ)
สุดท้ายแล้ว ลงทุนตามสิ่งที่เราเข้าใจ
บริหารความโลภ ไม่ให้เกินความรู้ที่เรามี
ก็จะรู้สึกดีทุกทีครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
แต่ละคนในอาชีพเดียวกัน มีความถนัดต่างกัน
มีพื้นฐานความเข้าใจ มีสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน
เป็นไปได้ครับที่ผมอจะทนต่อสิ่งที่ผิดหวังได้มาก แต่ไม่เคยมีใครทำมาตรวัดสิ่งเหล่านั้นครับ
ผมว่า ความอดทน หรือการยอมรับสิ่งที่ผิดคาดของทุกคนมีจำกัดนะครับ
พี่มนเคยพูดกับผมไว้ ตอนที่คุยกันเรื่องการลงทุน ในปลายปี 2551
หมอ...ผมก็คนนะ
แต่บริษัทดีๆ มี margin of safety มากๆ หนี้แทบไม่มี
ผมไม่ดูหุ้นเป็นหลายๆปี ผมก็ลงทุนแล้วน่าจะกำำไร
ผมก็จะลงทุน แล้วก็ไปทำอย่างอื่นๆบ้าง อย่ามองแต่ราคาหุ้น เดี๋ยวจะถูก mr.market เล่นงาน
คำสอนของพี่มนเป็นคำสอนที่จ๊าบที่สุดตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้เลยครับ
คนที่เป็นวิศวะก็มีหลายคนที่ลงทุนหุ้น
และหลายคนก็สนใจหุ้นในกลุ่มต่างๆกัน
ผมคิดว่า คนรอบข้างมีผลต่อความสนใจนะครับ
เพื่อนๆที่เป็นวิศวะสนใจหุ้นกันเยอะ ก็มาเล่นหุ้นกันเยอะ
ตอนผมเป็นหมอ ไม่ค่อยมีคนเล่นนะ
พอเข้า กรุงเทพ oh เล่นกันเยอะนะเนี่ย(ความรู้สึกส่วนตัวนะครับ)
สุดท้ายแล้ว ลงทุนตามสิ่งที่เราเข้าใจ
บริหารความโลภ ไม่ให้เกินความรู้ที่เรามี
ก็จะรู้สึกดีทุกทีครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 5
ส่วนจะลงทุนอย่างไร ผมว่า แล้วแต่ว่าเราเอาอะไรเป็น criteria ของเรา
น้องบางคนใช้กราฟช่วย ผมว่าก็ไม่ผิดนะครับ
เค้าบอกว่า "กราฟไม่เคยหลอก มีแต่เรานั้นหลอกตัวเอง" ...โดนซ้าาาา ^^
ผมว่า คนเรามีอคติกับหลายๆอย่าง
การกระทำบางครั้งของเราเลยขัดแย้งกับ criteria ที่เราใช้ลงทุนครับ
มีหนังสือเขียนว่า "Master of investor always do wrong, but admit it"
ผมว่า cool มากๆนะครับ
ลงทุนในสิ่งที่เราถนัด เราเข้าใจ
อย่าให้สิ่งอื่นๆโดยเฉพาะความโลภ และความกลัวดึงเรามาให้เล่นในสิ่งที่เราไม่ถนัดครับ
น้องบางคนใช้กราฟช่วย ผมว่าก็ไม่ผิดนะครับ
เค้าบอกว่า "กราฟไม่เคยหลอก มีแต่เรานั้นหลอกตัวเอง" ...โดนซ้าาาา ^^
ผมว่า คนเรามีอคติกับหลายๆอย่าง
การกระทำบางครั้งของเราเลยขัดแย้งกับ criteria ที่เราใช้ลงทุนครับ
มีหนังสือเขียนว่า "Master of investor always do wrong, but admit it"
ผมว่า cool มากๆนะครับ
ลงทุนในสิ่งที่เราถนัด เราเข้าใจ
อย่าให้สิ่งอื่นๆโดยเฉพาะความโลภ และความกลัวดึงเรามาให้เล่นในสิ่งที่เราไม่ถนัดครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 7
ผมภูมิใจในวิชาชีพตัวเอง และถ้าเลือกได้อยากให้ลูกเรียนหมอเหมือนกันกับตัวเองครับ
และการลงทุนคงไม่ได้พึ่งแต่IQอย่างเดียว เรื่องนี้ก็ถกในเวปนี้มามากแล้ว ดังนั้นอย่าเสียกำลังใจครับ ยังมีfactorอื่นๆอีกมากมายที่จะทำให้เราประสพความสำเร็จในการลงทุน เดี๋ยวคนอื่นเขาจะคิดว่าถ้าไม่ใช่หมอหรือวิศวะเล่นหุ้นไม่ได้ไม่รวยนะครับ ไม่จริง 100%
และการลงทุนคงไม่ได้พึ่งแต่IQอย่างเดียว เรื่องนี้ก็ถกในเวปนี้มามากแล้ว ดังนั้นอย่าเสียกำลังใจครับ ยังมีfactorอื่นๆอีกมากมายที่จะทำให้เราประสพความสำเร็จในการลงทุน เดี๋ยวคนอื่นเขาจะคิดว่าถ้าไม่ใช่หมอหรือวิศวะเล่นหุ้นไม่ได้ไม่รวยนะครับ ไม่จริง 100%
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 8
ผมว่านี่คือ key word เลยล่ะครับ ต้องมีสติ และลงทุนแล้วต้องมีความสุขnoooon010 เขียน:มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
ขอบคุณทุกความเห็นครับ แค่คุยเล่นๆกับเพื่อนน่ะครับ เห็นวิศวะเล่นหุ้นรุ่งหลายคน ยิ่งเวลาดู money talk นึกชื่นชม วิศวะทั้งนั้น เลยอยากตั้งข้อสังเกต แต่ไม่ได้ตั้งใจแบ่งแยกใดๆทั้งสิ้นครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 9
มุมมองฝนนะคะ
