กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กับแนวโน้มดอกเบี้ย RP ที่คาดว่าจะลดลง@@
-
- Verified User
- โพสต์: 455
- ผู้ติดตาม: 0
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กับแนวโน้มดอกเบี้ย RP ที่คาดว่าจะลดลง@@
โพสต์ที่ 1
ลุ้นหลังก.ค.เห็นอาร์/พีลด วันจันทร์ที่ 06 มิถุนายน 2011 เวลา 09:47 น. นักเศรษฐศาสตร์เห็นพ้องกนง.ขึ้นอาร์/พีเป็น 3% ชี้สัญญาณเศรษฐกิจทั่วโลก-เอเชียชะลอรับผลพวงจากวิกฤติหนี้ยุโรป คาดในอีก 1-2 เดือนข้างหน้าอาจเห็นแบงก์ล้ม ขณะที่เมืองไทยหลังเลือกตั้ง ยังมีความเสี่ยงและมีโอกาสเห็นอาร์/พีลด หลังปรับเพิ่มเป็น 3.25%ในเดือนกรกฎาคม
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย(อาร์/พี) 0.25% จาก 2.75% เป็น 3.00% ต่อปีเมื่อวันที่ 1มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา โดยแรงกดดันด้านราคาที่เร่งขึ้นมากกว่าคาดการณ์ไว้เป็นประเด็นสำคัญ ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาร์/พีครั้งนี้ ขณะเดียวกันคาดการณ์เงินเฟ้อยังทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าหลายรายการซึ่งจะปรับราคาตามในอนาคต ทั้งนี้แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นอาร์/พีอีก 0.25% แต่เงินเฟ้อพื้นฐานตามการคาดการณ์ของ กนง.ยังมีแนวโน้มเกินกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ และอาจจะมีโอกาสกลับเข้ามาอยู่ในเป้าหมายอีกครั้งในไตรมาสแรกของปีหน้า
ดร.นริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าหลังจากนี้ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยตาม เพื่อสอดรับกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแรงกดดันเงินเฟ้อ ยังคงเป็นเทรนด์ของโลกในขณะนี้ ยกเว้นประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ในภาวะเงินฝืดจึงไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ เมื่อมีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาในระบบเศรษฐกิจมากส่งให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะราคาน้ำมันและอาหาร
" การปรับขึ้นอาร์/พีของกนง. ครั้งนี้ ถือว่า เหมาะสมกับสถานการณ์ในภาวะที่เงินเฟ้อยังพุ่งสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ดีสิ่งที่รีบกลับมาดู เมื่อมีปัญหาเงินเฟ้อหนัก คนจะรีบมาตุนสินค้า ก่อนที่ราคาสินค้าจะปรับเพิ่มขึ้น"
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อจากนี้ไป ผู้อำนวยการสศค. กล่าวว่า คงต้องกลับมาประสานนโยบายลดภาระเงินเฟ้อ ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ขณะที่ทางด้านนโยบายการคลัง ปัจจุบันได้ใช้ "นโยบายการคลังสมดุล" นั้นคือ รัฐบาลต้องควบคุมตัวเองในการใช้จ่ายเงิน และหากต้องการลดการขาดดุลของรัฐบาลเดิม ก็ต้องอาศัยแนวทางการกู้เงินต่างประเทศ หรือในระยะสั้น รัฐบาลจะมีการประกาศนโยบายลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขณะที่ในระยะยาว รัฐบาลก็ต้องหาทางลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อสนับสนุนการปรับลดต้นทุนราคาลง เช่น การลดต้นทุนค่าโลจิสติกส์ พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน หากต้องการค่าแรงเพิ่มขึ้นด้วย
ดร.บันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารซีไอเอ็มบี(ไทย)กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่กนง.จะปรับเพิ่มขึ้นอาร์/พีอีก 0.25%ทำให้อาร์/พีขยับเป็น 3.25%ในการประชุมวันที่ 13กรกฎาคมที่จะถึงนี้ เนื่องจากความเสี่ยงจากเศรษฐกิจทั่วโลกและเอเชียชะลอตัวรับผลพวงจากยุโรปที่เตรียมรับสถานการณ์วิกฤติหนี้ที่ถึงจุดต่ำสุดโดยในอีก 1-2 เดือนข้างหน้าอาจจะเห็นธนาคารในยุโรปปิดกิจการตาม ทำให้เศรษฐกิจยุโรปชะลอและอาจถดถอยได้
"แนวโน้มที่กนง.จะปรับขึ้นอาร์/พีอีก 0.25%ในเดือนกรกฎาคม จากนั้นน่าจะหยุดการปรับขึ้นอาร์/พี ด้วย 2 ปัจจัยคือ ความเสี่ยงจากภายนอกที่เศรษฐกิจทั่วโลกและเอเชียชะลอลงและเมืองไทยยังมีปัจจัยการเมืองหลังเลือกตั้งและปลายปีนี้มีโอกาสที่จะเห็นกนง.ปรับลดอาร์/พี" ด้านดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ความเสี่ยงมหภาค ธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน) ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและแนวโน้มการเลือกตั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศจับตาดูว่า การเมืองไทยจะมีเสถียรภาพเพียงไร โดยเฉพาะเมืองไทยมีประวัติความวุ่นวายทางการเมือง ด้านแนวโน้มค่าเงินบาทนั้นแม้ยังมีความผันผวนค่อนข้างมากและยังอ่อนค่าแต่แนวโน้มเงินบาทในระยะข้างหน้าอาจแข็งค่าเล็กน้อยจนถึงสิ้นปีค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 29.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า แม้จะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้แล้วแต่กนง.เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีความเสี่ยงที่จะเกินเป้าหมาย 0.5-3.0% ในช่วงไตรมาส 3 ไตรมาส 4 ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์เร่งตัวขึ้น กรณีของไทยเป็นผลจากแรงกดดันด้านราคาอาหารสำเร็จรูปที่ปรับตัวขึ้นเร็วและแรง ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นยังทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงติดลบต่อเนื่องล่าสุดพบว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงติดลบอยู่ 0.7% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงติดลบมากกว่านี้ โดยยอมรับว่าการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องอาจจะมีผลต่อระดับจุลภาคทั้งประชาชนที่กู้เงิน และภาคธุรกิจบ้าง แต่ภาพรวมอัตราดอกเบี้ย 3% ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ และสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการปล่อยสินเชื่อโดยการใช้นโยบายการเงินในการปรับอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจของประเทศด้วย
ต่อข้อถามถึงนโยบายที่พรรคการเมืองใช้ในการหาเสียงนั้น นายไพบูลย์กล่าวว่า ขณะนี้มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ธปท.จำเป็นจับตาแรงกดดันที่มีต่อเงินเฟ้อจากปัจจัยต่างๆ ในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด โดยต้องติดตามดูกันต่อไปว่านโยบายที่จะถูกนำมาใช้จริงเป็นอย่างไร และรัฐบาลใหม่เป็นใคร ซึ่ง กนง.พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินและนโยบายดอกเบี้ยให้เหมาะสมตามสถานการณ์
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,641 5-8 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย(อาร์/พี) 0.25% จาก 2.75% เป็น 3.00% ต่อปีเมื่อวันที่ 1มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา โดยแรงกดดันด้านราคาที่เร่งขึ้นมากกว่าคาดการณ์ไว้เป็นประเด็นสำคัญ ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาร์/พีครั้งนี้ ขณะเดียวกันคาดการณ์เงินเฟ้อยังทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าหลายรายการซึ่งจะปรับราคาตามในอนาคต ทั้งนี้แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นอาร์/พีอีก 0.25% แต่เงินเฟ้อพื้นฐานตามการคาดการณ์ของ กนง.ยังมีแนวโน้มเกินกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ และอาจจะมีโอกาสกลับเข้ามาอยู่ในเป้าหมายอีกครั้งในไตรมาสแรกของปีหน้า
ดร.นริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าหลังจากนี้ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยตาม เพื่อสอดรับกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแรงกดดันเงินเฟ้อ ยังคงเป็นเทรนด์ของโลกในขณะนี้ ยกเว้นประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ในภาวะเงินฝืดจึงไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ เมื่อมีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาในระบบเศรษฐกิจมากส่งให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะราคาน้ำมันและอาหาร
" การปรับขึ้นอาร์/พีของกนง. ครั้งนี้ ถือว่า เหมาะสมกับสถานการณ์ในภาวะที่เงินเฟ้อยังพุ่งสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ดีสิ่งที่รีบกลับมาดู เมื่อมีปัญหาเงินเฟ้อหนัก คนจะรีบมาตุนสินค้า ก่อนที่ราคาสินค้าจะปรับเพิ่มขึ้น"
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อจากนี้ไป ผู้อำนวยการสศค. กล่าวว่า คงต้องกลับมาประสานนโยบายลดภาระเงินเฟ้อ ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ขณะที่ทางด้านนโยบายการคลัง ปัจจุบันได้ใช้ "นโยบายการคลังสมดุล" นั้นคือ รัฐบาลต้องควบคุมตัวเองในการใช้จ่ายเงิน และหากต้องการลดการขาดดุลของรัฐบาลเดิม ก็ต้องอาศัยแนวทางการกู้เงินต่างประเทศ หรือในระยะสั้น รัฐบาลจะมีการประกาศนโยบายลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขณะที่ในระยะยาว รัฐบาลก็ต้องหาทางลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อสนับสนุนการปรับลดต้นทุนราคาลง เช่น การลดต้นทุนค่าโลจิสติกส์ พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน หากต้องการค่าแรงเพิ่มขึ้นด้วย
ดร.บันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารซีไอเอ็มบี(ไทย)กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่กนง.จะปรับเพิ่มขึ้นอาร์/พีอีก 0.25%ทำให้อาร์/พีขยับเป็น 3.25%ในการประชุมวันที่ 13กรกฎาคมที่จะถึงนี้ เนื่องจากความเสี่ยงจากเศรษฐกิจทั่วโลกและเอเชียชะลอตัวรับผลพวงจากยุโรปที่เตรียมรับสถานการณ์วิกฤติหนี้ที่ถึงจุดต่ำสุดโดยในอีก 1-2 เดือนข้างหน้าอาจจะเห็นธนาคารในยุโรปปิดกิจการตาม ทำให้เศรษฐกิจยุโรปชะลอและอาจถดถอยได้
"แนวโน้มที่กนง.จะปรับขึ้นอาร์/พีอีก 0.25%ในเดือนกรกฎาคม จากนั้นน่าจะหยุดการปรับขึ้นอาร์/พี ด้วย 2 ปัจจัยคือ ความเสี่ยงจากภายนอกที่เศรษฐกิจทั่วโลกและเอเชียชะลอลงและเมืองไทยยังมีปัจจัยการเมืองหลังเลือกตั้งและปลายปีนี้มีโอกาสที่จะเห็นกนง.ปรับลดอาร์/พี" ด้านดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ความเสี่ยงมหภาค ธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน) ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและแนวโน้มการเลือกตั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศจับตาดูว่า การเมืองไทยจะมีเสถียรภาพเพียงไร โดยเฉพาะเมืองไทยมีประวัติความวุ่นวายทางการเมือง ด้านแนวโน้มค่าเงินบาทนั้นแม้ยังมีความผันผวนค่อนข้างมากและยังอ่อนค่าแต่แนวโน้มเงินบาทในระยะข้างหน้าอาจแข็งค่าเล็กน้อยจนถึงสิ้นปีค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 29.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า แม้จะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้แล้วแต่กนง.เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีความเสี่ยงที่จะเกินเป้าหมาย 0.5-3.0% ในช่วงไตรมาส 3 ไตรมาส 4 ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์เร่งตัวขึ้น กรณีของไทยเป็นผลจากแรงกดดันด้านราคาอาหารสำเร็จรูปที่ปรับตัวขึ้นเร็วและแรง ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นยังทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงติดลบต่อเนื่องล่าสุดพบว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงติดลบอยู่ 0.7% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงติดลบมากกว่านี้ โดยยอมรับว่าการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องอาจจะมีผลต่อระดับจุลภาคทั้งประชาชนที่กู้เงิน และภาคธุรกิจบ้าง แต่ภาพรวมอัตราดอกเบี้ย 3% ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ และสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการปล่อยสินเชื่อโดยการใช้นโยบายการเงินในการปรับอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจของประเทศด้วย
ต่อข้อถามถึงนโยบายที่พรรคการเมืองใช้ในการหาเสียงนั้น นายไพบูลย์กล่าวว่า ขณะนี้มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ธปท.จำเป็นจับตาแรงกดดันที่มีต่อเงินเฟ้อจากปัจจัยต่างๆ ในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด โดยต้องติดตามดูกันต่อไปว่านโยบายที่จะถูกนำมาใช้จริงเป็นอย่างไร และรัฐบาลใหม่เป็นใคร ซึ่ง กนง.พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินและนโยบายดอกเบี้ยให้เหมาะสมตามสถานการณ์
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,641 5-8 มิถุนายน พ.ศ. 2554
-
- Verified User
- โพสต์: 455
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กับแนวโน้มดอกเบี้ย RP ที่คาดว่าจะลด
โพสต์ที่ 2
คอนโดฯยังร้อนแรง3เดือนแรกเปิด1.2หมื่นยูนิต
อสังหาริมทรัพย์
วันที่ 6 มิถุนายน 2554 13:44คอนโดฯยังร้อนแรง3เดือนแรกเปิด1.2หมื่นยูนิต
แสนสิริ เผยผลสำรวจตลาดคอนโดฯ ระบุ 3 เดือนแรกปี54 เปิดใหม่ 30 โครงการก่า 1.2 หมื่นยูนิต ทำเลฮิตรถไฟฟ้า-ใจกลางกทม.
แสนสิริ ส่งทีมวิจัยสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงที่ผ่านมา พบคอนโดฯ เปิดใหม่ไตรมาสแรกปี 2554 จำนวน 30 โครงการ รวม 12,275 ยูนิต ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มราคาตํ่ากว่า 50,000 บาทต่อ ตร.ม. คาดแนวโน้มปริมาณการดูดซับคาดการณ์ที่สัดส่วน 50% และส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง เผยปี 53 ยอดขายหลักมาจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงและแสนสิริยังครองแชมป์ด้าน supply และ demand ของคอนโดโซนสุขุมวิทตอนปลาย สอดคล้องกับผลวิจัยว่าผู้บริโภคปัจจุบันให้ความสำคัญกับแบรนด์และความมั่นใจในการดำเนินงานของบริษัทอสังหาฯ มากยิ่งขึ้น
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการ คอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยล่าสุดว่า สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในระหว่างเดือนมกราคม – เดือนมีนาคมที่ผ่านมา จากการสํารวจข้อมูลเบื้องต้นพบ supply คอนโดมิเนียมเปิดใหม่ประมาณ 30 โครงการรวม 12,275 ยูนิต มูลค่าเสนอขายรวมที่ 24,882 ล้านบาท หากพิจารณาด้านราคาพบว่า กลุ่มราคาเสนอขายของโครงการใหม่เน้นคอนโดมิเนียมกลุ่มราคาตํ่ากว่า 50,000 บาทต่อ ตร.ม. เป็นหลัก โดยมีจํานวน 7,454 ยูนิต (คิดเป็น 61% จากจํานวน supply ใหม่ทั้งหมด) รองลงมาคือกลุ่มราคา 50,000-69,999 บาทต่อ ตร.ม. จํานวน 2,601 ยูนิต (คิดเป็น 21%), กลุ่มราคา 100,000-199,999 บาทต่อ ตร.ม. จํานวน 1,332 ยูนิต (คิดเป็น 11%) และกลุ่มราคา 70,000-99,999 บาทต่อ ตร.ม. จํานวน 888 ยูนิต (คิดเป็น 7%)
"แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีจะมียอดขายจํานวน 3,804 ยูนิต มูลค่ายอดขายรวมอยู่ที่ 6,643 ล้านบาท (คิดเป็น 31% จากจํานวน supply ใหม่ทั้งหมด) แต่กลุ่มคนซื้อส่วนใหญ่ก็เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ไมใช่การซื้อเพื่อเก็งกำไร ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ต้องอาศัยเวลาในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ หากโครงการคอนโดมิเนียมมีราคาเหมาะสม ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและได้รับการพัฒนาจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียง เชื่อถือได้และมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับก็จะทำให้ตัดสินใจซื้อได้เร็วและง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีและช่วยป้องกันการเกิดฟองสบู่คอนโดมิเนียมหรือภาวะคอนโดมิเนียมล้นตลาดได้”
นายอุทัย กล่าวต่อว่า จากการคาดการณ์ supply ในช่วงครึ่งปีแรก 2554 ซึ่งรวมถึงคอนโดมิเนียมคงค้างจากปี 2553 และโครงการใหม่ที่เสนอขายในช่วงปีนี้นั้นจะมีจำนวนรวมประมาณ 48,000 – 53,000 ยูนิต โดยปริมาณการดูดซับคาดการณ์ที่จํานวน 25,000-30,000 ยูนิตหรือคิดเป็นสัดส่วนโดยประมาณ 50% จากยูนิตเสนอขายที่คาดว่าจะยังทรงตัวใกล้เคียงกับครึ่งปีหลังปี 2553 และระดับราคาจะเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยรวมทุกพื้นที่ไม่เกิน 1% เนื่องจากมี supply ราคาตํ่าเข้ามาสูง ส่วนพื้นที่ในโซนสุขุมวิทชั้นใน, รัชดา – ลาดพร้าว และสุขุมวิทรอบนอกจะเป็นโซนที่ลูกค้าและผู้ประกอบการให้ความนิยมเนื่องจากศักยภาพของทำเล การอยู่อาศัยหนาแน่นของชุมชน และราคาที่หลากหลาย เพราะปัจจุบันลูกค้าให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านราคาก่อนปัจจัยด้นทำเล คอนโดมิเนียมราคาไม่แพงแต่ยังสามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าได้แม้ต้องเดินทางซักระยะก่อนถึงสถานีจึงได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้โซนดังกล่าวอาจมีการถีบตัวเพิ่มขึ้นของราคาประมาณ 3 – 5% ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2554
สำหร้บตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2553 ที่ผ่านมาเติบโตสูงขึ้นกว่าปี 2552 ถึง 76% เมื่อเทียบตามจำนวน supply และเติบโตสูงขึ้นอีก 72% เมื่อเทียบตามจำนวน demand โดยมียอดเสนอขายทั้งปีอยู่ที่ 88,066 ยูนิต และยอดขายที่ 52,103 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 59% จากยอดเสนอขาย โดยเมื่อช่วงครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมาคอนโดมิเนียมที่เสนอขายในกลุ่มราคาต่ำกว่า 50,000 บาทต่อ ตร.ม. มียอดขายสูงสุด คาดว่าเป็นผลมาจาก supply ที่เปิดตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552 ที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI และฐานลูกค้าระดับกลาง – ล่าง นับเป็นกลุ่ม real demand ขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูง อย่างไรก็ตาม ยอดขายส่วนใหญ่มาจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงเพราะลูกค้ามีความเชื่อมั่นในแบรนด์และมั่นใจในการดำเนินงาน ทั้งนี้ พื้นที่บริเวณสุขุมวิทยังได้รับความนิยมสูงโดยเฉพาะสุขุมวิทตอนปลาย (ตั้งแต่สุขุมวิท 71 เป็นต้นไป) โดยมี supply เสนอขายสูงสุด 9,325 ยูนิต และเป็นโซนที่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ชิงส่วนแบ่งทั้ง supply และ demand ได้มากที่สุด
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ยูนิต.html
อสังหาริมทรัพย์
วันที่ 6 มิถุนายน 2554 13:44คอนโดฯยังร้อนแรง3เดือนแรกเปิด1.2หมื่นยูนิต
แสนสิริ เผยผลสำรวจตลาดคอนโดฯ ระบุ 3 เดือนแรกปี54 เปิดใหม่ 30 โครงการก่า 1.2 หมื่นยูนิต ทำเลฮิตรถไฟฟ้า-ใจกลางกทม.
