ชวนคุยค่ะ ^^
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 31
ถ้าสมมติว่าเก่งแล้วยังไงต่อ ถ้าสมมติว่าฟลุ้กแล้วจะต้องทำอะไรอีก?
ผมว่าไม่ว่าที่ผ่านมาจะเก่งหรือจะฟลุ้กสุดท้าย ณ ปัจจุบันยังไงก็ต้องขยัน ต้องพยายามลงทุนอย่างมีสติ มองกิจการและวิเคราะห์การลงทุนตามความเป็นจริงด้วยความไม่ประมาท สอดคล้องกับเหตุปัจจัยตามสถานการณ์ ณ ขณะนี้อย่างถึงที่สุดอยู่ดีครับ
โดยส่วนผมไม่เคยสนใจว่าผมจะเก่งหรือจะห่วย ผมสนใจแค่ว่าจะลงทุนอย่างไรให้มีความสุขได้มากๆ มีทุกข์ให้น้อยๆ มากกว่า
แต่โดยส่วนตัวผมว่าคุณฝนเป็นนักลงทุนที่เก่งมากๆ ครับ
ผมว่าไม่ว่าที่ผ่านมาจะเก่งหรือจะฟลุ้กสุดท้าย ณ ปัจจุบันยังไงก็ต้องขยัน ต้องพยายามลงทุนอย่างมีสติ มองกิจการและวิเคราะห์การลงทุนตามความเป็นจริงด้วยความไม่ประมาท สอดคล้องกับเหตุปัจจัยตามสถานการณ์ ณ ขณะนี้อย่างถึงที่สุดอยู่ดีครับ
โดยส่วนผมไม่เคยสนใจว่าผมจะเก่งหรือจะห่วย ผมสนใจแค่ว่าจะลงทุนอย่างไรให้มีความสุขได้มากๆ มีทุกข์ให้น้อยๆ มากกว่า
แต่โดยส่วนตัวผมว่าคุณฝนเป็นนักลงทุนที่เก่งมากๆ ครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 32
ประเด็นที่คุณ atsu กล่าวผมคิดว่ามันมองได้หลายแบบครับatsu เขียน:เรื่องราคาหุ้นนี่ถ้าระยะสั้นๆผมก็เห็นด้วยนะครับว่าไม่ควรใส่ใจleky เขียน:แต่ก่อนผมเองเคยมองว่าถ้าเราซื้อหุ้นแล้วหุ้นขึ้นคือเราวิเคราะห์ถูก แต่หลังจากมีประสบการณ์มากขึ้น ถึงได้รู้ว่า "ราคาหุ้น" บางครั้งเป็นเพียงภาพลวงตาที่ "หลอกลวง" เรา ยิ่งตลาดกระทิงในช่วง 2-3 ปีนี้ ผมเองชักเริ่มสับสนว่าผมเก่งหรือเพราะตลาดดีกันแน่ หลังจากถอยออกจาก ความหลงงมงาย เพราะหลายครั้งผมเคยรู้สึกว่าหุ้นที่เราคิดว่าดีขึ้นไป แต่กลับมีหุ้นปัจจัยพื้นฐานไม่ดีบางตัวขึ้นไปมากกว่า ท่ามกลางสภาพของตลาดที่ใครซื้อหุ้นคนได้กำไรมีมากกว่าขาดทุน เราเก่งหรือเฮง??? ผมเคยสับสนมาก่อนครับ ระยะหลังผมเลือกที่จะประเมินการวิเคราะห์ของเราว่าถูกต้องมากกว่ามองที่ราคาครับ เช่นถ้าเราวิเคราะห์แล้วรายได้ควรจะได้เท่าไหร่ แล้วตัวเลขออกมาใกล้เคียงตรงนี้ก็ต้องถือว่าเราแม่นยำ ยิ่งถ้าผิดพลาดน้อยครั้งก็ถือว่าฝีมือเราใช้ได้ ผมจะไม่ค่อยสนใจตัดสินตัวเองจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเท่าไหร่ และผมก็เชื่อว่า "กระบี่" เล่มนี้ สามารถที่จะต่อสู้กับสภาพตลาดที่เลวร้ายได้อย่างแท้จริงครับ
แต่ถ้าวัดในระยะยาวแล้ว ผมกลับคิดว่า"ราคาหุ้น"นี่แหละ"ของจริง"ที่สุดแล้วในการวัดว่าเราคิดถูกหรือผิด
สมมุติเราคาดว่ากำไรบริษัทจะโตมากมายในอีก 1-2 ปีข้างหน้า เราก็เข้าซื้อหุ้นไว้
