*** นักเล่นหุ้น นักธุรกิจ นักการเมือง ต้องอ่าน ***
-
- Verified User
- โพสต์: 276
- ผู้ติดตาม: 0
*** นักเล่นหุ้น นักธุรกิจ นักการเมือง ต้องอ่าน ***
โพสต์ที่ 1
THE THEORY OF “TIMMING” เศรษฐศาสตร์ แห่งความจริง
จะขอเริ่มต้นด้วยการแยกเรื่องราวทางเศรษฐกิจออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก คือ ส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตลาดเก็งกำไร เช่น เรื่องของ ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ การคำนวณ GDP มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุน หรือเรื่องของการทำธุรกิจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เราสามารถคิดได้อย่างเป็นเหตุ เป็นผล, ใช้เหตุผลตรงไปตรงมาในระดับปกติธรรมดาในการคิดได้
ส่วนที่สอง เป็นเรื่องของตลาดเก็งกำไร เช่นตลาดหุ้น ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ตลาดซื้อขายทอง ตลาดซื้อขายน้ำมัน ฯลฯ ตลาดเก็งกำไรเหล่านี้ไม่ได้มีเหตุผลตรง ๆ ในแบบที่เราคิดกัน ไม่สามารถใช้เหตุผลในระดับปกติธรรมดา แบบที่เราใช้ในการทำธุรกิจ ฯลฯ ในการเอาชนะ หรือคาดการณ์ทิศทางราคาให้ถูกต้องได้
เราจึงเห็น คนเก่ง ๆ มีการศึกษาสูง เป็น ด็อกเตอร์ เป็นหมอ เป็นนักวิชาการ เป็นนักธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จ หาเงินได้มากจนร่ำรวย พอมาเล่นหุ้นกลับขาดทุน คาดการณ์ทิศทางราคาผิดตลอด เพราะหลักการเหตุผลมันคนละอย่างกัน วิธีการหลักคิดที่ใช้ในการทำธุรกิจ แล้วประสบความสำเร็จจนร่ำรวย พอเอาหลักการเหตุผล มาใช้ในตลาดหุ้นกลับขาดทุน เพราะตลาดหุ้นไม่ได้มีเหตุผลตรง ๆในแบบที่เราคิดกันแต่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของเหตุและผล ถ้าตลาดหุ้นเป็นเหตุ เป็นผลและใช้เหตุผลวิเคราะห์คาดการณ์ทิศทางราคาได้ คนเก่ง ๆ มาเล่นหุ้นต้องได้กำไรไม่ใช่ขาดทุนกันเป็นส่วนใหญ่เช่นนี้
มีคนอยู่น้อยนิดในโลกที่เข้าใจสิ่งนี้ หนึ่งในนั้นคือ WARREN BUFFET อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำอย่างไรจึงจะได้รู้ว่าเมื่อไรหุ้นจะขึ้นและเมื่อใดหุ้นจะลง วิธีเอาชนะตลาดหุ้นจนประสบความสำเร็จจนร่ำรวยของเขา หลักคิดที่เป็นหัวใจนั้น ตั้งอยู่บนฐานที่ว่า เราไม่สามารถรู้ได้หรอกว่า เมื่อใดหุ้นจะขึ้นและเมื่อไรจะลง การพยายามกะเก็งวงจรของตลาดจึงทำให้ประสิทธิภาพและผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น วิธีการทำกำไรจากตลาดหุ้นของเขา คือการซื้อหุ้นที่ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาวพยายามซื้อในเวลาที่ตลาดตกต่ำมูลค่าหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และสามารถนั่งดูหุ้นที่ตัวเองซื้อราคาปรับลงไปอีกกว่าครึ่งได้โดยไม่รู้สึกขวัญผวา เมื่อซื้อแล้วให้ถือหุ้นที่ดีไว้ตลอดไปเท่าที่นานได้ ขายหุ้นที่ไม่ดีที่ผิดพลาดออกไป ฯลฯ (รายละเอียดอ่านหนังสือของ WARREN BUFFET) ไม่ใช่พยายามทำกำไรจากตลาดหุ้นโดยการพยายามกะเก็งวงจรของตลาด แต่เป็นการทำกำไรจากตลาดหุ้นโดยซื้อหุ้นที่ดีมีคุณค่า โดยไม่ต้องสนใจและไม่ต้องรู้ว่าหุ้นจะขึ้น-ลง เมื่อไรอย่างไร
แต่คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่เชื่อเช่นนั้น ส่วนใหญ่พยายามที่จะเข้า-ออก ให้ถูกจังหวะของตลาด โดยคิดว่าตัวเองทำได้ คนส่วนใหญ่ 98% จึงขาดทุนไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น เพราะเขาใช้ “เหตุผล” ในการวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้น วิธีเดียวที่จะชนะตลาดหุ้น ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดซื้อขายน้ำมัน ฯลฯ ซึ่งก็คือ สามารถคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจได้ถูกต้อง ต้องใช้และเข้าใจทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แห่งความจริง