แสนสิริ ส่งทีมวิจัยสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงที่ผ่านมา พบคอนโดฯ เปิดใหม่ไตรมาสแรกปี 2554 จำนวน 30 โครงการ รวม 12,275 ยูนิต ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มราคาตํ่ากว่า 50,000 บาทต่อ ตร.ม. คาดแนวโน้มปริมาณการดูดซับคาดการณ์ที่สัดส่วน 50% และส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง เผยปี 53 ยอดขายหลักมาจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงและแสนสิริยังครองแชมป์ด้าน supply และ demand ของคอนโดโซนสุขุมวิทตอนปลาย สอดคล้องกับผลวิจัยว่าผู้บริโภคปัจจุบันให้ความสำคัญกับแบรนด์และความมั่นใจในการดำเนินงานของบริษัทอสังหาฯ มากยิ่งขึ้น
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการ คอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยล่าสุดว่า สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในระหว่างเดือนมกราคม – เดือนมีนาคมที่ผ่านมา จากการสํารวจข้อมูลเบื้องต้นพบ supply คอนโดมิเนียมเปิดใหม่ประมาณ 30 โครงการรวม 12,275 ยูนิต มูลค่าเสนอขายรวมที่ 24,882 ล้านบาท หากพิจารณาด้านราคาพบว่า กลุ่มราคาเสนอขายของโครงการใหม่เน้นคอนโดมิเนียมกลุ่มราคาตํ่ากว่า 50,000 บาทต่อ ตร.ม. เป็นหลัก โดยมีจํานวน 7,454 ยูนิต (คิดเป็น 61% จากจํานวน supply ใหม่ทั้งหมด) รองลงมาคือกลุ่มราคา 50,000-69,999 บาทต่อ ตร.ม. จํานวน 2,601 ยูนิต (คิดเป็น 21%), กลุ่มราคา 100,000-199,999 บาทต่อ ตร.ม. จํานวน 1,332 ยูนิต (คิดเป็น 11%) และกลุ่มราคา 70,000-99,999 บาทต่อ ตร.ม. จํานวน 888 ยูนิต (คิดเป็น 7%)
"แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีจะมียอดขายจํานวน 3,804 ยูนิต มูลค่ายอดขายรวมอยู่ที่ 6,643 ล้านบาท (คิดเป็น 31% จากจํานวน supply ใหม่ทั้งหมด) แต่กลุ่มคนซื้อส่วนใหญ่ก็เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ไมใช่การซื้อเพื่อเก็งกำไร ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ต้องอาศัยเวลาในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ หากโครงการคอนโดมิเนียมมีราคาเหมาะสม ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและได้รับการพัฒนาจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียง เชื่อถือได้และมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับก็จะทำให้ตัดสินใจซื้อได้เร็วและง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีและช่วยป้องกันการเกิดฟองสบู่คอนโดมิเนียมหรือภาวะคอนโดมิเนียมล้นตลาดได้”
นายอุทัย กล่าวต่อว่า จากการคาดการณ์ supply ในช่วงครึ่งปีแรก 2554 ซึ่งรวมถึงคอนโดมิเนียมคงค้างจากปี 2553 และโครงการใหม่ที่เสนอขายในช่วงปีนี้นั้นจะมีจำนวนรวมประมาณ 48,000 – 53,000 ยูนิต โดยปริมาณการดูดซับคาดการณ์ที่จํานวน 25,000-30,000 ยูนิตหรือคิดเป็นสัดส่วนโดยประมาณ 50% จากยูนิตเสนอขายที่คาดว่าจะยังทรงตัวใกล้เคียงกับครึ่งปีหลังปี 2553 และระดับราคาจะเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยรวมทุกพื้นที่ไม่เกิน 1% เนื่องจากมี supply ราคาตํ่าเข้ามาสูง ส่วนพื้นที่ในโซนสุขุมวิทชั้นใน, รัชดา – ลาดพร้าว และสุขุมวิทรอบนอกจะเป็นโซนที่ลูกค้าและผู้ประกอบการให้ความนิยมเนื่องจากศักยภาพของทำเล การอยู่อาศัยหนาแน่นของชุมชน และราคาที่หลากหลาย เพราะปัจจุบันลูกค้าให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านราคาก่อนปัจจัยด้นทำเล คอนโดมิเนียมราคาไม่แพงแต่ยังสามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าได้แม้ต้องเดินทางซักระยะก่อนถึงสถานีจึงได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้โซนดังกล่าวอาจมีการถีบตัวเพิ่มขึ้นของราคาประมาณ 3 – 5% ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2554
สำหร้บตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2553 ที่ผ่านมาเติบโตสูงขึ้นกว่าปี 2552 ถึง 76% เมื่อเทียบตามจำนวน supply และเติบโตสูงขึ้นอีก 72% เมื่อเทียบตามจำนวน demand โดยมียอดเสนอขายทั้งปีอยู่ที่ 88,066 ยูนิต และยอดขายที่ 52,103 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 59% จากยอดเสนอขาย โดยเมื่อช่วงครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมาคอนโดมิเนียมที่เสนอขายในกลุ่มราคาต่ำกว่า 50,000 บาทต่อ ตร.ม. มียอดขายสูงสุด คาดว่าเป็นผลมาจาก supply ที่เปิดตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552 ที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI และฐานลูกค้าระดับกลาง – ล่าง นับเป็นกลุ่ม real demand ขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูง อย่างไรก็ตาม ยอดขายส่วนใหญ่มาจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงเพราะลูกค้ามีความเชื่อมั่นในแบรนด์และมั่นใจในการดำเนินงาน ทั้งนี้ พื้นที่บริเวณสุขุมวิทยังได้รับความนิยมสูงโดยเฉพาะสุขุมวิทตอนปลาย (ตั้งแต่สุขุมวิท 71 เป็นต้นไป) โดยมี supply เสนอขายสูงสุด 9,325 ยูนิต และเป็นโซนที่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ชิงส่วนแบ่งทั้ง supply และ demand ได้มากที่สุด
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ยูนิต.html
-
- Verified User
- โพสต์: 455
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กับแนวโน้มดอกเบี้ย RP ที่คาดว่าจะลด
โพสต์ที่ 3
11:04 27/05/2011
INDUSTRY UPDATE : กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย : บมจ.หลักทรัพย์เอเชียพลัส
27 พ.ค.--บมจ.หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส
Distributor - Bisnews AFE
กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย (Housing)
1Q54 ชะลอตัวทั้ง Presale และ กำไร ... แนวโน้ม 2Q54 ดีขึ้น
คำแนะนำการลงทุน : เท่ากับตลาด
งวด 1Q54 ฐานกำไรของ 14 บริษัท ลดลง 49% QoQ ขณะที่ Presale ลด 28% QoQ
การดำเนินธุรกิจในงวด 1Q54 โดยภาพรวมของ 14 บริษัทใน Coverage ของฝ่ายวิจัยอยู่ในภาวะ
ที่ชะลอตัวโดยในส่วนของผลประกอบการพบว่ามีกำไรจากการดำเนินงาน 3.85 พันล้านบาท ลดลง 49%
QoQ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการชะลอตัวของยอดการบันทึกรายได้ที่ต้องเปลี่ยนมาบันทึกเมื่อโอนฯ ลดลง 36%
QoQ มาอยู่ที่ 2.93 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วง 4Q53 มีการเร่งโอนฯ โครงการเป็นจำนวนมากจน
สามาถสร้าง New high และด้วยการลดลงของรายได้ที่มากกว่าค่าใช้จ่ายในการขาย-บริหาร ทำให้
Norm Profit Margin ปรับลดลงไปเหลือ 13.2% เทียบกับ 15.2% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยในปี 2553 สำหรับ
สถานะด้านกระแสเงินสดและโครงสร้างการเงิน พบว่าในงวด 1Q54 กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
(CFO) ยังติดลบกว่า 9.6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ จำนวนมากในงวดปี
2553 ที่ผ่านมา และโอนฯ ที่ค่อนข้างต่ำในงวด 1Q54 ซึ่งกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ติดลบดังกล่าว
ทำให้ผู้ประกอบการต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้น โดย ณ สิ้น 1Q54 มีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยจ่าย 1.22 แสนล้านบาท และ
Net Gearing เพิ่มจาก 0.77 เท่า มาเป็น 0.85 เท่า แต่ยังไม่ถือว่าอันตราย ด้าน Presale ในงวด
1Q54 ก็อยู่ในภาวะที่ชะลอตัวเช่นกัน โดย 14 บริษัทใน Coverage มียอดอยู่ที่ 3.44 หมื่นล้านบาท ลดลง
28.5% QoQ ซึ่งเกิดจากการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ค่อนข้างน้อย และการปรับเปลี่ยนสินค้ามาสู่โครงการ
แนวราบมากยิ่งขึ้น
Backlog สิ้น 1Q54 เพิ่มเป็น 1.47 แสนล้านบาท กระตุ้นกำไรในช่วงที่เหลือของปี
การบันทึกรายได้ที่ต่ำกว่า Presale ใหม่ ทำให้ Backlog ณ สิ้น 1Q54 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.47
แสนล้านบาท ซึ่งด้วยโครงสร้างที่มีองค์ประกอบของโครงการแนวราบกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท ประกอบกับ
มาตรการภาครัฐที่ให้ ธอส. ปล่อยกู้ซื้อบ้านหลังแรกซึ่งล่าสุดมียอดขอกู้แล้วประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และ
การแข่งขันปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินภาคเอกเชน เชื่อว่าน่าจะทำให้เห็นการเร่งโอนฯ ในงวด 2Q54
ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นผลดีต่อแนวโน้มผลประกอบการในงวด 2Q54 ส่วนแนวโน้ม Presale ใหม่ไม่น่าจะ
เห็นการฟื้นตัวจาก 1Q54 มากนัก เนื่องจากโดยปกติในช่วงไตรมาสที่ 2 มักจะเป็น Low Season เพราะ
มีวันหยุดยาวหลายช่วง อีกทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่ยังมีไม่มากนัก ทั้งนี้ตามแผนการเปิดตัวโครงการใหม่
ของผู้ประกอบการ 14 แห่งววดปี 2554 อยู่ที่ 237 โครงการ มูลค่า 2.72 แสนล้านบาท โดยมีองค์
ประกอบโครงการแนวราบเพิ่มมากขึ้น
หนักเท่ากับตลาด เลือก SPALI, PS ราคาที่ต่ำกว่า FVและ RAIMON ตามการฟื้นตัว
คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย เท่ากับตลาด โดยคาดหวังว่าน่าจะเห็นการพลิกกลับของ
ราคาหุ้นที่ดีขึ้นในช่วง 2H54 โดยหุ้นเด่นทีแนะนำประกอบด้วย SPALI (Fair Value: 19.00 บาท) และ
PS (Fair Value 23.06 บาท) ในฐานะที่ราคาต่ำกว่า Fair Value ขณะที่ RAIMON (Fair Value
2.52 บาท) ยังมีความโดดเด่น ในฐานะ Turnaround Stock
******************************************************************************
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้ รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี บมจ. หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส
ไม่สามารถที่จะยืนยันหรือรับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ ไม่ว่าประการใดๆ บทวิเคราะห์ในเอกสาร
นี้ จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหลักการวิเคราะห์ และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะ
ให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่าน
บทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือ
พันธะผูกพันใดๆ กับ บมจ. หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส ไม่ว่ากรณีใด--จบ--
INDUSTRY UPDATE : กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย : บมจ.หลักทรัพย์เอเชียพลัส
27 พ.ค.--บมจ.หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส
Distributor - Bisnews AFE
กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย (Housing)
1Q54 ชะลอตัวทั้ง Presale และ กำไร ... แนวโน้ม 2Q54 ดีขึ้น
คำแนะนำการลงทุน : เท่ากับตลาด
งวด 1Q54 ฐานกำไรของ 14 บริษัท ลดลง 49% QoQ ขณะที่ Presale ลด 28% QoQ
การดำเนินธุรกิจในงวด 1Q54 โดยภาพรวมของ 14 บริษัทใน Coverage ของฝ่ายวิจัยอยู่ในภาวะ
ที่ชะลอตัวโดยในส่วนของผลประกอบการพบว่ามีกำไรจากการดำเนินงาน 3.85 พันล้านบาท ลดลง 49%
QoQ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการชะลอตัวของยอดการบันทึกรายได้ที่ต้องเปลี่ยนมาบันทึกเมื่อโอนฯ ลดลง 36%
QoQ มาอยู่ที่ 2.93 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วง 4Q53 มีการเร่งโอนฯ โครงการเป็นจำนวนมากจน
สามาถสร้าง New high และด้วยการลดลงของรายได้ที่มากกว่าค่าใช้จ่ายในการขาย-บริหาร ทำให้
Norm Profit Margin ปรับลดลงไปเหลือ 13.2% เทียบกับ 15.2% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยในปี 2553 สำหรับ
สถานะด้านกระแสเงินสดและโครงสร้างการเงิน พบว่าในงวด 1Q54 กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
(CFO) ยังติดลบกว่า 9.6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ จำนวนมากในงวดปี
2553 ที่ผ่านมา และโอนฯ ที่ค่อนข้างต่ำในงวด 1Q54 ซึ่งกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ติดลบดังกล่าว
ทำให้ผู้ประกอบการต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้น โดย ณ สิ้น 1Q54 มีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยจ่าย 1.22 แสนล้านบาท และ
Net Gearing เพิ่มจาก 0.77 เท่า มาเป็น 0.85 เท่า แต่ยังไม่ถือว่าอันตราย ด้าน Presale ในงวด
1Q54 ก็อยู่ในภาวะที่ชะลอตัวเช่นกัน โดย 14 บริษัทใน Coverage มียอดอยู่ที่ 3.44 หมื่นล้านบาท ลดลง
28.5% QoQ ซึ่งเกิดจากการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ค่อนข้างน้อย และการปรับเปลี่ยนสินค้ามาสู่โครงการ
แนวราบมากยิ่งขึ้น
Backlog สิ้น 1Q54 เพิ่มเป็น 1.47 แสนล้านบาท กระตุ้นกำไรในช่วงที่เหลือของปี
การบันทึกรายได้ที่ต่ำกว่า Presale ใหม่ ทำให้ Backlog ณ สิ้น 1Q54 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.47
แสนล้านบาท ซึ่งด้วยโครงสร้างที่มีองค์ประกอบของโครงการแนวราบกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท ประกอบกับ
มาตรการภาครัฐที่ให้ ธอส. ปล่อยกู้ซื้อบ้านหลังแรกซึ่งล่าสุดมียอดขอกู้แล้วประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และ
การแข่งขันปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินภาคเอกเชน เชื่อว่าน่าจะทำให้เห็นการเร่งโอนฯ ในงวด 2Q54
ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นผลดีต่อแนวโน้มผลประกอบการในงวด 2Q54 ส่วนแนวโน้ม Presale ใหม่ไม่น่าจะ
เห็นการฟื้นตัวจาก 1Q54 มากนัก เนื่องจากโดยปกติในช่วงไตรมาสที่ 2 มักจะเป็น Low Season เพราะ
มีวันหยุดยาวหลายช่วง อีกทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่ยังมีไม่มากนัก ทั้งนี้ตามแผนการเปิดตัวโครงการใหม่
ของผู้ประกอบการ 14 แห่งววดปี 2554 อยู่ที่ 237 โครงการ มูลค่า 2.72 แสนล้านบาท โดยมีองค์
ประกอบโครงการแนวราบเพิ่มมากขึ้น
หนักเท่ากับตลาด เลือก SPALI, PS ราคาที่ต่ำกว่า FVและ RAIMON ตามการฟื้นตัว
คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย เท่ากับตลาด โดยคาดหวังว่าน่าจะเห็นการพลิกกลับของ
ราคาหุ้นที่ดีขึ้นในช่วง 2H54 โดยหุ้นเด่นทีแนะนำประกอบด้วย SPALI (Fair Value: 19.00 บาท) และ
PS (Fair Value 23.06 บาท) ในฐานะที่ราคาต่ำกว่า Fair Value ขณะที่ RAIMON (Fair Value
2.52 บาท) ยังมีความโดดเด่น ในฐานะ Turnaround Stock
******************************************************************************
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้ รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี บมจ. หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส
ไม่สามารถที่จะยืนยันหรือรับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ ไม่ว่าประการใดๆ บทวิเคราะห์ในเอกสาร
นี้ จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหลักการวิเคราะห์ และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะ
ให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่าน
บทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือ
พันธะผูกพันใดๆ กับ บมจ. หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส ไม่ว่ากรณีใด--จบ--
-
- Verified User
- โพสต์: 455
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กับแนวโน้มดอกเบี้ย RP ที่คาดว่าจะลด
โพสต์ที่ 4
บล.เคจีไอ:กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ให้น้ำหนักมากกว่าตลาด โดยมี PS และ LPN เป็นหุ้นเด่น
--------------------------------------------------------------------------------
บล.เคจีไอ:กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ให้น้ำหนักมากกว่าตลาด โดยมี PS และ LPN เป็นหุ้นเด่น