หลังจากนั้นผลออกมาว่า กำไรบริษัทดีขึ้นจริงตามคาด แต่ราคาหุ้นกลับไม่ไปไหนเลย
ถ้าจะบอกว่าเราคิดถูกเนื่องจากผลประกอบการโตจริงแต่ตลาดไม่เห็นเอง ผมว่าก็ไม่น่าจะใช่
เพราะจริงๆแล้ว ราคาที่เราซื้ออาจเป็นราคาที่ตลาดได้บวกความคาดหวังในผลประกอบการที่จะโตเข้าไปแล้วก็ได้
ดังนั้นมันจะไม่มีประโยชน์ถ้าการคาดการที่เราคาดถูก เป็นสิ่งที่ตลาดก็คาดไว้แล้วซึ่งสุดท้ายราคาหุ้นก็จะเป็นผู้เฉลยเองว่าเราถูกหรือผิด
สมมุติต่อไปจากบริษัทข้างบน ผ่านไป 2 ปีกำไรเริ่มไม่โตแถมลดลงอีกเพราะกำไรก่อนหน้าไม่ใช่กำไรที่ยั่งยืน
มีคนเข้ามาแข่งขันในธุกิจมากจนตัดราคากัน หรือกิจการเริ่มวนไปสู่วงจรขาลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ทีนี้ราคาหุ้นก็ลดลงไปตาม
ถ้าเป็นแบบนี้นี้เราจะพูดได้อย่างไรว่าเราคิดถูกในช่วง 2 ปีก่อนเพราะผลประกอบการโตตามคาด
จริงๆแล้วคนที่คิดถูกกลับเป็นนายตลาดที่มองเห็นแล้วว่าผลกำไรในอนาคตจะลดลงเลยไม่ให้ราคาหุ้นต่างหาก
ถ้าเราซื้อหุ้นเราคาดการณ์ผลประกอบการถูก แต่หุ้นไม่ไปไหน ผมว่าหลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่ผมเองก็ยังเชื่อว่าราคาย่อมสะท้อนปัจจัยพื้นฐาน "หุ้นถูกเรื้อรัง" ในตลาดมีอยู่แล้วครับ เรามีโอกาสจะเจอได้ครับ ถ้าเราลงทุนหุ้น 10 ตัว ใน 10 ตัวผลประกอบการดีขึ้น แต่ใน 10 ตัวเราอาจจะเจอหุ้นถูกเรื้อรัง 2-3 ตัว ผมมองว่ามันก็คงไม่เสียหายอะไรถ้าหุ้นส่วนใหญ่ราคายังสะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้น "ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยพื้นฐาน" จะว่าไปมันก็คือสัจธรรมของตลาดหุ้น ถ้าหุ้นตัวนั้นไม่โดนบิดเบือนราคาจาก "มือที่มองไม่เห็น"
ส่วนในประเด็นการมองว่าราคาหุ้นที่ไม่ไปไหนอาจจะสะท้อนปัจจัยพื้นฐานไปแล้วทั้ง ๆ ที่ผลประกอบการดีขึ้น ตรงนี้ผมมองว่าถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้เรากลับต้องย้อนมามองดูครับ ว่าราคาหุ้นที่เราซื้อมามัน "ถูกหรือแพง" ถ้าเราซื้อแพงโอกาสที่มันจะขึ้นไปต่อมันก็ย่อมน้อยกว่า ความผิดพลาดอาจจะเกิดจากเรามองเห็นคุณค่าหุ้นตัวนั้นช้าเกินไป อย่าง CPALL หุ้นตัวเดียวกัน คนหนึ่งมีหุ้นราคา 15 บาท อีกคนหนึ่งมีที่ราคา 38 บาท หุ้นตัวเดียวกันแต่ MOS กลับต่างกันมาก
ผมเสนออีกหนึ่งมุมมองนะครับ กรอบเวลาที่เราจะลงทุนหุ้นแต่ละตัวก็สำคัญ เราคงต้องมามองแล้วว่าหุ้นที่เรามีอยู่เป็นประเภทไหน การแบ่งแบบปีเตอร์ ลินซ์ เป็นวิธีหนึ่งที่ดีครับ ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของหุ้นวัฎจักร ถ้าเราคิดจะถือไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ประเภทของกิจการ สุดท้ายเราก็อาจจะไม่ค่อยได้อะไรครับ ตัวอย่างที่เห็น ๆ กันก็ PTL ครับ ที่ราคา 40 บาท เซียนก็หนีหมดแล้ว ทั้ง ๆ ที่ถ้าดูระยะเวลาที่หุ้นขึ้นไปค่อนข้างสั้นทีเดียวครับ