เราต้องนิยาม นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ก่อนว่าคืออะไร
สมมติเราตั้งสมมติฐานว่าคือนักลงทุนที่สามารถได้ผลตอบแทนทบต้น >20% ต่อปี ซัก 10 ปี
ซึ่งอันนี้ก็ทำให้กลุ่มตัวอย่างข้อมูลค่อนข้างเก็บยาก (เข้าตำราคนตายไม่ได้พูด ^^ )
ประเด็นคือ กลุ่มประชากรและจำนวนประชากร
ถ้าเปรียบเทียบคร่าวๆ
ในหนึ่งมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาแพทย์ 100 คน นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ 1000 คน
และมหาวิทยาลัยผลิตแพทย์มีประมาณครึ่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยทั้งหมด
ดังนั้นกลุ่ม Prop คือนักศึกษาแพทย์จึงมีประมาณ ( 100 / 1000 ) / 2 หรือเท่ากับ 5% ของนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นถ้าเทียบ หมอที่ประสบความสำเร็จ ต่อ นักลงทุนทั้งหมด
จะได้ probability ค่อนข้างต่ำ จากจำนวนกลุ่มประชากร
ขณะที่ วิศวกรที่ประสบความสำเร็จ ต่อ นักลงทุนทั้งหมด จะได้ทำให้ probability สูงขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แนวทางสำเร็จในการลงทุน มีการเดินทางหลายเส้น
แต่ละเส้นของการเดินทางก็มีรายละเอียดต่างๆกันไป
สรุปว่า มีความสุขกับการทำงานและการลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง ดีกว่าค่ะ
เราต้องนิยาม นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ก่อนว่าคืออะไร
สมมติเราตั้งสมมติฐานว่าคือนักลงทุนที่สามารถได้ผลตอบแทนทบต้น >20% ต่อปี ซัก 10 ปี
ซึ่งอันนี้ก็ทำให้กลุ่มตัวอย่างข้อมูลค่อนข้างเก็บยาก (เข้าตำราคนตายไม่ได้พูด ^^ )
ประเด็นคือ กลุ่มประชากรและจำนวนประชากร
ถ้าเปรียบเทียบคร่าวๆ
ในหนึ่งมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาแพทย์ 100 คน นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ 1000 คน
และมหาวิทยาลัยผลิตแพทย์มีประมาณครึ่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยทั้งหมด
ดังนั้นกลุ่ม Prop คือนักศึกษาแพทย์จึงมีประมาณ ( 100 / 1000 ) / 2 หรือเท่ากับ 5% ของนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นถ้าเทียบ หมอที่ประสบความสำเร็จ ต่อ นักลงทุนทั้งหมด
จะได้ probability ค่อนข้างต่ำ จากจำนวนกลุ่มประชากร
ขณะที่ วิศวกรที่ประสบความสำเร็จ ต่อ นักลงทุนทั้งหมด จะได้ทำให้ probability สูงขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แนวทางสำเร็จในการลงทุน มีการเดินทางหลายเส้น
แต่ละเส้นของการเดินทางก็มีรายละเอียดต่างๆกันไป
สรุปว่า มีความสุขกับการทำงานและการลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง ดีกว่าค่ะ
ขอบคุณพี่หมอนุ่นมาก สำหรับคำแนะนำ ลงทุนอย่างมีความสุขค่ะnoooon010 เขียน:มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
-
- Verified User
- โพสต์: 90
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 10
โดยส่วนตัวเห็นว่าอาชีพหมอใช้เวลามากในการทำงาน updateความรู้แถมมีทำงานนอกเวลาหากไปเปิดclinicกว่าจะเส็จวธุระโน่น3-4ทุ่มแทบไม่อยากทำอะไรต่อ เวลาที่จะมาสนใจเรื่องการลงทุนจึงมีจำกัดโอกาสsuccessก็เลยจำกัด เว้นพวกมีความสามารถพิเศษจริงๆ
ได้เท่าไรก็พอ
- Teeruk
- Verified User
- โพสต์: 238
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 11
คล้ายๆ กับการตั้งข้อสังเกตุ ว่า ทำไมประเทศ มุสลิม ถึงมีแต่น้ำมัน
....ส่วนใคร พื้นเพ มาจากไหน หน้าที่การงานมาจากไหน ก็พูดยาก น่ะครับ ...สรุปว่า โชคดีที่ผมมีความศรัทธา เลยมาเจอการลงทุนวิธีนี้....ขอบคุณ ทุกท่าน สำหรับ ความรู้ที่ให้ใน thaivi น่ะครับ
....ส่วนใคร พื้นเพ มาจากไหน หน้าที่การงานมาจากไหน ก็พูดยาก น่ะครับ ...สรุปว่า โชคดีที่ผมมีความศรัทธา เลยมาเจอการลงทุนวิธีนี้....ขอบคุณ ทุกท่าน สำหรับ ความรู้ที่ให้ใน thaivi น่ะครับ
Only one word can change your life...