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์
ไตรมาสที่ดีกว่ากำลังจะมาถึง
สรุปประเด็นสำคัญ และข่าวล่าสุด
* 1Q54 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี
* คาดวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะสิ้นสุดในกลางปี 2554
* คาดกำไรมีแนวโน้มดีขึ้นใน 2H54
* คงน้ำหนักการลงทุน มากกว่าตลาด โดยมี PS* และ LPN เป็นหุ้นเด่น
คงน้ำหนักการลงทุน มากกว่าตลาด โดยมี PS* และ LPN เป็นหุ้นเด่น
เราคงมุมมองของเราที่ว่า 3Q54 จะเป็นจุดเริ่มของวงจรหุ้นอสังหาฯ ขาขึ้น หลังวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นสิ้นสุดในกลางปี 2554 นอกจากนี้ เรายังเชื่อว่ากำไรของบริษัทอสังหาฯ จะดีขึ้นตั้งแต่ 2Q54 เป็นต้นไป โดยที่ 3Q54 หรือ 4Q54 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ ดังนั้นเราจึงแนะนำ ซื้อ หุ้นอสังหาฯ เพื่อรับประโยชน์จากราคาที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นใน 3Q54 หรือก่อนหน้า คงน้ำหนักการลงทุน มากกว่าตลาด โดยมี PS* และ LPN เป็นหุ้นเด่น
1Q54 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้
ยกเว้น LH* และ LPN บริษัทอสังหาฯ อื่น ๆ ที่เราศึกษารายงานกำไรลดลงใน1Q54 ซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ ทั้งนี้ผลประกอบการที่ตกต่ำเกิดจากรายได้ที่อยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายการขายและการบริหารต่อยอดขายอยู่ในระดับสูง เป็นหลัก โครงการคอนโดส่วนมาก ซึ่งมีกำหนดสร้างเสร็จในปีนี้ จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ และสร้างรายได้ได้ใน 2Q54 เป้นต้นไป ซึ่งทำให้รายได้ใน 1Q54 อยู่ในระดับต่ำ ในขณะเดียวกันมาตรการภาษีอสังหาฯ ที่สิ้นสุดในเดือน มี.ค. 2553 และฐานรายได้ที่อยู่ในระดับต่ำใน 1Q54 ทำให้สัดส่วนค่าใช้จ่ายการขายฯ ต่อยอดขายของบริษัทอสังหาฯ เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับ LH ผลประกอบการที่ดีใน 1Q54 เกิดจากกำไรพิเศษจากการขาย KH
ในเดือน มี.ค. เมื่อหักรายการดังกล่าว และรายการพิเศษอื่นๆ กำไรจากการดำเนินงานปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกันกับผู้ประกอบการรายอื่นๆสำหรับ LPN กำไรที่อยู่ในระดับสูงใน 1Q54 เกิดจากผลการดำเนินงานที่แท้จริง โดยมีรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง
คาดวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะสิ้นสุดในกลางปี 2554
หลังจากได้รับผลกระทบจากวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2553 กลุ่มอสังหาฯ น่าจะกลับมาได้รับความสนใจจากตลาดอีกครั้งในปลาย 2Q54 หรือเร็วกว่านั้น เนื่องจากวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นน่าจะสิ้นสุดในกลางปี 2554(ตารางที่ 2) ทั้งนี้ KGI ยังคงมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP) จะปรับขึ้นเป็น3.00% (จาก 2.75% ในปัจจุบัน) ในกลางปี 2554 และทรงตัวตลอด 2H54
ไตรมาสที่ดีกว่ากำลังจะมาถึง
เราเชื่อว่าบริษัทอสังหาฯ ที่เราศึกษาน่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้นตั้งแต่ 2Q54เป็นต้นไป การโอนกรรมสิทธิของโครงการคอนโดที่พึ่งสร้างเสร็จจะช่วยหนุนกำไรของบริษัทฯ ใน 2Q54-4Q54 ในขณะที่เราเชื่อว่าแรงกดดันด้านราคาต่อหุ้นอสังหาฯ ดังกล่าวจะหมดไปในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยทรงตัวใน 2H54 PS: โรงงาน pre-cast ใหม่เป็นปัจจัยบวกสำคัญ
PS มีแนวโน้มผลประกอบการดีขึ้นตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้ จำนวนบ้านสร้างเสร็จในมือที่มากขึ้น (มูลค่า 3 พันล้านบาท ณ สิ้น 1Q54) ซึ่งพร้อมโอนและรับรู้เป็นรายได้ เมื่อขาย รวมถึงการโอนกรรมสิทธิของโครงการ IvyThonglore Condo น่าจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อกำไรของบริษัทฯ ใน 2Q54จากนั้นโรงงาน pre-cast ใหม่จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญใน 2H54 โรงงานใหม่ดังกล่าวจะดำเนินงานเต็มกำลังได้ในเดือน พ.ค. มิ.ย. โดยมีกำลังการผลิตบ้าน 430 หลังต่อเดือน เพิ่มจากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ 260 หลังต่อเดือนกำลังการผลิตใหม่ดังกล่าวควรมีส่วนช่วยให้การโอนบ้านเดี่ยว (SDH) ทันต่อยอดขายได้ใน 3Q54 ทั้งนี้เราคาดว่า 4Q54 จะเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการสูงสุดของปี จากแนวโน้มการโอนโครงการแนวราบที่มีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกำหนดการสร้างและโอนโครงการ The Seed-Memories Siam Condo (1.5พันล้านบาท) ในระหว่างไตรมาส เราคงคำแนะนำ ซื้อ PS โดยมีราคาเป้าหมายที่ 31.00 บาท
LPN: กำไรมีความชัดเจนสูงสุด พร้อมมีโอกาสที่รายได้จากยอดขาย และอัตรากำไรขั้นต้นจะสูงเกินคาด
ในกลุ่มบริษัทอสังหาฯ ที่เราศึกษา LPN เป็นเพียงบริษัทเดียวที่รายงานกำไรในระดับสูงอย่างแท้จริงใน 1Q54 และกำไรของบริษัทฯ มีแนวโน้มดีต่อเนื่องใน2Q54-3Q54 จากกำหนดการโอนคอนโดต่างๆ ของบริษัทฯ และความเป็นไปได้เกี่ยวกับอัตรากำไรขั้นต้นที่อยู่ในระดับสูงของโครงการดังกล่าว เราเชื่อว่า3Q54 น่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดสำหรับ LPN ในปีนี้ ในขณะที่กำไรมีแนวโน้มชะลอตัวใน 4Q54 เนื่องจากบริษัทฯ มีกำหนดการโอนเพียง 1โครงการเล็กๆ ในไตรมาสดังกล่าว ยอดขายรอรับรู้เป็นรายได้ ณ สิ้นไตรมาสของบริษัทฯ คิดเป็น 100% ของประมาณการรายได้ของเราในปี 2554 ดังนั้นยอดขายใหม่ ของโครงการสร้างเสร็จจึงหมายถึงโอกาสที่รายได้ของ LPN จะสูงกว่าที่คาด นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นก็มีโอกาสที่จะสูงเกินคาดด้วย เราคงคำแนะนำ ซื้อ LPN โดยมีราคาเป้าหมายที่ 13.00 บาท
SPALI: รายได้มีความแน่นอนสูง
กำไรรายไตรมาสของ SPALI น่าจะค่อยๆ ดีขึ้นตั้งแต่ 2Q54 เป็นต้นไป จากกำหนดการโอนคอนโดในช่วงที่เหลือของปี เราเชื่อว่า 4Q54 น่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดสำหรับ SPALI ในปีนี้ เนื่องจากเราคาดว่าโครงการที่มีกำหนดสร้างเสร็จพร้อมโอนในไตรมาสดังกล่าว จะมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงความแน่นอนของรายได้ของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยมียอดขายรอรับรู้เป็นรายได้คิดเป็น 3 ถึง 4 ของประมาณการรายได้ของเราในปี 2554 เราคงคำแนะนำ ซื้อ SPALI โดยมีราคาเป้าหมายที่ 16.00 บาท
AP: อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของ AP ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทอสังหาฯ อื่นในกลุ่มฯ
กำไรของ AP น่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในทุกๆ ไตรมาสของปีนี้ เมื่อพิจารณาจากกำหนดการโอนคอนโดของบริษัทฯ โดย 2Q54 มีแนวโน้มสูงกว่า 1Q54ประมาณ 2 เท่าตัว ในขณะที่ 3Q54 น่าจะดีขึ้นอีกจากกำหนดการโอนคอนโดและโครงการแนวราบ และ 4Q54 น่าจะเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการสูงสุดของปี ทั้งนี้ บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้เป็นรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ และคิดเป็น 77.0% ของประมาณการรายได้ในปี 2554 ของเรา ในขณะที่แนวโน้มยอดขายโครงการยังคงดี ปัจจัยลบเพียงประการเดียวที่ทำให้ AP ดูไม่ดีในปีนี้อยู่ที่อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นที่ตกต่ำ เมื่อเทียบกับบริษัทอสังหาอื่น ๆในกลุ่มฯ จากผลของ dilution ที่เกิดจากการจ่ายหุ้นปันผลในอัตรา 5:1 ในเดือนพ.ค. 2554 จากปัจจัยดังกล่าว เราคงคำแนะนำ ถือ AP โดยมีราคาเป้าหมายที่6.40 บาท
--------------------------------------------------------------------------------
บล.เคจีไอ:กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ให้น้ำหนักมากกว่าตลาด โดยมี PS และ LPN เป็นหุ้นเด่น
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์
ไตรมาสที่ดีกว่ากำลังจะมาถึง
สรุปประเด็นสำคัญ และข่าวล่าสุด
* 1Q54 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี
* คาดวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะสิ้นสุดในกลางปี 2554
* คาดกำไรมีแนวโน้มดีขึ้นใน 2H54
* คงน้ำหนักการลงทุน มากกว่าตลาด โดยมี PS* และ LPN เป็นหุ้นเด่น
คงน้ำหนักการลงทุน มากกว่าตลาด โดยมี PS* และ LPN เป็นหุ้นเด่น
เราคงมุมมองของเราที่ว่า 3Q54 จะเป็นจุดเริ่มของวงจรหุ้นอสังหาฯ ขาขึ้น หลังวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นสิ้นสุดในกลางปี 2554 นอกจากนี้ เรายังเชื่อว่ากำไรของบริษัทอสังหาฯ จะดีขึ้นตั้งแต่ 2Q54 เป็นต้นไป โดยที่ 3Q54 หรือ 4Q54 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ ดังนั้นเราจึงแนะนำ ซื้อ หุ้นอสังหาฯ เพื่อรับประโยชน์จากราคาที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นใน 3Q54 หรือก่อนหน้า คงน้ำหนักการลงทุน มากกว่าตลาด โดยมี PS* และ LPN เป็นหุ้นเด่น
1Q54 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้
ยกเว้น LH* และ LPN บริษัทอสังหาฯ อื่น ๆ ที่เราศึกษารายงานกำไรลดลงใน1Q54 ซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ ทั้งนี้ผลประกอบการที่ตกต่ำเกิดจากรายได้ที่อยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายการขายและการบริหารต่อยอดขายอยู่ในระดับสูง เป็นหลัก โครงการคอนโดส่วนมาก ซึ่งมีกำหนดสร้างเสร็จในปีนี้ จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ และสร้างรายได้ได้ใน 2Q54 เป้นต้นไป ซึ่งทำให้รายได้ใน 1Q54 อยู่ในระดับต่ำ ในขณะเดียวกันมาตรการภาษีอสังหาฯ ที่สิ้นสุดในเดือน มี.ค. 2553 และฐานรายได้ที่อยู่ในระดับต่ำใน 1Q54 ทำให้สัดส่วนค่าใช้จ่ายการขายฯ ต่อยอดขายของบริษัทอสังหาฯ เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับ LH ผลประกอบการที่ดีใน 1Q54 เกิดจากกำไรพิเศษจากการขาย KH
ในเดือน มี.ค. เมื่อหักรายการดังกล่าว และรายการพิเศษอื่นๆ กำไรจากการดำเนินงานปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกันกับผู้ประกอบการรายอื่นๆสำหรับ LPN กำไรที่อยู่ในระดับสูงใน 1Q54 เกิดจากผลการดำเนินงานที่แท้จริง โดยมีรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง
คาดวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะสิ้นสุดในกลางปี 2554
หลังจากได้รับผลกระทบจากวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2553 กลุ่มอสังหาฯ น่าจะกลับมาได้รับความสนใจจากตลาดอีกครั้งในปลาย 2Q54 หรือเร็วกว่านั้น เนื่องจากวงจรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นน่าจะสิ้นสุดในกลางปี 2554(ตารางที่ 2) ทั้งนี้ KGI ยังคงมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP) จะปรับขึ้นเป็น3.00% (จาก 2.75% ในปัจจุบัน) ในกลางปี 2554 และทรงตัวตลอด 2H54
ไตรมาสที่ดีกว่ากำลังจะมาถึง
เราเชื่อว่าบริษัทอสังหาฯ ที่เราศึกษาน่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้นตั้งแต่ 2Q54เป็นต้นไป การโอนกรรมสิทธิของโครงการคอนโดที่พึ่งสร้างเสร็จจะช่วยหนุนกำไรของบริษัทฯ ใน 2Q54-4Q54 ในขณะที่เราเชื่อว่าแรงกดดันด้านราคาต่อหุ้นอสังหาฯ ดังกล่าวจะหมดไปในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยทรงตัวใน 2H54 PS: โรงงาน pre-cast ใหม่เป็นปัจจัยบวกสำคัญ
PS มีแนวโน้มผลประกอบการดีขึ้นตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้ จำนวนบ้านสร้างเสร็จในมือที่มากขึ้น (มูลค่า 3 พันล้านบาท ณ สิ้น 1Q54) ซึ่งพร้อมโอนและรับรู้เป็นรายได้ เมื่อขาย รวมถึงการโอนกรรมสิทธิของโครงการ IvyThonglore Condo น่าจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อกำไรของบริษัทฯ ใน 2Q54จากนั้นโรงงาน pre-cast ใหม่จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญใน 2H54 โรงงานใหม่ดังกล่าวจะดำเนินงานเต็มกำลังได้ในเดือน พ.ค. มิ.ย. โดยมีกำลังการผลิตบ้าน 430 หลังต่อเดือน เพิ่มจากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ 260 หลังต่อเดือนกำลังการผลิตใหม่ดังกล่าวควรมีส่วนช่วยให้การโอนบ้านเดี่ยว (SDH) ทันต่อยอดขายได้ใน 3Q54 ทั้งนี้เราคาดว่า 4Q54 จะเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการสูงสุดของปี จากแนวโน้มการโอนโครงการแนวราบที่มีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกำหนดการสร้างและโอนโครงการ The Seed-Memories Siam Condo (1.5พันล้านบาท) ในระหว่างไตรมาส เราคงคำแนะนำ ซื้อ PS โดยมีราคาเป้าหมายที่ 31.00 บาท
LPN: กำไรมีความชัดเจนสูงสุด พร้อมมีโอกาสที่รายได้จากยอดขาย และอัตรากำไรขั้นต้นจะสูงเกินคาด
ในกลุ่มบริษัทอสังหาฯ ที่เราศึกษา LPN เป็นเพียงบริษัทเดียวที่รายงานกำไรในระดับสูงอย่างแท้จริงใน 1Q54 และกำไรของบริษัทฯ มีแนวโน้มดีต่อเนื่องใน2Q54-3Q54 จากกำหนดการโอนคอนโดต่างๆ ของบริษัทฯ และความเป็นไปได้เกี่ยวกับอัตรากำไรขั้นต้นที่อยู่ในระดับสูงของโครงการดังกล่าว เราเชื่อว่า3Q54 น่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดสำหรับ LPN ในปีนี้ ในขณะที่กำไรมีแนวโน้มชะลอตัวใน 4Q54 เนื่องจากบริษัทฯ มีกำหนดการโอนเพียง 1โครงการเล็กๆ ในไตรมาสดังกล่าว ยอดขายรอรับรู้เป็นรายได้ ณ สิ้นไตรมาสของบริษัทฯ คิดเป็น 100% ของประมาณการรายได้ของเราในปี 2554 ดังนั้นยอดขายใหม่ ของโครงการสร้างเสร็จจึงหมายถึงโอกาสที่รายได้ของ LPN จะสูงกว่าที่คาด นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นก็มีโอกาสที่จะสูงเกินคาดด้วย เราคงคำแนะนำ ซื้อ LPN โดยมีราคาเป้าหมายที่ 13.00 บาท
SPALI: รายได้มีความแน่นอนสูง
กำไรรายไตรมาสของ SPALI น่าจะค่อยๆ ดีขึ้นตั้งแต่ 2Q54 เป็นต้นไป จากกำหนดการโอนคอนโดในช่วงที่เหลือของปี เราเชื่อว่า 4Q54 น่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดสำหรับ SPALI ในปีนี้ เนื่องจากเราคาดว่าโครงการที่มีกำหนดสร้างเสร็จพร้อมโอนในไตรมาสดังกล่าว จะมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงความแน่นอนของรายได้ของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยมียอดขายรอรับรู้เป็นรายได้คิดเป็น 3 ถึง 4 ของประมาณการรายได้ของเราในปี 2554 เราคงคำแนะนำ ซื้อ SPALI โดยมีราคาเป้าหมายที่ 16.00 บาท
AP: อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของ AP ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทอสังหาฯ อื่นในกลุ่มฯ
กำไรของ AP น่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในทุกๆ ไตรมาสของปีนี้ เมื่อพิจารณาจากกำหนดการโอนคอนโดของบริษัทฯ โดย 2Q54 มีแนวโน้มสูงกว่า 1Q54ประมาณ 2 เท่าตัว ในขณะที่ 3Q54 น่าจะดีขึ้นอีกจากกำหนดการโอนคอนโดและโครงการแนวราบ และ 4Q54 น่าจะเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการสูงสุดของปี ทั้งนี้ บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้เป็นรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ และคิดเป็น 77.0% ของประมาณการรายได้ในปี 2554 ของเรา ในขณะที่แนวโน้มยอดขายโครงการยังคงดี ปัจจัยลบเพียงประการเดียวที่ทำให้ AP ดูไม่ดีในปีนี้อยู่ที่อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นที่ตกต่ำ เมื่อเทียบกับบริษัทอสังหาอื่น ๆในกลุ่มฯ จากผลของ dilution ที่เกิดจากการจ่ายหุ้นปันผลในอัตรา 5:1 ในเดือนพ.ค. 2554 จากปัจจัยดังกล่าว เราคงคำแนะนำ ถือ AP โดยมีราคาเป้าหมายที่6.40 บาท
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กับแนวโน้มดอกเบี้ย RP ที่คาดว่าจะลด
โพสต์ที่ 5
หุ้นกลุ่มนี้เริ่มทยอยขึ้นแล้วจริงๆ
- kabu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กับแนวโน้มดอกเบี้ย RP ที่คาดว่าจะลด
โพสต์ที่ 6
อ่าน topic แล้วงงครับ
ดอกเบี้ย RP คาดว่าจะลดลงเหรอครับ?
