เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
- birdflu
- Verified User
- โพสต์: 628
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 35
ขอบคุณพี่ๆ น้องๆ ที่มาให้กำลังใจเช่นเคยครับ
เหตุที่นำเรื่องราวมาเล่าให้ฟัง หลักๆ ก็เพื่อเตือนสติตัวเอง แล้วก็เผื่อว่าบทเรียนของผมตรงนี้คงจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่นี่ได้ไม่มากก็น้อยครับ
โดยเฉพาะในช่วงเพลาแบบนี้
เหตุที่นำเรื่องราวมาเล่าให้ฟัง หลักๆ ก็เพื่อเตือนสติตัวเอง แล้วก็เผื่อว่าบทเรียนของผมตรงนี้คงจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่นี่ได้ไม่มากก็น้อยครับ
โดยเฉพาะในช่วงเพลาแบบนี้
Keep Calm And Chive On
- birdflu
- Verified User
- โพสต์: 628
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 37
ผมเองได้แต่หวังว่ามันจะเหมือนของพี่หมอครับสามัญชน เขียน:จุดหมายเดียวกัน
เส้นทางอาจจะแตกต่างกัน
แต่ทั้งจุดหมายและเส้นทางของพี่เบิร์ด
ช่างเหมือนกับผมเปี๊ยบเลย
แตกต่างแค่ผมเพิ่งออกสตาร์ท แต่พี่หมอน่าจะถึงเส้นชัยไปแล้วนะ :lol:
Keep Calm And Chive On
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 107
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 38
เขียนได้ดีมากๆๆ เลยครัีบ
คล้ายๆๆ กับผมเลย
แต่ ผิดตรงที่ผมเพิ่งเริ่ม เมื่อต้นปี 51 นี้เอง
แล้ว เริ่มไปที่ กองทุนรวมซะด้วย
พอซื้อ LTF ครับ 15% ของรายได้แล้ว เพิ่งจะเริ่มมาซื้อหุ้น
เส็ดสิครับ เริ่ม ปุ๊บ เจอเหตุการ์ณเลย ทดสอบจิตใจมากๆๆ
ทัี้งๆๆ ที่ก่อนเล่น อ่านหนังสือมาเยอะ มาก เกือบ 30 เล่ม แต่
ยังทำใจไม่ค่อยได้เลย HURT กับ กองทุนมาก
กับหุ้น ไม่ HURT เท่าไหร่
เลยคิดๆๆ อยู่ว่าจะเปลี่ยน เป้าหมาย ไม่เล่นกองทุนดีมั้ยเนี่ย
อยากสอบถามความคิดเห็นพวก พี่ๆๆ ครับ คือ ผมมีเป้า หมายแบบนี้
ช่วยวิจารณ์ด้วยน่ะครับ
ภายใน 1 ปี จะมีเงินเก็บประมาณ 2 แสนบาท เน้นลงทุนระยะยาวน่ะครับ ไม่ขายแน่นอน ภายใน 5 ปี
แบ่งลงทุนเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 ลงใน LTF 1 แสนบาท เพื่อ ลดหย่อนภาษี ( ลดได้ประมาณ 15%ของ 1 แสนบาท)
ส่วนที่ 2 ลงในหุ้น เลือกหุ้นเน้นโตเร็ว 1 ตัว ลงหมด 1 แสนบาท
แต่ อย่างกองทุน LTF มีข้อดีคือ ลงเงินต้นแค่ 4 ปีแรก ที่หลัง เอามาวนได้ ไม่ต้องลงเพิ่ม ข้อเสียคือ ณ.ขนาดนี้มันลง เยอะมาก เพราะ ว่ามันอิงดัชนี SET index
เลยอยากสอบถามว่า ลงในหุ้นอย่างเดียว ดีมั้ยชักไม่มั่นใจกองทุน
ของคุณพวกพี่ๆๆมากครับ
คล้ายๆๆ กับผมเลย
แต่ ผิดตรงที่ผมเพิ่งเริ่ม เมื่อต้นปี 51 นี้เอง
แล้ว เริ่มไปที่ กองทุนรวมซะด้วย
พอซื้อ LTF ครับ 15% ของรายได้แล้ว เพิ่งจะเริ่มมาซื้อหุ้น
เส็ดสิครับ เริ่ม ปุ๊บ เจอเหตุการ์ณเลย ทดสอบจิตใจมากๆๆ
ทัี้งๆๆ ที่ก่อนเล่น อ่านหนังสือมาเยอะ มาก เกือบ 30 เล่ม แต่
ยังทำใจไม่ค่อยได้เลย HURT กับ กองทุนมาก
กับหุ้น ไม่ HURT เท่าไหร่
เลยคิดๆๆ อยู่ว่าจะเปลี่ยน เป้าหมาย ไม่เล่นกองทุนดีมั้ยเนี่ย