You want to be greedy when others are fearful. You want to be fearful when others are greedy. It's that simple
You want to be greedy when others are fearful. You want to be fearful when others are greedy. It's that simple
- yoyoeffect
- Verified User
- โพสต์: 364
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 12
[quote="Fon^^"]มุมมองฝนนะคะ
เราต้องนิยาม นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ก่อนว่าคืออะไร
สมมติเราตั้งสมมติฐานว่าคือนักลงทุนที่สามารถได้ผลตอบแทนทบต้น >20% ต่อปี ซัก 10 ปี
ซึ่งอันนี้ก็ทำให้กลุ่มตัวอย่างข้อมูลค่อนข้างเก็บยาก (เข้าตำราคนตายไม่ได้พูด ^^ )
ประเด็นคือ กลุ่มประชากรและจำนวนประชากร
ถ้าเปรียบเทียบคร่าวๆ
ในหนึ่งมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาแพทย์ 100 คน นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ 1000 คน
และมหาวิทยาลัยผลิตแพทย์มีประมาณครึ่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยทั้งหมด
ดังนั้นกลุ่ม Prop คือนักศึกษาแพทย์จึงมีประมาณ ( 100 / 1000 ) / 2 หรือเท่ากับ 5% ของนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นถ้าเทียบ หมอที่ประสบความสำเร็จ ต่อ นักลงทุนทั้งหมด
จะได้ probability ค่อนข้างต่ำ จากจำนวนกลุ่มประชากร
ขณะที่ วิศวกรที่ประสบความสำเร็จ ต่อ นักลงทุนทั้งหมด จะได้ทำให้ probability สูงขึ้น
เห็นด้วยครับ
เพราะPropที่ต่างกันมาก
เราต้องนิยาม นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ก่อนว่าคืออะไร
สมมติเราตั้งสมมติฐานว่าคือนักลงทุนที่สามารถได้ผลตอบแทนทบต้น >20% ต่อปี ซัก 10 ปี
ซึ่งอันนี้ก็ทำให้กลุ่มตัวอย่างข้อมูลค่อนข้างเก็บยาก (เข้าตำราคนตายไม่ได้พูด ^^ )
ประเด็นคือ กลุ่มประชากรและจำนวนประชากร
ถ้าเปรียบเทียบคร่าวๆ
ในหนึ่งมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาแพทย์ 100 คน นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ 1000 คน
และมหาวิทยาลัยผลิตแพทย์มีประมาณครึ่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยทั้งหมด
ดังนั้นกลุ่ม Prop คือนักศึกษาแพทย์จึงมีประมาณ ( 100 / 1000 ) / 2 หรือเท่ากับ 5% ของนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นถ้าเทียบ หมอที่ประสบความสำเร็จ ต่อ นักลงทุนทั้งหมด
จะได้ probability ค่อนข้างต่ำ จากจำนวนกลุ่มประชากร
ขณะที่ วิศวกรที่ประสบความสำเร็จ ต่อ นักลงทุนทั้งหมด จะได้ทำให้ probability สูงขึ้น
เห็นด้วยครับ
เพราะPropที่ต่างกันมาก
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 13
ผมว่า เวลา คับ
หมอแม้บางทีเหมือนจะว่าง แต่บางทีมันก็ไม่มีสมาธิ พอจะโฟกัสอะไร เช่นว่าง ชม. นึงอย่างมาก
กลับบ้าน หรือ เลิกงาน ก็อยากทำอะไรเพื่อผ่อนคลายบ้าง
วันหยุดก็หันไปทำอะไรไม่มีสาระอยู่บ่อย
บางทีก็ไม่มีเวลาจะไปสังสรร พบปะ ฟังสัมมนาอะไรสักเท่าไหร่
จะดีหน่อยคือ ระบบการเรียนที่ผ่านมา สอนให้อึด อดทน
กับรายได้ที่จะผ่านเข้ามาสั้นๆ (แก่ๆบางสาขาก็ไม่ไหวแล้ว)
ผมว่า หมอที่เล่นหุ้นสำเร็จ ต้องเก่งทั้งหุ้น ทั้งการบริหารจิตใจ และชีวิตส่วนตัวมากๆคับ
่ส่วนเรื่องที่ คุณหมอ จขกท ว่ามา ส่วนตัวผมว่าไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่นะ
ตอนเล่นหุ้น จะใครสาขาไหน มันก็มีdrive ลึกๆ อยู่ที่ โลภ กับ กลัว เหมือนกัน
หมอก็ไม่ได้ ถุก โมดีฟาย ไปมากจากชีวิตประจำวันเท่าไหร่นะคับ
ตอนมองเงิน กับมองคนไข้ ยังไงก็คิดว่ามองต่างกันอะคับ
หมอแม้บางทีเหมือนจะว่าง แต่บางทีมันก็ไม่มีสมาธิ พอจะโฟกัสอะไร เช่นว่าง ชม. นึงอย่างมาก
กลับบ้าน หรือ เลิกงาน ก็อยากทำอะไรเพื่อผ่อนคลายบ้าง
วันหยุดก็หันไปทำอะไรไม่มีสาระอยู่บ่อย
บางทีก็ไม่มีเวลาจะไปสังสรร พบปะ ฟังสัมมนาอะไรสักเท่าไหร่
จะดีหน่อยคือ ระบบการเรียนที่ผ่านมา สอนให้อึด อดทน
กับรายได้ที่จะผ่านเข้ามาสั้นๆ (แก่ๆบางสาขาก็ไม่ไหวแล้ว)
ผมว่า หมอที่เล่นหุ้นสำเร็จ ต้องเก่งทั้งหุ้น ทั้งการบริหารจิตใจ และชีวิตส่วนตัวมากๆคับ
่ส่วนเรื่องที่ คุณหมอ จขกท ว่ามา ส่วนตัวผมว่าไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่นะ
ตอนเล่นหุ้น จะใครสาขาไหน มันก็มีdrive ลึกๆ อยู่ที่ โลภ กับ กลัว เหมือนกัน
หมอก็ไม่ได้ ถุก โมดีฟาย ไปมากจากชีวิตประจำวันเท่าไหร่นะคับ
ตอนมองเงิน กับมองคนไข้ ยังไงก็คิดว่ามองต่างกันอะคับ
show me money.
