ดร.ภาพร เขียนบทความ "อ่านงบการเงินให้เป็น" ลงในกรุงเทพธุรกิจ
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
ดร.ภาพร เขียนบทความ "อ่านงบการเงินให้เป็น" ลงในกรุงเทพธุรกิจ
โพสต์ที่ 1
คนที่เคยอ่านแกะเงื่อนงบการเงิน กับกลบัญชีคงรู้ว่าหนังสืออ.ภาพร เขียนด้วยสำนวนง่ายๆ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 99#p697219
ตอนนี้ มีทความใหม่ในกรุงเทพธุรกิจ เพิ่งเริ่มไป 5 ตอน แต่ละตอนสั้นๆ
แต่ดันไปอยู่ในกลุ่มการเมือง : ทัศนะวิจารณ์ ได้ไงไม่รู้
แกะเงื่อนงบการเงินจำได้ว่าเมื่อก่อนก็คล้ายๆ แบบนี้ แต่อยู่ในถนนนักลงทุน
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 9-(1).html
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 9-(2).html
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 9-(3).html
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 9-(4).html
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 9-(5).html
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 99#p697219
ตอนนี้ มีทความใหม่ในกรุงเทพธุรกิจ เพิ่งเริ่มไป 5 ตอน แต่ละตอนสั้นๆ
แต่ดันไปอยู่ในกลุ่มการเมือง : ทัศนะวิจารณ์ ได้ไงไม่รู้
แกะเงื่อนงบการเงินจำได้ว่าเมื่อก่อนก็คล้ายๆ แบบนี้ แต่อยู่ในถนนนักลงทุน
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 9-(1).html
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 9-(2).html
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 9-(3).html
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 9-(4).html
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 9-(5).html
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดร.ภาพร เขียนบทความ "อ่านงบการเงินให้เป็น" ลงในกรุงเทพธุ
โพสต์ที่ 2
Link ขาด web ThaiVI ไม่ยอมอ่านวงเล็บ
งั้นเอา short link ไปละกัน แต่ละตอนสั้นๆ copy มาเลย
1. http://bit.ly/emJ8k0
เนื้อหาสำคัญกว่ารูปแบบหมายถึงอะไร?
“เนื้อหาสำคัญกว่ารูปแบบ Substance than Form” มีความหมายว่า รูปแบบตามกฎหมายไม่สำคัญกับการบันทึกบัญชีเท่ากับเนื้อหาทางเศรษฐกิจ นักบัญชีพร้อมจะมองข้ามรูปแบบตามกฎหมายไปหาข้อเท็จจริงทางธุรกิจทุกเมื่อ
ตัวอย่างเช่น ในการออกงบการเงิน “หน่วยงานที่เสนอรายงาน” อาจประกอบด้วยบริษัทมากกว่าหนึ่งแห่ง หากโดยเนื้อหาแล้ว บริษัทเหล่านั้นคือบริษัทเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นคนละนิติบุคคลกัน (ตามรูปแบบของกฎหมาย) ทั้งนี้ เนื่องจากกฎบัญชีกำหนดว่า “บริษัทใหญ่” ต้องนำงบการเงินของ “บริษัทย่อย” มารวมเพื่อจัดทำ “งบการเงินรวม” เมื่อบริษัทใหญ่สามารถ “ควบคุม” นโยบายการเงินและการดำเนินงานของบริษัทย่อยได้
2. http://bit.ly/hi7Il6
ทำไมนักบัญชีจึงต้องจู้จี้กับ “งวดบัญชี” หรือ “งวดการรายงานทางการเงิน” หรือ “ความถี่ของการรายงาน”?
เพราะงวดบัญชีคือเส้นแบ่งเวลาที่จะทำให้นักบัญชีสามารถสรุปผลการดำเนินงานของบริษัทเพื่อออกงบการเงิน ลองมโนภาพถึงเส้นเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุด เรารู้ว่าบริษัทเริ่มต้นเมื่อไร แต่ไม่รู้ว่าบริษัทจะจบลงเมื่อไร ถ้านักบัญชีไม่กำหนด “งวดบัญชี” ไว้ นักบัญชีก็จะต้องรอให้บริษัทหมดอายุขัยก่อนที่จะสามารถรายงานผลให้นักลงทุนทราบ บริษัทบางบริษัทมีอายุเป็นร้อยปี (แล้วนักลงทุนอายุไม่ถึงร้อยอย่างเราจะรอไหวหรือ?) นักบัญชีจึงจำเป็นต้องสร้างกลไกให้สามารถสรุปผลทางบัญชีเพื่อรายงานให้เจ้าของบริษัททราบเป็นระยะๆ โดยนำเวลามาแบ่งออกเป็นช่วงๆ ช่วงละเท่าๆ กัน
3. http://bit.ly/hrm1XT
“กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวม” ประกอบด้วยรายการอะไร?
“กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ” หมายถึง กำไรขาดทุนทุกประเภทที่เกิดขึ้นในระหว่างงวด ดังนั้น “กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวม” จึงแยกออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 2 กลุ่ม นั่นคือ
กลุ่มที่หนึ่ง กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่เกิดจากการดำเนินงานในระหว่างงวดของบริษัท กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จประเภทนี้คำนวณได้จากการนำรายได้ (จากการดำเนินงานในระหว่างงวด) มาหักค่าใช้จ่าย (ในการดำเนินงานระหว่างงวด) เพื่อหา “กำไรขาดทุนสุทธิ” ซึ่งถือเป็นกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ “หลัก”
กลุ่มที่สอง กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่เกิดจากการปรับมูลค่าของสินทรัพย์หรือหนี้สินตามวิธีการบัญชี ณ วันสิ้นงวด แต่กฎบัญชีไม่อนุญาตให้บริษัทนำกำไรขาดทุนเหล่านี้ไปแสดงรวมกับรายการในกลุ่มที่หนึ่ง เช่น กำไรที่เกิดจากการเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ หรือกำไรจากการแปลงค่างบการเงิน กำไรขาดทุนเหล่านี้รวมเรียกว่า “กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น”
4. http://bit.ly/kQaVph
“งบการเงินสำหรับบุคคลภายนอก” แตกต่างจาก “งบการเงินเพื่อผู้บริหาร” อย่างไร?
งบการเงินที่ออกให้บุคคลภายนอก (Financial Statements) เน้นการให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน เพื่อให้นักลงทุนสามารถนำงบการเงินนั้นไปใช้ในการตัดสินใจซื้อหุ้นหรือให้บริษัทกู้ยืมเงิน ดังนั้น งบการเงินที่ออกให้บุคคลภายนอกจึงต้องอยู่ภายใต้ “มาตรฐานการรายงานทางการเงิน” (ซึ่งรวมถึง “แม่บทการบัญชี” และ “มาตรฐานการบัญชี”) ที่ออกโดยผู้เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบัญชี นอกจากนั้น งบการเงินที่ออกให้บุคคลภายนอกยังต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่มีหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของนักลงทุน เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานกำกับดูแลอื่น เช่น กระทรวงพาณิชย์หรือธนาคารแห่งประเทศไทย
ผลที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทต้องออกงบการเงินให้แก่บุคคลภายนอกตามรูปแบบที่กำหนดโดยกฎบัญชีหรือข้อกำหนดของกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้การรวมรายการ (การนำบัญชีย่อยๆ หลายบัญชีมารวมกัน) และชื่อบัญชีที่ปรากฏในงบแตกต่างไปจากรายการที่แสดงในงบการเงินเพื่อผู้บริหาร นอกจากนั้น ข้อมูลที่ไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน เช่น รายละเอียดปลีกย่อยและจำนวนเศษสตางค์ ก็ไม่จำเป็นต้องนำมาแสดงให้บุคคลภายนอกทราบ
ส่วนงบการเงินเพื่อผู้บริหาร (Management Accounts) เป็นงบการเงินที่ใช้เป็นการภายในเพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารและควบคุม ดังนั้น รายการที่แสดงในงบการเงินเพื่อผู้บริหารจึงอาจมีรายละเอียดหรือมีการจำแนกหมวดหมู่ที่แตกต่างไปจากงบการเงินที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป นอกจากนั้น งบการเงินเพื่อผู้บริหารไม่จำเป็นต้องแสดงหมายเหตุประกอบงบการเงิน เพราะผู้บริหารทราบความเป็นไปภายในบริษัทอยู่แล้ว
เนื่องจากบริษัทใช้งบการเงินเพื่อผู้บริหารเป็นฐานในการออกงบการเงินให้กับบุคคลภายนอก ดังนั้น งบการเงินเพื่อผู้บริหารกับงบการเงินที่ออกให้บุคคลภายนอกจึงเป็นสิ่งเดียวกัน จะแตกต่างกันก็แต่รูปแบบที่นำเสนอ
5. http://bit.ly/lZG0pt
ทำอย่างไรจึงจะมั่นใจว่างบการเงินที่บริษัทนำเสนอแสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่เชื่อถือได้?
งบการเงินที่ออกให้บุคคลภายนอกต้องตรวจสอบและแสดงความเห็นโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (คือผู้สอบบัญชีที่มีคุณสมบัติตามที่วิชาชีพกำหนด) ความเห็นของผู้สอบบัญชีจะแสดงอยู่หน้างบการเงิน (เป็นแผ่นแรกก่อนที่จะถึงงบการเงิน) เรียกว่า “รายงานของผู้สอบบัญชี”
“การตรวจสอบ” งบการเงินจะเป็นไปตาม “มาตรฐานการสอบบัญชี” ซึ่งการตรวจสอบนั้นก็เพื่อให้แน่ใจว่างบการเงินที่บริษัทออก แสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานอย่าง “ถูกต้องตามควร” และเป็นไปตาม “มาตรฐานการรายงานทางการเงิน” (ซึ่งแต่เดิมรู้จักกันในชื่อ “มาตรฐานการบัญชี” แต่ในปัจจุบันมาตรฐานการรายงานทางการเงินมีความหมายที่กว้างกว่า และครอบคลุมกฎบัญชีหลายชนิด เป็นต้นว่า แม่บทการบัญชี “มาตรฐานการบัญชี” “มาตรฐานการรายงานทางการเงิน” การตีความมาตรฐานการบัญชี และการตีความมาตรฐานการรายงานทางการเงิน)
ตามปกติ รายงานของผู้สอบบัญชีจะมีสามวรรค ถ้ารายงานผู้สอบบัญชีมีมากกว่าหรือน้อยกว่าสามวรรค ผู้ใช้งบการเงินต้องพิจารณางบการเงินนั้นเป็นพิเศษ เพราะแสดงว่าผู้สอบบัญชีที่ตรวจสอบงบการเงินนั้น ได้พบอะไรบางอย่างที่ทำให้ต้องออกรายงานต่างไปจากปกติ
งั้นเอา short link ไปละกัน แต่ละตอนสั้นๆ copy มาเลย
1. http://bit.ly/emJ8k0
เนื้อหาสำคัญกว่ารูปแบบหมายถึงอะไร?