อยากสอบถามความคิดเห็นพวก พี่ๆๆ ครับ คือ ผมมีเป้า หมายแบบนี้
ช่วยวิจารณ์ด้วยน่ะครับ
ภายใน 1 ปี จะมีเงินเก็บประมาณ 2 แสนบาท เน้นลงทุนระยะยาวน่ะครับ ไม่ขายแน่นอน ภายใน 5 ปี
แบ่งลงทุนเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 ลงใน LTF 1 แสนบาท เพื่อ ลดหย่อนภาษี ( ลดได้ประมาณ 15%ของ 1 แสนบาท)
ส่วนที่ 2 ลงในหุ้น เลือกหุ้นเน้นโตเร็ว 1 ตัว ลงหมด 1 แสนบาท
แต่ อย่างกองทุน LTF มีข้อดีคือ ลงเงินต้นแค่ 4 ปีแรก ที่หลัง เอามาวนได้ ไม่ต้องลงเพิ่ม ข้อเสียคือ ณ.ขนาดนี้มันลง เยอะมาก เพราะ ว่ามันอิงดัชนี SET index
เลยอยากสอบถามว่า ลงในหุ้นอย่างเดียว ดีมั้ยชักไม่มั่นใจกองทุน
ของคุณพวกพี่ๆๆมากครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 40
ไม่ขายแน่ภายใน 5 ปี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แน่หรือครับRamese เขียน:อยากสอบถามความคิดเห็นพวก พี่ๆๆ ครับ คือ ผมมีเป้า หมายแบบนี้
ช่วยวิจารณ์ด้วยน่ะครับ
ภายใน 1 ปี จะมีเงินเก็บประมาณ 2 แสนบาท เน้นลงทุนระยะยาวน่ะครับ ไม่ขายแน่นอน ภายใน 5 ปี
แบ่งลงทุนเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 ลงใน LTF 1 แสนบาท เพื่อ ลดหย่อนภาษี ( ลดได้ประมาณ 15%ของ 1 แสนบาท)
ส่วนที่ 2 ลงในหุ้น เลือกหุ้นเน้นโตเร็ว 1 ตัว ลงหมด 1 แสนบาท
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 41
แนวคิดการถือหุ้นให้ยาวนานที่สุดนั้นRamese เขียน:ภายใน 1 ปี จะมีเงินเก็บประมาณ 2 แสนบาท เน้นลงทุนระยะยาวน่ะครับ ไม่ขายแน่นอน ภายใน 5 ปี
เป็นแนวคิดของบัฟเฟตต์
ซึ่งวิธีนี้
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 107
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 42
แน่นอนครับพี่ chatchai ชัวร์ 100% ผมทำได้ครับ สำหรับหุ้นchatchai
ไม่ขายแน่ภายใน 5 ปี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แน่หรือครับ
เพราะ กองทุนก้อ 4 ปี แล้ว ขายซื้อใหม่ เอาลดหย่อนครัีบ
ปล. wg ผมเล็งอยู่เหมือนกันครับพี่ อยากถามพี่ตั้งหลายอย่าง
ขอบคุณมากครับพี่ ผมยังแยกไม่ออกเลย ที่ตอนนี้ผมถืออยู่ เป็นหุ้นเติบโตหรือโตเร็ว -_- แต่ผมว่ามันโตแน่ๆๆสามัญชน
ดังนั้น
การที่คิดจะถือหุ้นนานห้าปี
จึงต้องมองหาเฉพาะหุ้นเติบโตเท่านั้น
และต้องไม่ใช่หุ้นโตเร็วด้วย
หุ้นเติบโตคือหุ้นที่กำไรโตประมาณ 15% +/- 5%
หุ้นโตเร็วคือหุ้นที่มีกำไรมากกว่า 20% ต่อปี
เพราะการโตมากกว่า 20% ต่อปีติดต่อกันห้าปี
แม้ไม่ยากนักแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะรักษาได้ง่ายๆเลย
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 45
เห็นด้วยกับพี่ chatchai ครับ
:lol: :lol: :lol:
ตอนแรกที่ผมลงทุนก็ประมาณนี้อะครับ
อ่านหนังสือมาหลายเล่มมากๆ
เล่มแรกที่อ่านเกี่ยวกับหุ้น
ก็ของ อาจารย์ นิเวศน์ เล่มตีแตก
จากนั้นก็ติดตามผลงานอาจารย์เรื่อยมาก
และก้เริ่มอ่านของท่านปรมาจารย์บัฟเฟ็ต