คุณสมบัติบางอย่างของหุ้นเท่าที่ผมสังเกตนอกจากจะเป็น "ตัวเร่ง" ของราคาหุ้นที่ดียามตลาดเป็นขาขึ้นแล้ว ในยามตลาดเป็นขาลงกลับเป็น "ตัวค้ำยัน" ที่ดีเช่นกัน สิ่งนั้นคือ "เงินปันผล" ครับ ผลตอบแทนของเงินปันผลต่อราคาหุ้นที่สูง เช่นมากกว่า 10% เท่าที่ผมสังเกตดู ต่อให้ตลาดแย่แค่ไหน ราคาก็จะสะท้อนเงินปันผลที่จะได้รับครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 33
ผลงานในอดีต แม่ได้ การันตี ผมตอบแทนในอนาคต
แต่ ความรู้ และ ประสบการณ์ที่สะสมมาในอดีต ผมว่า มันการันตี
ความสามารถการลงทุนในอนาคตได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอให้มั่นหาความรู้ ต่อไปนะครับ หากไม่เฮ็ง ความขยันก็ช่วยได้ครับ
แต่ ความรู้ และ ประสบการณ์ที่สะสมมาในอดีต ผมว่า มันการันตี
ความสามารถการลงทุนในอนาคตได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอให้มั่นหาความรู้ ต่อไปนะครับ หากไม่เฮ็ง ความขยันก็ช่วยได้ครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 36
ต้องถามกลับว่า
1. เราวิเคราะห์ตัวธุรกิจได้ขนาดไหน?
2. เราประเมินมูลค่าของธุรกิจได้ใกล้เคียงขนาดไหน?
3. ราคาหุ้นในตลาดเป็นอย่างไรแตกต่างจากมูลค่าแค่ไหน?
4. ตัวไดรฟที่จะขับเคลื่อนราคาหุ้นไปสู่มูลค่าคืออะไร?
5. เรามองไปข้างหน้าอย่างน้อยสองก้าวกว่าคนอื่นในตลาดหรือเปล่า?
6. ตลาดยังมองข้ามอะไรไปอีกไหม?
7. เรามีความอดทนที่จะรออยู่ในขณะที่ไม่เห็นโอกาส
และกล้าที่จะซื้อหุ้นทันทีที่เห็นโอกาสหรือไม่?
" ในกรณีที่เราเข้าใจธุรกิจและคาดเดาอนาคตธุรกิจได้ถูกต้อง
ความสำคัญของ Margin of Safety ก็น้อยลงกว่าธุรกิจที่เราไม่เข้าใจ "
" คงเหมือนที่เราขับรถ ทุกๆคนที่ขับรถได้คงคิดว่าเราขับรถดีกันทุกคน
แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่ทุกคนจะขับรถดีกันหมดทุกคน "
" บัฟเฟตว่า ถ้าคุณเล่นไพ่แล้วไม่รู้ใครเป็นหมู คุณเองนั่นแหละเป็นหมู "
" คนที่มาลงทุนในตลาดหุ้นไม่ว่าแนวไหน เรามั่นใจได้อย่างไรครับว่าเราเก่งกว่าคนอื่น? "
" สิ่งเที่เราทำได้คงเพียงแต่วิเคราะห์สถานการณ์ไปเรื่อยๆโดยต้องระลึกเสมอว่า
ไม่ว่าเราจะมีข้อมูล ความรู้ ความสามารถ แค่ไหน ก็มีสิ่งที่เราไม่รู้อยู่เสมอ "
สุดท้ายขอยืมคำที่คุณเทียม โชควัฒนา เคยว่าไว้ในการทำธุรกิจ
และเพิ่มความเห็นส่วนตัวของผมไว้ใช้ในการบริหารพอร์ตของเพื่อนๆครับ
หวังว่าคงเป็นประโยขน์
" เร็ว ช้า หนัก เบา สั้น ยาว เพิ่ม ลด "
1. เราวิเคราะห์ตัวธุรกิจได้ขนาดไหน?