“เนื้อหาสำคัญกว่ารูปแบบ Substance than Form” มีความหมายว่า รูปแบบตามกฎหมายไม่สำคัญกับการบันทึกบัญชีเท่ากับเนื้อหาทางเศรษฐกิจ นักบัญชีพร้อมจะมองข้ามรูปแบบตามกฎหมายไปหาข้อเท็จจริงทางธุรกิจทุกเมื่อ
ตัวอย่างเช่น ในการออกงบการเงิน “หน่วยงานที่เสนอรายงาน” อาจประกอบด้วยบริษัทมากกว่าหนึ่งแห่ง หากโดยเนื้อหาแล้ว บริษัทเหล่านั้นคือบริษัทเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นคนละนิติบุคคลกัน (ตามรูปแบบของกฎหมาย) ทั้งนี้ เนื่องจากกฎบัญชีกำหนดว่า “บริษัทใหญ่” ต้องนำงบการเงินของ “บริษัทย่อย” มารวมเพื่อจัดทำ “งบการเงินรวม” เมื่อบริษัทใหญ่สามารถ “ควบคุม” นโยบายการเงินและการดำเนินงานของบริษัทย่อยได้
2. http://bit.ly/hi7Il6
ทำไมนักบัญชีจึงต้องจู้จี้กับ “งวดบัญชี” หรือ “งวดการรายงานทางการเงิน” หรือ “ความถี่ของการรายงาน”?
เพราะงวดบัญชีคือเส้นแบ่งเวลาที่จะทำให้นักบัญชีสามารถสรุปผลการดำเนินงานของบริษัทเพื่อออกงบการเงิน ลองมโนภาพถึงเส้นเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุด เรารู้ว่าบริษัทเริ่มต้นเมื่อไร แต่ไม่รู้ว่าบริษัทจะจบลงเมื่อไร ถ้านักบัญชีไม่กำหนด “งวดบัญชี” ไว้ นักบัญชีก็จะต้องรอให้บริษัทหมดอายุขัยก่อนที่จะสามารถรายงานผลให้นักลงทุนทราบ บริษัทบางบริษัทมีอายุเป็นร้อยปี (แล้วนักลงทุนอายุไม่ถึงร้อยอย่างเราจะรอไหวหรือ?) นักบัญชีจึงจำเป็นต้องสร้างกลไกให้สามารถสรุปผลทางบัญชีเพื่อรายงานให้เจ้าของบริษัททราบเป็นระยะๆ โดยนำเวลามาแบ่งออกเป็นช่วงๆ ช่วงละเท่าๆ กัน
3. http://bit.ly/hrm1XT
“กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวม” ประกอบด้วยรายการอะไร?
“กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ” หมายถึง กำไรขาดทุนทุกประเภทที่เกิดขึ้นในระหว่างงวด ดังนั้น “กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวม” จึงแยกออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 2 กลุ่ม นั่นคือ
กลุ่มที่หนึ่ง กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่เกิดจากการดำเนินงานในระหว่างงวดของบริษัท กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จประเภทนี้คำนวณได้จากการนำรายได้ (จากการดำเนินงานในระหว่างงวด) มาหักค่าใช้จ่าย (ในการดำเนินงานระหว่างงวด) เพื่อหา “กำไรขาดทุนสุทธิ” ซึ่งถือเป็นกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ “หลัก”
กลุ่มที่สอง กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่เกิดจากการปรับมูลค่าของสินทรัพย์หรือหนี้สินตามวิธีการบัญชี ณ วันสิ้นงวด แต่กฎบัญชีไม่อนุญาตให้บริษัทนำกำไรขาดทุนเหล่านี้ไปแสดงรวมกับรายการในกลุ่มที่หนึ่ง เช่น กำไรที่เกิดจากการเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ หรือกำไรจากการแปลงค่างบการเงิน กำไรขาดทุนเหล่านี้รวมเรียกว่า “กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น”
4. http://bit.ly/kQaVph
“งบการเงินสำหรับบุคคลภายนอก” แตกต่างจาก “งบการเงินเพื่อผู้บริหาร” อย่างไร?