เมื่อวานเพิ่งปรับขึ้นอีก .25 เป็น 3.25
แล้วในสภาพที่เงินเฟ้อแบบนี้ ดอกเบี้ย RP ยังไม่น่าลดนะครับ
ดอกเบี้ย RP คาดว่าจะลดลงเหรอครับ?
เมื่อวานเพิ่งปรับขึ้นอีก .25 เป็น 3.25
แล้วในสภาพที่เงินเฟ้อแบบนี้ ดอกเบี้ย RP ยังไม่น่าลดนะครับ
"หนทางเดียวที่จะก้าวพ้นขอบเขตของความเป็นไปได้ คือก้าวเข้าสู่ความเป็นไปไม่ได้", Arthur C. Clarke
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
- getkung
- Verified User
- โพสต์: 286
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กับแนวโน้มดอกเบี้ย RP ที่คาดว่าจะลด
โพสต์ที่ 7
ผมอ่านแล้วเข้าใจว่าเดือน กค.น่าจะเป็นเดือนสุดท้ายแล้วอาจจะลดลงในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะต้องดูเงินเฟ้อของครึ่งปีหลังต่อไป รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกและเอเชียkabu เขียน:อ่าน topic แล้วงงครับ
ดอกเบี้ย RP คาดว่าจะลดลงเหรอครับ?
เมื่อวานเพิ่งปรับขึ้นอีก .25 เป็น 3.25
แล้วในสภาพที่เงินเฟ้อแบบนี้ ดอกเบี้ย RP ยังไม่น่าลดนะครับ
แต่สำหรับผม ผมว่าเงินเฟ้อจะพุ่งมากกว่าเดิมจากนโยบายประชานิยม และอาจต้องเพิ่มดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ซักวันหนึ่ง port จะโต๊ port จะโต
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กับแนวโน้มดอกเบี้ย RP ที่คาดว่าจะลด
โพสต์ที่ 8
นโยบายผ่อนบ้าน 0% 5 ปี พรรคเพื่อไทยโดนใจนักลงทุนและคนอยากมีบ้าน
• บิ๊กอสังหาฯ ในตลาดฯ ปัดฝุ่นโครงการเก่า-ขุดแลนด์แบงก์ทำเลทองเตรียมผุดโครงการแข่งเดือด
• เปิดตัวบริษัทยักษ์ใหญ่รับส้มหล่น!
• SC เครือชินวัตรปูทางไว้พร้อมแล้ว
• ขณะที่แบงก์รัฐเตรียมงบกว่า 4.8 หมื่นล้านบาท สนองนโยบาย “ยิ่งลักษณ์”
• ส่วนนักเล่นหุ้นเล็งซื้อหุ้นอสังหาฯ ที่รับผลประโยชน์จากนโยบายนี้ได้
แม้ว่าโฉมหน้าของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาลปูแดง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะยังไม่เผยโฉมให้เห็นหน้าว่า สวย หล่อ หรือขี้เหร่เพียงไร แต่ทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย (พท.) ก็นั่งประชุมเตรียมความพร้อมกันเกือบทุกวัน นับตั้งแต่วันที่ผลการเลือกตั้งออกมาอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
นโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยที่จะใช้กระตุ้นภาวะเศรษฐกิจมีหลายประเด็น แต่ที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตรงๆ และมั่นใจว่าจะทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตพรวดพราด หรือแบบตัวเลข 2 หลัก น่าจะเป็นนโยบายดอกเบี้ยบ้าน 0% นาน 5 ปี สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรก ในราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท รวมทั้งให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดหย่อนภาษีจาก 100,000 บาท เป็น 500,000 บาท เพราะจะทำให้คนมีบ้านง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตขึ้น รวมถึงจะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นด้วย
ขณะเดียวกัน นโยบายการลงทุนก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า 10 สายรวด ทั่วกรุงเทพมหานคร (กทม.) เชื่อมต่อชานเมือง ก็จะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย เพราะจะทำให้เกิดพื้นที่พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ๆ บริเวณเกาะแนวรถไฟฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือ จะทำให้การพัฒนาโครงการกระจายไปทั่วกรุงเทพฯ ไม่กระจุกตัวอยู่แค่เพียงใจกลางเมือง บริเวณเกาะแนวรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) ตลอดแนวถนนรัชดาภิเษก รวมถึงตลอดแนวรถไฟฟ้า BTS เริ่มตั้งแต่บริเวณจตุจักร ถนนพหลโยธิน ไปจนถึงอ่อนนุช และกำลังลามไปถึงส่วนต่อขยายสายสีเขียวอ่อนนุช-ถนนสุขุมวิท ซอย 103 ซึ่งมีการลงทุนโครงการใหม่ๆ จำนวนมาก ตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน และในอนาคตอันใกล้จะมีโครงการเกิดใหม่อีกหลายโครงการ
รับเหมารวยถ้วนหน้า
นอกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะได้รับประโยชน์โดยตรงแล้ว ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างก็ได้รับผลดีจากแผนการลงทุนโครงการรถไฟฟ้า 10 สาย ของรัฐบาลปูแดง ด้วย เพราะบริษัทรับเหมาก่อสร้างทั้งรายใหญ่ รายกลาง จะได้รวยกันถ้วนหน้า เพราะโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 10 สาย มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งตามแผนที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เสนอไว้ 12 สาย ในแผนแม่บทจะใช้เงิน ลงทุนรวมทั้งสิ้น 811,070 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 20 ปี (2553-2572) และใช้เงินกู้เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉลี่ยใช้ปีละประมาณ 40,000 ล้านบาท จะทำให้บริษัทรับเหมาก่อสร้างทุกรายได้งานกันทั้งหมด ยกเว้นบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือSTEC ของ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอนุทิน ชาญวีรกูล แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ต้องกลับไปเป็นฝ่ายค้าน และงานนี้น่าจะเหนื่อยมากขึ้นในการช่วงชิงงานก่อสร้างรถไฟฟ้า เพราะเส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเช่นเดียวกับเมื่อครั้งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ที่ได้งานมาจำนวนมาก เรียกได้ว่าเป็นปีทองของ ซิโน-ไทย
เผยโฉมบิ๊กจัดสรรรับอานิสงส์
ผู้ประกอบการที่จะได้รับอานิสงส์จากรัฐบาล “ปูแดง” ไล่มาตั้งแต่พี่ใหญ่ในวงการบ้านจัดสรรบมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท (PS) เพราะเป็นบริษัทที่มีสินค้าครบทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่ระดับล่าง กลาง ถึงบน มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ราคาตั้งแต่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท ไปถึง 8-10 ล้านบาท ซึ่งพอร์ตใหญ่ของพฤกษา คือ สินค้าที่มีต่ำกว่า 1 ล้านบาท ถึง 2-3 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้พฤกษาขายบ้านได้เร็วขึ้น
ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท กล่าวว่า บริษัทมีบ้านพร้อมขายที่เข้าข่ายนโยบายของพรรคเพื่อไทยประมาณ 5,000-6,000 ยูนิต คิดเป็นเกือบ 50% ของสินค้าในโครงการที่รอโอนทั้งหมด 18,430 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยวประมาณ 2,000 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 7,700 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1,000 ล้านบาท
ตามด้วย บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เพราะศุภาลัยมีสินค้าทั้งบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม ระดับราคาปานกลางจำนวนมาก ก็เข้าข่ายได้รับอานิสงส์จากนโยบายใหม่ รวมถึง บมจ.แอลพีเอ็น (LPN) ที่มีคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาทเกือบทั้งพอร์ตของการลงทุนโครงการ ซึ่งเท่ากับว่าเกือบทุกยูนิตที่ LPN ผลิตออกมา เข้าข่ายนโยบายรัฐบาลทั้งหมด
ขณะที่อดีตพี่เบิ้มในวงการอสังหาริมทรัพย์ อย่าง บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ก็ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้ว่าพอร์ตการลงทุนโครงการของแลนด์ฯ หลักๆ จะไม่ได้อยู่ที่บ้านราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาทก็ตาม ทั้งนี้ เป็นเพราะว่า อนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการ มีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่า แลนด์ฯ จะต้องปรับแผนการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าจดจำนอง รวมถึงภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งกลุ่มแลนด์ฯ ได้รับประโยชน์จากมาตรการมากกว่ากลุ่มอื่น
นอกจากนี้ อนันต์ยังเป็นเจ้าของธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ อีกด้วย ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากนโยบายนี้เช่นเดียวกัน
ส่วน บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค บมจ.มั่นคง เคหะการ (MK) และ บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง (NCH) ล้วนได้รับผลดีจากนโยบายของพรรคเพื่อไทยทั้งนั้น เพราะมีสินค้าในราคาปานกลางที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และหากรัฐบาลใหม่ประกาศใช้มาตรการดังกล่าว ก็พร้อมที่จะโอนกรรมสิทธิ์ได้ทันที
รังสรรค์ นันทกาวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการสายปฏิบัติการ 1 บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มสต๊อกบ้าน จากเดิมมีกำลังการผลิต 80-100 หลัง เพื่อรอการขายในระยะเวลา 2-3 เดือน เป็น 150 หลัง หรือขายได้ในช่วง 5 เดือน จากโครงการที่รอการขายทั้งหมด 9 โครงการ เพื่อรองรับมาตรการของรัฐบาลที่จะออกมา
จับตา SC รับประโยชน์สูงสุด
สำหรับ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) จะเป็นบริษัทที่ทุกคนจับตามองมากที่สุด เพราะเป็นบริษัทของตระกูลชินวัตร ที่ก่อนหน้านี้ ยิ่งลักษณ์ นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานกรรมการบริหารอยู่กว่า 4 ปี น่าจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากนโยบายรัฐบาล เพราะเชื่อว่า SC จะต้องปรับแผนลงทุนโครงการใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของพรรคเพื่อไทย เพราะมีแลนด์แบงก์กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ สามารถหยิบขึ้นมาพัฒนาได้ทันที
ร.อ.กรี เดชชัย ประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า บริษัทมีโครงการที่จะเปิดขายทั้งโครงการใหม่และโครงการต่อเนื่องรวมทั้งสิ้น 25 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 22,500 ล้านบาท คาดว่าปีนี้บริษัทจะมีรายได้ตามเป้าหมายที่ 7,500 ล้านบาท
เร่งเครื่องรถไฟความเร็วสูง
สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลที่ผ่านมานั้น มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลใหม่จะเข้าไปศึกษาร่างหนังสือตกลง (MOU) ที่รัฐบาลเดิมได้เซ็นไว้กับประเทศจีนโดยเฉพาะสายกรุงเทพฯ-หนองคาย และอีก 3 สายคือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา และกรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-ระยอง จะเดินหน้าต่อไปแต่ยังไม่กำหนดระยะเวลาที่แน่นอน ทำให้ประเมินว่านโยบายเหล่านี้ หากทำได้จริงจะสร้างงานมูลค่ามหาศาลให้แก่กลุ่มรับเหมาก่อสร้างทั้งรายใหญ่ และรายเล็ก
แต่จากโครงการถไฟฟ้าที่มีนโยบายร่นระยะเวลาจาก 20 ปีเหลือ 4 ปีนั้น ทั้งรัฐบาลและผู้รับเหมาก่อสร้างอาจจะมีอุปสรรคมากมาย เช่น ต้องเปิดประมูลหลายสายในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งผู้รับเหมาก่อสร้างในปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) ที่ค่อนข้างมาก ทั้งนี้ การรับงานใหม่ขนาดใหญ่หลายงานพร้อมกันอาจจะไม่สามารถทำได้ ด้วยข้อจำกัดของฐานทุนและเงินทุน ดังนั้น อาจจะทำให้ผู้รับเหมาต้องเพิ่มทุน เพื่อรองรับการขยายตัว
นอกจากนี้จะมีปัญหาความต้องการวัสดุก่อสร้างจำนวนมากในเวลาเดียวกัน อาจจะส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวขึ้นเร็ว รวมถึงแรงงานในท้องตลาดอาจมีไม่เพียงพอ และผู้รับเหมาอาจจะต้องเผชิญกับต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้นถึง 300 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งประเมินว่าต้นทุนค่าแรงจะเป็นสัดส่วนประมาณ 5-10% ของต้นทุนทั้งหมด
ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและทีมบริหารที่เกิดขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงว่ากลุ่มรับเหมาก่อสร้างอาจจะถูกตรวจสอบย้อนหลังสำหรับการประมูลที่เพิ่งประกาศผู้ชนะไปเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เช่น STEC ชนะการประมูลรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) สัญญาที่ 1 มูลค่า 34,650 ล้านบาท (ร่วมทุนกับ UNIQ สัดส่วนของ STEC ประมาณ 21,000 ล้านบาท) ซึ่งเปิดซองเร็วกว่าคาดเล็กน้อย และ CK ชนะประมูลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสัญญาที่ 1 โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ โดยมูลค่างานเท่ากับประมาณ 14,000 ล้านบาท
ส่วนงานประมูลรถไฟฟ้าสายสีแดงสัญญาที่ 2 (มูลค่างานก่อสร้าง 18,861 ล้านบาท) เหลือผู้มีสิทธิชนะเพียง 2 ราย คือ CK และ ITD และสัญญาที่ 3 งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลรวมตู้รถไฟฟ้า ทั้งช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน วงเงิน 26,272 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของประเทศญี่ปุ่น (ไจก้า) พิจารณายกเลิกการประมูลหลังจากที่ผู้รับเหมาทั้ง 4 รายที่ยื่นความจำนงไม่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น อย่างไรก็ตาม หากสัญญาที่ 1 มีปัญหาและล่าช้า คาดจะทำให้การประกาศผลของสัญญาอื่นๆ ล่าช้าตาม
อีกทั้งปลายไตรมาส 3 ปี 2554 จะเริ่มการประกวดราคาการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ระยะทาง 12 กิโลเมตร มูลค่า 36,511 ล้านบาทได้ หลังจากที่ล่าช้ามาประมาณ 3 เดือนจากการปรับแก้ไขแบบ ซึ่งจะทำให้วงการรับเหมาก่อสร้างคึกคักอีกครั้ง
เชื่อรับเหมาแห่ทิ้งงาน
สำหรับนโยบายปรับขึ้นค่าแรงงานเป็น 300 บาทต่อวันนั้น จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างรุนแรง เพราะจะทำให้ต้นทุนการก่อสร้างปรับขึ้นทันที และเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งสุดท้ายแล้ว ผู้ประกอบการก็จะต้องผลักภาระไปที่ผู้บริโภค โดยการปรับขึ้นราคาบ้านนั่นเอง
ในประเด็นดังกล่าว กฤษดา จันทร์จำรัสแสง เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ความเห็นว่า หากมีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท จะส่งผลกระทบต่อแรงงานเก่าที่ทำงานอยู่แล้ว 5 ปี ทั้งระบบขอปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานเป็น 400 หรือ 450 บาท จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาต้นทุนในการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น
โดยเฉพาะผู้รับเหมาก่อสร้างงานภาครัฐบาล เนื่องจากราคากลางที่กำหนดไว้ไม่สะท้อนต้นทุนการก่อสร้างที่เป็นจริงอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างทำงานได้ลำบากขึ้น เนื่องจากมีการเซ็นสัญญาก่อสร้างล่วงหน้าไว้แล้ว ขณะที่งานก่อสร้างของภาคเอกชน สัญญาการก่อสร้างอาจจะปรับเปลี่ยนได้ง่ายกว่า
“หากจะเปรียบเทียบค่างานก่อสร้างเป็นราคา 100 บาท ค่าแรงงานก่อสร้างอยู่ที่ 15% อีก 85% เป็นค่าวัสดุก่อสร้างและค่าบริหารจัดการ การปรับค่าแรงงานขึ้นเป็น 300 บาท จะทำให้ต้นทุนค่าแรงงานปรับขึ้นเฉลี่ย 3% เป็น 18% ยิ่งจะทำให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น” กฤษดา กล่าว