2. เราประเมินมูลค่าของธุรกิจได้ใกล้เคียงขนาดไหน?
3. ราคาหุ้นในตลาดเป็นอย่างไรแตกต่างจากมูลค่าแค่ไหน?
4. ตัวไดรฟที่จะขับเคลื่อนราคาหุ้นไปสู่มูลค่าคืออะไร?
5. เรามองไปข้างหน้าอย่างน้อยสองก้าวกว่าคนอื่นในตลาดหรือเปล่า?
6. ตลาดยังมองข้ามอะไรไปอีกไหม?
7. เรามีความอดทนที่จะรออยู่ในขณะที่ไม่เห็นโอกาส
และกล้าที่จะซื้อหุ้นทันทีที่เห็นโอกาสหรือไม่?
" ในกรณีที่เราเข้าใจธุรกิจและคาดเดาอนาคตธุรกิจได้ถูกต้อง
ความสำคัญของ Margin of Safety ก็น้อยลงกว่าธุรกิจที่เราไม่เข้าใจ "
" คงเหมือนที่เราขับรถ ทุกๆคนที่ขับรถได้คงคิดว่าเราขับรถดีกันทุกคน
แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่ทุกคนจะขับรถดีกันหมดทุกคน "
" บัฟเฟตว่า ถ้าคุณเล่นไพ่แล้วไม่รู้ใครเป็นหมู คุณเองนั่นแหละเป็นหมู "
" คนที่มาลงทุนในตลาดหุ้นไม่ว่าแนวไหน เรามั่นใจได้อย่างไรครับว่าเราเก่งกว่าคนอื่น? "
" สิ่งเที่เราทำได้คงเพียงแต่วิเคราะห์สถานการณ์ไปเรื่อยๆโดยต้องระลึกเสมอว่า
ไม่ว่าเราจะมีข้อมูล ความรู้ ความสามารถ แค่ไหน ก็มีสิ่งที่เราไม่รู้อยู่เสมอ "
สุดท้ายขอยืมคำที่คุณเทียม โชควัฒนา เคยว่าไว้ในการทำธุรกิจ
และเพิ่มความเห็นส่วนตัวของผมไว้ใช้ในการบริหารพอร์ตของเพื่อนๆครับ
หวังว่าคงเป็นประโยขน์
" เร็ว ช้า หนัก เบา สั้น ยาว เพิ่ม ลด "
-
- Verified User
- โพสต์: 209
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 37
มีแต่คนสุดยอด ขอคารวะ....
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 38
คำตอบอยู่นี่แล้วครับsuperboy เขียน:สงสัย คงต้องใช้เวลาประมาณ 50ปีเป็นอย่างน้อย เซ็งชีวิต เลย
dome@perth เขียน: หากไม่เฮ็ง ความขยันก็ช่วยได้ครับ
ถ้าไม่ขยัน แล้วยังรันทด อย่าว่าแต่ 50 ปี เผลอๆ แก่ตายแล้วก็ไม่สำเร็จ
ขนาดแม้แต่ความเฮ็งอาจไม่เข้าข้าง
เช่น อยากถูกหวย แต่นั่งนอนอยู่เฉยๆ ซุกตัวในบ้าน ไม่พาร่างกายไปซื้อหวยที่ตลาด ก็ไม่มีวันถูก
แต่ถ้าขยันและสู้มัน จะเสริมกับความเฮ็ง ให้พุ่งแรงไปมากกว่า
เก็บสะสมความรู้วันละนิด เดี๋ยวจะค่อยๆ ดีเอง ที่เคยกลัวว่า 50 ปี อาจ "เฮ็ง" เหลือแค่ 4-5 ปี เพราะบังเอิญ "เฮ็ง" เจอเคล็ดวิชาดีๆ "เฮ็ง" ลองทำผิด+ลองถูก ลองไปมากๆ จะพบว่าค่อยๆ ถูก มากกว่าผิด
เพราะขยัน ในที่นี้ต้องหมายถึงขยันที่จะหาทางดิ้นรน กระหายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ด้วย
ถ้ายังไม่สำเร็จวันนี้ อย่าไปเซ็งกับมัน ถือว่าเป็นการเก็บความรู้
เหมือนกับขี่จักรยาน หัดแรกๆ มันก็ล้มได้บ้าง
บางคนอาจเป็นเร็ว ไม่ถึงเดือน แต่คนที่ได้ช้าอยู่กับมันทุกวัน ครึ่งปีอาจเริ่มประคองตัวได้ ที่เคยล้มแขนหัก อาจเหลือแค่ฟันหัก (พูดเล่นจะได้ไม่เครียด)