ทฤษฎีนี้อธิบายว่าความจริงแท้ไม่ใช่สิ่งที่ตาเห็น หูได้ยินและสัมผัสได้ แต่ความจริงจะอยู่ลึกลงไปข้างในไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัส ถ้าคิดในแบบทั่ว ๆ ไป เราจะคิดว่าเราก็สามารถทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ ขึ้นอยู่กับการติด - ตามใกล้ชิดข้อมูลข่าวสาร วิเคราะห์สถานการณ์ตัวเลขต่าง ๆ ได้ถูกต้อง แต่ถ้าคิดตามหลักความจริงแล้ว จะเห็นว่าพวกเราบุคคลธรรมดาทั่วไป เช่น เป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ อาจารย์ ฯลฯ อยู่ในระดับล่างสุดแล้วที่เข้าไปซื้อขายในตลาดเก็งกำไรได้ ระดับต่ำหรืออยู่ล่างกว่า พวกเรา ๆ คือ คนชั้นแรงงานซึ่งไม่มีปัญญา ลงทุนในตลาดเก็งกำไร นอกนั้นมีแต่ระดับสูงกว่าเรา ไล่จากล่างสูงขึ้นไปก็คือเริ่มจาก กองทุนในประเทศ ธนาคารในประเทศ ธนาคารต่างประเทศ กองทุนต่างประเทศ จนถึงระดับสูงที่สุด คือระดับ จอซ โซรอส หรือเทียบเท่า จะเห็นว่าพวกเราอยู่ระดับล่างสุดที่ซื้อขายอยู่ในตลาดเก็งกำไร ถ้าเรากำไรแล้วใครจะขาดทุน ? มันไม่มีแล้วเนื่องจากเราอยู่ระดับล่างสุด เราจึงจะเป็นผู้ขาดทุนเสมอ โดยเม็ดเงินจะออกจากกระเป๋าเราไปสู่ระดับที่สูงกว่า – สูงสุด เนื่องจากในตลาดหุ้นมีคนกำไร ก็ต้องมีคนขาดทุน * เป็นวิธีคิดตามหลักความเป็นจริง ไม่ใช่ตามสิ่งที่ตาเห็น ดังนั้นเราจึงจะต้องไม่ซื้อ ในขณะที่คนทั่วไปส่วนใหญ่ซื้อในทางกับกันเราต้องขาย และต้องซื้อในเวลาที่คนส่วนใหญ่ขาย คือต้องเป็นส่วนน้อย และเนื่องจากคนส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อขายในตลาดเก็งกำไรด้วย ”เหตุผล” เราจึงต้องไม่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจซื้อหรือขายเรื่องราวจึงกลายเป็นว่า เมื่อใดมีข่าวดี มีแต่เหตุผลด้านดี ๆ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ดี ๆ ที่บ่งบอกว่าราคาหุ้นจะขึ้นต่อไปอีก MASS ตัดสินใจซื้อขายหุ้นด้วยเหตุผลในระดับปกติธรรมดายอมซื้อ เมื่อใดเหตุผลชัดเจน MASS แทบทุกคนก็ย่อมเห็นและซื้อกันหมด มองไปทางไหน ถามใคร ๆ ก็บอกหุ้นน่าซื้อ แต่เราลืมไปว่าคนไทยแทบทุกคนซื้อหุ้นกันอยู่ได้อย่างไร และใครขาย ? เพราะซื้อต้องเท่ากับขายเสมอแสดงว่าอีกด้านหนึ่งที่เรามองไม่เห็นว่าเป็นใคร กำลังขายอยู่ ซึ่งก็คือระดับ โซรอส จึงจะMATCH เกิดเป็นราคาได้ เมื่อ MASS ซื้อระดับผู้ชนะขาย ราคาก็เริ่มปรับตัวลงมาเรื่อย ๆ ข่าวร้ายก็ออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามราคาที่ต่ำลงเรื่อย ๆ โดยที่ข่าวร้ายเหล่านี้ เราไม่สามารถเห็นได้เลย ก่อนที่ราคาจะปรับตัวลงมา ก่อนที่ราคาจะลงจะมีแต่ เหตุผล – ข่าวดี ว่าราคาจะชึ้นต่อไปอีก เมื่อราคาปรับตัวลงเรื่อย ๆ จนต่ำถึงจุดบริเวณหนึ่งที่มีแต่ข่าวร้าย เหตุผลด้านไม่ดีที่บ่งบอกว่าราคาจะปรับตัวลงต่อไปอีก มองอย่างไรก็ไม่เห็นเหตุผลว่าราคาจะขึ้นได้อย่างไร MASS เล่นหุ้นด้วยเหตุผลก็ขาย ด้านผู้ชนะ MATCHING ด้านซื้อ ราคาก็เริ่มปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ เหตุผลด้านดี ๆ ก็ออกมาอ้างอธิบายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เหตุผลเหล่านี้เราไม่สามารถเห็นได้เลย ก่อนที่ราคาจะขึ้นมา มีแต่เหตุผลว่าราคาจะลงต่อ
ขอขอบคุณบทความดีๆ: คุณพิชัย จาวลา
http://www.chiangmairoom.com/economic/?p=video
จะขอเริ่มต้นด้วยการแยกเรื่องราวทางเศรษฐกิจออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก คือ ส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตลาดเก็งกำไร เช่น เรื่องของ ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ การคำนวณ GDP มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุน หรือเรื่องของการทำธุรกิจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เราสามารถคิดได้อย่างเป็นเหตุ เป็นผล, ใช้เหตุผลตรงไปตรงมาในระดับปกติธรรมดาในการคิดได้