ทั้งนี้ ต้องรอดูความชัดเจนจากรัฐบาลอีกอย่างน้อย 1-2 เดือน ว่าจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรกับแรงงานรับเหมาก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสัญญาการก่อสร้างที่ทำไปแล้ว ภาครัฐจะดูแลให้อย่างไร เพราะมีภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะนี้ทางสมาคมอยู่ระหว่างการหารือเพื่อเตรียมเสนอให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหาอาชีพรับเหมาก่อสร้างอย่างเป็นระบบ
ด้าน วัชรพัธ วัชราภัย ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ กล่าวว่า การขึ้นค่าจ้างเป็น 300 บาท รัฐบาลจะต้องกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจนว่าจะปรับขึ้นเมื่อใด เช่น อาจจะปรับขึ้นภายใน 1-2 ปี เพราะหากปรับขึ้นเลยทันทีจะส่งผลกระทบอย่างแน่นอน โดยเฉพาะงานรับเหมาก่อสร้างที่มีการเซ็นสัญญาก่อสร้างไปแล้วจะกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากไม่ได้มีการคำนวณเผื่อต้นทุนใหม่ไว้ล่วงหน้า อาจจะเกิดปัญหาการทิ้งงานก่อสร้างก็เป็นได้ โดยเฉพาะงานก่อสร้างของภาคเอกชน ต้นทุนสร้างบ้านใหม่เพิ่ม 12%
ขณะที่ในภาคอสังหาริมทรัพย์คงยากที่ผู้ประกอบการรายใดที่มีต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นแล้วจะไม่ปรับราคาสินค้าขึ้น แม้ในเบื้องต้นว่าที่รัฐบาลใหม่จะเสนอแนวคิดลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในปี 2555 และลดเหลือ 20% ในปี 2556 เพื่อมาช่วยแบ่งเบาภาระที่จะตามมาจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก็ตาม แต่กระแสไม่เห็นด้วยและต้องการให้ทบทวนนโยบายอย่างรอบคอบยังดังขึ้นต่อเนื่อง
บ้าน 0% 5 ปี แบงก์รัฐอ่วม
เอกชนแบ่งรับแบ่งสู้
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดอดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พิจารณาเห็นชอบวาระเรื่องโครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
นัยสำคัญ คือ ให้วงเงินปล่อยกู้จำนวน 25,000 ล้านบาท โดยวัตถุประสงค์หลัก คือ ช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ไม่เคยมีที่อยู่อาศัย ให้สามารถซื้อบ้านเป็นของตนเองได้อย่างทั่วถึง
นอกจากนั้นยังเห็นชอบเรื่องการขอชดเชยภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เบื้องต้นอนุมัติวงเงินประมาณ 500 ล้านบาท โดยให้ ธอส.ตกลงกับสำนักงบประมาณ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สัปดาห์ต่อมา ธนาคารอาคารสงเคราะห์ แถลงรายละเอียด “สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยต่ำ 0% 2 ปีแรก วงเงินให้กู้ไม่เกินรายละ 3 ล้านบาท ผู้กู้สามารถยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 2554 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2554 โดยต้องทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2555 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนด
อัตราดอกเบี้ย 0% 2 ปีแรก ปีที่ 3-5 คิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี (ลูกค้าสวัสดิการ) ส่วนลูกค้ารายย่อยทั่วไป คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ปีที่ 6 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี (ลูกค้าสวัสดิการ) MRR-0.50% ต่อปี (ลูกค้ารายย่อยทั่วไป) ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.75% ต่อปี ผ่อนได้นานสูงสุด 30 ปี
นอกจากนั้น ตามโครงการนี้ รัฐบาลจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าจดจำนอง และค่าธรรมเนียมการโอนครึ่งหนึ่งหรือจ่ายตามจริงสูงสุด 1.00% (จากค่าโอนปรกติ 2.00% ของราคาประเมิน) ส่วนเงื่อนไขและหลักเกณฑ์สำคัญ คือ ต้องไม่เคยมีชื่อเป็นเจ้าบ้านในทะเบียนบ้าน และไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง ให้กู้เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด ให้กู้เพื่อปลูกสร้างอาคาร หรือเพื่อซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร โดยราคาที่อยู่อาศัยและวงเงินให้กู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ส่วนหลักเกณฑ์การพิจารณาเป็นไปตามระเบียบของธนาคาร
25,000 ล้านแรกเต็ม … เพิ่มอีก 5,000 ล้าน
แค่ 1 เดือนให้หลัง ธอส.แถลงผลสำเร็จของโครงการบ้านหลังแรก ว่ายอดยื่นกู้เต็มวงเงิน 25,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้อนุมัติไปแล้วประมาณ 6,000 ล้านบาท นอกจากนั้นยังเปิดรับ Waiting List อีกกว่า 5,000 ล้านบาทด้วย โดยผู้สนใจสามารถยื่นคำขอกู้ได้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนด ปัจจุบันธนาคารได้อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 6,000 ล้านบาท ในส่วนที่เหลือจะเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
การแถลงของ ธอส.ระบุว่า ภายใต้วงเงิน 25,000 ล้านบาท มีผู้ยื่นกู้ทั้งสิ้น 18,583 ราย วงเงินเฉลี่ยรายละ 1.35 ล้านบาท สัดส่วนกรุงเทพฯ-ปริมณฑล กับภูมิภาคอยู่ที่ 45% : 55%
ขณะที่ข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด วิเคราะห์โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ซึ่งเผยแพร่หลัง ครม.เห็นชอบโครงการดังกล่าวไม่นาน ทำให้เห็นภาพชัดขึ้น โดยยกตัวอย่างว่า หากลูกค้าซื้อบ้านราคา 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 6.5% นาน 20 ปี ช่วง 2 ปีแรก ต้องผ่อนประมาณ 363,026 บาท ในจำนวนนี้เป็นดอกเบี้ย 256,652 บาท เป็นเงินต้นเพียง 106,374 บาทเท่านั้น
เมื่อบวกกับการที่รัฐช่วยเหลือค่าโอนอีก 1% ของราคาบ้านหรือเท่ากับ 20,000 บาท สรุปคือ ลูกค้าได้ส่วนลดประมาณ 276,652 บาท (ดอกเบี้ย 256,652 บาท+ค่าโอน 20,000 บาท) หรือเท่ากับ 13.82% ของราคาบ้านที่ซื้อ
การคำนวณเทียบบัญญัติไตรยางศ์ตรงๆ ไม่อ้อมค้อม วงเงินที่รัฐบาลชุดที่แล้วอนุมัติ คือ 25,000 ล้านบาท สมมติค่าเฉลี่ยการกู้ที่ 1.5 ล้านบาท เท่ากับมีผู้ได้รับประโยชน์ประมาณ 17,000 ราย อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ 1” มุ่งเน้นปฏิบัติตามนโยบาย บ้าน 0% 5 ปีจริง จำนวนผู้สมัครขอกู้ย่อมมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า “วงเงิน” ที่อนุมัติมีจำนวนเท่าใด และรัฐชดเชย หรือให้ความช่วยเหลือทั้งลูกค้า และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมมากน้อยเพียงใด
แบงก์เอกชนเผยชดเชยเหมือนกันพอไหว
นอกจากคำวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่โครงการบ้าน 0% 2 ปีเริ่มต้นว่า เป็นการบิดเบือนตลาด ไม่เป็นไปตามแนวทางการแข่งขันแบบเสรี เพราะรัฐบาลมอบหมายให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ดำเนินการ ทั้งๆ ที่มีธนาคารของรัฐอีกหลายแห่งมีผลิตภัณฑ์แบบเดียวกันให้บริการในตลาด ไม่ว่าจะเป็นธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทยแล้ว
เมื่อมองจากมุมของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งต้องคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยง และผลกระทบต่อผลประกอบการในอนาคต มีความเป็นไปได้สูงมากว่า ย่อมมีเพียงธนาคารของรัฐเท่านั้นที่พร้อม ตอบสนองนโยบายดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ก็มีอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่ารัฐต้องมีงบประมาณชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าจำนอง ค่าโอน ฯลฯ รวมถึงรายได้ที่ขาดหายไป ให้กับแบงก์เอกชนเหมือนแบงก์รัฐด้วย
ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจแก่คนทั่วไปว่า โดยปรกติทุกธนาคารมี “ต้นทุน” อยู่ 2 อย่างอยู่แล้ว คือ อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และต้นทุนการดำเนินงาน
ยกตัวอย่าง แคมเปญล่าสุดที่มีอยู่ “เงินฝากดอกเบี้ยสูงพุ่งพรวด” สูงสุด 7.5% ต่อปี เฉลี่ยอยู่ที่ 3.8% เมื่อบวกต้นทุนการดำเนินงานประมาณ 1% เท่ากับว่าแบงก์มีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 4.8-5%
ชาติชาย กล่าวต่อว่า ส่วนใหญ่แบงก์พาณิชย์จะมีกำไรจากสินเชื่อบ้านประมาณ 1% ถ้าแบงก์พาณิชย์จัดแคมเปญ 0% ระยะเวลา 1 ปี ก็เท่ากับว่า ปีแรกขาดทุน 25% ต้องใช้เวลา 3 ปี จึงจะเริ่มมีกำไร
ถ้าจัด 0% 2 ปี ต้องใช้เวลา 6 ปี จึงจะมีกำไร และถ้าเป็น 0% 5 ปี ต้องใช้เวลา 15 ปีจึงจะเริ่มมีกำไร
“ที่ผ่านมา ไม่มีแบงก์พาณิชย์แบงก์ไหนทำแคมเปญ 0% เกินกว่า 1 ปีเลย หรือถ้ามีก็ไม่ใช่ 0% จริงๆ เพราะมี 0% แค่ 3 เดือน แต่อีก 9 เดือนจ่ายตามอัตราปรกติ”
“ทั้งนี้ สภาพตลาดคือ สินเชื่อบ้านมีการแข่งขันสูงมาก รายได้จากดอกเบี้ยแทบไม่มีเลย ที่ทำกันก็เพราะจะได้ลูกค้าที่อยู่กับเรานานๆ 15 ปี 20 ปี จากนั้นพยายามหาโอกาสเสนอบริการทางการเงินอื่นๆ ให้เขา”
“คนที่ทำได้ก็อาจทำประกันรายได้ไว้ จึงเห็นได้ว่า โครงการ 0% 2 ปี ของรัฐบาลที่แล้ว ไม่มีแบงก์พาณิชย์ไหนเข้าไปแข่ง”
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เพิ่มเติมว่า หากรัฐชดเชย หรือสนับสนุนงบประมาณเหมือนกับที่ให้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ เชื่อว่า ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งพร้อมสนับสนุนนโยบายดังกล่าว
“ไม่ได้บอกว่าปิดประตู ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่า รัฐ subsidized อย่างไร เหมือนแบงก์รัฐหรือไม่ สำหรับเรา โครงการแบบนี้ส่งผลกระทบช่วงสั้นๆ พองบประมาณหมด การแข่งขันก็กลับไปเป็นอย่างเดิม”
อนึ่ง อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยข้อมูลหลังหารือกับทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยว่า ได้เตรียมงบสำหรับสินเชื่อบ้าน 0% 5 ปี ไว้ประมาณ 48,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนนี้ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เป็นส่วนของการ subsidized ด้วย
อานิสงส์ประชานิยม “บ้านปูแดง”
แนะเก็บหุ้น SC, PS, LPN, SPALI รวย!!!
เปิด 4 หุ้นเด่น บิ๊กแบรนด์ในตลาดหลักทรัพย์ ที่จ่อคิวได้รับประโยชน์เต็มๆ จากนโยบายประชานิยมยุคเพื่อไทย “บ้านหลังแรก 0% 5 ปี เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่ของบริษัทมีระดับราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท ส่วนหุ้น SC พอร์ตใหญ่ของตระกูลชินวัตร VS ดามาพงศ์ คาดเป็นที่สนใจนักลงทุนมาก
ภายหลังการเลือกตั้งที่มีผลว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และนโยบายที่หาเสียงไว้ โดยเฉพาะการคืนภาษีและเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรก หรือดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์เป็นระยะเวลา 5 ปี บรรดานักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง เกียรตินาคิน จำกัด ให้ความเห็นว่า 3 หุ้นที่ได้รับประโยชน์เด่นๆ ได้แก่ 1.ค่ายพฤกษา เรียลเอสเตส หรือ PS 2.ค่ายศุภาลัย หรือ SPALI และ 3.ค่ายลุมพินี หรือ LPN เนื่องจาก 3 บริษัทดังกล่าว เป็นผู้ประกอบการที่มีที่อยู่อาศัยในตลาดระดับกลาง และล่าง ซึ่งสามารถเข้ารับสิทธิในโครงการบ้านหลังแรก ผ่อนดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 5 ปีโดยตรง
“นโยบายบ้านหลังแรก 0 เปอร์เซ็นต์ใน 5 ปี ราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท เช่นเดียวกับโครงการกู้บ้านหลังแรกกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ดอกเบี้ย 0% ในช่วง 2 ปีแรก ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท จะทำให้บริษัท LPNได้รับผลดีโดยตรง เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่ของบริษัท 99.99% มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท/ยูนิต และมาตรการดังกล่าวก็ถือว่าตรงกับแนวคิดของบริษัทที่ต้องการพัฒนาโครงการให้เป็นบ้านหลังแรกสำหรับคนกรุงเทพฯ คาดว่าจะส่งผลดีต่อรายได้ในปีหน้า” แหล่งข่าวจากวงการอสังหาริมทรัพย์ ให้ความเห็น
ขณะเดียวกัน ทางด้านค่าย พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) เองก็มีโครงการใหม่หลายโครงการตอบรับนโยบายดังกล่าวเช่นกัน โดยประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ บอกด้วยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังโครงการใหม่ส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว ในเซกเมนต์ใหม่ ให้เหมาะกับกำลังซื้อของลูกค้าแต่ละกลุ่ม จากปัจจุบันที่ราคาขายบ้านเดี่ยว ต่ำสุดที่ 2.5 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ ราคาต่ำสุดที่ 8 แสนบาท ในส่วนยอดขายมั่นใจทั้งปีจะเป็นไปตามเป้า 4.2 หมื่นล้านบาท หลัง 6 เดือนแรกมียอดขายแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท และแนวโน้มครึ่งปีหลัง ยังมั่นใจยอดขายเป็นไปตามเป้า หากไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง
ในปี 2555 บริษัทมีแผนเปิดโครงการมากกว่า 1.4 หมื่นยูนิต มากกว่าปี 2554 โดยยังคงเน้นโครงการแนวราบ เป็นบ้านเดี่ยวประมาณ 8 พันยูนิต ทาวน์เฮาส์ประมาณ 6.7 พันยูนิต ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม ประมาณ 25% ของโครงการใหม่ ล่าสุดบริษัทได้ลงทุนก่อสร้างโรงงานพฤกษา พรีคาสท์ เพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง คือโรงงานพฤกษา พรีคาสท์ โรงงานที่ 4 และโรงงานที่ 5 ด้วยเงินลงทุน 1,050 ล้านบาท เพื่อพัฒนาคุณภาพชิ้นส่วนคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 700 หลังต่อเดือน จากปัจจุบัน 450 หลังต่อเดือน โดยทั้งสองโรงงานได้เดินเครื่องแล้ว
สำหรับหุ้น SPALI ของค่ายศุภาลัย ที่บรรดานักวิเคราะห์มองว่า น่าจะได้รับประโยชน์ไปเต็มๆอย่างสูงเช่นกันนั้น เนื่องจาก มีคอนโดที่จะสร้างเสร็จและโอน 2 โครงการ ซึ่งมีราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท ได้แก่ ศุภาลัยซิตี้ รีสอร์ท รามคำแหง มูลค่า 1,245 ล้านบาท และซิติ้โฮม รัตนาธิเบศร์ มูลค่า 1,780 ล้านบาท คาดโอนได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ทั้งสองโครงการ และบ้านแนวราบโอนประมาณ 800-900 ล้านบาท โดยบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า ไซรัส แนะนำ “ซื้อ” โดยแนวโน้มผลประกอบการของไตรมาส 2 ปี 2554 จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดจ่ายปันผลในไตรมาส 1 ของปีที่ 0.31 บาท หรือประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์สำหรับงวดนี้
ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ ยังประเมินว่า หากการใช้นโยบายกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นจริง บริษัทที่เน้นการพัฒนากลุ่มระดับกลางและล่าง จะได้ประโยชน์สูงสุด เช่น PS (ราคาเป้าหมายในปี 2554 เท่ากับ 24.00 บาท/หุ้น SPALI (ราคาเป้าหมายในปี 2554 เท่ากับ 14.80 บาท/หุ้น) และ LPN (ราคาเป้าหมายในปี 2554 เท่ากับ 12.00 บาท/หุ้น) อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ส่วนจะมากหรือน้อย ขึ้นกับข้อกำหนดและการบังคับใช้ ซึ่งหากมีผลต่อปัจจัยพื้นฐานเราถึงจะมีการปรับประมาณการในอนาคต” นักวิเคราะห์จากค่ายกิมเอ็ง บอก
นอกจากนี้ยังมีหุ้นอีก 3 ตัวที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ไม่น้อยเช่นกัน ได้แก่ หุ้น AP ของค่ายเอเชียนพร็อพเพอร์ตี้ หุ้น LH ของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และหุ้น QH ของค่ายควอลิตี้เฮ้าส์ (ในนามบริษัทคาซา ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ QH ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ทำตลาดบ้านทุกระดับ
SC หุ้นกระแสแรง?