งบการเงินที่ออกให้บุคคลภายนอก (Financial Statements) เน้นการให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน เพื่อให้นักลงทุนสามารถนำงบการเงินนั้นไปใช้ในการตัดสินใจซื้อหุ้นหรือให้บริษัทกู้ยืมเงิน ดังนั้น งบการเงินที่ออกให้บุคคลภายนอกจึงต้องอยู่ภายใต้ “มาตรฐานการรายงานทางการเงิน” (ซึ่งรวมถึง “แม่บทการบัญชี” และ “มาตรฐานการบัญชี”) ที่ออกโดยผู้เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบัญชี นอกจากนั้น งบการเงินที่ออกให้บุคคลภายนอกยังต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่มีหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของนักลงทุน เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานกำกับดูแลอื่น เช่น กระทรวงพาณิชย์หรือธนาคารแห่งประเทศไทย
ผลที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทต้องออกงบการเงินให้แก่บุคคลภายนอกตามรูปแบบที่กำหนดโดยกฎบัญชีหรือข้อกำหนดของกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้การรวมรายการ (การนำบัญชีย่อยๆ หลายบัญชีมารวมกัน) และชื่อบัญชีที่ปรากฏในงบแตกต่างไปจากรายการที่แสดงในงบการเงินเพื่อผู้บริหาร นอกจากนั้น ข้อมูลที่ไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน เช่น รายละเอียดปลีกย่อยและจำนวนเศษสตางค์ ก็ไม่จำเป็นต้องนำมาแสดงให้บุคคลภายนอกทราบ
ส่วนงบการเงินเพื่อผู้บริหาร (Management Accounts) เป็นงบการเงินที่ใช้เป็นการภายในเพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารและควบคุม ดังนั้น รายการที่แสดงในงบการเงินเพื่อผู้บริหารจึงอาจมีรายละเอียดหรือมีการจำแนกหมวดหมู่ที่แตกต่างไปจากงบการเงินที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป นอกจากนั้น งบการเงินเพื่อผู้บริหารไม่จำเป็นต้องแสดงหมายเหตุประกอบงบการเงิน เพราะผู้บริหารทราบความเป็นไปภายในบริษัทอยู่แล้ว
เนื่องจากบริษัทใช้งบการเงินเพื่อผู้บริหารเป็นฐานในการออกงบการเงินให้กับบุคคลภายนอก ดังนั้น งบการเงินเพื่อผู้บริหารกับงบการเงินที่ออกให้บุคคลภายนอกจึงเป็นสิ่งเดียวกัน จะแตกต่างกันก็แต่รูปแบบที่นำเสนอ
5. http://bit.ly/lZG0pt
ทำอย่างไรจึงจะมั่นใจว่างบการเงินที่บริษัทนำเสนอแสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่เชื่อถือได้?
งบการเงินที่ออกให้บุคคลภายนอกต้องตรวจสอบและแสดงความเห็นโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (คือผู้สอบบัญชีที่มีคุณสมบัติตามที่วิชาชีพกำหนด) ความเห็นของผู้สอบบัญชีจะแสดงอยู่หน้างบการเงิน (เป็นแผ่นแรกก่อนที่จะถึงงบการเงิน) เรียกว่า “รายงานของผู้สอบบัญชี”
“การตรวจสอบ” งบการเงินจะเป็นไปตาม “มาตรฐานการสอบบัญชี” ซึ่งการตรวจสอบนั้นก็เพื่อให้แน่ใจว่างบการเงินที่บริษัทออก แสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานอย่าง “ถูกต้องตามควร” และเป็นไปตาม “มาตรฐานการรายงานทางการเงิน” (ซึ่งแต่เดิมรู้จักกันในชื่อ “มาตรฐานการบัญชี” แต่ในปัจจุบันมาตรฐานการรายงานทางการเงินมีความหมายที่กว้างกว่า และครอบคลุมกฎบัญชีหลายชนิด เป็นต้นว่า แม่บทการบัญชี “มาตรฐานการบัญชี” “มาตรฐานการรายงานทางการเงิน” การตีความมาตรฐานการบัญชี และการตีความมาตรฐานการรายงานทางการเงิน)
ตามปกติ รายงานของผู้สอบบัญชีจะมีสามวรรค ถ้ารายงานผู้สอบบัญชีมีมากกว่าหรือน้อยกว่าสามวรรค ผู้ใช้งบการเงินต้องพิจารณางบการเงินนั้นเป็นพิเศษ เพราะแสดงว่าผู้สอบบัญชีที่ตรวจสอบงบการเงินนั้น ได้พบอะไรบางอย่างที่ทำให้ต้องออกรายงานต่างไปจากปกติ
- murder_doll
- Verified User
- โพสต์: 1644
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ดร.ภาพร เขียนบทความ "อ่านงบการเงินให้เป็น" ลงในกรุงเทพธุ
โพสต์ที่ 3
เจ๋งมากครับ ขอบคุณครับ
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ข้าวปลาคือของจริง
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดร.ภาพร เขียนบทความ "อ่านงบการเงินให้เป็น" ลงในกรุงเทพธุ
โพสต์ที่ 4
อันนี้ไม่เกี่ยวกับหนังสือ แต่เป็นปฎิทินปีนี้
http://www.set.or.th/th/regulations/sup ... update.pdf
http://www.set.or.th/th/regulations/sup ... update.pdf
แนบไฟล์
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดร.ภาพร เขียนบทความ "อ่านงบการเงินให้เป็น" ลงในกรุงเทพธุ
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณครับ
- KGYF
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดร.ภาพร เขียนบทความ "อ่านงบการเงินให้เป็น" ลงในกรุงเทพธุ
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณมากครับ
" สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ = การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง "
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดร.ภาพร เขียนบทความ "อ่านงบการเงินให้เป็น" ลงในกรุงเทพธุ
โพสต์ที่ 19
http://bit.ly/l764P9
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 22 พฤษภาคม 2554 01:00
ดร.ภาพร เอกอรรถพร
คอลัมน์ "อ่านงบการเงินให้เป็น"
จำนวนคนอ่าน 885 คน
อ่านงบการเงินให้เป็น (6)
โดย : ดร.ภาพร เอกอรรถพร
จริงหรือไม่ที่ผู้สอบบัญชีมีหน้าที่ตรวจสอบการฉ้อฉลในบริษัท?
