ดีครับ เวลาหามูลค่าหุ้น มีใครชอบใช้DCFบ้างมั้ยครับ

[Stock lover]

ดีครับ เวลาหามูลค่าหุ้น มีใครชอบใช้DCFบ้างมั้ยครับ ถ้าจะเป็นวีไอ ควร หาค่าDCFให้ได้ใช่มั้ยครับ สำคัญมากมั้ยครับ ผมอ่านรายละเอียดแล้วรู้สึกซับซ้อนมากๆเลยครับ แต่เคยอ่านเห็นวอเรน ชอบใช้ค่าDCFมากเลย

ขอบคุณครับ

[pdGrff]

ดีค่ะ มองเห็นภาพใหญ่ๆ ยาวๆแต่ยากตรงที่ต้องมานั่ง estimate ตัวเลขอะ
ทำไปทำมาค่อนข้าง subjective ค่ะ

[pdGrff]

อ้อ อีกอย่าง หุยว่า apply ได้กับเฉพาะหุ้นบางกลุ่มนะคะ พวกเรือ.. หรือพวก turnaround แรงๆ แล้วก็พวก commodity น่าจะใช้ยากอยู่

[kabu]

ผมใช้แต่กับบริษัทที่ตัดค่าเสื่อมเยอะๆน่ะครับ

[jo7393]

ผมว่าไม่ว่าจะวิธีไหนก็จะมีจุดดี จุดด้อย ในตัวมันนะครับ
ไม่จำเป็นต้องใช้ DCF เป็นก็ลงทุนได้ครับ
ขอแค่เราเข้าใจวิธีที่เราใช้ให้ลึกมากพอ รู้ว่าวิธีที่เราใช้ไม่เหมาะกับหุ้นประเภทไหน เราก็จำกัดขอบเขตการลงทุนของเราให้อยู่ในวิธีที่เราเข้าใจ ทุกวิธีหากใช้เป็นและเข้าใจลึกซึ้งพอ ทำกำไรให้เราได้ทั้งนั้นครับ
ไม่ว่าจะเป็น PE , Div model ,DCF ที่สำคัญตัวเลขต่างๆออกมาจากความคิดเรา ดังนั้นเราต้องเข้าใจตัวกิจการให้ลึกพอด้วยครับ ไม่อย่างนั้นจะประมาณไปข้างหน้าผิด ครับ

[untrataro25]

DCF ควรจะใช้ กับ หุ้นประเภท CPN SF รึเปล่าหว่า

[thalucoz]

ของผมใช้ตลอดครับ (แต่จะเอาไปใช้เทียบได้ไหมอีกเรื่องครับ) ความสำคัญของวิธีนี้น่าจะอยู่ที่ว่า มันทำให้เรามองภาพของบริษัทชัดเจนขึ้นครับ ( ถ้าถึงขนาด Estimate ค่าต่าง ๆ ได้ก็ต้องมีความเข้าใจมาพอควรล่ะ ) และแน่นอนว่าเราจะเข้าใจทันทีเวลาวิเคราะห์ แทนค่าตัวแปรต่าง ๆ ว่าอะไรเป็นจุดสำคัญในกิจการนี้ครับ

เช่น เงินสดว่ามาก ๆ จะยืนยาวไหมถ้า เงินสดที่ว่ามาจากการขายสินทรัพย์ หรือมาจากการระบายสินทรัพย์ออกไป ซึ่งไม่รู้ว่าต่อไปซื้อกลับจะได้ราคานี้หรือเปล่า กิจการนี้สร้างเงินสดได้เยอะจริง ๆ แต่ก็ลงทุนเยอะด้วยเช่นกัน แถมยังวูบ ๆ วาบ ปีนึงลงทุน อีกปีไม่ลงซะแล้ว เป็นต้นครับ

หลัง ๆ ผมจะใช้แค่คร่าวให้ผมพอรู้ว่าเวลา เตรียมหรือศึกษาข้อมูลควรระวังอะไรเป็นพิเศษครับ

[yy]