สำหรับหุ้นอีกตัวหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นที่สนใจของนักลงทุนเป็นอย่างมาก ได้แก่ หุ้นของค่าย บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) เพราะไม่เพียงเป็นบริษัทที่ว่าที่ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์พรรคเพื่อไทย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยดำรงตำแหน่งเป็นซีอีโอบริษัทแล้ว ในส่วนความเคลื่อนไหวของหุ้นที่ผ่านมาก็มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะการเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ หลังจากที่ผู้ถือหุ้นอนุมัติวงเงินออกหุ้นกู้ 2,000 ล้านบาทเมื่อวานนี้ กำหนดจะทยอยเสนอขายเป็นล็อต โดยจะมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือก่อน
ทั้งนี้ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น(SC) อรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ เชื่อมั่นว่า นักลงทุนจะให้ความสนใจ เพราะช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตที่ดี โดยเม็ดเงินที่ได้ มีเป้าหมายจะนำไปใช้เป็นเงินทุนพัฒนาโครงการในอนาคต และเพิ่มทางเลือกการระดมเงินทุน นอกเหนือจากการกู้จากสถาบันการเงินที่ปัจจุบันแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับบริษัทที่มีนโยบายบริหารต้นทุนการเงินให้อยู่ในระดับต่ำ
นอกจากจะขายหุ้นกู้แล้ว อดีตประธานกรรมการบริหาร SC ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังเคยบอกเมื่อเดือนเมษายน ก่อนตัดสินใจลาออกไปเล่นการเมืองด้วย (ล่าสุดบริษัทฯได้แต่งตั้ง บุษบา ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นเครือญาติของพี่สะใภ้ พจมาน เป็นซีอีโอคนใหม่ของบริษัทเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม) ว่า เอสซีจะพยายามรักษาอัตราเติบโตของรายได้ในแต่ละปีไม่ให้น้อยกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม และยังคงให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้า โดยในปีนี้ บริษัทจะเปิดโครงการใหม่ 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.5 หมื่นล้านบาท ไม่นับรวมโครงการที่เปิดไปแล้ว 12 โครงการ เป็นโครงการต่อเนื่องในปี 53 รวม 2.2 หมื่นล้านบาท ที่จะพัฒนาต่อไปด้วย
ขณะที่ปีนี้จะเห็นการพัฒนาโครงการที่หัวหิน ซึ่งถือเป็นการออกสู่ตลาดต่างจังหวัดครั้งแรกของบริษัท และจากปัจจัยดังกล่าวจะผลักดันยอดขายปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 8,000 ล้านบาท เติบโต 50% จาก 5,020 ล้านบาท ขณะที่รายได้คาดว่าจะอยู่ที่กว่า 7,000 ล้านบาท และจะขึ้นเป็น 10,000 ล้านบาท ในปี 2555
สำหรับสัดส่วนรายได้หลักของปีนี้ ส่วนใหญ่มาจากการพัฒนาที่อยู่อาศัย 80% ขณะที่ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าสัดส่วน 20% ซึ่งถือว่าไม่มากนัก เพราะความต้องการยังมีน้อยอยู่ และอาคารชินวัตร 3 จะมีผู้เช่าสถานีโทรทัศน์ ThaiPBS ย้ายออกในช่วงกลางปีนี้ โดยมีสัดส่วนการเช่า 10-20% ของพื้นที่ทั้งหมด 5 หมื่นตร.ม. แต่เชื่อว่าเร็วๆ นี้จะมีผู้มาเช่าทดแทน เพราะขณะนี้มีผู้สนใจหลายรายเข้ามาสอบถาม โดยเฉพาะธุรกิจสื่อ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังมองหาทำเลที่เหมาะสมในการพัฒนาอาคารสำนักงานให้เช่าเพิ่มเติมควบคู่ไปด้วย เพราะมองว่าหากความต้องการกลับมาก็จะสามารถดำเนินการได้ทันทีhttp://www.manager.co.th/mgrweekly/view ... 0000086521
• บิ๊กอสังหาฯ ในตลาดฯ ปัดฝุ่นโครงการเก่า-ขุดแลนด์แบงก์ทำเลทองเตรียมผุดโครงการแข่งเดือด
• เปิดตัวบริษัทยักษ์ใหญ่รับส้มหล่น!
• SC เครือชินวัตรปูทางไว้พร้อมแล้ว
• ขณะที่แบงก์รัฐเตรียมงบกว่า 4.8 หมื่นล้านบาท สนองนโยบาย “ยิ่งลักษณ์”
• ส่วนนักเล่นหุ้นเล็งซื้อหุ้นอสังหาฯ ที่รับผลประโยชน์จากนโยบายนี้ได้
แม้ว่าโฉมหน้าของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาลปูแดง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะยังไม่เผยโฉมให้เห็นหน้าว่า สวย หล่อ หรือขี้เหร่เพียงไร แต่ทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย (พท.) ก็นั่งประชุมเตรียมความพร้อมกันเกือบทุกวัน นับตั้งแต่วันที่ผลการเลือกตั้งออกมาอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
นโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยที่จะใช้กระตุ้นภาวะเศรษฐกิจมีหลายประเด็น แต่ที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตรงๆ และมั่นใจว่าจะทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตพรวดพราด หรือแบบตัวเลข 2 หลัก น่าจะเป็นนโยบายดอกเบี้ยบ้าน 0% นาน 5 ปี สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรก ในราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท รวมทั้งให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดหย่อนภาษีจาก 100,000 บาท เป็น 500,000 บาท เพราะจะทำให้คนมีบ้านง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตขึ้น รวมถึงจะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นด้วย
ขณะเดียวกัน นโยบายการลงทุนก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า 10 สายรวด ทั่วกรุงเทพมหานคร (กทม.) เชื่อมต่อชานเมือง ก็จะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย เพราะจะทำให้เกิดพื้นที่พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ๆ บริเวณเกาะแนวรถไฟฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือ จะทำให้การพัฒนาโครงการกระจายไปทั่วกรุงเทพฯ ไม่กระจุกตัวอยู่แค่เพียงใจกลางเมือง บริเวณเกาะแนวรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) ตลอดแนวถนนรัชดาภิเษก รวมถึงตลอดแนวรถไฟฟ้า BTS เริ่มตั้งแต่บริเวณจตุจักร ถนนพหลโยธิน ไปจนถึงอ่อนนุช และกำลังลามไปถึงส่วนต่อขยายสายสีเขียวอ่อนนุช-ถนนสุขุมวิท ซอย 103 ซึ่งมีการลงทุนโครงการใหม่ๆ จำนวนมาก ตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน และในอนาคตอันใกล้จะมีโครงการเกิดใหม่อีกหลายโครงการ
รับเหมารวยถ้วนหน้า
นอกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะได้รับประโยชน์โดยตรงแล้ว ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างก็ได้รับผลดีจากแผนการลงทุนโครงการรถไฟฟ้า 10 สาย ของรัฐบาลปูแดง ด้วย เพราะบริษัทรับเหมาก่อสร้างทั้งรายใหญ่ รายกลาง จะได้รวยกันถ้วนหน้า เพราะโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 10 สาย มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งตามแผนที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เสนอไว้ 12 สาย ในแผนแม่บทจะใช้เงิน ลงทุนรวมทั้งสิ้น 811,070 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 20 ปี (2553-2572) และใช้เงินกู้เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉลี่ยใช้ปีละประมาณ 40,000 ล้านบาท จะทำให้บริษัทรับเหมาก่อสร้างทุกรายได้งานกันทั้งหมด ยกเว้นบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือSTEC ของ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอนุทิน ชาญวีรกูล แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ต้องกลับไปเป็นฝ่ายค้าน และงานนี้น่าจะเหนื่อยมากขึ้นในการช่วงชิงงานก่อสร้างรถไฟฟ้า เพราะเส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเช่นเดียวกับเมื่อครั้งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ที่ได้งานมาจำนวนมาก เรียกได้ว่าเป็นปีทองของ ซิโน-ไทย
เผยโฉมบิ๊กจัดสรรรับอานิสงส์
ผู้ประกอบการที่จะได้รับอานิสงส์จากรัฐบาล “ปูแดง” ไล่มาตั้งแต่พี่ใหญ่ในวงการบ้านจัดสรรบมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท (PS) เพราะเป็นบริษัทที่มีสินค้าครบทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่ระดับล่าง กลาง ถึงบน มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ราคาตั้งแต่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท ไปถึง 8-10 ล้านบาท ซึ่งพอร์ตใหญ่ของพฤกษา คือ สินค้าที่มีต่ำกว่า 1 ล้านบาท ถึง 2-3 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้พฤกษาขายบ้านได้เร็วขึ้น
ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท กล่าวว่า บริษัทมีบ้านพร้อมขายที่เข้าข่ายนโยบายของพรรคเพื่อไทยประมาณ 5,000-6,000 ยูนิต คิดเป็นเกือบ 50% ของสินค้าในโครงการที่รอโอนทั้งหมด 18,430 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยวประมาณ 2,000 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 7,700 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1,000 ล้านบาท
ตามด้วย บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เพราะศุภาลัยมีสินค้าทั้งบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม ระดับราคาปานกลางจำนวนมาก ก็เข้าข่ายได้รับอานิสงส์จากนโยบายใหม่ รวมถึง บมจ.แอลพีเอ็น (LPN) ที่มีคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาทเกือบทั้งพอร์ตของการลงทุนโครงการ ซึ่งเท่ากับว่าเกือบทุกยูนิตที่ LPN ผลิตออกมา เข้าข่ายนโยบายรัฐบาลทั้งหมด
ขณะที่อดีตพี่เบิ้มในวงการอสังหาริมทรัพย์ อย่าง บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ก็ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้ว่าพอร์ตการลงทุนโครงการของแลนด์ฯ หลักๆ จะไม่ได้อยู่ที่บ้านราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาทก็ตาม ทั้งนี้ เป็นเพราะว่า อนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการ มีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่า แลนด์ฯ จะต้องปรับแผนการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าจดจำนอง รวมถึงภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งกลุ่มแลนด์ฯ ได้รับประโยชน์จากมาตรการมากกว่ากลุ่มอื่น
นอกจากนี้ อนันต์ยังเป็นเจ้าของธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ อีกด้วย ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากนโยบายนี้เช่นเดียวกัน
ส่วน บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค บมจ.มั่นคง เคหะการ (MK) และ บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง (NCH) ล้วนได้รับผลดีจากนโยบายของพรรคเพื่อไทยทั้งนั้น เพราะมีสินค้าในราคาปานกลางที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และหากรัฐบาลใหม่ประกาศใช้มาตรการดังกล่าว ก็พร้อมที่จะโอนกรรมสิทธิ์ได้ทันที
รังสรรค์ นันทกาวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการสายปฏิบัติการ 1 บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มสต๊อกบ้าน จากเดิมมีกำลังการผลิต 80-100 หลัง เพื่อรอการขายในระยะเวลา 2-3 เดือน เป็น 150 หลัง หรือขายได้ในช่วง 5 เดือน จากโครงการที่รอการขายทั้งหมด 9 โครงการ เพื่อรองรับมาตรการของรัฐบาลที่จะออกมา
จับตา SC รับประโยชน์สูงสุด
สำหรับ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) จะเป็นบริษัทที่ทุกคนจับตามองมากที่สุด เพราะเป็นบริษัทของตระกูลชินวัตร ที่ก่อนหน้านี้ ยิ่งลักษณ์ นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานกรรมการบริหารอยู่กว่า 4 ปี น่าจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากนโยบายรัฐบาล เพราะเชื่อว่า SC จะต้องปรับแผนลงทุนโครงการใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของพรรคเพื่อไทย เพราะมีแลนด์แบงก์กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ สามารถหยิบขึ้นมาพัฒนาได้ทันที
ร.อ.กรี เดชชัย ประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า บริษัทมีโครงการที่จะเปิดขายทั้งโครงการใหม่และโครงการต่อเนื่องรวมทั้งสิ้น 25 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 22,500 ล้านบาท คาดว่าปีนี้บริษัทจะมีรายได้ตามเป้าหมายที่ 7,500 ล้านบาท
เร่งเครื่องรถไฟความเร็วสูง
สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลที่ผ่านมานั้น มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลใหม่จะเข้าไปศึกษาร่างหนังสือตกลง (MOU) ที่รัฐบาลเดิมได้เซ็นไว้กับประเทศจีนโดยเฉพาะสายกรุงเทพฯ-หนองคาย และอีก 3 สายคือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา และกรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-ระยอง จะเดินหน้าต่อไปแต่ยังไม่กำหนดระยะเวลาที่แน่นอน ทำให้ประเมินว่านโยบายเหล่านี้ หากทำได้จริงจะสร้างงานมูลค่ามหาศาลให้แก่กลุ่มรับเหมาก่อสร้างทั้งรายใหญ่ และรายเล็ก
แต่จากโครงการถไฟฟ้าที่มีนโยบายร่นระยะเวลาจาก 20 ปีเหลือ 4 ปีนั้น ทั้งรัฐบาลและผู้รับเหมาก่อสร้างอาจจะมีอุปสรรคมากมาย เช่น ต้องเปิดประมูลหลายสายในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งผู้รับเหมาก่อสร้างในปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) ที่ค่อนข้างมาก ทั้งนี้ การรับงานใหม่ขนาดใหญ่หลายงานพร้อมกันอาจจะไม่สามารถทำได้ ด้วยข้อจำกัดของฐานทุนและเงินทุน ดังนั้น อาจจะทำให้ผู้รับเหมาต้องเพิ่มทุน เพื่อรองรับการขยายตัว
นอกจากนี้จะมีปัญหาความต้องการวัสดุก่อสร้างจำนวนมากในเวลาเดียวกัน อาจจะส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวขึ้นเร็ว รวมถึงแรงงานในท้องตลาดอาจมีไม่เพียงพอ และผู้รับเหมาอาจจะต้องเผชิญกับต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้นถึง 300 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งประเมินว่าต้นทุนค่าแรงจะเป็นสัดส่วนประมาณ 5-10% ของต้นทุนทั้งหมด
ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและทีมบริหารที่เกิดขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงว่ากลุ่มรับเหมาก่อสร้างอาจจะถูกตรวจสอบย้อนหลังสำหรับการประมูลที่เพิ่งประกาศผู้ชนะไปเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เช่น STEC ชนะการประมูลรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) สัญญาที่ 1 มูลค่า 34,650 ล้านบาท (ร่วมทุนกับ UNIQ สัดส่วนของ STEC ประมาณ 21,000 ล้านบาท) ซึ่งเปิดซองเร็วกว่าคาดเล็กน้อย และ CK ชนะประมูลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสัญญาที่ 1 โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ โดยมูลค่างานเท่ากับประมาณ 14,000 ล้านบาท
ส่วนงานประมูลรถไฟฟ้าสายสีแดงสัญญาที่ 2 (มูลค่างานก่อสร้าง 18,861 ล้านบาท) เหลือผู้มีสิทธิชนะเพียง 2 ราย คือ CK และ ITD และสัญญาที่ 3 งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลรวมตู้รถไฟฟ้า ทั้งช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน วงเงิน 26,272 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของประเทศญี่ปุ่น (ไจก้า) พิจารณายกเลิกการประมูลหลังจากที่ผู้รับเหมาทั้ง 4 รายที่ยื่นความจำนงไม่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น อย่างไรก็ตาม หากสัญญาที่ 1 มีปัญหาและล่าช้า คาดจะทำให้การประกาศผลของสัญญาอื่นๆ ล่าช้าตาม
อีกทั้งปลายไตรมาส 3 ปี 2554 จะเริ่มการประกวดราคาการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ระยะทาง 12 กิโลเมตร มูลค่า 36,511 ล้านบาทได้ หลังจากที่ล่าช้ามาประมาณ 3 เดือนจากการปรับแก้ไขแบบ ซึ่งจะทำให้วงการรับเหมาก่อสร้างคึกคักอีกครั้ง
เชื่อรับเหมาแห่ทิ้งงาน
สำหรับนโยบายปรับขึ้นค่าแรงงานเป็น 300 บาทต่อวันนั้น จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างรุนแรง เพราะจะทำให้ต้นทุนการก่อสร้างปรับขึ้นทันที และเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งสุดท้ายแล้ว ผู้ประกอบการก็จะต้องผลักภาระไปที่ผู้บริโภค โดยการปรับขึ้นราคาบ้านนั่นเอง
ในประเด็นดังกล่าว กฤษดา จันทร์จำรัสแสง เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ความเห็นว่า หากมีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท จะส่งผลกระทบต่อแรงงานเก่าที่ทำงานอยู่แล้ว 5 ปี ทั้งระบบขอปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานเป็น 400 หรือ 450 บาท จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาต้นทุนในการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น