ผู้สอบบัญชีมีหน้าที่ตรวจสอบว่างบการเงินที่บริษัทออกเป็นไปตามข้อกำหนดใน “มาตรฐานการรายงานทางการเงิน” หรือไม่ ผู้สอบบัญชีไม่มีหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบการฉ้อฉลในบริษัท แต่ระหว่างการตรวจสอบ หากผู้สอบบัญชีตรวจพบข้อสงสัย ผู้สอบบัญชีต้อง “ตรวจสอบเพิ่มเติมจนเป็นที่พอใจ” ก่อนที่จะสามารถให้ความเห็นต่องบการเงินได้ เพราะการฉ้อฉลอาจทำให้งบการเงินของบริษัทไม่แสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่ “ถูกต้องตามควร”
ข้อกำหนดของการสอบบัญชีกล่าวไว้ว่า ผู้สอบบัญชีไม่มีความรับผิดชอบในการป้องกันการทุจริตหรือข้อผิดพลาด แต่การตรวจสอบประจำปีอาจยับยั้งการทุจริตและข้อผิดพาดได้
http://bit.ly/kGvZW9
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 29 พฤษภาคม 2554 01:00
ดร.ภาพร เอกอรรถพร
คอลัมน์ "อ่านงบการเงินให้เป็น"
จำนวนคนอ่าน 418 คน
อ่านงบการเงินให้เป็น (7)
โดย : ดร.ภาพร เอกอรรถพร
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt-equity Ratio) คืออะไร?
เมื่อเราทราบว่าสินทรัพย์ทั้งสิ้นของบริษัทต้องนำมาแบ่งกันระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ถือหุ้น นักการเงินจึงสร้างอัตราส่วนขึ้นมาจำนวนหนึ่ง เพื่อใช้เป็นดัชนีชี้วัดถึงสัดส่วนของหนี้สินต่อทุน (เรียกสั้นๆ ว่า ดีอีเรโช) โดยนำเอา “หนี้สินทั้งสิ้นหารส่วนทุนทั้งสิ้น”
ตัวอย่างเช่น 200,000/100,000 = 2:1 หมายความว่าบริษัทนั้นมีหนี้สินสองเท่าของส่วนทุน นักลงทุนดูดีอีเรโช เพื่อพิจารณาความเสี่ยงในการลงทุน ถ้าดีอีเรโชสูง ก็หมายความว่าบริษัทบริหารงานด้วยหนี้ หรือสินทรัพย์ในบริษัทเกิดขึ้นจากการกู้ยืมเป็นหลัก เมื่อบริษัทได้รายได้จากการดำเนินงาน บริษัทต้องนำรายได้ดังกล่าวมาจ่ายดอกเบี้ย ถ้าหนี้สูง ดอกเบี้ยอาจสูงจนทำให้ผู้ถือหุ้นไม่ได้รับผลตอบแทนต่อการลงทุนเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ดีอีเรโชยังชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการกู้ยืมเงินเพิ่มเติม ถ้าดีอีเรโชสูง โอกาสในการกู้ยืมเงินเมื่อจำเป็นอาจมีจำกัด และเป็นเหตุให้เกิดปัญหาสภาพคล่องได้ และหากบริษัทเกิดปัญหาสภาพคล่อง ทางเลือกที่เหลืออยู่จะกลายเป็นการออกหุ้นทุนเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ในการลงทุนได้ (สัดส่วนการถือหุ้นอาจลดลงถ้าไม่มีเงินเพียงพอมาซื้อหุ้นใหม่)
สำหรับเจ้าหนี้ ดีอีเรโชที่มีจำนวนสูงแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในการให้บริษัทกู้ยืมเงินเพิ่มเติม เพราะหากบริษัทมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยมากๆ บริษัทอาจไม่มีเงินเพียงพอที่จะนำไปบริหารงานและล้มละลายในที่สุด หากบริษัทล้มละลาย การเรียกร้องสินทรัพย์ก็เป็นไปได้ยาก เพราะต้องแบ่งกับเจ้าหนี้หลายฝ่าย เจ้าหนี้อาจไม่ได้หนี้คืนเต็มเม็ดเต็มหน่วย
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 22 พฤษภาคม 2554 01:00
ดร.ภาพร เอกอรรถพร
คอลัมน์ "อ่านงบการเงินให้เป็น"
จำนวนคนอ่าน 885 คน
อ่านงบการเงินให้เป็น (6)
โดย : ดร.ภาพร เอกอรรถพร
จริงหรือไม่ที่ผู้สอบบัญชีมีหน้าที่ตรวจสอบการฉ้อฉลในบริษัท?