- PrasertsakK
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 292
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 14
ผมว่าที่เห็นเด็กวิศวะอยู่ในวงการหุ้นเยอะเพราะว่าวิศวะว่างครับ งานวิศวะมักจะหนักเป็นช่วง ๆ ก็เลยมีช่วงว่างมาก ๆ เหมือนกัน ซึ่งต่างกับหลาย ๆ อาชีพ ผมว่าเด็กวิศวะก็เลยมาลงทุนกันเยอะ พอมีคนลงทุนเยอะก็เลยมีคนประสพความสำเร็จเยอะครับ
ผมว่าทุก ๆ อาชีพก็สามารถประสพความสำเร็จได้ ขอให้มีสติในการลงทุน โลภเวลาที่ควร กลัวเวลาที่ควร ถึงจะไม่มีเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้าน แต่ผมว่าทุกคนก็น่าจะสามารถเป็นอิสระทางการเงินได้ครับ
ผมว่าทุก ๆ อาชีพก็สามารถประสพความสำเร็จได้ ขอให้มีสติในการลงทุน โลภเวลาที่ควร กลัวเวลาที่ควร ถึงจะไม่มีเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้าน แต่ผมว่าทุกคนก็น่าจะสามารถเป็นอิสระทางการเงินได้ครับ
http://prasertsakk.blogspot.com/
การลงทุน ความมั่งคั่ง ความสุข มิตรภาพ
การลงทุน ความมั่งคั่ง ความสุข มิตรภาพ
-
- Verified User
- โพสต์: 1455
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 15
มีพี่เคารพ สอนว่า ถ้าเชื่อแบบไหนก้อได้แบบนั้น
ประเด็นของการลงทุน ไม่ได้อยู่ที่ จบสาขาไหนหรอก
สิ่งแรกสำหรับการลงทุน เรารู้จักตัวเราเองมากพอไหม
กำไรใช่การวัดความสำเร็จที่แท้จริง ความสำเร็จที่แท้จริง
คือความสุขระหว่างทางการลงทุน
ประเด็นของการลงทุน ไม่ได้อยู่ที่ จบสาขาไหนหรอก
สิ่งแรกสำหรับการลงทุน เรารู้จักตัวเราเองมากพอไหม
กำไรใช่การวัดความสำเร็จที่แท้จริง ความสำเร็จที่แท้จริง
คือความสุขระหว่างทางการลงทุน
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
-
- Verified User
- โพสต์: 1455
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 16
ทุกครั้งทีได้อ่านความเห็นของพี่หมอนุ่น เป็นความเห็นที่สบายๆ ง่ายๆ แต่ใช้ได้จริง
ถึงผมกับพี่หมอนุ่นแนวทางหลายๆครั้งจะเป็นเส้นทางกัน แต่เราก็คุยกันด้วยความสุข
ปล.. ใครบอกว่าหมอลงทุนไม่เก่งได้ผลตอบแทนไม่เด่นเท่าวิศวะ
ได้ยินผลตอบแทนพี่หมอนุ่น แล้วจะ
ถึงผมกับพี่หมอนุ่นแนวทางหลายๆครั้งจะเป็นเส้นทางกัน แต่เราก็คุยกันด้วยความสุข
ปล.. ใครบอกว่าหมอลงทุนไม่เก่งได้ผลตอบแทนไม่เด่นเท่าวิศวะ
ได้ยินผลตอบแทนพี่หมอนุ่น แล้วจะ
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
- mibtrex
- Verified User
- โพสต์: 34
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 17
ขออนุญาติแชร์ครับ ผมว่าอาชีพวิศวะมีการสอนให้รู้จักความเสี่ยงพอสมควรครับ ผมยกตัวอย่างข้อสอบบางที่ ถ้าทำถูกได้คะแนน ทำผิดติดลบ ไม่ทำเท่าทุน ดังนั้นวิศวกรที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะคิดว่าความสามารถไม่มากพอ ก็จะไม่เข้ามาลงทุนในหุ้นครับ ตัวเลือกที่ดีกว่าถ้าเสี่ยงคือไม่ทำครับ
ดังนั้นถ้าวิศวกรหลายๆคนใช้หลักการนี้ในการเข้ามาในตลาดหุ้น ก็เหมือนว่าตัวเองพร้อมแล้วสำหรับการลงทุน เลยอาจมองว่าวิศวกรมีจำนวนคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่ารึป่าวครับ
ดังนั้นถ้าวิศวกรหลายๆคนใช้หลักการนี้ในการเข้ามาในตลาดหุ้น ก็เหมือนว่าตัวเองพร้อมแล้วสำหรับการลงทุน เลยอาจมองว่าวิศวกรมีจำนวนคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่ารึป่าวครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 18
อ่านบทความที่ผมเขียนด้านล่างนี้แล้ว พอจะทราบไหมครับว่า..."ผมเรียนจบอะไรมา?"
=======================================================
หลักการ Margin Of Safety (หรือ MOS)
ถ้าปัจจุบัน...หุ้นของเราอยู่ที่จุด A (ปัจจุบันมีราคา = Pa)
แต่ถ้าเรามองว่า "ราคาที่เหมาะสม"...ควรอยู่ที่จุด B (แท้จริงแล้วหุ้นควรจะมีราคา = Pb)
ดังนั้น ส่วนต่างของราคา(ที่ต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม) ก็คือ MOS Gap ของเรานั้นเอง
โดยที่มีสมการง่ายๆว่า
MOS Gap = Pb - Pa
แม้ว่าสุดท้ายแล้ว...ราคาหุ้นของเราจะขึ้นเหมือนๆกันและเท่ากัน (คือ ขึ้นจาก "จุด A" ไปยัง "จุด B")
แต่พฤติกรรมของหุ้นแต่ละตัวก็คงไม่เหมือนกัน อาทิเช่น...
แบบที่ 1 หุ้นในฝัน
ถ้ามีหุ้นแบบนี้ในโลกจริงๆคงดีนะครับ
ประมาณว่าหุ้นขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน เป็น "Straight Line"
"ขึ้นอย่างเดียว ไม่มีลง" เป็นลักษณะแบบว่า Ideal สุดๆ
เปิดมาดูทีไร หุ้นของฉันก็ราคาขึ้นทุกวัน 555
แบบที่ 2 หุ้นที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมของจ้าวที่และรายใหญ่
หุ้นแบบนี้ ประมาณว่า "ปีนึงอาจจะซื้อขายกันเยอะๆแค่ 4 ครั้ง ตามช่วงเวลาประกาศผลประกอบการ"
ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันก็ขึ้นมาจากจุดเดียวกัน และมาสิ้นสุดที่จุดเดียวกันเช่นกัน
แบบที่ 3 หุ้นที่มีจ้าวที่และรายใหญ่คอยดูแลอยู่
ซึ่ง Concept แบบนี้แหล่ะครับ ที่ผมมองว่ามีจ้าวที่ ,รายใหญ่ หรือแม้แต่ Market Maker ดูแลอยู่
สรุปง่ายๆก็คือ...
ผมมองว่า "รายใหญ่(และ Specurator)" ก็เปรียบเสมือนเป็นแค่ "Noise บนเส้นกราฟการลงทุนของเรา" เท่านั้นเอง!!!
ซึ่งมันไม่ได้มีผลกับเราเลย ถ้าเรามี mos อยู่ในใจที่ชัดเจนอยู่แล้ว
โดยจากกราฟในแบบที่ 3 ดังกล่าว เราก็น่าจะพอเขียนสมการได้ดังนี้อ่ะนะขอรับ (ชักจะมั่วไปใหญ่ล่ะตรู)
ผมขอแค่ "ผลต่างราคา(mos Gap ที่ผมตั้งไว้ หรือ Pb - Pa)" กับ "เงินปันผลก็พอ" เพียงแค่ 2 อย่างเท่านั้น
สำหรับ "เจ้าก้อนสุดท้าย(ที่ดูยุ่งๆในสมการ)" นั้น...ผมยกให้จ้าวขอรับ
เพราะผมคงไม่ซื้อๆขายๆระหว่างทาง
ผมคงไม่แคร์ Cycle เล็กๆที่อยู่ระหว่างทางใน Cycle ใหญ่!!!