ส่วนที่สอง เป็นเรื่องของตลาดเก็งกำไร เช่นตลาดหุ้น ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ตลาดซื้อขายทอง ตลาดซื้อขายน้ำมัน ฯลฯ ตลาดเก็งกำไรเหล่านี้ไม่ได้มีเหตุผลตรง ๆ ในแบบที่เราคิดกัน ไม่สามารถใช้เหตุผลในระดับปกติธรรมดา แบบที่เราใช้ในการทำธุรกิจ ฯลฯ ในการเอาชนะ หรือคาดการณ์ทิศทางราคาให้ถูกต้องได้
เราจึงเห็น คนเก่ง ๆ มีการศึกษาสูง เป็น ด็อกเตอร์ เป็นหมอ เป็นนักวิชาการ เป็นนักธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จ หาเงินได้มากจนร่ำรวย พอมาเล่นหุ้นกลับขาดทุน คาดการณ์ทิศทางราคาผิดตลอด เพราะหลักการเหตุผลมันคนละอย่างกัน วิธีการหลักคิดที่ใช้ในการทำธุรกิจ แล้วประสบความสำเร็จจนร่ำรวย พอเอาหลักการเหตุผล มาใช้ในตลาดหุ้นกลับขาดทุน เพราะตลาดหุ้นไม่ได้มีเหตุผลตรง ๆในแบบที่เราคิดกันแต่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของเหตุและผล ถ้าตลาดหุ้นเป็นเหตุ เป็นผลและใช้เหตุผลวิเคราะห์คาดการณ์ทิศทางราคาได้ คนเก่ง ๆ มาเล่นหุ้นต้องได้กำไรไม่ใช่ขาดทุนกันเป็นส่วนใหญ่เช่นนี้
มีคนอยู่น้อยนิดในโลกที่เข้าใจสิ่งนี้ หนึ่งในนั้นคือ WARREN BUFFET อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำอย่างไรจึงจะได้รู้ว่าเมื่อไรหุ้นจะขึ้นและเมื่อใดหุ้นจะลง วิธีเอาชนะตลาดหุ้นจนประสบความสำเร็จจนร่ำรวยของเขา หลักคิดที่เป็นหัวใจนั้น ตั้งอยู่บนฐานที่ว่า เราไม่สามารถรู้ได้หรอกว่า เมื่อใดหุ้นจะขึ้นและเมื่อไรจะลง การพยายามกะเก็งวงจรของตลาดจึงทำให้ประสิทธิภาพและผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น วิธีการทำกำไรจากตลาดหุ้นของเขา คือการซื้อหุ้นที่ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาวพยายามซื้อในเวลาที่ตลาดตกต่ำมูลค่าหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และสามารถนั่งดูหุ้นที่ตัวเองซื้อราคาปรับลงไปอีกกว่าครึ่งได้โดยไม่รู้สึกขวัญผวา เมื่อซื้อแล้วให้ถือหุ้นที่ดีไว้ตลอดไปเท่าที่นานได้ ขายหุ้นที่ไม่ดีที่ผิดพลาดออกไป ฯลฯ (รายละเอียดอ่านหนังสือของ WARREN BUFFET) ไม่ใช่พยายามทำกำไรจากตลาดหุ้นโดยการพยายามกะเก็งวงจรของตลาด แต่เป็นการทำกำไรจากตลาดหุ้นโดยซื้อหุ้นที่ดีมีคุณค่า โดยไม่ต้องสนใจและไม่ต้องรู้ว่าหุ้นจะขึ้น-ลง เมื่อไรอย่างไร
แต่คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่เชื่อเช่นนั้น ส่วนใหญ่พยายามที่จะเข้า-ออก ให้ถูกจังหวะของตลาด โดยคิดว่าตัวเองทำได้ คนส่วนใหญ่ 98% จึงขาดทุนไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น เพราะเขาใช้ “เหตุผล” ในการวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้น วิธีเดียวที่จะชนะตลาดหุ้น ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดซื้อขายน้ำมัน ฯลฯ ซึ่งก็คือ สามารถคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจได้ถูกต้อง ต้องใช้และเข้าใจทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แห่งความจริง