ผู้สอบบัญชีมีหน้าที่ตรวจสอบว่างบการเงินที่บริษัทออกเป็นไปตามข้อกำหนดใน “มาตรฐานการรายงานทางการเงิน” หรือไม่ ผู้สอบบัญชีไม่มีหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบการฉ้อฉลในบริษัท แต่ระหว่างการตรวจสอบ หากผู้สอบบัญชีตรวจพบข้อสงสัย ผู้สอบบัญชีต้อง “ตรวจสอบเพิ่มเติมจนเป็นที่พอใจ” ก่อนที่จะสามารถให้ความเห็นต่องบการเงินได้ เพราะการฉ้อฉลอาจทำให้งบการเงินของบริษัทไม่แสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่ “ถูกต้องตามควร”
ข้อกำหนดของการสอบบัญชีกล่าวไว้ว่า ผู้สอบบัญชีไม่มีความรับผิดชอบในการป้องกันการทุจริตหรือข้อผิดพลาด แต่การตรวจสอบประจำปีอาจยับยั้งการทุจริตและข้อผิดพาดได้
http://bit.ly/kGvZW9
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 29 พฤษภาคม 2554 01:00
ดร.ภาพร เอกอรรถพร
คอลัมน์ "อ่านงบการเงินให้เป็น"
จำนวนคนอ่าน 418 คน
อ่านงบการเงินให้เป็น (7)
โดย : ดร.ภาพร เอกอรรถพร
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt-equity Ratio) คืออะไร?
เมื่อเราทราบว่าสินทรัพย์ทั้งสิ้นของบริษัทต้องนำมาแบ่งกันระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ถือหุ้น นักการเงินจึงสร้างอัตราส่วนขึ้นมาจำนวนหนึ่ง เพื่อใช้เป็นดัชนีชี้วัดถึงสัดส่วนของหนี้สินต่อทุน (เรียกสั้นๆ ว่า ดีอีเรโช) โดยนำเอา “หนี้สินทั้งสิ้นหารส่วนทุนทั้งสิ้น”
ตัวอย่างเช่น 200,000/100,000 = 2:1 หมายความว่าบริษัทนั้นมีหนี้สินสองเท่าของส่วนทุน นักลงทุนดูดีอีเรโช เพื่อพิจารณาความเสี่ยงในการลงทุน ถ้าดีอีเรโชสูง ก็หมายความว่าบริษัทบริหารงานด้วยหนี้ หรือสินทรัพย์ในบริษัทเกิดขึ้นจากการกู้ยืมเป็นหลัก เมื่อบริษัทได้รายได้จากการดำเนินงาน บริษัทต้องนำรายได้ดังกล่าวมาจ่ายดอกเบี้ย ถ้าหนี้สูง ดอกเบี้ยอาจสูงจนทำให้ผู้ถือหุ้นไม่ได้รับผลตอบแทนต่อการลงทุนเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ดีอีเรโชยังชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการกู้ยืมเงินเพิ่มเติม ถ้าดีอีเรโชสูง โอกาสในการกู้ยืมเงินเมื่อจำเป็นอาจมีจำกัด และเป็นเหตุให้เกิดปัญหาสภาพคล่องได้ และหากบริษัทเกิดปัญหาสภาพคล่อง ทางเลือกที่เหลืออยู่จะกลายเป็นการออกหุ้นทุนเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ในการลงทุนได้ (สัดส่วนการถือหุ้นอาจลดลงถ้าไม่มีเงินเพียงพอมาซื้อหุ้นใหม่)
สำหรับเจ้าหนี้ ดีอีเรโชที่มีจำนวนสูงแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในการให้บริษัทกู้ยืมเงินเพิ่มเติม เพราะหากบริษัทมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยมากๆ บริษัทอาจไม่มีเงินเพียงพอที่จะนำไปบริหารงานและล้มละลายในที่สุด หากบริษัทล้มละลาย การเรียกร้องสินทรัพย์ก็เป็นไปได้ยาก เพราะต้องแบ่งกับเจ้าหนี้หลายฝ่าย เจ้าหนี้อาจไม่ได้หนี้คืนเต็มเม็ดเต็มหน่วย
- simpleBE
- Verified User
- โพสต์: 2335
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดร.ภาพร เขียนบทความ "อ่านงบการเงินให้เป็น" ลงในกรุงเทพธุ
โพสต์ที่ 20
ข้อมูลเยอะจริงๆ คนนี้ อิอิ
ขอบคุณครับคุณ Ii'8N
ขอบคุณครับคุณ Ii'8N
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดร.ภาพร เขียนบทความ "อ่านงบการเงินให้เป็น" ลงในกรุงเทพธุ
โพสต์ที่ 21
ขอบคุณครับ
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดร.ภาพร เขียนบทความ "อ่านงบการเงินให้เป็น" ลงในกรุงเทพธุ
โพสต์ที่ 23
http://bit.ly/lloGQs
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 5 มิถุนายน 2554 01:00
ดร.ภาพร เอกอรรถพร
คอลัมน์ "อ่านงบการเงินให้เป็น"
จำนวนคนอ่าน 1358 คน
อ่านงบการเงินให้เป็น (8)
โดย : ดร.ภาพร เอกอรรถพร
การเรียงลำดับรายการภายใต้ “สินทรัพย์” มีหลักเกณฑ์อย่างไร?