ของผมใช้ DDM (Discounted Dividend Model) .. (น่าจะเรียกชื่อเต็มถูกนะครับ) เป็นหลักเลย
ที่ผ่านมา 3 ปีกว่าๆ ก็ OK นะครับ .. (ไม่อยากบอกว่าผลตอบแทนเท่าไหร่ กลัวผิดกฎเว็บ ..อิอิ แต่ .. เกินกว่าที่คาดหมายไว้แต่แรกมาก เร้ยยยย .. )
... แต่ตอนนี้ กำลังอยากจะ Upgrade ตัวเอง (เพราะรู้สึกว่าการลงทุนโดยเน้นเงินปันผล ตามกระแสของวัยรุ่นนักลงทุนในปัจจุบัน (และในเว็บนี้) เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะล้าสมัย ..
(จนกระทั้งดร.นิ ของเราต้องออกมาปรามกันหลายรอบแล้ว โดยเฉพาะในประเด็นนี้ เพราะมีการเปรียบเทียบในด้านผลตอบแทนที่ได้ ของผู้ที่นิยมลงทุนโดยเน้นหุ้นที่ Growth มากๆ หรือจะ Turn around เป็นหลัก)
... เลยต้องมาหัดทำ DCF
แต่ประเด็นสำคัญ คือ พอทำเป็นแล้ว ... (ภายใต้คำถามเยอะแยะว่า .. เชื่อถือได้แค่ไหน)
ผมจะใช้หรือไม่

[picatos]

ไม่ชอบใช้ครับ ใช้ยาก ใช้แล้วชอบได้ค่าที่มั่วๆ เวอร์ๆ ยังไงไม่รู้

ถ้าไม่จำเป็นจะเป็นวิธีสุดท้ายที่จะใช้ครับ

[เหยี่ยวเดือน9]

แม้จะใช้ยาก และไม่ได้กับหุ้นบางประเภท
แต่ผมคิดว่าควรที่จะศึกษาไว้ครับ เพราะการศึกษาเกี่ยวกับกระแสเงินสดอิสระของบริษัท
มันก็คือการศึกษาทั้งหมดของตัวบริษัท
สุดท้ายแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้ใช้มัน แต่ก็ทำให้เรารู้แล้วก็มองอะไรได้กว้างขึ้นเยอะครับ

[Stock lover]

ของผมใช้ตลอดครับ (แต่จะเอาไปใช้เทียบได้ไหมอีกเรื่องครับ) ความสำคัญของวิธีนี้น่าจะอยู่ที่ว่า มันทำให้เรามองภาพของบริษัทชัดเจนขึ้นครับ ( ถ้าถึงขนาด Estimate ค่าต่าง ๆ ได้ก็ต้องมีความเข้าใจมาพอควรล่ะ ) และแน่นอนว่าเราจะเข้าใจทันทีเวลาวิเคราะห์ แทนค่าตัวแปรต่าง ๆ ว่าอะไรเป็นจุดสำคัญในกิจการนี้ครับ

เช่น เงินสดว่ามาก ๆ จะยืนยาวไหมถ้า เงินสดที่ว่ามาจากการขายสินทรัพย์ หรือมาจากการระบายสินทรัพย์ออกไป ซึ่งไม่รู้ว่าต่อไปซื้อกลับจะได้ราคานี้หรือเปล่า กิจการนี้สร้างเงินสดได้เยอะจริง ๆ แต่ก็ลงทุนเยอะด้วยเช่นกัน แถมยังวูบ ๆ วาบ ปีนึงลงทุน อีกปีไม่ลงซะแล้ว เป็นต้นครับ

หลัง ๆ ผมจะใช้แค่คร่าวให้ผมพอรู้ว่าเวลา เตรียมหรือศึกษาข้อมูลควรระวังอะไรเป็นพิเศษครับ

ช่วยแนะนำวิธี ศึกษาDCFหน่อยได้มั้ยครับ มีหนังสือแนะนำบ้างมั้ยครับ ถ้าDCF มีหนังสือของคุณสุมาอี้เล่มเดียวเองที่ผมเห็นในร้านหน้งสือนะครับ แสดงมีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับDCFไม่มากใช่มั้ยครับ หรือต้องไปอ่านหนังสือฝรั่งกันเลย

[chiraponge]

ผมว่า DCF ดีนะครับ
ทั้ง FCFF และ FCFE เลย
มันเป็นการบังคับให้เราอ่านข้อมูลทั้งหมดของ บ.