ทฤษฎีนี้อธิบายว่าความจริงแท้ไม่ใช่สิ่งที่ตาเห็น หูได้ยินและสัมผัสได้ แต่ความจริงจะอยู่ลึกลงไปข้างในไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัส ถ้าคิดในแบบทั่ว ๆ ไป เราจะคิดว่าเราก็สามารถทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ ขึ้นอยู่กับการติด - ตามใกล้ชิดข้อมูลข่าวสาร วิเคราะห์สถานการณ์ตัวเลขต่าง ๆ ได้ถูกต้อง แต่ถ้าคิดตามหลักความจริงแล้ว จะเห็นว่าพวกเราบุคคลธรรมดาทั่วไป เช่น เป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ อาจารย์ ฯลฯ อยู่ในระดับล่างสุดแล้วที่เข้าไปซื้อขายในตลาดเก็งกำไรได้ ระดับต่ำหรืออยู่ล่างกว่า พวกเรา ๆ คือ คนชั้นแรงงานซึ่งไม่มีปัญญา ลงทุนในตลาดเก็งกำไร นอกนั้นมีแต่ระดับสูงกว่าเรา ไล่จากล่างสูงขึ้นไปก็คือเริ่มจาก กองทุนในประเทศ ธนาคารในประเทศ ธนาคารต่างประเทศ กองทุนต่างประเทศ จนถึงระดับสูงที่สุด คือระดับ จอซ โซรอส หรือเทียบเท่า จะเห็นว่าพวกเราอยู่ระดับล่างสุดที่ซื้อขายอยู่ในตลาดเก็งกำไร ถ้าเรากำไรแล้วใครจะขาดทุน ? มันไม่มีแล้วเนื่องจากเราอยู่ระดับล่างสุด เราจึงจะเป็นผู้ขาดทุนเสมอ โดยเม็ดเงินจะออกจากกระเป๋าเราไปสู่ระดับที่สูงกว่า – สูงสุด เนื่องจากในตลาดหุ้นมีคนกำไร ก็ต้องมีคนขาดทุน * เป็นวิธีคิดตามหลักความเป็นจริง ไม่ใช่ตามสิ่งที่ตาเห็น ดังนั้นเราจึงจะต้องไม่ซื้อ ในขณะที่คนทั่วไปส่วนใหญ่ซื้อในทางกับกันเราต้องขาย และต้องซื้อในเวลาที่คนส่วนใหญ่ขาย คือต้องเป็นส่วนน้อย และเนื่องจากคนส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อขายในตลาดเก็งกำไรด้วย ”เหตุผล” เราจึงต้องไม่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจซื้อหรือขายเรื่องราวจึงกลายเป็นว่า เมื่อใดมีข่าวดี มีแต่เหตุผลด้านดี ๆ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ดี ๆ ที่บ่งบอกว่าราคาหุ้นจะขึ้นต่อไปอีก MASS ตัดสินใจซื้อขายหุ้นด้วยเหตุผลในระดับปกติธรรมดายอมซื้อ เมื่อใดเหตุผลชัดเจน MASS แทบทุกคนก็ย่อมเห็นและซื้อกันหมด มองไปทางไหน ถามใคร ๆ ก็บอกหุ้นน่าซื้อ แต่เราลืมไปว่าคนไทยแทบทุกคนซื้อหุ้นกันอยู่ได้อย่างไร และใครขาย ? เพราะซื้อต้องเท่ากับขายเสมอแสดงว่าอีกด้านหนึ่งที่เรามองไม่เห็นว่าเป็นใคร กำลังขายอยู่ ซึ่งก็คือระดับ โซรอส จึงจะMATCH เกิดเป็นราคาได้ เมื่อ MASS ซื้อระดับผู้ชนะขาย ราคาก็เริ่มปรับตัวลงมาเรื่อย ๆ ข่าวร้ายก็ออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามราคาที่ต่ำลงเรื่อย ๆ โดยที่ข่าวร้ายเหล่านี้ เราไม่สามารถเห็นได้เลย ก่อนที่ราคาจะปรับตัวลงมา ก่อนที่ราคาจะลงจะมีแต่ เหตุผล – ข่าวดี ว่าราคาจะชึ้นต่อไปอีก เมื่อราคาปรับตัวลงเรื่อย ๆ จนต่ำถึงจุดบริเวณหนึ่งที่มีแต่ข่าวร้าย เหตุผลด้านไม่ดีที่บ่งบอกว่าราคาจะปรับตัวลงต่อไปอีก มองอย่างไรก็ไม่เห็นเหตุผลว่าราคาจะขึ้นได้อย่างไร MASS เล่นหุ้นด้วยเหตุผลก็ขาย ด้านผู้ชนะ MATCHING ด้านซื้อ ราคาก็เริ่มปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ เหตุผลด้านดี ๆ ก็ออกมาอ้างอธิบายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เหตุผลเหล่านี้เราไม่สามารถเห็นได้เลย ก่อนที่ราคาจะขึ้นมา มีแต่เหตุผลว่าราคาจะลงต่อ
ขอขอบคุณบทความดีๆ: คุณพิชัย จาวลา
http://www.chiangmairoom.com/economic/?p=video
ปล่อยให้เงินทำงาน...$$$
- OutOfMyMind
- Verified User
- โพสต์: 1242
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** นักเล่นหุ้น นักธุรกิจ นักการเมือง ต้องอ่าน ***
โพสต์ที่ 2
ถ้ารักจะเป็น VI เรามีสิ่งที่ต้องคิดนอกเหนือไปจากการเป็นชาวสวน
คือเราต้องมีจิตวิญญานของการเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของ
นี่คือสิ่งที่ทำให้แนว VI แตกต่างไปจากการเป็น trader ต่างๆ
คือเราต้องมีจิตวิญญานของการเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของ
นี่คือสิ่งที่ทำให้แนว VI แตกต่างไปจากการเป็น trader ต่างๆ
บทความดีดีสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
- VI Wannabe
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1014
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** นักเล่นหุ้น นักธุรกิจ นักการเมือง ต้องอ่าน ***
โพสต์ที่ 3