ดังนั้นผมจึงจะไม่มีกำไรจากการแกว่งตัวขึ้นลงในรอบสั้นระหว่างทางอ่ะนะครับ
แต่ยังไงผมยังแอบเชื่อเล็กๆอยู่ว่า...
"เราควรมองภาพใหญ่หรือ Trend และคำนึงถึง mos ให้มากๆ
เพราะถ้ามองภาพเล็ก เราก็จะกลายเป็นแค่สเป็กกูเรเตอร์อ่ะนะ!!!"
====================================================
ไม่รู้ว่าจะเดาถูกไหมนะครับ
ผมเรียนจบตรีที่ Electrical Engineering KU52 ครับผม
เด็กวิศวะ ชอบตัวเลขครับ ส่วนมากมักจะ
"มองอะไรเป็นตัวเลข มองเป็นสมการไปหมด"
แต่ก็ไม่มีอะไรมา "การันตี" นะครับว่า...เด็กวิศวะเรา จะไม่ขาดทุน
เพราะเราเองก็เคยเรียนวิชาที่ชื่อว่า "หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก (Heisenberg's Uncertainty Principle)" กันมาแล้วอ่ะนะครับ
(^_^)
=======================================================
หลักการ Margin Of Safety (หรือ MOS)
ถ้าปัจจุบัน...หุ้นของเราอยู่ที่จุด A (ปัจจุบันมีราคา = Pa)
แต่ถ้าเรามองว่า "ราคาที่เหมาะสม"...ควรอยู่ที่จุด B (แท้จริงแล้วหุ้นควรจะมีราคา = Pb)
ดังนั้น ส่วนต่างของราคา(ที่ต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม) ก็คือ MOS Gap ของเรานั้นเอง
โดยที่มีสมการง่ายๆว่า
MOS Gap = Pb - Pa
แม้ว่าสุดท้ายแล้ว...ราคาหุ้นของเราจะขึ้นเหมือนๆกันและเท่ากัน (คือ ขึ้นจาก "จุด A" ไปยัง "จุด B")
แต่พฤติกรรมของหุ้นแต่ละตัวก็คงไม่เหมือนกัน อาทิเช่น...
แบบที่ 1 หุ้นในฝัน
ถ้ามีหุ้นแบบนี้ในโลกจริงๆคงดีนะครับ
ประมาณว่าหุ้นขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน เป็น "Straight Line"
"ขึ้นอย่างเดียว ไม่มีลง" เป็นลักษณะแบบว่า Ideal สุดๆ
เปิดมาดูทีไร หุ้นของฉันก็ราคาขึ้นทุกวัน 555
แบบที่ 2 หุ้นที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมของจ้าวที่และรายใหญ่
หุ้นแบบนี้ ประมาณว่า "ปีนึงอาจจะซื้อขายกันเยอะๆแค่ 4 ครั้ง ตามช่วงเวลาประกาศผลประกอบการ"
ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันก็ขึ้นมาจากจุดเดียวกัน และมาสิ้นสุดที่จุดเดียวกันเช่นกัน
แบบที่ 3 หุ้นที่มีจ้าวที่และรายใหญ่คอยดูแลอยู่
ซึ่ง Concept แบบนี้แหล่ะครับ ที่ผมมองว่ามีจ้าวที่ ,รายใหญ่ หรือแม้แต่ Market Maker ดูแลอยู่
สรุปง่ายๆก็คือ...
ผมมองว่า "รายใหญ่(และ Specurator)" ก็เปรียบเสมือนเป็นแค่ "Noise บนเส้นกราฟการลงทุนของเรา" เท่านั้นเอง!!!
ซึ่งมันไม่ได้มีผลกับเราเลย ถ้าเรามี mos อยู่ในใจที่ชัดเจนอยู่แล้ว
โดยจากกราฟในแบบที่ 3 ดังกล่าว เราก็น่าจะพอเขียนสมการได้ดังนี้อ่ะนะขอรับ (ชักจะมั่วไปใหญ่ล่ะตรู)
ผมขอแค่ "ผลต่างราคา(mos Gap ที่ผมตั้งไว้ หรือ Pb - Pa)" กับ "เงินปันผลก็พอ" เพียงแค่ 2 อย่างเท่านั้น
สำหรับ "เจ้าก้อนสุดท้าย(ที่ดูยุ่งๆในสมการ)" นั้น...ผมยกให้จ้าวขอรับ
เพราะผมคงไม่ซื้อๆขายๆระหว่างทาง
ผมคงไม่แคร์ Cycle เล็กๆที่อยู่ระหว่างทางใน Cycle ใหญ่!!!
ดังนั้นผมจึงจะไม่มีกำไรจากการแกว่งตัวขึ้นลงในรอบสั้นระหว่างทางอ่ะนะครับ
แต่ยังไงผมยังแอบเชื่อเล็กๆอยู่ว่า...
"เราควรมองภาพใหญ่หรือ Trend และคำนึงถึง mos ให้มากๆ
เพราะถ้ามองภาพเล็ก เราก็จะกลายเป็นแค่สเป็กกูเรเตอร์อ่ะนะ!!!"
====================================================
ไม่รู้ว่าจะเดาถูกไหมนะครับ
ผมเรียนจบตรีที่ Electrical Engineering KU52 ครับผม
เด็กวิศวะ ชอบตัวเลขครับ ส่วนมากมักจะ
"มองอะไรเป็นตัวเลข มองเป็นสมการไปหมด"
แต่ก็ไม่มีอะไรมา "การันตี" นะครับว่า...เด็กวิศวะเรา จะไม่ขาดทุน
เพราะเราเองก็เคยเรียนวิชาที่ชื่อว่า "หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก (Heisenberg's Uncertainty Principle)" กันมาแล้วอ่ะนะครับ
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- jack5515566
- Verified User
- โพสต์: 119
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 21
ผมวิศวะครับ มาเชียร์หมอทุกคนครับสู้ๆ....spartacus เขียน:หมอเล่นเทคนิค เห็นเต็มห้องสินธรเลยครับ เหอๆ
แต่ผมว่า อาชีพเราเหมาะกับ VI มากกว่าเนอะ
VIสู้ๆ.....