ส่วนจะเชื่อได้รึเปล่า
มันก้เปนเพียงสิ่งที่เราคาดคะเนตามข้อมูลที่มีอยู่ปัจจับนและข้อมุลในอดีต
แต่ผมว่าเป็นวิธีที่ดีเลยนะ

ส่วน DDM ผมใช้แบบ Perpentual (กลัวเขียนผิด)
ซึ่งใช้ในการหาผลตอบแทนของ preferstock
เพราะมันค่อนข้าง conservative และคิดง่ายมากส่วน
ใช้กับหุ้น พวกปันผลสม่ำเสมอ เช่น RATCH, AS

ส่วน DDM แบบ gordon model ผมเอาไว้คิด terminal value ของกิจการ ในการคิด DCF หรือบางทีก็ใช้ P/E ในอนาคตในการคิด terminal value

เท่าที่ลองใช้ DCF คิดของ KIAT ก็ได้ประมาณ 16.9 ตั้งแต่แรก ๆ (ราคานี้ยังไม่รวม MOS)
ซึ่งปัจจุบันราคาก็ป้วนเปี้ยนประมาณนี้ (เหมือนจะฟลุ๊คด้วยส่วนนึง 555)
ซึ่งหาก assumption เปลี่ยน ราคาก้จะเปลี่ยนแปลงไป

สรุป คือ ผมใช้ DCF, DDM, residual income
อาจเสียเวลาหน่อย แต่เราได้มองในมุมต่างๆๆ กัน

[chiraponge]

ของผมใช้ตลอดครับ (แต่จะเอาไปใช้เทียบได้ไหมอีกเรื่องครับ) ความสำคัญของวิธีนี้น่าจะอยู่ที่ว่า มันทำให้เรามองภาพของบริษัทชัดเจนขึ้นครับ ( ถ้าถึงขนาด Estimate ค่าต่าง ๆ ได้ก็ต้องมีความเข้าใจมาพอควรล่ะ ) และแน่นอนว่าเราจะเข้าใจทันทีเวลาวิเคราะห์ แทนค่าตัวแปรต่าง ๆ ว่าอะไรเป็นจุดสำคัญในกิจการนี้ครับ

เช่น เงินสดว่ามาก ๆ จะยืนยาวไหมถ้า เงินสดที่ว่ามาจากการขายสินทรัพย์ หรือมาจากการระบายสินทรัพย์ออกไป ซึ่งไม่รู้ว่าต่อไปซื้อกลับจะได้ราคานี้หรือเปล่า กิจการนี้สร้างเงินสดได้เยอะจริง ๆ แต่ก็ลงทุนเยอะด้วยเช่นกัน แถมยังวูบ ๆ วาบ ปีนึงลงทุน อีกปีไม่ลงซะแล้ว เป็นต้นครับ

หลัง ๆ ผมจะใช้แค่คร่าวให้ผมพอรู้ว่าเวลา เตรียมหรือศึกษาข้อมูลควรระวังอะไรเป็นพิเศษครับ

ช่วยแนะนำวิธี ศึกษาDCFหน่อยได้มั้ยครับ มีหนังสือแนะนำบ้างมั้ยครับ ถ้าDCF มีหนังสือของคุณสุมาอี้เล่มเดียวเองที่ผมเห็นในร้านหน้งสือนะครับ แสดงมีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับDCFไม่มากใช่มั้ยครับ หรือต้องไปอ่านหนังสือฝรั่งกันเลย

ของผมพอดีลงวิชา portfolio พอดี
มี อ. มาสอน ทำ lecture ไว้ ถ้าสนใจก็บอกนะครับจะ scan ส่งให้
(แต่อาจอ่านลำบากหน่อย ลายมือผู้ชายอะครับ)
อีกอัน คือ text ที่ แจกตอนเรียน เล่มสีชมพู ม่วงๆ
valuation ทั้งเล่มเลยครับ แต่ที่ได้จากวิชานี้ คือ
อ.ให้ทำ valution หุ้นใน MAI มา present ทำตั้งแต่ industry analysis SPELT, SWOT fiveforce เสียเวลาหน่อย แต่คุ้มครับ

[^^]

รบกวนด้วยนะครับคุณchiraponge
ผมส่งemailไปให้ทางinboxแล้วครับ

[Paul Octopus]

เคยใช้กับการเข้าซื้อธุรกิจแบบว่า Take Over เลย
มี Consultants (สมัยนั้น Arthur Anderson) ค่าจ้างคิดกันเป็น ราย ชม. (แพงกว่า 12,000 บาทต่อ ชม. แพงสุด 30,000 บาทต่อ ชม. ราคาเมื่อปี 1999) ใช้เวลาทำโดยมี DCF เป็นเรื่องหลัก (เพื่อหา "Value of Firm") 2 เดือนเต็มแบบ Full time (ใช้ 1 ทีมที่ประกอบไปด้วยนักการเงิน การตลาด นักวางกลยุทธ และ Technicians)

อยากบอกแบบไม่อายเลยนะครับ ว่ามันแทบใช้ไม่ได้เลย ไม่ตรง ถ้าเป็นการสอบได้ D หรือ F ไปเลย (เทียบกับ Value ปัจจุบันของกิจการนี้ หลังผ่านไป สิบกว่าปี)

เหตุผล ค่า DCF มีส่วนที่เป็น Assumptions มาก และ ไอ้ตรงนี้แหละมันจะผิดได้มาก มันจะทำให้ Value ที่คำนวณผิดหมด

การจะทำ DCF จะดีได้ตามความรู้ (รอบตัว) ที่คุณมีครับ
นักการเงินจบใหม่ไม่มันวันทำสิ่งนี้ได้ดี ผมยีนยัน
อย่าหลงใหลมันมากนัก โดยเฉพาะตอนที่ประสบการณ์ในเรื่องธุรกิจยังน้อย

[^^]

คุณPaul Octopus หมายถึง ธุรกิจจริงๆที่ไม่ใช่ใช้ตัวเลข
มันต้องมีการลดราคา สร้างโปรโมชัน หรือหาจุดแข็งให้เจอทั้งด้านconnection การต่อรอง
ทั้งหมดเพื่ออยู่รอดซึ่งไม่ได้รายงานในตัวเลขที่เกิดขึ้น

การเทคโอเวอร์ไปแต่ไม่รู้จุดแข็ง Five force modelเหมือนคนเคยทำมาก่อน แล้วจ้างใครก็ได้มาบริหาร อาจทำให้Business modelอาจเปลี่ยนไป และรายได้ที่เกิดขึ้นจริงเปลี่ยนไป
ใช่ไหมครับ???

[jo7393]

พี่พอลน่าจะหมายถึง การ Assumption จากทีมประเมินมากกว่าครับ ไม่ใช่จากผู้เทคโอเวอร์
ทีมประเมิน โดยใช้DCF ถึงจะเป็นนักวิเคราะห์แต่หากไม่เข้าใจธุรกิจลึกพอ ตัวเลขบางอย่างที่ต้องอาศัยการคาดคะเนก็อาจเพี้ยนได้ ทำให้สุดท้ายแล้วได้ตัวเลขออกมาใช้ไม่ได้ครับ

[Paul Octopus]

จริงๆ วันนั้นเราใช้คนในธุรกิจที่เรากำลังเข้าไปเทคโอเวอร์มาช่วยทำด้วย ซี่งรู้ธุรกิจอย่างดี (เป็นการ takeover ที่ win-win จะใช้คำว่า Merger ก็คงไม่ได้เพราะกิจการทำคนละธุรกิจ แต่เป็น Supply Chain เดียวกัน โดยเราไป takeover เพื่อ Growth แบบ Forward Integration คนที่ถูกเรา Takeover ก็มีความรู้สึกว่าเขาได้ทำ Backward Integration แต่ไม่ได้เรื่องเงิน แต่ Secure เรื่องของ Supply วัตถุดิบ

ความผิดพลาดเป็นเรื่องประมาณการเติบโต ประมาณการแข่งขันที่จะส่งผลในเรื่องของ Contribution Margins และ Market Share ฯลฯ
คิดดูเอาแล้วกัน เจอ การขึ้นลงของน้ำมัน และ Commodities เข้าไปก็เพี้ยนหมดแล้ว ราคาน้ำมันตอนนั้นมันราคาถูกว่า Coke ซะอีก