ในประเทศไทย “สินทรัพย์”จะเรียงลำดับจากรายการที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วที่สุดและแน่นอนที่สุด เช่น เงินสด เงินลงทุน ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือ ไปจนถึงรายการที่ไม่อาจเปลี่ยนเป็นเงินสดแต่จะเปลี่ยนเป็นบริการแทน เช่น ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า
รูปแบบการเรียงลำดับรายการในงบแสดงฐานะการเงินของแต่ละประเทศอาจแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวคิดและข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ ในภาคพื้นยุโรป สินทรัพย์จะเรียงลำดับจาก “ไม่หมุนเวียน” ไปสู่ “หมุนเวียน” ในประเทศไทย สินทรัพย์หมุนเวียนจะแสดงอยู่ก่อนสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนตามรูปแบบของอเมริกัน อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังมาตรฐานบัญชีของประเทศไทยได้รับอิทธิพลมาจากทางยุโรป ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจถ้ารูปแบบงบการเงินของประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
http://bit.ly/lspBRC
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 12 มิถุนายน 2554 01:00
ดร.ภาพร เอกอรรถพร
คอลัมน์ "อ่านงบการเงินให้เป็น"
จำนวนคนอ่าน 1314 คน
อ่านงบการเงินให้เป็น (9)
โดย : ดร.ภาพร เอกอรรถพร
“เงินลงทุนเพื่อค้า” ต่างจาก “เงินลงทุนเผื่อขาย” อย่างไร?
“เงินลงทุนเพื่อค้า” มีไว้เพื่อการค้าจริงๆ (ชื่อก็บอกอยู่แล้ว) บริษัทบางบริษัทมีอาชีพในการค้าขายหลักทรัพย์ (หุ้นทุนหรือหุ้นกู้ที่มีสภาพคล่องจนสามารถซื้อง่ายขายได้ทันที) บริษัทจึงทำมาค้าขายหลักทรัพย์โดยการซื้อมาขายไปตลอดเวลาเพื่อตัดกำไรช่วงสั้น การทำมาค้าขายหลักทรัพย์ของบริษัทเหล่านี้มีรูปแบบชัดเจน บริษัทอาจทำการจัดกลุ่มสินทรัพย์ตามลักษณะความเสี่ยงและซื้อขายคละกันเพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุน หรือมีการบริหารจัดการโดยการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเป็นระบบ
“เงินลงทุนเผื่อขาย” มีไว้ขายเพื่อเก็งกำไรเหมือนกัน (ปกติจะไม่อยู่ในลักษณะที่เป็นอาชีพ) บริษัททั่วไปมักนำเงินที่เหลือใช้ไปลงทุนระยะสั้นในหลักทรัพย์เผื่อว่า เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงิน บริษัทจะได้นำหลักทรัพย์ออกขายได้ทันที โดยเฉพาะเวลาที่ราคาหุ้นกำลังขึ้น เพราะบริษัทอาจได้กำไรจากการลงทุนในขณะที่รอใช้เงินมากกว่าการนำเงินไปฝากธนาคารที่มักให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่า
http://bit.ly/iZsdbq
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 19 มิถุนายน 2554 01:00
ดร.ภาพร เอกอรรถพร
คอลัมน์ "อ่านงบการเงินให้เป็น"
จำนวนคนอ่าน 1337 คน
อ่านงบการเงินให้เป็น (10)
โดย : ดร.ภาพร เอกอรรถพร
ค่าเผื่อคืออะไร?
ค่าเผื่อคือ “บัญชีหัก” หรือบัญชีสินทรัพย์ซึ่งมียอดอยู่ทางด้านเครดิต (ตามปกติสินทรัพย์จะมียอดทางด้านเดบิต) ค่าเผื่อเป็นบัญชีที่มีไว้หักจากสินทรัพย์บัญชีอื่น เช่น ค่าเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุนจะเป็นบัญชีที่นำไปหักจากบัญชีเงินลงทุน เนื่องจากราคาของเงินลงทุนได้ลดลง แต่บริษัทไม่ต้องการที่จะสูญเสียข้อมูลเดิมเกี่ยวกับเงินลงทุน จึงนำบัญชีค่าเผื่อมาหักจากบัญชีเงินลงทุนเพื่อแสดงยอดสุทธิ แทนที่จะลดจำนวนเงินลงทุนลงตรงๆ การทำอย่างนี้ทำให้เราได้รับข้อมูลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
http://bit.ly/lciuoV
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 26 มิถุนายน 2554 01:00
ดร.ภาพร เอกอรรถพร
คอลัมน์ "อ่านงบการเงินให้เป็น"
จำนวนคนอ่าน 648 คน
อ่านงบการเงินให้เป็น (11)
โดย : ดร.ภาพร เอกอรรถพร
บัญชีปรับมูลค่าคืออะไร?
บัญชีที่จะนำมาปรับมูลค่าสินทรัพย์หรือหนี้สินให้เพิ่มขึ้นหรือลดลง เนื่องจากมูลค่าที่แสดงอยู่ภายใต้บัญชีสินทรัพย์หรือหนี้สินนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่บริษัทต้องการแสดงยอดเดิมไว้เพื่อใช้อ้างอิงในภายหน้า จึงอาศัยบัญชีปรับมูลค่ามาบวกหรือลบบัญชีสินทรัพย์หรือหนี้สิน เพื่อให้ได้ยอดสุทธิตามมูลค่าที่ควรเป็นขณะที่ออกงบการเงิน
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 5 มิถุนายน 2554 01:00
ดร.ภาพร เอกอรรถพร
คอลัมน์ "อ่านงบการเงินให้เป็น"
จำนวนคนอ่าน 1358 คน
อ่านงบการเงินให้เป็น (8)
โดย : ดร.ภาพร เอกอรรถพร
การเรียงลำดับรายการภายใต้ “สินทรัพย์” มีหลักเกณฑ์อย่างไร?