+1 ต้องเข้าใจธุรกิจ และ เข้าใจ valuation ด้วย ไม่งั้นสวนอย่างเดียวจะซวยเอาOutOfMyMind เขียน:ถ้ารักจะเป็น VI เรามีสิ่งที่ต้องคิดนอกเหนือไปจากการเป็นชาวสวน
คือเราต้องมีจิตวิญญานของการเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของ
นี่คือสิ่งที่ทำให้แนว VI แตกต่างไปจากการเป็น trader ต่างๆ
ขอบคุณสำหรับบทความครับ
"Attempt to be fearful when others are greedy and to be greedy only when others are fearful"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
- leaderinshadow
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** นักเล่นหุ้น นักธุรกิจ นักการเมือง ต้องอ่าน ***
โพสต์ที่ 4
หลายคนพยายามใช้เหตุผลในการลงทุนครับ
แต่ในความเป็นจริง หลายๆครั้ง เรากับใช้อารมณ์
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับทฤษฎีนี้ ในแง่ของ MASS ครับ
แต่ผมไม่เห็นด้วยว่า การใช้เหตุผล ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ ในตลาดหุ้น
ทั้ง วอเรน บัฟเฟ็ท และ โซรอส ก็เป็นคนที่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจ
เพียงแต่ตรรกะของคนระดับนั้น เค้าต่างจากคนทั่วไป
ตรรกะ และวิธีคิดที่ต่างจากคนทั่วไป คือ Key success และหลักการเหล่านั้น ก็เป็นหลักการที่มีเหตุผล
เพียงแต่ เค้าใช้หลักการนี้ในทางปฎิบัติได้จริง
ซึ่งต่างจากคนส่วนใหญ่ ที่อ่านหลักการเหล่านี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถทำได้
แต่ในความเป็นจริง หลายๆครั้ง เรากับใช้อารมณ์
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับทฤษฎีนี้ ในแง่ของ MASS ครับ
แต่ผมไม่เห็นด้วยว่า การใช้เหตุผล ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ ในตลาดหุ้น
ทั้ง วอเรน บัฟเฟ็ท และ โซรอส ก็เป็นคนที่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจ
เพียงแต่ตรรกะของคนระดับนั้น เค้าต่างจากคนทั่วไป
ตรรกะ และวิธีคิดที่ต่างจากคนทั่วไป คือ Key success และหลักการเหล่านั้น ก็เป็นหลักการที่มีเหตุผล
เพียงแต่ เค้าใช้หลักการนี้ในทางปฎิบัติได้จริง
ซึ่งต่างจากคนส่วนใหญ่ ที่อ่านหลักการเหล่านี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถทำได้
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
Re: *** นักเล่นหุ้น นักธุรกิจ นักการเมือง ต้องอ่าน ***
โพสต์ที่ 6
ผมคิดว่าถ้าคิดว่าตลาดหุ้นเป็นตลาดเก็งกำไรทั้งหมด ก็คงไม่ต้องพูดถึงการลงทุนเน้นคุณค่าซะแล้ว หลักการคิดก็แตกต่างกันตั้งแต่ต้นgripen เขียน: ส่วนที่สอง เป็นเรื่องของตลาดเก็งกำไร เช่นตลาดหุ้น ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ตลาดซื้อขายทอง ตลาดซื้อขายน้ำมัน ฯลฯ ตลาดเก็งกำไรเหล่านี้ไม่ได้มีเหตุผลตรง ๆ ในแบบที่เราคิดกัน ไม่สามารถใช้เหตุผลในระดับปกติธรรมดา แบบที่เราใช้ในการทำธุรกิจ ฯลฯ ในการเอาชนะ หรือคาดการณ์ทิศทางราคาให้ถูกต้องได้
สำหรับผมแล้ว ตลาดหุ้นนั้นเป็นได้ทั้ง แหล่งลงทุนที่ดี แหล่งระดมทุนที่ดี และเป็นบ่อนการพนันก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าคนที่เข้ามานั้นมองว่าตลาดหุ้นเป็นอะไร และซื้อขายหุ้นด้วยแนวทางไหน
การลงทุนเน้นคุณค่านั้นเน้นเรื่องการเป็นส่วนเจ้าของกิจการร่วม วิเคราะห์ทางธุรกิจไม่แตกต่างจากนักธุรกิจเลย เพียงแต่เราไม่ได้คาดการณ์ราคาหุ้นในตลาดระยะสั้น