โดยเฉพาะผู้รับเหมาก่อสร้างงานภาครัฐบาล เนื่องจากราคากลางที่กำหนดไว้ไม่สะท้อนต้นทุนการก่อสร้างที่เป็นจริงอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างทำงานได้ลำบากขึ้น เนื่องจากมีการเซ็นสัญญาก่อสร้างล่วงหน้าไว้แล้ว ขณะที่งานก่อสร้างของภาคเอกชน สัญญาการก่อสร้างอาจจะปรับเปลี่ยนได้ง่ายกว่า
“หากจะเปรียบเทียบค่างานก่อสร้างเป็นราคา 100 บาท ค่าแรงงานก่อสร้างอยู่ที่ 15% อีก 85% เป็นค่าวัสดุก่อสร้างและค่าบริหารจัดการ การปรับค่าแรงงานขึ้นเป็น 300 บาท จะทำให้ต้นทุนค่าแรงงานปรับขึ้นเฉลี่ย 3% เป็น 18% ยิ่งจะทำให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น” กฤษดา กล่าว
ทั้งนี้ ต้องรอดูความชัดเจนจากรัฐบาลอีกอย่างน้อย 1-2 เดือน ว่าจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรกับแรงงานรับเหมาก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสัญญาการก่อสร้างที่ทำไปแล้ว ภาครัฐจะดูแลให้อย่างไร เพราะมีภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะนี้ทางสมาคมอยู่ระหว่างการหารือเพื่อเตรียมเสนอให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหาอาชีพรับเหมาก่อสร้างอย่างเป็นระบบ
ด้าน วัชรพัธ วัชราภัย ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ กล่าวว่า การขึ้นค่าจ้างเป็น 300 บาท รัฐบาลจะต้องกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจนว่าจะปรับขึ้นเมื่อใด เช่น อาจจะปรับขึ้นภายใน 1-2 ปี เพราะหากปรับขึ้นเลยทันทีจะส่งผลกระทบอย่างแน่นอน โดยเฉพาะงานรับเหมาก่อสร้างที่มีการเซ็นสัญญาก่อสร้างไปแล้วจะกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากไม่ได้มีการคำนวณเผื่อต้นทุนใหม่ไว้ล่วงหน้า อาจจะเกิดปัญหาการทิ้งงานก่อสร้างก็เป็นได้ โดยเฉพาะงานก่อสร้างของภาคเอกชน ต้นทุนสร้างบ้านใหม่เพิ่ม 12%
ขณะที่ในภาคอสังหาริมทรัพย์คงยากที่ผู้ประกอบการรายใดที่มีต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นแล้วจะไม่ปรับราคาสินค้าขึ้น แม้ในเบื้องต้นว่าที่รัฐบาลใหม่จะเสนอแนวคิดลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในปี 2555 และลดเหลือ 20% ในปี 2556 เพื่อมาช่วยแบ่งเบาภาระที่จะตามมาจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก็ตาม แต่กระแสไม่เห็นด้วยและต้องการให้ทบทวนนโยบายอย่างรอบคอบยังดังขึ้นต่อเนื่อง
บ้าน 0% 5 ปี แบงก์รัฐอ่วม
เอกชนแบ่งรับแบ่งสู้
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดอดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พิจารณาเห็นชอบวาระเรื่องโครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
นัยสำคัญ คือ ให้วงเงินปล่อยกู้จำนวน 25,000 ล้านบาท โดยวัตถุประสงค์หลัก คือ ช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ไม่เคยมีที่อยู่อาศัย ให้สามารถซื้อบ้านเป็นของตนเองได้อย่างทั่วถึง
นอกจากนั้นยังเห็นชอบเรื่องการขอชดเชยภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เบื้องต้นอนุมัติวงเงินประมาณ 500 ล้านบาท โดยให้ ธอส.ตกลงกับสำนักงบประมาณ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สัปดาห์ต่อมา ธนาคารอาคารสงเคราะห์ แถลงรายละเอียด “สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยต่ำ 0% 2 ปีแรก วงเงินให้กู้ไม่เกินรายละ 3 ล้านบาท ผู้กู้สามารถยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 2554 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2554 โดยต้องทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2555 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนด
อัตราดอกเบี้ย 0% 2 ปีแรก ปีที่ 3-5 คิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี (ลูกค้าสวัสดิการ) ส่วนลูกค้ารายย่อยทั่วไป คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ปีที่ 6 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี (ลูกค้าสวัสดิการ) MRR-0.50% ต่อปี (ลูกค้ารายย่อยทั่วไป) ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.75% ต่อปี ผ่อนได้นานสูงสุด 30 ปี
นอกจากนั้น ตามโครงการนี้ รัฐบาลจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าจดจำนอง และค่าธรรมเนียมการโอนครึ่งหนึ่งหรือจ่ายตามจริงสูงสุด 1.00% (จากค่าโอนปรกติ 2.00% ของราคาประเมิน) ส่วนเงื่อนไขและหลักเกณฑ์สำคัญ คือ ต้องไม่เคยมีชื่อเป็นเจ้าบ้านในทะเบียนบ้าน และไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง ให้กู้เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด ให้กู้เพื่อปลูกสร้างอาคาร หรือเพื่อซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร โดยราคาที่อยู่อาศัยและวงเงินให้กู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ส่วนหลักเกณฑ์การพิจารณาเป็นไปตามระเบียบของธนาคาร
25,000 ล้านแรกเต็ม … เพิ่มอีก 5,000 ล้าน
แค่ 1 เดือนให้หลัง ธอส.แถลงผลสำเร็จของโครงการบ้านหลังแรก ว่ายอดยื่นกู้เต็มวงเงิน 25,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้อนุมัติไปแล้วประมาณ 6,000 ล้านบาท นอกจากนั้นยังเปิดรับ Waiting List อีกกว่า 5,000 ล้านบาทด้วย โดยผู้สนใจสามารถยื่นคำขอกู้ได้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนด ปัจจุบันธนาคารได้อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 6,000 ล้านบาท ในส่วนที่เหลือจะเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
การแถลงของ ธอส.ระบุว่า ภายใต้วงเงิน 25,000 ล้านบาท มีผู้ยื่นกู้ทั้งสิ้น 18,583 ราย วงเงินเฉลี่ยรายละ 1.35 ล้านบาท สัดส่วนกรุงเทพฯ-ปริมณฑล กับภูมิภาคอยู่ที่ 45% : 55%
ขณะที่ข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด วิเคราะห์โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ซึ่งเผยแพร่หลัง ครม.เห็นชอบโครงการดังกล่าวไม่นาน ทำให้เห็นภาพชัดขึ้น โดยยกตัวอย่างว่า หากลูกค้าซื้อบ้านราคา 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 6.5% นาน 20 ปี ช่วง 2 ปีแรก ต้องผ่อนประมาณ 363,026 บาท ในจำนวนนี้เป็นดอกเบี้ย 256,652 บาท เป็นเงินต้นเพียง 106,374 บาทเท่านั้น
เมื่อบวกกับการที่รัฐช่วยเหลือค่าโอนอีก 1% ของราคาบ้านหรือเท่ากับ 20,000 บาท สรุปคือ ลูกค้าได้ส่วนลดประมาณ 276,652 บาท (ดอกเบี้ย 256,652 บาท+ค่าโอน 20,000 บาท) หรือเท่ากับ 13.82% ของราคาบ้านที่ซื้อ
การคำนวณเทียบบัญญัติไตรยางศ์ตรงๆ ไม่อ้อมค้อม วงเงินที่รัฐบาลชุดที่แล้วอนุมัติ คือ 25,000 ล้านบาท สมมติค่าเฉลี่ยการกู้ที่ 1.5 ล้านบาท เท่ากับมีผู้ได้รับประโยชน์ประมาณ 17,000 ราย อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ 1” มุ่งเน้นปฏิบัติตามนโยบาย บ้าน 0% 5 ปีจริง จำนวนผู้สมัครขอกู้ย่อมมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า “วงเงิน” ที่อนุมัติมีจำนวนเท่าใด และรัฐชดเชย หรือให้ความช่วยเหลือทั้งลูกค้า และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมมากน้อยเพียงใด
แบงก์เอกชนเผยชดเชยเหมือนกันพอไหว
นอกจากคำวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่โครงการบ้าน 0% 2 ปีเริ่มต้นว่า เป็นการบิดเบือนตลาด ไม่เป็นไปตามแนวทางการแข่งขันแบบเสรี เพราะรัฐบาลมอบหมายให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ดำเนินการ ทั้งๆ ที่มีธนาคารของรัฐอีกหลายแห่งมีผลิตภัณฑ์แบบเดียวกันให้บริการในตลาด ไม่ว่าจะเป็นธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทยแล้ว
เมื่อมองจากมุมของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งต้องคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยง และผลกระทบต่อผลประกอบการในอนาคต มีความเป็นไปได้สูงมากว่า ย่อมมีเพียงธนาคารของรัฐเท่านั้นที่พร้อม ตอบสนองนโยบายดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ก็มีอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่ารัฐต้องมีงบประมาณชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าจำนอง ค่าโอน ฯลฯ รวมถึงรายได้ที่ขาดหายไป ให้กับแบงก์เอกชนเหมือนแบงก์รัฐด้วย
ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจแก่คนทั่วไปว่า โดยปรกติทุกธนาคารมี “ต้นทุน” อยู่ 2 อย่างอยู่แล้ว คือ อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และต้นทุนการดำเนินงาน
ยกตัวอย่าง แคมเปญล่าสุดที่มีอยู่ “เงินฝากดอกเบี้ยสูงพุ่งพรวด” สูงสุด 7.5% ต่อปี เฉลี่ยอยู่ที่ 3.8% เมื่อบวกต้นทุนการดำเนินงานประมาณ 1% เท่ากับว่าแบงก์มีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 4.8-5%
ชาติชาย กล่าวต่อว่า ส่วนใหญ่แบงก์พาณิชย์จะมีกำไรจากสินเชื่อบ้านประมาณ 1% ถ้าแบงก์พาณิชย์จัดแคมเปญ 0% ระยะเวลา 1 ปี ก็เท่ากับว่า ปีแรกขาดทุน 25% ต้องใช้เวลา 3 ปี จึงจะเริ่มมีกำไร
ถ้าจัด 0% 2 ปี ต้องใช้เวลา 6 ปี จึงจะมีกำไร และถ้าเป็น 0% 5 ปี ต้องใช้เวลา 15 ปีจึงจะเริ่มมีกำไร
“ที่ผ่านมา ไม่มีแบงก์พาณิชย์แบงก์ไหนทำแคมเปญ 0% เกินกว่า 1 ปีเลย หรือถ้ามีก็ไม่ใช่ 0% จริงๆ เพราะมี 0% แค่ 3 เดือน แต่อีก 9 เดือนจ่ายตามอัตราปรกติ”
“ทั้งนี้ สภาพตลาดคือ สินเชื่อบ้านมีการแข่งขันสูงมาก รายได้จากดอกเบี้ยแทบไม่มีเลย ที่ทำกันก็เพราะจะได้ลูกค้าที่อยู่กับเรานานๆ 15 ปี 20 ปี จากนั้นพยายามหาโอกาสเสนอบริการทางการเงินอื่นๆ ให้เขา”
“คนที่ทำได้ก็อาจทำประกันรายได้ไว้ จึงเห็นได้ว่า โครงการ 0% 2 ปี ของรัฐบาลที่แล้ว ไม่มีแบงก์พาณิชย์ไหนเข้าไปแข่ง”
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เพิ่มเติมว่า หากรัฐชดเชย หรือสนับสนุนงบประมาณเหมือนกับที่ให้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ เชื่อว่า ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งพร้อมสนับสนุนนโยบายดังกล่าว
“ไม่ได้บอกว่าปิดประตู ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่า รัฐ subsidized อย่างไร เหมือนแบงก์รัฐหรือไม่ สำหรับเรา โครงการแบบนี้ส่งผลกระทบช่วงสั้นๆ พองบประมาณหมด การแข่งขันก็กลับไปเป็นอย่างเดิม”
อนึ่ง อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยข้อมูลหลังหารือกับทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยว่า ได้เตรียมงบสำหรับสินเชื่อบ้าน 0% 5 ปี ไว้ประมาณ 48,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนนี้ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เป็นส่วนของการ subsidized ด้วย
อานิสงส์ประชานิยม “บ้านปูแดง”
แนะเก็บหุ้น SC, PS, LPN, SPALI รวย!!!
เปิด 4 หุ้นเด่น บิ๊กแบรนด์ในตลาดหลักทรัพย์ ที่จ่อคิวได้รับประโยชน์เต็มๆ จากนโยบายประชานิยมยุคเพื่อไทย “บ้านหลังแรก 0% 5 ปี เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่ของบริษัทมีระดับราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท ส่วนหุ้น SC พอร์ตใหญ่ของตระกูลชินวัตร VS ดามาพงศ์ คาดเป็นที่สนใจนักลงทุนมาก
ภายหลังการเลือกตั้งที่มีผลว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และนโยบายที่หาเสียงไว้ โดยเฉพาะการคืนภาษีและเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรก หรือดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์เป็นระยะเวลา 5 ปี บรรดานักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง เกียรตินาคิน จำกัด ให้ความเห็นว่า 3 หุ้นที่ได้รับประโยชน์เด่นๆ ได้แก่ 1.ค่ายพฤกษา เรียลเอสเตส หรือ PS 2.ค่ายศุภาลัย หรือ SPALI และ 3.ค่ายลุมพินี หรือ LPN เนื่องจาก 3 บริษัทดังกล่าว เป็นผู้ประกอบการที่มีที่อยู่อาศัยในตลาดระดับกลาง และล่าง ซึ่งสามารถเข้ารับสิทธิในโครงการบ้านหลังแรก ผ่อนดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 5 ปีโดยตรง
“นโยบายบ้านหลังแรก 0 เปอร์เซ็นต์ใน 5 ปี ราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท เช่นเดียวกับโครงการกู้บ้านหลังแรกกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ดอกเบี้ย 0% ในช่วง 2 ปีแรก ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท จะทำให้บริษัท LPNได้รับผลดีโดยตรง เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่ของบริษัท 99.99% มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท/ยูนิต และมาตรการดังกล่าวก็ถือว่าตรงกับแนวคิดของบริษัทที่ต้องการพัฒนาโครงการให้เป็นบ้านหลังแรกสำหรับคนกรุงเทพฯ คาดว่าจะส่งผลดีต่อรายได้ในปีหน้า” แหล่งข่าวจากวงการอสังหาริมทรัพย์ ให้ความเห็น
ขณะเดียวกัน ทางด้านค่าย พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) เองก็มีโครงการใหม่หลายโครงการตอบรับนโยบายดังกล่าวเช่นกัน โดยประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ บอกด้วยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังโครงการใหม่ส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว ในเซกเมนต์ใหม่ ให้เหมาะกับกำลังซื้อของลูกค้าแต่ละกลุ่ม จากปัจจุบันที่ราคาขายบ้านเดี่ยว ต่ำสุดที่ 2.5 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ ราคาต่ำสุดที่ 8 แสนบาท ในส่วนยอดขายมั่นใจทั้งปีจะเป็นไปตามเป้า 4.2 หมื่นล้านบาท หลัง 6 เดือนแรกมียอดขายแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท และแนวโน้มครึ่งปีหลัง ยังมั่นใจยอดขายเป็นไปตามเป้า หากไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง
ในปี 2555 บริษัทมีแผนเปิดโครงการมากกว่า 1.4 หมื่นยูนิต มากกว่าปี 2554 โดยยังคงเน้นโครงการแนวราบ เป็นบ้านเดี่ยวประมาณ 8 พันยูนิต ทาวน์เฮาส์ประมาณ 6.7 พันยูนิต ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม ประมาณ 25% ของโครงการใหม่ ล่าสุดบริษัทได้ลงทุนก่อสร้างโรงงานพฤกษา พรีคาสท์ เพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง คือโรงงานพฤกษา พรีคาสท์ โรงงานที่ 4 และโรงงานที่ 5 ด้วยเงินลงทุน 1,050 ล้านบาท เพื่อพัฒนาคุณภาพชิ้นส่วนคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 700 หลังต่อเดือน จากปัจจุบัน 450 หลังต่อเดือน โดยทั้งสองโรงงานได้เดินเครื่องแล้ว
สำหรับหุ้น SPALI ของค่ายศุภาลัย ที่บรรดานักวิเคราะห์มองว่า น่าจะได้รับประโยชน์ไปเต็มๆอย่างสูงเช่นกันนั้น เนื่องจาก มีคอนโดที่จะสร้างเสร็จและโอน 2 โครงการ ซึ่งมีราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท ได้แก่ ศุภาลัยซิตี้ รีสอร์ท รามคำแหง มูลค่า 1,245 ล้านบาท และซิติ้โฮม รัตนาธิเบศร์ มูลค่า 1,780 ล้านบาท คาดโอนได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ทั้งสองโครงการ และบ้านแนวราบโอนประมาณ 800-900 ล้านบาท โดยบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า ไซรัส แนะนำ “ซื้อ” โดยแนวโน้มผลประกอบการของไตรมาส 2 ปี 2554 จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดจ่ายปันผลในไตรมาส 1 ของปีที่ 0.31 บาท หรือประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์สำหรับงวดนี้
ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ ยังประเมินว่า หากการใช้นโยบายกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นจริง บริษัทที่เน้นการพัฒนากลุ่มระดับกลางและล่าง จะได้ประโยชน์สูงสุด เช่น PS (ราคาเป้าหมายในปี 2554 เท่ากับ 24.00 บาท/หุ้น SPALI (ราคาเป้าหมายในปี 2554 เท่ากับ 14.80 บาท/หุ้น) และ LPN (ราคาเป้าหมายในปี 2554 เท่ากับ 12.00 บาท/หุ้น) อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ส่วนจะมากหรือน้อย ขึ้นกับข้อกำหนดและการบังคับใช้ ซึ่งหากมีผลต่อปัจจัยพื้นฐานเราถึงจะมีการปรับประมาณการในอนาคต” นักวิเคราะห์จากค่ายกิมเอ็ง บอก
นอกจากนี้ยังมีหุ้นอีก 3 ตัวที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ไม่น้อยเช่นกัน ได้แก่ หุ้น AP ของค่ายเอเชียนพร็อพเพอร์ตี้ หุ้น LH ของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และหุ้น QH ของค่ายควอลิตี้เฮ้าส์ (ในนามบริษัทคาซา ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ QH ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ทำตลาดบ้านทุกระดับ
SC หุ้นกระแสแรง?