ในประเทศไทย “สินทรัพย์”จะเรียงลำดับจากรายการที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วที่สุดและแน่นอนที่สุด เช่น เงินสด เงินลงทุน ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือ ไปจนถึงรายการที่ไม่อาจเปลี่ยนเป็นเงินสดแต่จะเปลี่ยนเป็นบริการแทน เช่น ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า
รูปแบบการเรียงลำดับรายการในงบแสดงฐานะการเงินของแต่ละประเทศอาจแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวคิดและข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ ในภาคพื้นยุโรป สินทรัพย์จะเรียงลำดับจาก “ไม่หมุนเวียน” ไปสู่ “หมุนเวียน” ในประเทศไทย สินทรัพย์หมุนเวียนจะแสดงอยู่ก่อนสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนตามรูปแบบของอเมริกัน อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังมาตรฐานบัญชีของประเทศไทยได้รับอิทธิพลมาจากทางยุโรป ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจถ้ารูปแบบงบการเงินของประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
http://bit.ly/lspBRC
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 12 มิถุนายน 2554 01:00
ดร.ภาพร เอกอรรถพร
คอลัมน์ "อ่านงบการเงินให้เป็น"
จำนวนคนอ่าน 1314 คน
อ่านงบการเงินให้เป็น (9)
โดย : ดร.ภาพร เอกอรรถพร
“เงินลงทุนเพื่อค้า” ต่างจาก “เงินลงทุนเผื่อขาย” อย่างไร?
“เงินลงทุนเพื่อค้า” มีไว้เพื่อการค้าจริงๆ (ชื่อก็บอกอยู่แล้ว) บริษัทบางบริษัทมีอาชีพในการค้าขายหลักทรัพย์ (หุ้นทุนหรือหุ้นกู้ที่มีสภาพคล่องจนสามารถซื้อง่ายขายได้ทันที) บริษัทจึงทำมาค้าขายหลักทรัพย์โดยการซื้อมาขายไปตลอดเวลาเพื่อตัดกำไรช่วงสั้น การทำมาค้าขายหลักทรัพย์ของบริษัทเหล่านี้มีรูปแบบชัดเจน บริษัทอาจทำการจัดกลุ่มสินทรัพย์ตามลักษณะความเสี่ยงและซื้อขายคละกันเพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุน หรือมีการบริหารจัดการโดยการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเป็นระบบ
“เงินลงทุนเผื่อขาย” มีไว้ขายเพื่อเก็งกำไรเหมือนกัน (ปกติจะไม่อยู่ในลักษณะที่เป็นอาชีพ) บริษัททั่วไปมักนำเงินที่เหลือใช้ไปลงทุนระยะสั้นในหลักทรัพย์เผื่อว่า เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงิน บริษัทจะได้นำหลักทรัพย์ออกขายได้ทันที โดยเฉพาะเวลาที่ราคาหุ้นกำลังขึ้น เพราะบริษัทอาจได้กำไรจากการลงทุนในขณะที่รอใช้เงินมากกว่าการนำเงินไปฝากธนาคารที่มักให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่า
http://bit.ly/iZsdbq
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 19 มิถุนายน 2554 01:00
ดร.ภาพร เอกอรรถพร
คอลัมน์ "อ่านงบการเงินให้เป็น"
จำนวนคนอ่าน 1337 คน
อ่านงบการเงินให้เป็น (10)
โดย : ดร.ภาพร เอกอรรถพร
ค่าเผื่อคืออะไร?
ค่าเผื่อคือ “บัญชีหัก” หรือบัญชีสินทรัพย์ซึ่งมียอดอยู่ทางด้านเครดิต (ตามปกติสินทรัพย์จะมียอดทางด้านเดบิต) ค่าเผื่อเป็นบัญชีที่มีไว้หักจากสินทรัพย์บัญชีอื่น เช่น ค่าเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุนจะเป็นบัญชีที่นำไปหักจากบัญชีเงินลงทุน เนื่องจากราคาของเงินลงทุนได้ลดลง แต่บริษัทไม่ต้องการที่จะสูญเสียข้อมูลเดิมเกี่ยวกับเงินลงทุน จึงนำบัญชีค่าเผื่อมาหักจากบัญชีเงินลงทุนเพื่อแสดงยอดสุทธิ แทนที่จะลดจำนวนเงินลงทุนลงตรงๆ การทำอย่างนี้ทำให้เราได้รับข้อมูลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
http://bit.ly/lciuoV
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 26 มิถุนายน 2554 01:00
ดร.ภาพร เอกอรรถพร
คอลัมน์ "อ่านงบการเงินให้เป็น"
จำนวนคนอ่าน 648 คน
อ่านงบการเงินให้เป็น (11)
โดย : ดร.ภาพร เอกอรรถพร
บัญชีปรับมูลค่าคืออะไร?
บัญชีที่จะนำมาปรับมูลค่าสินทรัพย์หรือหนี้สินให้เพิ่มขึ้นหรือลดลง เนื่องจากมูลค่าที่แสดงอยู่ภายใต้บัญชีสินทรัพย์หรือหนี้สินนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่บริษัทต้องการแสดงยอดเดิมไว้เพื่อใช้อ้างอิงในภายหน้า จึงอาศัยบัญชีปรับมูลค่ามาบวกหรือลบบัญชีสินทรัพย์หรือหนี้สิน เพื่อให้ได้ยอดสุทธิตามมูลค่าที่ควรเป็นขณะที่ออกงบการเงิน