แต่ผมไม่ได้หมายความรวมๆว่ามันไม่ดีนะครับ
มันเป็น Tool ที่จะบอกว่ามูลค่ากิจการ (หรือ มูลค่าหุ้น) มีค่าซักเท่าใด
แต่ ......การทำนาย Factors ต่างๆ มันทำได้ยากมาก เพราะมันไม่เคยอยู่นิ่งเลย

เป็นที่มาที่ทำไมผมถึงอยากเป็น ปลาหมึก Paul ใง .... ถ้าผมทำนายความเป็นไปของธุรกิจ คู่แข่ง พฤติกรรมผู้บริโภค ฯลฯ ได้แม่นเหมือนหมีก Paul (ทายบอลโลก 8 ครั้งถูกหมด) และ ใช้ DCF หาตัวเลขกิจการออกมา รับรอง รวย

[leaderinshadow]

เป็นวิธีที่ผมชอบนะ แต่ไม่ทำครับ
เพราะยากๆๆ และขี้เกียจทำ ใครทำ ผมนับถือเลยว่าขยันมากๆ

ผมชอบลักไก่ เอา model ของคนที่ทำ แล้วเอามาแก้ assumption
ปรับโน้น ปรับนี่ครับ ปรับมั่วไปหมดๆเลย 555

ตอนหลังเลย จะเน้น PE ครับ เพราะง่าย
พอเริ่มสนใจ ก็อาจจะใช้ DCF เสริมดู เพื่อ cross check
แต่จะใช้วิธีไปไล่ถามคนอื่นว่า ใครทำ DCF ไว้บ้าง ขอหน่อย 555

เป็นพวกชอบใช้ครับ แต่ไม่ชอบทำ

[^^]

ได้ความรู้มากมาย

[Benzkrub]

ของผมพยายามยึดแนวทางว่า ทำให้ง่ายเข้าไว้ ครับ

[Stock lover]

ผมว่า DCF ดีนะครับ
ทั้ง FCFF และ FCFE เลย
มันเป็นการบังคับให้เราอ่านข้อมูลทั้งหมดของ บ.

ส่วนจะเชื่อได้รึเปล่า
มันก้เปนเพียงสิ่งที่เราคาดคะเนตามข้อมูลที่มีอยู่ปัจจับนและข้อมุลในอดีต
แต่ผมว่าเป็นวิธีที่ดีเลยนะ

ส่วน DDM ผมใช้แบบ Perpentual (กลัวเขียนผิด)
ซึ่งใช้ในการหาผลตอบแทนของ preferstock
เพราะมันค่อนข้าง conservative และคิดง่ายมากส่วน
ใช้กับหุ้น พวกปันผลสม่ำเสมอ เช่น RATCH, AS

ส่วน DDM แบบ gordon model ผมเอาไว้คิด terminal value ของกิจการ ในการคิด DCF หรือบางทีก็ใช้ P/E ในอนาคตในการคิด terminal value

เท่าที่ลองใช้ DCF คิดของ KIAT ก็ได้ประมาณ 16.9 ตั้งแต่แรก ๆ (ราคานี้ยังไม่รวม MOS)
ซึ่งปัจจุบันราคาก็ป้วนเปี้ยนประมาณนี้ (เหมือนจะฟลุ๊คด้วยส่วนนึง 555)
ซึ่งหาก assumption เปลี่ยน ราคาก้จะเปลี่ยนแปลงไป

สรุป คือ ผมใช้ DCF, DDM, residual income
อาจเสียเวลาหน่อย แต่เราได้มองในมุมต่างๆๆ กัน

FCFF FCFE คืออะไรครับ DDM คือ โมเดลการวัดมูลค่าหุ้นปันผลรึเปล่าครับ

[Hisoka]

FCFF FCFE คืออะไรครับ DDM คือ โมเดลการวัดมูลค่าหุ้นปันผลรึเปล่าครับ

FCFF = free cash flow to the firm
FCFE = free cash flow to equity
DDM = dividend discounted model = วัดมูลค่าหุ้นจากเงินปันผล

ถ้ามีตรงไหนเขียนผิด รบกวนผู้รู้จริงช่วยแก้ให้หน่อยครับ ผมรู้แค่คร่าวๆ

[kanokski]