แต่คนที่ใจร้อนเกิน มักไปมองเห็นคนที่ขี่เก่งแล้วแบบนักปั่นน่องเหล็กแชมป์เปี้ยน แล้วเสีย self
หารู้ไม่ว่าเขาก็เคยหกล้มถลอกปอกเปิกมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่เขาล้ม เขาจะลองเอามาคิด ลองเปลี่ยนวิธีประคองตัว ทรงตัวใหม่ ...ก็ให้มันรู้ไปสิวะ ว่ามันจะล้มได้ตลอด นี่ไง ที่ถือว่าเป็นการเก็บความรู้ มีตำราวิเศษก็สอนไม่ได้ ต้องเรียนรู้่เอง
แต่ก็อาจปรึกษา จากคนทั่วไปที่มีประสบการณ์ก่อนด้วย ว่าทำแบบนี้ล้มง่ายใช่ไหม จะได้เลี่ยง ทำแบบนี้ขี่ท่านี้ทำให้ปั่นได้ไวกว่าท่านี้ใช่ไหม เป็นต้น
เป็นการเรียนรู้ไม่หยุด เร่งความสำเร็จขึ้น
ถ้าเขาไม่เคยหกล้มเลย แม้แต่นิดเดียว และไม่ขยันหาความรู้ จากรอบข้างเมื่อพลาด อาจไม่เก่งอย่างทุกวันนี้ก็ได้
ใน thaivi นี่ มีตัวอย่างให้เรียนรู้เยอะนะครับ เหมือนตำราสารพัด คุณจะเปิดใจรับรู้รับฟัง เก็บความรู้ไปลองหรือไม่แค่นั้นเอง
เก็บความรันทดไว้ในใต้ฝ่าเท้าซะ เพราะขนาดระดับปู่บัฟฟ์ ทุกวันนี้ ก็ยังสะดุดหกล้มบ้างเล็กๆ น้อยๆ ที่ว่าเก่งนักเก่งหนา ยังเคยขาดทุนในหุ้นบางตัวเป็นหลายพันล้านเหรียญ แม้แต่ปีก่อนๆ สดๆ ร้อนๆ 4-5 ปีที่ผ่านมาไม่นานนี่เอง (http://finance.yahoo.com/banking-budget ... t-mistakes) ยอมรับในรายงานประจำปีเลยว่าตัวเองพลาด เรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองลงทุนแบบ "โง่ๆ"
กระหายที่จะหาความรู้ และทำตัวให้โง่ (Stay hungry, stay foolish จำคำพูด อีตา steve jobs มา)
มาขยัน "โง่" กันเถอะครับ อย่าไปรันทด แล้วจะรุ่ง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 465
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 40
สำหรับผม การประสบความสำเร็จในการลงทุนคือ การบรรลุเป้าหมายในการลงทุนตามที่ตั้งเอาไว้
เป้าหมายในการลงทุนของผมคือ
- ผลตอบแทนตั้งแต่ 15% ขึ้นไปต่อปี
- ความสุขและความสนุกในการลงทุน
ถ้าผมบรรลุเป้าหมายทั้งสองอย่างนี้ ผมก็ถือว่าตัวผมประสบความสำเร็จในการลงทุนแล้ว
ส่วนคนอื่นจะคิดยังไง ก็คงอยู่ที่เป้าหมายของแต่ละคน
ผมไม่ได้ต้องการเป็นนักวิเคราะห์พื้นฐานหรือนักเศรษฐศาสตร์
ผมไม่ได้ต้องการเป็นนักวิเคราะห์เทคนิคหรือนักจิตวิทยามวลชน
แต่ผมเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งเอาไว้
เป้าหมายในการลงทุนของผมคือ
- ผลตอบแทนตั้งแต่ 15% ขึ้นไปต่อปี
- ความสุขและความสนุกในการลงทุน
ถ้าผมบรรลุเป้าหมายทั้งสองอย่างนี้ ผมก็ถือว่าตัวผมประสบความสำเร็จในการลงทุนแล้ว
ส่วนคนอื่นจะคิดยังไง ก็คงอยู่ที่เป้าหมายของแต่ละคน