- simplelife
- Verified User
- โพสต์: 756
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 22
หมอ วิศวะ ส่วนใหญ่เป็นอาชีพที่ได้รับค่าตอบแทนสูง ไม่แปลกถ้าจะมีเงินเหลือเก็บเหลือใช้ แต่ไม่มีช่องทางอื่นที่จะไปลงทุนเหมือนกับเจ้าของธุรกิจครับ ก็น่าจะต้องเอามาลงทุนในหุ้นมากกว่าอาชีพอื่นครับ
"I believe what I said yesterday. I don't know what I said, but I know what I think... and I assume it's what I said." -- Donald Rumsfeld
-
- Verified User
- โพสต์: 1992
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 23
ผมว่าทุกคนที่ลงทุนก็เพื่อจุดประสงค์อิสรภาพทางการเงิน แต่เงินไม่ใช่จุดประสงค์สุดท้ายของการลงทุนหรอกครับ
คนที่มีพอร์ท 5 หลักก็ฝันอยากได้ 6 - 7 - 8 - 9 หรือแม้กระทั่ง 10 หลัก ... แต่ความเป็นจริง การมีเงินมาก ๆ ขึ้นไปนั้นทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าจริงหรือ
หลายคนอาจจะเชื่อเช่นนั้น แต่ผมไม่เชื่อครับ ... เงินทำให้เรามีทางเลือกเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ก่อให้เกิดความสุขสบายได้มากขึ้นจริง แต่มันมีขีดจำกัด การมีเงินมากเกินระดับหนึ่ง ไม่ได้ทำให้เราสุขขึ้นกว่ามากไปกว่าเดิมเท่าไหร่หรอก
ขนาดพอร์ท หรือผลตอบแทนที่ได้ต่อปี ไม่ได้เทียบเท่ากับความเก่ง, และความเก่ง ก็ไม่ได้เทียบเท่ากับความสุข
เรามีความพอใจในสิ่งที่ตนมี ตนได้ หรือไม่ต่างหาก ... เรามักชอบจะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วคิดว่าเขาดีกว่าเรา ในขณะเดียวกันคนที่เรากำลังไปเปรียบเทียบอยู่ เขาก็อาจจะคิดอิจฉาที่ตัวเราดีกว่าเขาก็เป็นได้
การคิดมากเช่นนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ให้เป็นอย่างที่เราต้องการ ... การวางแผนการของเราต่อไปต่างหาก ที่จะทำให้เกิดสิ่งที่เป็นอย่างที่เราต้องการในอนาคตได้
ตั้งเป้าหมายกับตัวเองครับแล้วทำตามเป้าหมาย ไม่ต้องไปเทียบอะไรกับใคร ... จะพบว่าเรามีความสุขกว่ามาก
คนที่มีพอร์ท 5 หลักก็ฝันอยากได้ 6 - 7 - 8 - 9 หรือแม้กระทั่ง 10 หลัก ... แต่ความเป็นจริง การมีเงินมาก ๆ ขึ้นไปนั้นทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าจริงหรือ
หลายคนอาจจะเชื่อเช่นนั้น แต่ผมไม่เชื่อครับ ... เงินทำให้เรามีทางเลือกเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ก่อให้เกิดความสุขสบายได้มากขึ้นจริง แต่มันมีขีดจำกัด การมีเงินมากเกินระดับหนึ่ง ไม่ได้ทำให้เราสุขขึ้นกว่ามากไปกว่าเดิมเท่าไหร่หรอก
ขนาดพอร์ท หรือผลตอบแทนที่ได้ต่อปี ไม่ได้เทียบเท่ากับความเก่ง, และความเก่ง ก็ไม่ได้เทียบเท่ากับความสุข
เรามีความพอใจในสิ่งที่ตนมี ตนได้ หรือไม่ต่างหาก ... เรามักชอบจะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วคิดว่าเขาดีกว่าเรา ในขณะเดียวกันคนที่เรากำลังไปเปรียบเทียบอยู่ เขาก็อาจจะคิดอิจฉาที่ตัวเราดีกว่าเขาก็เป็นได้
การคิดมากเช่นนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ให้เป็นอย่างที่เราต้องการ ... การวางแผนการของเราต่อไปต่างหาก ที่จะทำให้เกิดสิ่งที่เป็นอย่างที่เราต้องการในอนาคตได้
ตั้งเป้าหมายกับตัวเองครับแล้วทำตามเป้าหมาย ไม่ต้องไปเทียบอะไรกับใคร ... จะพบว่าเรามีความสุขกว่ามาก
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
------------------------
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10548
- ผู้ติดตาม: 1
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 24
+1 ชอบครับmprandy เขียน:ผมว่าทุกคนที่ลงทุนก็เพื่อจุดประสงค์อิสรภาพทางการเงิน แต่เงินไม่ใช่จุดประสงค์สุดท้ายของการลงทุนหรอกครับ
คนที่มีพอร์ท 5 หลักก็ฝันอยากได้ 6 - 7 - 8 - 9 หรือแม้กระทั่ง 10 หลัก ... แต่ความเป็นจริง การมีเงินมาก ๆ ขึ้นไปนั้นทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าจริงหรือ
หลายคนอาจจะเชื่อเช่นนั้น แต่ผมไม่เชื่อครับ ... เงินทำให้เรามีทางเลือกเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ก่อให้เกิดความสุขสบายได้มากขึ้นจริง แต่มันมีขีดจำกัด การมีเงินมากเกินระดับหนึ่ง ไม่ได้ทำให้เราสุขขึ้นกว่ามากไปกว่าเดิมเท่าไหร่หรอก
ขนาดพอร์ท หรือผลตอบแทนที่ได้ต่อปี ไม่ได้เทียบเท่ากับความเก่ง, และความเก่ง ก็ไม่ได้เทียบเท่ากับความสุข
เรามีความพอใจในสิ่งที่ตนมี ตนได้ หรือไม่ต่างหาก ... เรามักชอบจะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วคิดว่าเขาดีกว่าเรา ในขณะเดียวกันคนที่เรากำลังไปเปรียบเทียบอยู่ เขาก็อาจจะคิดอิจฉาที่ตัวเราดีกว่าเขาก็เป็นได้
การคิดมากเช่นนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ให้เป็นอย่างที่เราต้องการ ... การวางแผนการของเราต่อไปต่างหาก ที่จะทำให้เกิดสิ่งที่เป็นอย่างที่เราต้องการในอนาคตได้
ตั้งเป้าหมายกับตัวเองครับแล้วทำตามเป้าหมาย ไม่ต้องไปเทียบอะไรกับใคร ... จะพบว่าเรามีความสุขกว่ามาก
- yoyoeffect
- Verified User
- โพสต์: 364
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 25
มาขำด้วยคนครับjack5115 เขียน:ผมรู้จักหมออยู่คนนึง นั่งอัพเฟซบุ๊คทั้งวัน
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 26
เออ หมอแผนอนาคต (หมอดู) น่าจะรวยที่สุดน่ะครับ อิอิอิอิ
สงบสยบการเคลื่อนไหว
-
- Verified User
- โพสต์: 1070
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 27
สุดยอด ครับ ชอบpak เขียน:อ่านบทความที่ผมเขียนด้านล่างนี้แล้ว พอจะทราบไหมครับว่า..."ผมเรียนจบอะไรมา?"