คนที่มีการศึกษาสูงๆที่เข้ามาขาดทุนในตลาดหุ้นเกือบทั้งหมด ก็เพราะเขาเหล่านั้นมีทัศนคติมองตลาดหุ้นเป็นเพียงบ่อนการพนันเท่านั้น มีรายใหญ่ปั่นหุ้น ซื้อๆขายๆ ไม่ได้มองว่าเป็นการลงทุน การซื้อหุ้นเป็นเพียงซื้อกระดาษใบหนึ่ง ไม่ได้มองถึงการมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ กระบวนการตัดสินใจซื้อขายหุ้นของเขาจึงไม่ได้วิเคราะห์ทางธุรกิจใดๆเลย ซื้อๆขายๆตามข่าวรายวันเท่านั้นgripen เขียน: เราจึงเห็น คนเก่ง ๆ มีการศึกษาสูง เป็น ด็อกเตอร์ เป็นหมอ เป็นนักวิชาการ เป็นนักธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จ หาเงินได้มากจนร่ำรวย พอมาเล่นหุ้นกลับขาดทุน คาดการณ์ทิศทางราคาผิดตลอด เพราะหลักการเหตุผลมันคนละอย่างกัน วิธีการหลักคิดที่ใช้ในการทำธุรกิจ แล้วประสบความสำเร็จจนร่ำรวย พอเอาหลักการเหตุผล มาใช้ในตลาดหุ้นกลับขาดทุน เพราะตลาดหุ้นไม่ได้มีเหตุผลตรง ๆในแบบที่เราคิดกันแต่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของเหตุและผล ถ้าตลาดหุ้นเป็นเหตุ เป็นผลและใช้เหตุผลวิเคราะห์คาดการณ์ทิศทางราคาได้ คนเก่ง ๆ มาเล่นหุ้นต้องได้กำไรไม่ใช่ขาดทุนกันเป็นส่วนใหญ่เช่นนี้
จากประสบการณ์ ผมว่าไม่จำเป็นเสมอไปที่นักลงทุนรายย่อยจะแพ้นักลงทุนรายใหญ่ การเป็นนักลงทุนรายย่อยนั้นก็มีจุดแข็งกว่านักลงทุนรายใหญ่อยู่หลายข้อ เช่น จำนวนเงินลงทุนที่น้อยย่อมสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงได้ง่ายกว่าพอร์ตที่ใหญ่ รวมถึงการซื้อหรือขายก็ง่ายกว่ามากgripen เขียน:ถ้าคิดในแบบทั่ว ๆ ไป เราจะคิดว่าเราก็สามารถทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ ขึ้นอยู่กับการติด - ตามใกล้ชิดข้อมูลข่าวสาร วิเคราะห์สถานการณ์ตัวเลขต่าง ๆ ได้ถูกต้อง แต่ถ้าคิดตามหลักความจริงแล้ว จะเห็นว่าพวกเราบุคคลธรรมดาทั่วไป เช่น เป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ อาจารย์ ฯลฯ อยู่ในระดับล่างสุดแล้วที่เข้าไปซื้อขายในตลาดเก็งกำไรได้ ระดับต่ำหรืออยู่ล่างกว่า พวกเรา ๆ คือ คนชั้นแรงงานซึ่งไม่มีปัญญา ลงทุนในตลาดเก็งกำไร นอกนั้นมีแต่ระดับสูงกว่าเรา ไล่จากล่างสูงขึ้นไปก็คือเริ่มจาก กองทุนในประเทศ ธนาคารในประเทศ ธนาคารต่างประเทศ กองทุนต่างประเทศ จนถึงระดับสูงที่สุด คือระดับ จอซ โซรอส หรือเทียบเท่า จะเห็นว่าพวกเราอยู่ระดับล่างสุดที่ซื้อขายอยู่ในตลาดเก็งกำไร ถ้าเรากำไรแล้วใครจะขาดทุน ? มันไม่มีแล้วเนื่องจากเราอยู่ระดับล่างสุด เราจึงจะเป็นผู้ขาดทุนเสมอ โดยเม็ดเงินจะออกจากกระเป๋าเราไปสู่ระดับที่สูงกว่า – สูงสุด เนื่องจากในตลาดหุ้นมีคนกำไร ก็ต้องมีคนขาดทุน * เป็นวิธีคิดตามหลักความเป็นจริง ไม่ใช่ตามสิ่งที่ตาเห็น
นักลงทุนรายใหญ่ หรือแม้แต่กองทุนเองก็ใช่ว่าจะมีความรู้ความสามารถเหนือกว่านักลงทุนรายย่อย เราก็เคยอ่านว่า ผู้จัดการกองทุนนิยมที่จะซื้อหุ้น Blue Chip ใหญ่ๆที่เป็นที่รู้จัก มากกว่าที่จะลงทุนในบริษัทเล็กๆที่ไม่มีใครรู้จัก เนื่องจากว่า ถ้ากองทุนขาดทุนจากหุ้น PTT ก็คงไม่มีผู้ถือหน่วยลงทุนว่ามากนัก เพราะคิดว่าตกตามสภาพตลาด ไม่ใช่ความผิดของผู้จัดการกองทุน แต่ถ้าขาดทุนจากหุ้น WG ซิ ผู้จัดการกองทุนอาจตกงานได้ เพราะดันไปซื้อหุ้นบริษัทอะไรก็ไม่รู้เลยขาดทุนหนัก
อ่านมาก็พบอยู่หลายครั้งว่า ควรกล้าตอนที่คนส่วนใหญ่กลัว และจงกลัวเมื่อคนส่วนใหญ่กล้าgripen เขียน:ดังนั้นเราจึงจะต้องไม่ซื้อ ในขณะที่คนทั่วไปส่วนใหญ่ซื้อในทางกับกันเราต้องขาย และต้องซื้อในเวลาที่คนส่วนใหญ่ขาย คือต้องเป็นส่วนน้อย และเนื่องจากคนส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อขายในตลาดเก็งกำไรด้วย ”เหตุผล” เราจึงต้องไม่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจซื้อหรือขายเรื่องราวจึงกลายเป็นว่า เมื่อใดมีข่าวดี มีแต่เหตุผลด้านดี ๆ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ดี ๆ ที่บ่งบอกว่าราคาหุ้นจะขึ้นต่อไปอีก MASS ตัดสินใจซื้อขายหุ้นด้วยเหตุผลในระดับปกติธรรมดายอมซื้อ เมื่อใดเหตุผลชัดเจน MASS แทบทุกคนก็ย่อมเห็นและซื้อกันหมด มองไปทางไหน ถามใคร ๆ ก็บอกหุ้นน่าซื้อ แต่เราลืมไปว่าคนไทยแทบทุกคนซื้อหุ้นกันอยู่ได้อย่างไร และใครขาย ? เพราะซื้อต้องเท่ากับขายเสมอแสดงว่าอีกด้านหนึ่งที่เรามองไม่เห็นว่าเป็นใคร กำลังขายอยู่ ซึ่งก็คือระดับ โซรอส จึงจะMATCH เกิดเป็นราคาได้ เมื่อ MASS ซื้อระดับผู้ชนะขาย ราคาก็เริ่มปรับตัวลงมาเรื่อย ๆ ข่าวร้ายก็ออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามราคาที่ต่ำลงเรื่อย ๆ โดยที่ข่าวร้ายเหล่านี้ เราไม่สามารถเห็นได้เลย ก่อนที่ราคาจะปรับตัวลงมา ก่อนที่ราคาจะลงจะมีแต่ เหตุผล – ข่าวดี ว่าราคาจะชึ้นต่อไปอีก เมื่อราคาปรับตัวลงเรื่อย ๆ จนต่ำถึงจุดบริเวณหนึ่งที่มีแต่ข่าวร้าย เหตุผลด้านไม่ดีที่บ่งบอกว่าราคาจะปรับตัวลงต่อไปอีก มองอย่างไรก็ไม่เห็นเหตุผลว่าราคาจะขึ้นได้อย่างไร MASS เล่นหุ้นด้วยเหตุผลก็ขาย ด้านผู้ชนะ MATCHING ด้านซื้อ ราคาก็เริ่มปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ เหตุผลด้านดี ๆ ก็ออกมาอ้างอธิบายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เหตุผลเหล่านี้เราไม่สามารถเห็นได้เลย ก่อนที่ราคาจะขึ้นมา มีแต่เหตุผลว่าราคาจะลงต่อ[/b]
อ่านแล้วก็ดูดี แต่การนำไปปฏิบัติคงไม่ง่าย ผมลองถามดูแล้วกันว่าตอนนี้คนส่วนใหญ่กล้าหรือกลัว คงตอบได้แตกต่างกัน
และจากประสบการณ์โดยตรงของผม ตอนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 คนที่กล้าเพราะคิดว่าคนส่วนใหญ่กลัวตอนดัชนี 700 - 800 จุด ก็แทบหมดตัวมาแล้ว
ถ้าเราไม่มีหลักยึดที่แน่นอน แล้วเราจะรู้ได้จริงๆว่าควรจะซื้อตอนไหน ขายตอนไหน แค่คิดว่าคนส่วนใหญ่กล้า หรือ กลัว คงไม่พอมั๊ง ถ้าแค่คิดเอาเอง ผมว่าก็ไม่แตกต่างจากการคาดเดา และเหมือนเสี่ยงดวงมากกว่า
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 340
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** นักเล่นหุ้น นักธุรกิจ นักการเมือง ต้องอ่าน ***
โพสต์ที่ 7
เห็นด้วยกับคุณ chatchai จริงๆครับ
จงกล้าในตอนที่คนอื่นกลัว
ถ้าคุณไม่มีความเชื่อมั่นเพียงพอ หรือมีเหตุผลมารองรับละก็คุณไม่กล้าซื้อขณะที่คนอื่นกลัวหรอกครับ
หรือถ้าคุณกล้าราคาหุ้นที่ลงต่อจะทำให้คุณเริ่มกลัว สุดท้ายคุณจะขายมันออกในราคาที่ขาดทุนค่อนข้างมาก
อีกอย่างหากบอกว่าการลงทุนในให้ต้องไม่ใช้เหตุผล
อันนี้ ผมว่าไปอ่านตั้งแต่ The Intellingent Investors ดู นะครับ
อ่านดูว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างนักลงทุน และนักเก็งกำไร
และแน่นอนให้อ่านหนังสือของ Buffett จะบอกให้คุณใช้เหตุผลเสมอ
เจ้าของบทความอาจเป็นนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จทีในช่วงนี้
แต่เวบนี้ต้องการที่จะสร้าง นักลงทุนครับ ไม่ใช่นักเก็งกำไร
จงกล้าในตอนที่คนอื่นกลัว
ถ้าคุณไม่มีความเชื่อมั่นเพียงพอ หรือมีเหตุผลมารองรับละก็คุณไม่กล้าซื้อขณะที่คนอื่นกลัวหรอกครับ
หรือถ้าคุณกล้าราคาหุ้นที่ลงต่อจะทำให้คุณเริ่มกลัว สุดท้ายคุณจะขายมันออกในราคาที่ขาดทุนค่อนข้างมาก
อีกอย่างหากบอกว่าการลงทุนในให้ต้องไม่ใช้เหตุผล
อันนี้ ผมว่าไปอ่านตั้งแต่ The Intellingent Investors ดู นะครับ
อ่านดูว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างนักลงทุน และนักเก็งกำไร
และแน่นอนให้อ่านหนังสือของ Buffett จะบอกให้คุณใช้เหตุผลเสมอ
เจ้าของบทความอาจเป็นนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จทีในช่วงนี้
แต่เวบนี้ต้องการที่จะสร้าง นักลงทุนครับ ไม่ใช่นักเก็งกำไร
การเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นจากการยอมรับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10548
- ผู้ติดตาม: 1
Re: *** นักเล่นหุ้น นักธุรกิจ นักการเมือง ต้องอ่าน ***
โพสต์ที่ 8