เมื่อก่อนผมฝันจะเป็นนักธุรกิจ
แต่หลังจากศึกษาการลงทุน
โดยเฉพาะแนว VI แล้วผมก็ฝันจะเป็นนักลงทุนอย่างเดียวเท่านั้น
ตอนแรกๆที่ผมลงทุนก็ซื้อตามที่คุณปู่ของผมท่านแนะนำ
โดยเราก็พยายามอาศัยหลักการลงทุนที่อ่านมาช่วย
แต่ก็ประสบการณ์ก็สอนให้รู้ว่าวิธีการลงทุนของผมกับคุณปู่แตกต่างกัน
หุ้นที่ผมซื้อตอนแรกๆก็เป็นหุ้น blue chip ซึ่งผมก็คิดว่ามันเป็นธุรกิจ
ที่ยอดเยี่ยม มีความเป็นผุ้นำตลาด งบการเงินดี พื้นฐานแกร่ง
แต่สิ่งที่ผมยังขาดคือการประเมินมูลค่าบริษัท ผมไม่ค่อยได้ประเมิน
มูลค่าที่แท้จริงของกิจการเท่าไหร่นักในช่วงนั้น ด้วยเหตุว่ายังไม่มีความรู้
ทางด้านการเงินการลงทุนดีพอ หนังสือที่อ่านส่วนใหญ่จะเป็นหลักการ
มากกว่าวิธีคำนวณ ทำให้ผมดูแต่ปัจจัยเชิงคุณภาพ แต่ละเลยปัจจัยเชิงปริมาณ
ตอนนี้ผมก็พยายามทบทวนพอร์ตการลงทุนของตัวเองใหม่
ให้เหลือเฉพาะหุ้นที่ผมเข้าใจธุรกิจของมันจริงๆทั้งในเชิงคุณภาพ
และในเชิงปริมาณ
ปล.ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากนะครับที่ช่วยแบ่งปันประสบการณ์ ^ ^
:lol: :lol: :lol:
ตอนแรกที่ผมลงทุนก็ประมาณนี้อะครับ
อ่านหนังสือมาหลายเล่มมากๆ
เล่มแรกที่อ่านเกี่ยวกับหุ้น
ก็ของ อาจารย์ นิเวศน์ เล่มตีแตก
จากนั้นก็ติดตามผลงานอาจารย์เรื่อยมาก
และก้เริ่มอ่านของท่านปรมาจารย์บัฟเฟ็ต
เมื่อก่อนผมฝันจะเป็นนักธุรกิจ
แต่หลังจากศึกษาการลงทุน
โดยเฉพาะแนว VI แล้วผมก็ฝันจะเป็นนักลงทุนอย่างเดียวเท่านั้น
ตอนแรกๆที่ผมลงทุนก็ซื้อตามที่คุณปู่ของผมท่านแนะนำ
โดยเราก็พยายามอาศัยหลักการลงทุนที่อ่านมาช่วย
แต่ก็ประสบการณ์ก็สอนให้รู้ว่าวิธีการลงทุนของผมกับคุณปู่แตกต่างกัน
หุ้นที่ผมซื้อตอนแรกๆก็เป็นหุ้น blue chip ซึ่งผมก็คิดว่ามันเป็นธุรกิจ
ที่ยอดเยี่ยม มีความเป็นผุ้นำตลาด งบการเงินดี พื้นฐานแกร่ง
แต่สิ่งที่ผมยังขาดคือการประเมินมูลค่าบริษัท ผมไม่ค่อยได้ประเมิน
มูลค่าที่แท้จริงของกิจการเท่าไหร่นักในช่วงนั้น ด้วยเหตุว่ายังไม่มีความรู้
ทางด้านการเงินการลงทุนดีพอ หนังสือที่อ่านส่วนใหญ่จะเป็นหลักการ
มากกว่าวิธีคำนวณ ทำให้ผมดูแต่ปัจจัยเชิงคุณภาพ แต่ละเลยปัจจัยเชิงปริมาณ
ตอนนี้ผมก็พยายามทบทวนพอร์ตการลงทุนของตัวเองใหม่
ให้เหลือเฉพาะหุ้นที่ผมเข้าใจธุรกิจของมันจริงๆทั้งในเชิงคุณภาพ
และในเชิงปริมาณ
ปล.ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากนะครับที่ช่วยแบ่งปันประสบการณ์ ^ ^
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- birdflu
- Verified User
- โพสต์: 628
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 47
วันก่อนผมเอาหนังเรื่อง Blast From The Past มาดู หนังเรื่องนี้เป็นหนังเก่าที่ออกฉายในปี ค.ศ. 1999 นำแสดงโดย Brendan Fraser และ Alicia Silverstone
ในครั้งแรกที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ไอ้ตัวกระผมก็ยังเป็นเด็กวันรุ่นที่นอกจากจะประทับใจในตัวนางเอกแล้ว ผมก็สนุกไปกับเรื่องราวที่ชวนให้ติดตามอย่างเมามัน และไม่ได้เก็บเกี่ยวสาระอะไรมากจากเรื่องนี้