=======================================================
หลักการ Margin Of Safety (หรือ MOS)
ถ้าปัจจุบัน...หุ้นของเราอยู่ที่จุด A (ปัจจุบันมีราคา = Pa)
แต่ถ้าเรามองว่า "ราคาที่เหมาะสม"...ควรอยู่ที่จุด B (แท้จริงแล้วหุ้นควรจะมีราคา = Pb)
ดังนั้น ส่วนต่างของราคา(ที่ต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม) ก็คือ MOS Gap ของเรานั้นเอง
โดยที่มีสมการง่ายๆว่า
MOS Gap = Pb - Pa
แม้ว่าสุดท้ายแล้ว...ราคาหุ้นของเราจะขึ้นเหมือนๆกันและเท่ากัน (คือ ขึ้นจาก "จุด A" ไปยัง "จุด B")
แต่พฤติกรรมของหุ้นแต่ละตัวก็คงไม่เหมือนกัน อาทิเช่น...
แบบที่ 1 หุ้นในฝัน
ถ้ามีหุ้นแบบนี้ในโลกจริงๆคงดีนะครับ
ประมาณว่าหุ้นขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน เป็น "Straight Line"
"ขึ้นอย่างเดียว ไม่มีลง" เป็นลักษณะแบบว่า Ideal สุดๆ
เปิดมาดูทีไร หุ้นของฉันก็ราคาขึ้นทุกวัน 555
แบบที่ 2 หุ้นที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมของจ้าวที่และรายใหญ่
หุ้นแบบนี้ ประมาณว่า "ปีนึงอาจจะซื้อขายกันเยอะๆแค่ 4 ครั้ง ตามช่วงเวลาประกาศผลประกอบการ"
ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันก็ขึ้นมาจากจุดเดียวกัน และมาสิ้นสุดที่จุดเดียวกันเช่นกัน
แบบที่ 3 หุ้นที่มีจ้าวที่และรายใหญ่คอยดูแลอยู่
ซึ่ง Concept แบบนี้แหล่ะครับ ที่ผมมองว่ามีจ้าวที่ ,รายใหญ่ หรือแม้แต่ Market Maker ดูแลอยู่
สรุปง่ายๆก็คือ...
ผมมองว่า "รายใหญ่(และ Specurator)" ก็เปรียบเสมือนเป็นแค่ "Noise บนเส้นกราฟการลงทุนของเรา" เท่านั้นเอง!!!
ซึ่งมันไม่ได้มีผลกับเราเลย ถ้าเรามี mos อยู่ในใจที่ชัดเจนอยู่แล้ว
โดยจากกราฟในแบบที่ 3 ดังกล่าว เราก็น่าจะพอเขียนสมการได้ดังนี้อ่ะนะขอรับ (ชักจะมั่วไปใหญ่ล่ะตรู)
ผมขอแค่ "ผลต่างราคา(mos Gap ที่ผมตั้งไว้ หรือ Pb - Pa)" กับ "เงินปันผลก็พอ" เพียงแค่ 2 อย่างเท่านั้น
สำหรับ "เจ้าก้อนสุดท้าย(ที่ดูยุ่งๆในสมการ)" นั้น...ผมยกให้จ้าวขอรับ
เพราะผมคงไม่ซื้อๆขายๆระหว่างทาง
ผมคงไม่แคร์ Cycle เล็กๆที่อยู่ระหว่างทางใน Cycle ใหญ่!!!
ดังนั้นผมจึงจะไม่มีกำไรจากการแกว่งตัวขึ้นลงในรอบสั้นระหว่างทางอ่ะนะครับ
แต่ยังไงผมยังแอบเชื่อเล็กๆอยู่ว่า...
"เราควรมองภาพใหญ่หรือ Trend และคำนึงถึง mos ให้มากๆ
เพราะถ้ามองภาพเล็ก เราก็จะกลายเป็นแค่สเป็กกูเรเตอร์อ่ะนะ!!!"