ผมก็กำลังศึกษาอยู่
นอกจากหนังสือคุณสุมาอี้แล้ว (ภาษาไทย) ยังมีหนังสือของ TSI ชื่อ "การประเมินมูลค่าตราสารทุน" ละเอียดกว่าของคุณสุมาอี้ครับ ผมจำไม่ได้ว่าซื้อมาจากไหน คิดว่าร้านหนังสือใหญ่ๆ น่าจะมี

[เหยี่ยวเดือน9]

ผมก็กำลังศึกษาอยู่
นอกจากหนังสือคุณสุมาอี้แล้ว (ภาษาไทย) ยังมีหนังสือของ TSI ชื่อ "การประเมินมูลค่าตราสารทุน" ละเอียดกว่าของคุณสุมาอี้ครับ ผมจำไม่ได้ว่าซื้อมาจากไหน คิดว่าร้านหนังสือใหญ่ๆ น่าจะมี

ร้าน B2S สาขาตรงตลาดหลักทรัพย์มีแน่ๆครับ หรือไม่ก็รองานสัปดาห์หนังสือก็ได้ครับ

[casper_m]

Valuation: Measuring and Managing the Value of Companies

http://www.amazon.com/Valuation-Measuri ... 0471702188

วิชาการสุดๆ ผมอ่านแล้วแต่ยังไม่จบก็ว่าดีเหมือนกัน

เล่นนี้ใช้กันส่วนมากใน class valuation ในอเมริกา Private Equity and Venture Capital

เมื่อวานมีได้เจอ PE มาเป็น guest speaker ผมถามว่าเค้าใช้มั้ย เค้าบอกเค้าไม้่ใช้

แต่อาจจะเป็นเพราะเค้าทำมานาน เค้าเลยประเมินราคาขายของบริษัทในอนาคตได้

[J.Livermore]

DCF Model เหมาะกับการเลือกหุ้นลงทุนระยะยาว เพราะด้วยวิธีการแล้วจะพิจารณา Timeframe ที่ยาวกว่า แต่ปัญหา การคาดการณ์อนาคตล่วงหน้ามากกว่า 2-3 ปี เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ทำให้อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ นอกจากนี้ กาคาดการณ์การลงทุนในระยะยาว จะเผชิญกับปัจจัยภายนอกที่สามารถส่งผลกระทบต่อมูลค่าหุ้นได้มากกว่า ดังนั้น จึงต้องมี Margin of Safety ที่สูง

Forward P/E เหมาะกับการเลือกลงทุนระยะสั้น เพราะตลาดมักจะมองกำไร(Earning) ภายใน 1 ปีข้างหน้าเป็นหลัก เป็นการแก้จุดอ่อนของ DCF ตรงที่ยิ่งมองใกล้ โอกาสที่จะคาดการณ์ถูกจะมีมากกว่า แต่ข้อเสีย คือ มองข้ามมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ ดังนั้น การเข้าลงทุนในหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว จะทำให้มีโอกาสขาดทุนได้มาก

ตลาดหุ้นไทย เหมาะกับ Forward P/E มากกว่า เหตุผลง่ายมาก เพราะ นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ Forward P/E เป็นหลักในการประเมินมูลค่าหุ้น การใช้ Forward P/E ทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว นักลงทุนมีโอกาสที่จะขายในราคาที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือ ขายในราคาเป้าหมายของ 5 ปีข้างหน้า ในระยะเวลาไม่กี่เดือน แม้กระทั่งในกรณีที่คาดการณ์ผลประกอบการคาดเคลื่อน ก็มีโอกาสได้กำไรมหาศาล

ดังนั้น สำหรับผม Forward P/E ใช้พิจารณาเลือกหุ้นลงทุน ส่วน DCF ใช้ในการพิจารณาตัดสินใจซื้อ-ขายหุ้น

[jo7393]

สำหรับผม Forward P/E ใช้พิจารณาเลือกหุ้นลงทุน ส่วน DCF ใช้ในการพิจารณาตัดสินใจซื้อ-ขายหุ้น

แล้วเลือกลงทุน กะเลือกซื้อ ขาย ต่างกันอย่างไรคับ
ซื้อขายหมายถึงเกร็งกำไรหรือคับมันจะเหมาะกับ DCF หรือครับ

[J.Livermore]