ในครั้งนี้ที่ได้ดูอีกครั้ง นอกจากความบันเทิงแล้ว ผมได้เห็นแง่มุมเกี่ยวกับการลงทุนที่แอบแฝงอยู่ในเรื่องนี้ครับ
เรื่องราวย่อๆก็มีอยู่ว่า พระเอกนั้นเกิดและโตมาในหลุมหลบภัยที่พ่อและแม่เขาสร้างไว้และลงไปอยู่เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่ามีสงครามนิวเคลียร์ (อันที่จริงเครื่องบินตกใส่บ้านที่เขาอยู่)
หลังจากที่ใช้ชีวิตตั้งแต่เกิดในหลุมหลบภัยนี้มาร่วม 35 ปี พระเอกซึ่งไม่เคยได้พบปะผู้คนอื่นๆนอกจากพ่อและแม่ของเขา ก็มีอันต้องออกไปสู่โลกภายนอกเป็นครั้งแรกเพื่อไปหาข้าวของและอาหารมาเพิ่มเติมเมื่อเสบียงที่พ่อเขาตุนเอาไว้ก็หมดลง
การผจญภัยของเขาแบบย่อๆก็คือ ได้เจอกับนางเอกและได้รู้และเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วไม่เคยมีสงครามนิวเคลียร์อย่างที่พ่อและแม่เขาคิดไว้ และในที่สุดก็ไปอธิบายเรื่องราวต่างๆ และเกลี้ยกล่อมให้พ่อแม่เขาออกมาจากหลุม เพื่ออยู่ในบ้านหลังใหม่ที่เขาสร้างขึ้นมาและใช้ชีวิตอยู่กันอย่างเป็นสุข
และแล้วก็จบแบบ happy ending ตามประสาหนัง อเมริกันดรีม
แง่มุมเกี่ยวกับการลงทุนที่เกริ่นเอาไว้เบื้องต้นก็อยู่ที่ตอนจบครับ เหตุก็เพราะการจบแบบ happy ending ของเรื่องนี้ดันไปเกี่ยวกับหุ้นครับ เพราะสิ่งที่ทำให้ครอบครัวนี้มีฐานะร่ำรวยทันทีที่ออกมาจากหลุมก็คือหุ้นที่พ่อเขาซื้อไว้ก่อนที่จะต้องลงไปในหลุม
พ่อเขาอาจจะซื้อหุ้นเหล่านี้ไว้เพื่อการลงทุนหรืออาจจะซื้อมาเพื่อเก็งกำไรช่วงสั้นๆ แต่เหตุการณ์ที่ชุลมุนนั้นคงทำให้ เขาลืมว่ามีหุ้นอยู่ ทั้งๆที่บริษัทก็ยังคงดำเนินต่อไปและเติบโตต่อไป ในขณะที่ตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่เพื่อรักษากลไกการซื้อขายของตราสารทุนเหล่านั้น
และก็เป็นโชคดีที่หุ้นที่พ่อเขาซื้อไว้เป็นหุ้นพื้นฐานดี ผมไม่แน่ใจว่าหุ้นตัวไหน แต่รู้สึกว่าจะเป็น IBM และ AT&T และผมก็ไม่แน่ใจว่าพื้นฐานของ 2ตัวนี้ดีจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยตามที่ปรากฎในเนื้อเรื่องมันต้องเป็นหุ้นที่ไม่ขี้เหล่แน่ครับ
ในระยะยาวราคาหุ้นย่อมสะท้อน ผลประกอบการของบริษัท
การที่พ่อเขามีหุ้นพื้นฐานดี และอยู่ในสภาวะที่ทำให้เขา "ลืมหุ้น" กล่าวคือไม่ไปทำการซื้อๆขายๆ เพราะอ่อนไหวกับข่าวสารรอบๆตัวรายวัน ไม่อ่อนไหวกับราคาที่ขึ้นลงรายวัน และยังคงถือมาราว 35 ปี ได้ทำให้หุ้นเหล่ามีมูลค่าสูงขึ้นจากเดิม จนกลายเป็นขุมมหาสมบัติมากพอที่ทำให้หนังเรื่องนี้จบลงได้ด้วยดี
ลองคิดเล่นดูครับ ว่าหากพ่อเขาไม่ได้ซื้อหุ้นพวกนี้ไว้ (หรือซื้อหุ้นปั่นแทนหุ้นพื้นฐานดี)เรื่องนี้คงจะจบแบบ happyลำบากครับ
ดีไม่ดีเราอาจจะได้เห็นภาคต่อของหนังเรื่องนี้ที่นำเสนอเรื่องราวการผจญภัยของครอบครัวหลงยุคที่นอกจากจะไร้ทุนทรัพย์แล้ว ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมยุคสมัยใหม่ๆเพื่อความอยู่รอด เรื่องแบบนี้คงสนุกแบบแล้งแค้นพึลึกครับ