สำหรับหุ้นอีกตัวหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นที่สนใจของนักลงทุนเป็นอย่างมาก ได้แก่ หุ้นของค่าย บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) เพราะไม่เพียงเป็นบริษัทที่ว่าที่ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์พรรคเพื่อไทย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยดำรงตำแหน่งเป็นซีอีโอบริษัทแล้ว ในส่วนความเคลื่อนไหวของหุ้นที่ผ่านมาก็มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะการเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ หลังจากที่ผู้ถือหุ้นอนุมัติวงเงินออกหุ้นกู้ 2,000 ล้านบาทเมื่อวานนี้ กำหนดจะทยอยเสนอขายเป็นล็อต โดยจะมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือก่อน
ทั้งนี้ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น(SC) อรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ เชื่อมั่นว่า นักลงทุนจะให้ความสนใจ เพราะช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตที่ดี โดยเม็ดเงินที่ได้ มีเป้าหมายจะนำไปใช้เป็นเงินทุนพัฒนาโครงการในอนาคต และเพิ่มทางเลือกการระดมเงินทุน นอกเหนือจากการกู้จากสถาบันการเงินที่ปัจจุบันแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับบริษัทที่มีนโยบายบริหารต้นทุนการเงินให้อยู่ในระดับต่ำ
นอกจากจะขายหุ้นกู้แล้ว อดีตประธานกรรมการบริหาร SC ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังเคยบอกเมื่อเดือนเมษายน ก่อนตัดสินใจลาออกไปเล่นการเมืองด้วย (ล่าสุดบริษัทฯได้แต่งตั้ง บุษบา ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นเครือญาติของพี่สะใภ้ พจมาน เป็นซีอีโอคนใหม่ของบริษัทเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม) ว่า เอสซีจะพยายามรักษาอัตราเติบโตของรายได้ในแต่ละปีไม่ให้น้อยกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม และยังคงให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้า โดยในปีนี้ บริษัทจะเปิดโครงการใหม่ 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.5 หมื่นล้านบาท ไม่นับรวมโครงการที่เปิดไปแล้ว 12 โครงการ เป็นโครงการต่อเนื่องในปี 53 รวม 2.2 หมื่นล้านบาท ที่จะพัฒนาต่อไปด้วย
ขณะที่ปีนี้จะเห็นการพัฒนาโครงการที่หัวหิน ซึ่งถือเป็นการออกสู่ตลาดต่างจังหวัดครั้งแรกของบริษัท และจากปัจจัยดังกล่าวจะผลักดันยอดขายปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 8,000 ล้านบาท เติบโต 50% จาก 5,020 ล้านบาท ขณะที่รายได้คาดว่าจะอยู่ที่กว่า 7,000 ล้านบาท และจะขึ้นเป็น 10,000 ล้านบาท ในปี 2555
สำหรับสัดส่วนรายได้หลักของปีนี้ ส่วนใหญ่มาจากการพัฒนาที่อยู่อาศัย 80% ขณะที่ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าสัดส่วน 20% ซึ่งถือว่าไม่มากนัก เพราะความต้องการยังมีน้อยอยู่ และอาคารชินวัตร 3 จะมีผู้เช่าสถานีโทรทัศน์ ThaiPBS ย้ายออกในช่วงกลางปีนี้ โดยมีสัดส่วนการเช่า 10-20% ของพื้นที่ทั้งหมด 5 หมื่นตร.ม. แต่เชื่อว่าเร็วๆ นี้จะมีผู้มาเช่าทดแทน เพราะขณะนี้มีผู้สนใจหลายรายเข้ามาสอบถาม โดยเฉพาะธุรกิจสื่อ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังมองหาทำเลที่เหมาะสมในการพัฒนาอาคารสำนักงานให้เช่าเพิ่มเติมควบคู่ไปด้วย เพราะมองว่าหากความต้องการกลับมาก็จะสามารถดำเนินการได้ทันทีhttp://www.manager.co.th/mgrweekly/view ... 0000086521
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กับแนวโน้มดอกเบี้ย RP ที่คาดว่าจะลด
โพสต์ที่ 9
REIC ชี้ดัชนีความคาดหวังครึ่งปีหลังพุ่ง ผู้ประกอบการอสังหาฯ มั่นใจรัฐบาลใหม่ออกกระตุ้นตลาดเพียบShare
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) แถลงว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ประจำไตรมาส 2 ปี 2554 พบว่าค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบัน (Current Situation Index) มีค่าเท่ากับ 54.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว (1/2554) ซึ่งดัชนีมีค่าเท่ากับ 51.2 และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ไตรมาส 2/2553) ซึ่งดัชนีมีค่าเท่ากับ 49.9
เมื่อแยกประเภทผู้ประกอบการ พบว่าสำหรับ ผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Listed) มีค่าความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันเท่ากับ 57.8 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีค่าดัชนี 52.1
สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ใช่บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Non-Listed) มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันเท่ากับ 50.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีค่าดัชนี 50.2
หากพิจารณาค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันแยกส่วน จะพบว่าผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก แต่ผู้ประกอบการนอกตลาดหลักทรัพย์มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย สะท้อนภาวะตลาดซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงความได้เปรียบเหนือรายเล็ก ทั้งนี้ ส่วนใหญ่มองภาพผลประกอบการ และยอดขาย ดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก ส่วนการลงทุนใหม่และการเปิดโครงการใหม่หรือเฟสใหม่ รวมไปถึงต้นทุนการประกอบการและการจ้างแรงงานยังไม่กระเตื้อง
สำหรับดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า (Expectations Index) ประจำไตรมาส 2/2554 มีค่าเท่ากับ 68.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีค่าเท่ากับ 65.8 ขณะที่ไตรมาสเดียวกันของปี 2553 ดัชนีมีค่าเท่ากับ 68.9
โดยในส่วนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีค่าดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า เท่ากับ 73.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้วซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 70.2
ส่วนบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีค่าดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า เท่ากับ 63.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 61.4
ค่าดัชนีความคาดหวังใน 6 เดือนข้างหน้า (มองไปถึงเดือนธันวาคม 2554 เปรียบเทียบกับเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำรวจความเชื่อมั่น และเป็นช่วงก่อนทราบผลการเลือกตั้ง) เพิ่มขึ้น
โดยผู้ประกอบการทั้งบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ ต่างมองไปในอนาคตและคาดว่าจะมีปัจจัยบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น โดยคาดว่าหลังจากผ่านการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 สถานการณ์ทางการเมืองน่าจะดีขึ้น ประกอบกับนโยบายของหลายพรรคการเมืองต่างให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยมากขึ้น
ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ น่าจะทำให้ยอดขายและผลประกอบการในช่วงปลายปีดีขึ้นจากปัจจุบัน และการลงทุนอาจเพิ่มขึ้น
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) แถลงว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ประจำไตรมาส 2 ปี 2554 พบว่าค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบัน (Current Situation Index) มีค่าเท่ากับ 54.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว (1/2554) ซึ่งดัชนีมีค่าเท่ากับ 51.2 และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ไตรมาส 2/2553) ซึ่งดัชนีมีค่าเท่ากับ 49.9
เมื่อแยกประเภทผู้ประกอบการ พบว่าสำหรับ ผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Listed) มีค่าความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันเท่ากับ 57.8 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีค่าดัชนี 52.1
สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ใช่บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Non-Listed) มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันเท่ากับ 50.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีค่าดัชนี 50.2
หากพิจารณาค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันแยกส่วน จะพบว่าผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก แต่ผู้ประกอบการนอกตลาดหลักทรัพย์มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย สะท้อนภาวะตลาดซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงความได้เปรียบเหนือรายเล็ก ทั้งนี้ ส่วนใหญ่มองภาพผลประกอบการ และยอดขาย ดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก ส่วนการลงทุนใหม่และการเปิดโครงการใหม่หรือเฟสใหม่ รวมไปถึงต้นทุนการประกอบการและการจ้างแรงงานยังไม่กระเตื้อง
สำหรับดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า (Expectations Index) ประจำไตรมาส 2/2554 มีค่าเท่ากับ 68.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีค่าเท่ากับ 65.8 ขณะที่ไตรมาสเดียวกันของปี 2553 ดัชนีมีค่าเท่ากับ 68.9
โดยในส่วนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีค่าดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า เท่ากับ 73.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้วซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 70.2
ส่วนบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีค่าดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า เท่ากับ 63.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 61.4
ค่าดัชนีความคาดหวังใน 6 เดือนข้างหน้า (มองไปถึงเดือนธันวาคม 2554 เปรียบเทียบกับเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำรวจความเชื่อมั่น และเป็นช่วงก่อนทราบผลการเลือกตั้ง) เพิ่มขึ้น
โดยผู้ประกอบการทั้งบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ ต่างมองไปในอนาคตและคาดว่าจะมีปัจจัยบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น โดยคาดว่าหลังจากผ่านการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 สถานการณ์ทางการเมืองน่าจะดีขึ้น ประกอบกับนโยบายของหลายพรรคการเมืองต่างให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยมากขึ้น
ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ น่าจะทำให้ยอดขายและผลประกอบการในช่วงปลายปีดีขึ้นจากปัจจุบัน และการลงทุนอาจเพิ่มขึ้น
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กับแนวโน้มดอกเบี้ย RP ที่คาดว่าจะลด
โพสต์ที่ 10
อสังหาเล็กๆมากันเหมือนเริ่มบอกแนวโน้มหุ้นท้ั้ง
กลุ่มว่าจะฟื้นตัวตามนโยบายรัฐบาลใหม่แล้ว
EVER เป็นต้น
กลุ่มว่าจะฟื้นตัวตามนโยบายรัฐบาลใหม่แล้ว
EVER เป็นต้น
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กับแนวโน้มดอกเบี้ย RP ที่คาดว่าจะลด
โพสต์ที่ 11
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส กลุ่มสังหาริมทรัพย์
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : กลุ่มสังหาริมทรัพย์ แนะนำ ซื้อ สำหรับ AP, LPN และ SPALI
บ้านระดับกลาง-สูง เปิดตัวมากขึ้น มิ.ย.54
Agency for Real Estate Affair ได้เปิดเผยตัวเลขการเปิดขายบ้านใหม่เดือน มิ.ย.54 ปรากฏว่าได้เพิ่มขึ้นถึง 35% mom เป็น6,079 หน่วย สินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนคือ บ้านเดี่ยว (+194%) และคอนโดมิเนียม (+21%) สิ่งที่น่าสนใจคือ ราคาขายเฉลี่ยเติบโตก้าวกระโดด 76% mom เป็น 5.5 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก พ.ค.54 ที่เฉลี่ย 3.12 ล้านบาท และ มิ.ย.53 ที่ 2.48 ล้านบาท สืบเนื่องจากสัดส่วนสินค้าที่ออกมา 68% เป็นการเจาะตลาดบ้านระดับกลาง-สูงคือ ส่วนใหญ่นั้นสูงกว่า3 ล้านบาท โครงการที่มีราคาขายสูงมาก (high-end) ได้แก่ คอนโด Noble เพลินจิต และ บ้านเดี่ยว พฤกภิรมย์ ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ โดย QH อีกทั้งสัดส่วน 2 ใน 3 สำหรับบ้านที่เปิดขายใหม่พัฒนาโดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ และบริษัทในเครือ ขณะที่ส่วนที่เหลือเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดฯ
สำหรับคอนโดมิเนียมที่เปิดขาย มิ.ย.54 คิดเป็นสัดส่วน 60% ของสินค้าที่เปิดขายทั้งหมด สิ่งที่ดีคือ อัตราการจองได้เพิ่มขึ้นเป็น 39% เทียบกับเดือน พ.ค.54 ที่ 30% เราเห็นว่าอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยมีความน่าสนใจมากขึ้น หลังจากมีแนวโน้มว่าพรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่จะกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ด้วยการลดหย่อนภาษี
คงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ AP, LPN และ SPALI หลักทรัพย์ที่มีความโดดเด่นในเรื่องยอดขายและยอดขายรอรับรู้รายได้(Backlog) ที่สูง ซึ่งทำให้เห็นภาพรายได้ที่จะเกิดในอนาคตชัดเจน งบดุลมีความแข็งแกร่ง เงินปันผลดีประมาณ 7% และการประเมินมูลค่าหุ้นพบว่ายังถูก P/E ปี 54 อยู่ในระดับเพียง 6-7 xได้แก่ AP, LPN และ SPALI
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : กลุ่มสังหาริมทรัพย์ แนะนำ ซื้อ สำหรับ AP, LPN และ SPALI
บ้านระดับกลาง-สูง เปิดตัวมากขึ้น มิ.ย.54
Agency for Real Estate Affair ได้เปิดเผยตัวเลขการเปิดขายบ้านใหม่เดือน มิ.ย.54 ปรากฏว่าได้เพิ่มขึ้นถึง 35% mom เป็น6,079 หน่วย สินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนคือ บ้านเดี่ยว (+194%) และคอนโดมิเนียม (+21%) สิ่งที่น่าสนใจคือ ราคาขายเฉลี่ยเติบโตก้าวกระโดด 76% mom เป็น 5.5 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก พ.ค.54 ที่เฉลี่ย 3.12 ล้านบาท และ มิ.ย.53 ที่ 2.48 ล้านบาท สืบเนื่องจากสัดส่วนสินค้าที่ออกมา 68% เป็นการเจาะตลาดบ้านระดับกลาง-สูงคือ ส่วนใหญ่นั้นสูงกว่า3 ล้านบาท โครงการที่มีราคาขายสูงมาก (high-end) ได้แก่ คอนโด Noble เพลินจิต และ บ้านเดี่ยว พฤกภิรมย์ ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ โดย QH อีกทั้งสัดส่วน 2 ใน 3 สำหรับบ้านที่เปิดขายใหม่พัฒนาโดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ และบริษัทในเครือ ขณะที่ส่วนที่เหลือเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดฯ
สำหรับคอนโดมิเนียมที่เปิดขาย มิ.ย.54 คิดเป็นสัดส่วน 60% ของสินค้าที่เปิดขายทั้งหมด สิ่งที่ดีคือ อัตราการจองได้เพิ่มขึ้นเป็น 39% เทียบกับเดือน พ.ค.54 ที่ 30% เราเห็นว่าอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยมีความน่าสนใจมากขึ้น หลังจากมีแนวโน้มว่าพรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่จะกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ด้วยการลดหย่อนภาษี
คงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ AP, LPN และ SPALI หลักทรัพย์ที่มีความโดดเด่นในเรื่องยอดขายและยอดขายรอรับรู้รายได้(Backlog) ที่สูง ซึ่งทำให้เห็นภาพรายได้ที่จะเกิดในอนาคตชัดเจน งบดุลมีความแข็งแกร่ง เงินปันผลดีประมาณ 7% และการประเมินมูลค่าหุ้นพบว่ายังถูก P/E ปี 54 อยู่ในระดับเพียง 6-7 xได้แก่ AP, LPN และ SPALI