====================================================
ไม่รู้ว่าจะเดาถูกไหมนะครับ
ผมเรียนจบตรีที่ Electrical Engineering KU52 ครับผม
เด็กวิศวะ ชอบตัวเลขครับ ส่วนมากมักจะ
"มองอะไรเป็นตัวเลข มองเป็นสมการไปหมด"
แต่ก็ไม่มีอะไรมา "การันตี" นะครับว่า...เด็กวิศวะเรา จะไม่ขาดทุน
เพราะเราเองก็เคยเรียนวิชาที่ชื่อว่า "หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก (Heisenberg's Uncertainty Principle)" กันมาแล้วอ่ะนะครับ
(^_^)
The One
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 28
เวบนี่ไม่มีใครจบเศรษฐศาสตร์เลยหรือ
Blueplanet
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1575
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 29
นักลงทุนที่มาออกรายการ money talk มาจากคนกลุ่มใหญ่ของนักลงทุนที่น่าเป็นตัวอย่างผมว่านี่คือ key word เลยล่ะครับ ต้องมีสติ และลงทุนแล้วต้องมีความสุข
ขอบคุณทุกความเห็นครับ แค่คุยเล่นๆกับเพื่อนน่ะครับ เห็นวิศวะเล่นหุ้นรุ่งหลายคน ยิ่งเวลาดู money talk นึกชื่นชม วิศวะทั้งนั้น เลยอยากตั้งข้อสังเกต แต่ไม่ได้ตั้งใจแบ่งแยกใดๆทั้งสิ้นครับ
ซึ่งมีหลายๆอาชีพครับ
ดูเผินๆ เหมือนจบวิศวะแยะ
แต่หากดูจากสัดส่วนอาชีพแล้ว เป็นหมออาจจะมากกว่าครับ
ตัวอย่างหมอที่มาออกรายการเช่น
หมอสามัญชน หมอmprandy หมอประมุข หมอพงษ์ศักดิ์
และอีกหลายท่านที่รอวันว่างกันอยู่เช่น หมอfon หมอreiter และอื่นๆ
ผมเชื่อว่าหากหมอๆได้มีเวลา มีโอกาสทำการบ้านติดตามข่าว แกะงบ ....
หมอๆน่าจะประสบความสำเร็จมากกว่าอาชีพอื่นๆนะครับ
iq สูงกว่ากันอยู่แล้ว eq ก็สูงกว่าด้วยวิชาชีพ mq ยิ่งสูงกว่าเข้าไปอีก
เพียงแต่ปกติหมอไม่มีเวลาครับ มีเวลาให้หุ้นน้อยกว่าให้คนไข้และวิชาชีพ
ซึ่งต้องคารวะครับ
ส่วนตัวเอง ผมอยากเห็นข่าวหมอที่คนไข้มาบอกว่าสุดยอดหมอ.....ด้วยจิตใจ ด้วยความเป็นหมอ
มากกว่าเป็นสุดยอดหมอที่เป็นนักลงทุนนะครับ
ผมเสียดายทุกครั้งที่เห็นข่าวหมอปรับตัวมาเป็นนักลงทุน
กราบงามๆครับ ว่า ให้ช่วยเป็นหมอไปพร้อมๆกันกับเป็นนักลงทุนนะครับ
อานิสงค์มีแน่นอนครับ
พูดไปแล้ว ยังเสียดายว่าชีวิตนี้ ไม่ได้เป็นหมอ หวังว่าโอกาสหน้าจะได้เป็นบ้างครับ
ทั้งหมดนี้ว่ากันด้วยวิชาชีพนะครับ
ไม่นับพฤติกรรมและจิตวิญญาณของแต่ละคน
ซึ่งของใครของมันครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หมอกับการลงทุน
โพสต์ที่ 30
ผมเห็นด้วยครับPaul VI เขียน:+1 ชอบครับmprandy เขียน:ผมว่าทุกคนที่ลงทุนก็เพื่อจุดประสงค์อิสรภาพทางการเงิน แต่เงินไม่ใช่จุดประสงค์สุดท้ายของการลงทุนหรอกครับ
คนที่มีพอร์ท 5 หลักก็ฝันอยากได้ 6 - 7 - 8 - 9 หรือแม้กระทั่ง 10 หลัก ... แต่ความเป็นจริง การมีเงินมาก ๆ ขึ้นไปนั้นทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าจริงหรือ
หลายคนอาจจะเชื่อเช่นนั้น แต่ผมไม่เชื่อครับ ... เงินทำให้เรามีทางเลือกเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ก่อให้เกิดความสุขสบายได้มากขึ้นจริง แต่มันมีขีดจำกัด การมีเงินมากเกินระดับหนึ่ง ไม่ได้ทำให้เราสุขขึ้นกว่ามากไปกว่าเดิมเท่าไหร่หรอก
ขนาดพอร์ท หรือผลตอบแทนที่ได้ต่อปี ไม่ได้เทียบเท่ากับความเก่ง, และความเก่ง ก็ไม่ได้เทียบเท่ากับความสุข
เรามีความพอใจในสิ่งที่ตนมี ตนได้ หรือไม่ต่างหาก ... เรามักชอบจะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วคิดว่าเขาดีกว่าเรา ในขณะเดียวกันคนที่เรากำลังไปเปรียบเทียบอยู่ เขาก็อาจจะคิดอิจฉาที่ตัวเราดีกว่าเขาก็เป็นได้
การคิดมากเช่นนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ให้เป็นอย่างที่เราต้องการ ... การวางแผนการของเราต่อไปต่างหาก ที่จะทำให้เกิดสิ่งที่เป็นอย่างที่เราต้องการในอนาคตได้
ตั้งเป้าหมายกับตัวเองครับแล้วทำตามเป้าหมาย ไม่ต้องไปเทียบอะไรกับใคร ... จะพบว่าเรามีความสุขกว่ามาก
เงินให้ความสะดวกสบายทางร่างกายได้อย่างแน่นอนที่สุด
ยิ่งมีมากเท่าไร ก็ยิ่งซื้อความสะดวกสบายทางร่างกายได้มากขึ้นเท่านั้น
แต่เงินที่เกินระดับความต้องการความสะดวกสบายทางร่างกายของเรา
ให้ความสุขทางจิตใจได้หรือเปล่า
อันนี้ต้องแล้วแต่
ปัจจัยพื้นฐานสะสม หรือ margin of satisfaction ของแต่ละคน
ไม่งั้นทำไมตระกูลโอนาซิสของกรีก ซึ่งมีเงินนับหมื่นล้าน
ชีวิตของแต่ละคนจึงไม่มีความสุขเลย
ไม่ว่าจะเป็นพ่อ ลูกชาย หรือลูกสาว
ทุกคนจบชีวิตแบบโศกนาฏกรรม
ผมเชื่อว่า
เราจะไม่มีทางมีอิสรภาพทางการเงินได้หรอก
"ถ้าเราไม่รู้จักพึงพอใจในชีวิตตัวเอง"
mos ของผมคือ margin of satisfaction