ผมไม่ได้ต้องการเป็นนักวิเคราะห์พื้นฐานหรือนักเศรษฐศาสตร์
ผมไม่ได้ต้องการเป็นนักวิเคราะห์เทคนิคหรือนักจิตวิทยามวลชน
แต่ผมเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งเอาไว้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 411
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 41
อะไรคือเก่ง อะไรคือไม่เก่ง
1 ความรู้มาก แต่เล่นแบบอนุรักษ์ ถือหุ้นหลายตัว ไม่เล่นหุ้นp/eสูง ผลตอบแทน20%ต่อปี
ไม่ค่อยดูหน้าจอ ชีวิตราบเรียบสงบสุข ใช้เวลานับสิบปีกว่าจะรวย
2 ความรู้มาก อยากรวยเร็ว เล่นตัวเดียว แถมมาร์จิ้น ผลตอบแทน100%ต่อปี เวลาหุ้นตกเครียดนอนไม่หลับ เฝ้าหน้าจอตลอดเวลา เล่น3ปีก็รวยแล้ว
1กับ2 ใครเก่งกว่ากัน
จะบอกว่าเก่งต้องเทียบคนอื่นถึงจะบอกได้
เป้าหมายในชีวิตบางคนต้องการเป็นสุดยอดฝีมือ
คงหนีไม่พ้นการเปรียบเทียบ
แต่ผมขอเดินตามทางของตัวเองไม่เทียบกับใคร
ได้บ้างเสียบ้างขอแค่มีความสุข
ฉลาดบ้างโง่บ้างขอแค่มีความสุข
ไม่ใช่ที่หนึ่งแน่ๆเพราะไม่ใช่เป้าหมาย
ไม่รวยเร็วแน่ๆเพราะไม่ใช่วิธีการลงทุนของเรา
ขอแค่มีความสุขและชีวิตได้ทําประโยชน์บ้างก็พอแล้ว
1 ความรู้มาก แต่เล่นแบบอนุรักษ์ ถือหุ้นหลายตัว ไม่เล่นหุ้นp/eสูง ผลตอบแทน20%ต่อปี
ไม่ค่อยดูหน้าจอ ชีวิตราบเรียบสงบสุข ใช้เวลานับสิบปีกว่าจะรวย
2 ความรู้มาก อยากรวยเร็ว เล่นตัวเดียว แถมมาร์จิ้น ผลตอบแทน100%ต่อปี เวลาหุ้นตกเครียดนอนไม่หลับ เฝ้าหน้าจอตลอดเวลา เล่น3ปีก็รวยแล้ว
1กับ2 ใครเก่งกว่ากัน
จะบอกว่าเก่งต้องเทียบคนอื่นถึงจะบอกได้
เป้าหมายในชีวิตบางคนต้องการเป็นสุดยอดฝีมือ
คงหนีไม่พ้นการเปรียบเทียบ
แต่ผมขอเดินตามทางของตัวเองไม่เทียบกับใคร
ได้บ้างเสียบ้างขอแค่มีความสุข
ฉลาดบ้างโง่บ้างขอแค่มีความสุข
ไม่ใช่ที่หนึ่งแน่ๆเพราะไม่ใช่เป้าหมาย
ไม่รวยเร็วแน่ๆเพราะไม่ใช่วิธีการลงทุนของเรา
ขอแค่มีความสุขและชีวิตได้ทําประโยชน์บ้างก็พอแล้ว
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 395
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 43
สวัสดีครับหมอฝน ผมคิดว่าทำผลตอบแทนได้มากที่สุด(ไม่ว่าจะเป็นเปอร์เซ็นต์หรือตัวเงิน) ถือว่าเก่งที่สุดครับ มองที่ผลเป็นหลัก
ถ้าเราคิดกำไรบริษัทถูกแต่ราคาหุ้นไม่ขึ้นก็ไม่มีประโยชน์ หรือมองถูกซื้อถูก แต่ใช้เงินจำนวนน้อยซื้อ ทำให้ผลตอบแทนรวมไม่ขึ้นมากก็ไม่มีประโยชน์
แต่ผมไม่ได้หมายถึงว่าต้องเอาชนะใคร หรือต้องแข่งกับใครนะครับ ผมคิดว่าความสบายใจไม่เครียด สำคัญกว่าผลตอบแทนครับ