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในหนังภาพยนตร์ และเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง แต่กฎที่ว่า "ในระยะยาวราคาหุ้นย่อมสะท้อน ผลประกอบการของบริษัท " ก็ได้ถูกนำมาเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเนื้อเรื่อง และก็อาจจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีต่อแนวคิดในการลงทุน....
โดยเฉพาะในช่วงเพลาแบบนี้
ผมเองก็จะพยายามลืมหุ้นของผมอยู่ครับ อย่างน้อยๆก็บางตัวที่เข้าข่ายครับ
ในครั้งแรกที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ไอ้ตัวกระผมก็ยังเป็นเด็กวันรุ่นที่นอกจากจะประทับใจในตัวนางเอกแล้ว ผมก็สนุกไปกับเรื่องราวที่ชวนให้ติดตามอย่างเมามัน และไม่ได้เก็บเกี่ยวสาระอะไรมากจากเรื่องนี้
ในครั้งนี้ที่ได้ดูอีกครั้ง นอกจากความบันเทิงแล้ว ผมได้เห็นแง่มุมเกี่ยวกับการลงทุนที่แอบแฝงอยู่ในเรื่องนี้ครับ
เรื่องราวย่อๆก็มีอยู่ว่า พระเอกนั้นเกิดและโตมาในหลุมหลบภัยที่พ่อและแม่เขาสร้างไว้และลงไปอยู่เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่ามีสงครามนิวเคลียร์ (อันที่จริงเครื่องบินตกใส่บ้านที่เขาอยู่)
หลังจากที่ใช้ชีวิตตั้งแต่เกิดในหลุมหลบภัยนี้มาร่วม 35 ปี พระเอกซึ่งไม่เคยได้พบปะผู้คนอื่นๆนอกจากพ่อและแม่ของเขา ก็มีอันต้องออกไปสู่โลกภายนอกเป็นครั้งแรกเพื่อไปหาข้าวของและอาหารมาเพิ่มเติมเมื่อเสบียงที่พ่อเขาตุนเอาไว้ก็หมดลง
การผจญภัยของเขาแบบย่อๆก็คือ ได้เจอกับนางเอกและได้รู้และเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วไม่เคยมีสงครามนิวเคลียร์อย่างที่พ่อและแม่เขาคิดไว้ และในที่สุดก็ไปอธิบายเรื่องราวต่างๆ และเกลี้ยกล่อมให้พ่อแม่เขาออกมาจากหลุม เพื่ออยู่ในบ้านหลังใหม่ที่เขาสร้างขึ้นมาและใช้ชีวิตอยู่กันอย่างเป็นสุข
และแล้วก็จบแบบ happy ending ตามประสาหนัง อเมริกันดรีม
แง่มุมเกี่ยวกับการลงทุนที่เกริ่นเอาไว้เบื้องต้นก็อยู่ที่ตอนจบครับ เหตุก็เพราะการจบแบบ happy ending ของเรื่องนี้ดันไปเกี่ยวกับหุ้นครับ เพราะสิ่งที่ทำให้ครอบครัวนี้มีฐานะร่ำรวยทันทีที่ออกมาจากหลุมก็คือหุ้นที่พ่อเขาซื้อไว้ก่อนที่จะต้องลงไปในหลุม
พ่อเขาอาจจะซื้อหุ้นเหล่านี้ไว้เพื่อการลงทุนหรืออาจจะซื้อมาเพื่อเก็งกำไรช่วงสั้นๆ แต่เหตุการณ์ที่ชุลมุนนั้นคงทำให้ เขาลืมว่ามีหุ้นอยู่ ทั้งๆที่บริษัทก็ยังคงดำเนินต่อไปและเติบโตต่อไป ในขณะที่ตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่เพื่อรักษากลไกการซื้อขายของตราสารทุนเหล่านั้น
และก็เป็นโชคดีที่หุ้นที่พ่อเขาซื้อไว้เป็นหุ้นพื้นฐานดี ผมไม่แน่ใจว่าหุ้นตัวไหน แต่รู้สึกว่าจะเป็น IBM และ AT&T และผมก็ไม่แน่ใจว่าพื้นฐานของ 2ตัวนี้ดีจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยตามที่ปรากฎในเนื้อเรื่องมันต้องเป็นหุ้นที่ไม่ขี้เหล่แน่ครับ
ในระยะยาวราคาหุ้นย่อมสะท้อน ผลประกอบการของบริษัท