เห็นด้วยกับคุณฉัตรชัย ซึ่งสรุปได้ชัดเจนมาก และเพื่อนๆชาว VIหลายท่านในที่นี้จะเห็นว่าพวกเราอยู่ระดับล่างสุดที่ซื้อขายอยู่ในตลาดเก็งกำไร ถ้าเรากำไรแล้วใครจะขาดทุน ? มันไม่มีแล้วเนื่องจากเราอยู่ระดับล่างสุด เราจึงจะเป็นผู้ขาดทุนเสมอ
ข้อความข้างต้นดังกล่าวข้างบน ยิ่งเป็นประโยคที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างแรง ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทไหนก็ตามก็มีสิทธิ์ที่จะผิดพลาดเสมอ โดยเฉพาะถ้าขาดความรู้
เราจะเห็นตัวอย่างมากมาย ไม่ว่าจะ เป็นนักลงทุนระดับไหน big name หรือ no name การที่เจ้าของกระทูสรุปแบบนี้ผมไม่เห็นด้วยครับ
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** นักเล่นหุ้น นักธุรกิจ นักการเมือง ต้องอ่าน ***
โพสต์ที่ 9
ฟังที่พี่ฉัตรชัยตอบแล้วบอกได้อย่างนึงว่า
พี่ตกผลึกในหลักการอย่างมาก และการจะตกผลึกได้ขนาดนี้ มันต้องมีการคิดแล้วคิดอีกอย่างละเอียดแล้วก็คิดทบทวน+ประสบการณ์ต่างๆที่ได้พบเจอ จนมีหลักเป็นแกนยึด ไม่ทำให้ไขว้เขวเวลาตลาดตกต่ำ หรือเวลาตลาดเฟื่องฟู (คนส่วนใหญ่มักไขว้เขว เวลาตลาดเฟื่องฟู เพราะอดทนต่อการเก็งกำไรของตลาดไม่ได้)
การไม่ไขว้เขวผมว่าสำคัญมาก แต่เรื่องนี้อยู่ที่จิตใจ+ความรู้ที่สั่งสมมา ครับ
พี่ตกผลึกในหลักการอย่างมาก และการจะตกผลึกได้ขนาดนี้ มันต้องมีการคิดแล้วคิดอีกอย่างละเอียดแล้วก็คิดทบทวน+ประสบการณ์ต่างๆที่ได้พบเจอ จนมีหลักเป็นแกนยึด ไม่ทำให้ไขว้เขวเวลาตลาดตกต่ำ หรือเวลาตลาดเฟื่องฟู (คนส่วนใหญ่มักไขว้เขว เวลาตลาดเฟื่องฟู เพราะอดทนต่อการเก็งกำไรของตลาดไม่ได้)
การไม่ไขว้เขวผมว่าสำคัญมาก แต่เรื่องนี้อยู่ที่จิตใจ+ความรู้ที่สั่งสมมา ครับ
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** นักเล่นหุ้น นักธุรกิจ นักการเมือง ต้องอ่าน ***
โพสต์ที่ 10
ในระยะสั้น ราคาหุ้นสามารถผันผวนไปตามอำนาจเงินได้
แต่ในระยะยาว ผลประกอบการจะเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง
ถ้าต้องการลงทุน หรือเก็งกำไรในระยะสั้น ก็พอจะเข้าใจตามทฤษฏีนี้ได้
แต่ในระยะยาว ผมว่าไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่
เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการคาดเดาอารมณ์ผู้อื่นไปเรื่อย
โอกาสมันมีทั้งได้ และเสีย โดยที่ไม่สามารถควบคุมได้
ต่างกับการลงทุนโดยใช้พื้นฐานและเหตุผล
เว้นเสียอย่างเดียว ที่จะทำให้ประโยคข้างบนไม่เป็นความจริง
คือฝ่ายบริหารไม่มีธรรมาภิบาลต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียม
ทำให้ผลประโยชน์ที่เกิดจากผลประกอบการ ไม่สามารถสะท้อนลงมาที่ผู้ถือหุ้นได้
แต่ในระยะยาว ผลประกอบการจะเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง
ถ้าต้องการลงทุน หรือเก็งกำไรในระยะสั้น ก็พอจะเข้าใจตามทฤษฏีนี้ได้
แต่ในระยะยาว ผมว่าไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่
เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการคาดเดาอารมณ์ผู้อื่นไปเรื่อย
โอกาสมันมีทั้งได้ และเสีย โดยที่ไม่สามารถควบคุมได้
ต่างกับการลงทุนโดยใช้พื้นฐานและเหตุผล
เว้นเสียอย่างเดียว ที่จะทำให้ประโยคข้างบนไม่เป็นความจริง
คือฝ่ายบริหารไม่มีธรรมาภิบาลต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียม
ทำให้ผลประโยชน์ที่เกิดจากผลประกอบการ ไม่สามารถสะท้อนลงมาที่ผู้ถือหุ้นได้
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** นักเล่นหุ้น นักธุรกิจ นักการเมือง ต้องอ่าน ***
โพสต์ที่ 11
ผมอยากให้ จขกท กลับมาอ่านอีกรอบ จะได้เลือกแนวทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริง เข้าใจว่าว่าอาจจะยังมือใหม่อยู่แบบเดียวกับผม ผมก็ขอบคุณพี่ๆเช่นกันครับ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