ถ้าเราคิดกำไรบริษัทถูกแต่ราคาหุ้นไม่ขึ้นก็ไม่มีประโยชน์ หรือมองถูกซื้อถูก แต่ใช้เงินจำนวนน้อยซื้อ ทำให้ผลตอบแทนรวมไม่ขึ้นมากก็ไม่มีประโยชน์
แต่ผมไม่ได้หมายถึงว่าต้องเอาชนะใคร หรือต้องแข่งกับใครนะครับ ผมคิดว่าความสบายใจไม่เครียด สำคัญกว่าผลตอบแทนครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 44
การได้ 20% ต่อปีระยะยาวหลายๆสิบปี เฉลี่ยรวมตลาดกระทิงและตลาดหมี สำหรับฝนยากมากมาย
ตลาดหุ้น 3-4 ปีที่ผ่านมาตลาดกระทิง บางครั้งนักลงทุนจึงคิดว่า 20% ต่อปีไม่สูงมาก
พี่ๆได้ 20% ต่อปีหลายๆสิบปี สุดยอดๆ
ปัจจัยหลักคือ ผลประกอบการ และ ราคาเหมาะสม
นอกจากคาดการณ์ผลประกอบการหรือแนวโน้มได้ค่อนข้างแม่นยำ
ราคาซื้อต้องเหมาะสมสำหรับบริษัทเชิงคุณภาพและปริมาณ
หลักการคือ Undervalue
ฟังดูสั้นๆ แต่ยากมาก ฮาๆๆๆ
ปล. ฝนไม่ได้ตั้งใจชวนคุยว่าใครเก่งกว่าใคร หรือ ใครมีความสุขกว่าใครเชียว
ขอโทษทีนะคะบางครั้งการสื่อสารทางเดียวอาจทำให้ประเด็นผิดเพี้ยนไปบ้าง
ตั้งใจจะแลกเปลี่ยนมุมมองการเรียนรู้ของพี่ๆค่ะ ฝนจะได้เอาไปพัฒนาตัวเองด้วย โย่วๆ
ตลาดหุ้น 3-4 ปีที่ผ่านมาตลาดกระทิง บางครั้งนักลงทุนจึงคิดว่า 20% ต่อปีไม่สูงมาก
พี่ๆได้ 20% ต่อปีหลายๆสิบปี สุดยอดๆ
ปัจจัยหลักคือ ผลประกอบการ และ ราคาเหมาะสม
นอกจากคาดการณ์ผลประกอบการหรือแนวโน้มได้ค่อนข้างแม่นยำ
ราคาซื้อต้องเหมาะสมสำหรับบริษัทเชิงคุณภาพและปริมาณ
หลักการคือ Undervalue
ฟังดูสั้นๆ แต่ยากมาก ฮาๆๆๆ
ปล. ฝนไม่ได้ตั้งใจชวนคุยว่าใครเก่งกว่าใคร หรือ ใครมีความสุขกว่าใครเชียว
ขอโทษทีนะคะบางครั้งการสื่อสารทางเดียวอาจทำให้ประเด็นผิดเพี้ยนไปบ้าง
ตั้งใจจะแลกเปลี่ยนมุมมองการเรียนรู้ของพี่ๆค่ะ ฝนจะได้เอาไปพัฒนาตัวเองด้วย โย่วๆ
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 45
คงไม่น่าเลวร้ายถึงขนาด 50 ปีหรอกครับ ผมเคยลองคิดเล่น ๆ นะครับ กว่าเราจะเรียนจบได้ปริญญาแต่ละใบ เราใช้เวลาเท่าไหร่ วุฒิการศึกษาที่เราได้มาอย่างเป็นทางการ เราใช้ประกอบอาชีพทำรายได้ให้เรา การที่เราลงทุนในหุ้นคือการนำเงินที่ได้จากงานหลักมาต่อยอด จะกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ก็แล้วแต่ เคยลองคิดกันไหมครับว่าเราให้เวลากับความรู้ด้านการลงทุนมากแค่ไหน สำหรับคนที่ให้เวลามากอยู่แล้วคงไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าเราให้เวลากับความรู้เหล่านี้น้อยเกินไป ถามว่ามันจะคุ้มค่าไหม??? เงินเดือนที่ได้มาก็คงหายไปกับตลาดหุ้นหมดsuperboy เขียน:อยากประสบความสำเร็จอย่างพี่ๆๆที่เขาทำมาแล้วบ้างจังง่ะ
แต่พอผมวัดระดับความรู้ตัวเองแล้ว สงสัย คงต้องใช้เวลาประมาณ 50ปีเป็นอย่างน้อย เซ็งชีวิต เลย