การที่พ่อเขามีหุ้นพื้นฐานดี และอยู่ในสภาวะที่ทำให้เขา "ลืมหุ้น" กล่าวคือไม่ไปทำการซื้อๆขายๆ เพราะอ่อนไหวกับข่าวสารรอบๆตัวรายวัน ไม่อ่อนไหวกับราคาที่ขึ้นลงรายวัน และยังคงถือมาราว 35 ปี ได้ทำให้หุ้นเหล่ามีมูลค่าสูงขึ้นจากเดิม จนกลายเป็นขุมมหาสมบัติมากพอที่ทำให้หนังเรื่องนี้จบลงได้ด้วยดี
ลองคิดเล่นดูครับ ว่าหากพ่อเขาไม่ได้ซื้อหุ้นพวกนี้ไว้ (หรือซื้อหุ้นปั่นแทนหุ้นพื้นฐานดี)เรื่องนี้คงจะจบแบบ happyลำบากครับ
ดีไม่ดีเราอาจจะได้เห็นภาคต่อของหนังเรื่องนี้ที่นำเสนอเรื่องราวการผจญภัยของครอบครัวหลงยุคที่นอกจากจะไร้ทุนทรัพย์แล้ว ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมยุคสมัยใหม่ๆเพื่อความอยู่รอด เรื่องแบบนี้คงสนุกแบบแล้งแค้นพึลึกครับ
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในหนังภาพยนตร์ และเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง แต่กฎที่ว่า "ในระยะยาวราคาหุ้นย่อมสะท้อน ผลประกอบการของบริษัท " ก็ได้ถูกนำมาเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเนื้อเรื่อง และก็อาจจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีต่อแนวคิดในการลงทุน....
โดยเฉพาะในช่วงเพลาแบบนี้
ผมเองก็จะพยายามลืมหุ้นของผมอยู่ครับ อย่างน้อยๆก็บางตัวที่เข้าข่ายครับ
Keep Calm And Chive On
- birdflu
- Verified User
- โพสต์: 628
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 48
ขออนุญาตอาศัยกระแสดราม่าหลายๆตัว เอาของเก่ามาเปิดท้ายขายนะครับ
บังเอิญเห็นว่า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย เรื่องราวแบบนี้ก็มีให้เห็นได้ตลอด ไม่เตยตกเทรน
เลยถือโอกาสมาให้กำลังใจ ผู้ที่ประสบภัยทั้งหลายครับ
ตามท้องเรื่องก็ชัดเจนครับว่าผมเคยผ่านประสบการณ์แบบนั้นมาแล้ว
แม้จะเจ็บปวดมากในขณะนั้น แต่มองย้อนกลับไป ผมกลับรู้สึกโชคดีที่มันเกิดไปแล้ว
ถ้าให้เปรียบก็คงเหมือนคนที่เคยเป็น อีสุกอีใส แล้วรู้สึกว่าข้าเคยเป็นแล้วและคงจะไม่เป็นอีก
ที่ว่าไปนั้น ไม่ได้บอกว่าผมประสบความสำเร็จ หรือได้สถาปนาตัวเองเป็นทวยเทพแล้วนะครับ
ตรงกันข้ามผมยังห่างไกลเป้าหมายส่วนตัวอยู่มากโข
เพียงแต่อย่างน้อยผมก็คิดว่าผมมีภูมิต้านทานสูงขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของการบริโภคข้อมูลสำเร็จรูปที่มีหยิบยื่นให้เราแบบฟรีๆอยู่ทุกวันแบบไม่วิเคราะห์แล้วไตร่ตรองด้วยตัวเอง หรือแนวความคิดที่ว่าเดินตามหลังผู้ใหญ่ (เซเล็บ) แล้วสุนัขไม่กัด
สุดท้ายก็แค่อยากจะบอกว่า เบื้องหลังทุกความสำเร็จ ก็จะมีความล้มเหลวประดับไว้ใน resume อยู่เสมอ เพียงแต่ความสำเร็จจะมากหรือน้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการนำบทเรียนจากความล้มเหลวมาใช้ให้เป็นเครื่องมือเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ พัฒนา และพลักดันเราได้มากน้อยขนาดไหนครับ
บังเอิญเห็นว่า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย เรื่องราวแบบนี้ก็มีให้เห็นได้ตลอด ไม่เตยตกเทรน