สำหรับผม Forward P/E ใช้พิจารณาเลือกหุ้นลงทุน ส่วน DCF ใช้ในการพิจารณาตัดสินใจซื้อ-ขายหุ้น

แล้วเลือกลงทุน กะเลือกซื้อ ขาย ต่างกันอย่างไรคับ
ซื้อขายหมายถึงเกร็งกำไรหรือคับมันจะเหมาะกับ DCF หรือครับ

สำหรับผมจากที่สังเกตุมานาน ตลาดไทยต้องเล่น Growth Stock ถึงจะได้ผลตอบแทนจำนวนมาก ในเวลารวดเร็ว ซึ่งผมคิดว่า คนลงทุน Growth Stock ส่วนใหญ่น่าจะใช้ Forward P/E ในการวิเคราะห์ ซึ่งในการเลือกหุ้น นอกจากประเมินจากงบรายไตรมาสและการเคลื่อนไหวของราคา การคาดการณ์ที่นักลงทุนมีต่อบริษัทนั้น (Forward P/E) ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมใช้เลือกหุ้น ยิ่งถ้าเป็นหุ้นยอดนิยมด้วยยิ่งดี ราคายิ่งปรับขึ้นเร็ว

การซื้อ-ขาย เนื่องจากลงทุนใน Growth Stock ราคาหุ้นในปัจจุบันก็สูงกว่าหุ้นทั่วไปอยู่แล้ว และ Forward P/E ส่วนใหญ่มักจะประเมินแค่ 1-2 ปีข้างหน้า ด้วยสมมติฐานที่ค่อนข้าง aggressive ดังนั้น ผมจึงนำ DCF เข้ามาช่วยประเมินความเสี่ยงและความน่าสนใจในการลงทุน โดยคิด DCF 5 -10 ปีข้างหน้า ลองคำนวณดูว่า DCF+Equity เทียบกับ Market Cap มันคุ้มรึเปล่า เพราะหุ้นที่เข้าซื้อ บางครั้งก็ขึ้นมาแล้วระดับหนึ่ง ส่วนที่ใช้ CF แทนที่จะใช้ Earning เพราะ CF แกว่งตัวน้อยกว่า Earning

ส่วนที่บอกว่าเป็นพวกเก็งกำไรรึเปล่า ผมยอมรับว่าเป็นครับ ผมไม่ใช่คนที่หาหุ้นปันผลดี ราคาถูก ถือลงทุนนาน 2-3 ปี เคยพยายามเหมือนกัน แต่ทนถือไม่ได้ครับ มันจะลงแดงเอา

[gigaslash]

ประเด็นน่าจะอยู่ที่ คุณลงทุนแบบไหนมากกว่าน่ะครับ ถ้าไม่ได้คิดจะอยู่กับกิจการนี้ไปนานๆ การใช้ DCF ก็ออกจะผิดประเด็นไปอยู่เพราะกว่า model นี้จะตอบสนองก็คงจะกินเวลานาน แต่จะใช้ได้ดี มากสำหรับหุ้นที่ mature แล้ว ไม่โตไปมากกว่านี้ เงินเข้าสม่ำเสมอ และ factor ต่างๆ ทำการประเมินได้ง่าย แต่สำหรับหุ้น growth จะทำได้ยาก เพราะการประเมินอนาคต ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างดีที่สุดเราทำได้แค่วางกรอบแบบที่มันควรจะเป็น แต่เราก็ไม่รู้ว่าบริษัทที่ประกอบไปด้วยคนจำนวนมากจะทำได้ตามเป้าที่วางหรือไม่ ผู้บริหารจะใส่ใจหรือไม่ ปัจจัยต่างๆ มันอยู่ที่คน และมุมมองเป็นเรื่องสำคัญ(อย่างบริษัทที่ใช้ Commodities เป็นวัตถุดิบ จะคาดการณ์ยาก) ไม่ว่าในที่สุดแล้วมันจะตรงตามนั้นหรือไม่ DCF ก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณควรจะละเลยถ้าคิดจะลงทุนยาวๆ แบบ buffet เพราะ อย่างน้อยมันก็เป็นกระบวนการหนึ่งที่ทำให้คุณรู้จักบริษัทดีในระดับหนึ่ง และเป็นกรอบราคาเบื้องต้นที่คุณควรจะใช้พิจารณาในการซื้อขาย