เลยถือโอกาสมาให้กำลังใจ ผู้ที่ประสบภัยทั้งหลายครับ
ตามท้องเรื่องก็ชัดเจนครับว่าผมเคยผ่านประสบการณ์แบบนั้นมาแล้ว
แม้จะเจ็บปวดมากในขณะนั้น แต่มองย้อนกลับไป ผมกลับรู้สึกโชคดีที่มันเกิดไปแล้ว
ถ้าให้เปรียบก็คงเหมือนคนที่เคยเป็น อีสุกอีใส แล้วรู้สึกว่าข้าเคยเป็นแล้วและคงจะไม่เป็นอีก
ที่ว่าไปนั้น ไม่ได้บอกว่าผมประสบความสำเร็จ หรือได้สถาปนาตัวเองเป็นทวยเทพแล้วนะครับ
ตรงกันข้ามผมยังห่างไกลเป้าหมายส่วนตัวอยู่มากโข
เพียงแต่อย่างน้อยผมก็คิดว่าผมมีภูมิต้านทานสูงขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของการบริโภคข้อมูลสำเร็จรูปที่มีหยิบยื่นให้เราแบบฟรีๆอยู่ทุกวันแบบไม่วิเคราะห์แล้วไตร่ตรองด้วยตัวเอง หรือแนวความคิดที่ว่าเดินตามหลังผู้ใหญ่ (เซเล็บ) แล้วสุนัขไม่กัด
สุดท้ายก็แค่อยากจะบอกว่า เบื้องหลังทุกความสำเร็จ ก็จะมีความล้มเหลวประดับไว้ใน resume อยู่เสมอ เพียงแต่ความสำเร็จจะมากหรือน้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการนำบทเรียนจากความล้มเหลวมาใช้ให้เป็นเครื่องมือเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ พัฒนา และพลักดันเราได้มากน้อยขนาดไหนครับ
Keep Calm And Chive On
-
- Verified User
- โพสต์: 6
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 51
ปัญหาของการถือหุ้นไว้เฉยๆๆ คือลำบากใจนะคะเพราะพี่มาร์เก็ตติ้งเค้าชอบให้เทรดช่วย วันเว้นวัน พี่เค้าบ่นว่าถือยาวววววแล้วเขียว ให้ขายบ้างไม่งั้นเดี๋ยวกลับมาแดงงงง หนูขายหมูฃะมากกว่าคะแป๋ว จะลองถือยาวๆๆๆ เพื่อจะรวยแบบ ในหนังบ้างนะคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 52
เขียนอ่านสนุก และ มีสาระดีมากเลยครับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- Verified User
- โพสต์: 495
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 54
ผ่านมา เกือบจะห้าปีแล้ว พี่ birdflu ยังถือหุ้น จำนวนนั้นไว้หรือไม่ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 59
เคยเหมือนกันเลยครับ สำหรับหุ้นที่ฮิตกันในบอร์ดแต่ก็ถือเป็นข้อคิดเจ็บแล้วตาเราจะสว่างขึ้นครับ
ประวัติศาสตร์นั้นมีให้คนรุ่นหลังนั้นเรียนรู้เพราะ "History always repeat itself" ขอบคุณสำหรับ
บทความดีๆครับ
ประวัติศาสตร์นั้นมีให้คนรุ่นหลังนั้นเรียนรู้เพราะ "History always repeat itself" ขอบคุณสำหรับ
บทความดีๆครับ
- birdflu
- Verified User
- โพสต์: 628
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทาง VI จำแลงของข่อย
โพสต์ที่ 60
ในช่วงที่ตลาดอยู่ในสภาวะเลือดตกยางออกแบบนี้
ผมขออนุญาติหยิบยกกระทู้เก่าของกระผมเองขึ้นมาอีกครั้งนะครับ
โดยส่วนตัวเวลาที่สภาวะตลาดไม่เป็นใจ ผมมักจะกลับมาอ่านกระทู้นี้
เพราะจะได้ทบทวนสิ่งที่ผมเคยเขียนบอกตัวเองเอาไว้เพื่อคอยเตือนสติ ไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำรอยอดีต
กระทู้นี้เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2008 และผมเห็นว่าหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา
มันค่อนข้างจะสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
อย่างเช่น post แรกๆ ก็เป็นเรื่องราวการลงทุนในช่วงต้นๆของผม
ซึ่งก็น่าจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนหน้าใหม่ๆเข้ามาลงทุนในหุ้น (ซึ่งมีเยอะมากๆในช่วงนี้)
post ถัดไปช่วง ส.ค. 2008 ก็อยู่ในช่วงเริ่มต้นของวิกฤต sub-prime
ซึ่งหากใครจำได้ บรรยากาศในขณะนั้น มันคล้ายๆกับตอนนี้เลย
Post สุดท้าย ทิ้งห่างมาราว 3 ปี จะเป็นช่วงเหตุการณ์ Celebrity Investing
ถ้าใครยังจำได้จะเป็นช่วงที่ VI โดนโจมตีอย่างหนัก เพราะหลายๆคนลงทุนตามเซียนแล้วเจ็บตัว
ผมคิดว่า 3 posts 3 เหตุการณ์ พอเอามารวมกันมันเหมือนๆ กับเหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน
เลยคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ
Once again, happy investing!!
ปล. ข้อมูลในกล่อง quote 2-3 อันมันหายไป ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นช่วงที่โอนถ่าย server
ไม่ทราบว่าทาง Mod จะพอ retrieve ขึ้นมาได้หรือไม่ครับ
เพราะมันเป็นข้อมูลจาก พี่หมอ กับ พี่ฉัตรชัย ซึ่งน่าจะมีประโยชน์มากๆครับ
ผมขออนุญาติหยิบยกกระทู้เก่าของกระผมเองขึ้นมาอีกครั้งนะครับ
โดยส่วนตัวเวลาที่สภาวะตลาดไม่เป็นใจ ผมมักจะกลับมาอ่านกระทู้นี้
เพราะจะได้ทบทวนสิ่งที่ผมเคยเขียนบอกตัวเองเอาไว้เพื่อคอยเตือนสติ ไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำรอยอดีต
กระทู้นี้เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2008 และผมเห็นว่าหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา
มันค่อนข้างจะสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
อย่างเช่น post แรกๆ ก็เป็นเรื่องราวการลงทุนในช่วงต้นๆของผม
ซึ่งก็น่าจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนหน้าใหม่ๆเข้ามาลงทุนในหุ้น (ซึ่งมีเยอะมากๆในช่วงนี้)
post ถัดไปช่วง ส.ค. 2008 ก็อยู่ในช่วงเริ่มต้นของวิกฤต sub-prime
ซึ่งหากใครจำได้ บรรยากาศในขณะนั้น มันคล้ายๆกับตอนนี้เลย
Post สุดท้าย ทิ้งห่างมาราว 3 ปี จะเป็นช่วงเหตุการณ์ Celebrity Investing
ถ้าใครยังจำได้จะเป็นช่วงที่ VI โดนโจมตีอย่างหนัก เพราะหลายๆคนลงทุนตามเซียนแล้วเจ็บตัว
ผมคิดว่า 3 posts 3 เหตุการณ์ พอเอามารวมกันมันเหมือนๆ กับเหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน
เลยคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ
Once again, happy investing!!
ปล. ข้อมูลในกล่อง quote 2-3 อันมันหายไป ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นช่วงที่โอนถ่าย server
ไม่ทราบว่าทาง Mod จะพอ retrieve ขึ้นมาได้หรือไม่ครับ
เพราะมันเป็นข้อมูลจาก พี่หมอ กับ พี่ฉัตรชัย ซึ่งน่าจะมีประโยชน์มากๆครับ
Keep Calm And Chive On