จะว่าไปการเรียนรู้ในห้องเรียนปีหนึ่งคือวิชาพื้นฐาน หลังจากนั้นก็เริ่มแยกไปตามสาขาที่เราชอบหรือถนัด ความรู้ทางการลงทุนผมเองก็มองเช่นกันว่า บางครั้งเราควรจะยอมเสียเวลาที่จะเรียนรู้เชิงกว้างไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอ่านงบการเงิน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หรือแม้แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิค ตรงนี้ผมมองว่ามันมีประโยชน์ในแง่ที่ว่า มันทำให้เราได้รู้ว่าเราถนัดแบบไหน ถ้าเราต่อยอดไปในแนวทางที่เราถนัดโอกาสประสบความสำเร็จมันก็น่าจะสูงกว่า ผมว่ามันคงเป็นเรื่องค่อนข้างยากที่เราจะเก่งในทุกแขนงของการลงทุน แต่ถ้าเราเลือกแนวทางที่เราคิดว่าเราชอบและถนัดจริง ๆ ผมว่าทุกคนน่าจะทำได้ดีครับ บางครั้งการเร่งที่จะ "ลงสนาม" โดยที่ความรู้ยังไม่มากพอ โอกาสบาดเจ็บมันก็สูงครับ เมื่อบาดเจ็บบ่อย ๆ ก็จะเกิดอาการ "แหยง" ไม่กล้าตัดสินใจ โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่ผิดวิธี "เห็นเค้าว่าดีก็ดีตาม" หรือต้องการเพียงหุ้นตัวไหนเป็น "หุ้นเด็ด" โดยไม่สนใจกระบวนการแนวคิดกว่าจะมาเป็นหุ้นเด็ด ซึ่งตรงนี้คือสิ่งที่สำคัญกว่าครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 46
การเล่นหุ้นเริ่มแรกของฝนและเชื่อว่าเป็นปัญหาของนักลงทุนมือใหม่คือ
การแยกประเภทของกลุ่มหุ้น
เริ่มแรกอ่านหนังสือ Peter Lynch
ท่านบอกว่ามีหุ้น Growth Stock,Cyclical Stock,Defensive Stock,Assets Play
เอ่อ...ฝนช่วงนั้นไปต่อไม่ค่อยถูกเลยค่ะ
ถ้าเหตุผลการซื้อคือ ตั้งใจลงทุนระยะยาว
ข้อผิดพลาดของฝนคือบางครั้งในภาวะตลาดหุ้นดี เศรษฐกิจดูดี ผลประกอบการณ์บริษัทดูดีมาก
คิดไปว่าเป็น Growth stock ที่มี DCA(durable competitive advantage)
หลังจากติดตามผลประกอบการ พอตลาดหมีมาเยือน จึงรู้ว่าหลายๆบริษัทยากลำบาก
ขนาดเป็นลูกหมีเหตุจากต่างประเทศขาดสภาพคล่อง แต่ถ้าเป็นจากประเทศเราเองฝนคงไม่ได้มาโพสวันนี้ ฮาๆๆ
การแยกประเภทของกลุ่มหุ้น
เริ่มแรกอ่านหนังสือ Peter Lynch
ท่านบอกว่ามีหุ้น Growth Stock,Cyclical Stock,Defensive Stock,Assets Play
เอ่อ...ฝนช่วงนั้นไปต่อไม่ค่อยถูกเลยค่ะ
ถ้าเหตุผลการซื้อคือ ตั้งใจลงทุนระยะยาว
ข้อผิดพลาดของฝนคือบางครั้งในภาวะตลาดหุ้นดี เศรษฐกิจดูดี ผลประกอบการณ์บริษัทดูดีมาก
คิดไปว่าเป็น Growth stock ที่มี DCA(durable competitive advantage)
หลังจากติดตามผลประกอบการ พอตลาดหมีมาเยือน จึงรู้ว่าหลายๆบริษัทยากลำบาก
ขนาดเป็นลูกหมีเหตุจากต่างประเทศขาดสภาพคล่อง แต่ถ้าเป็นจากประเทศเราเองฝนคงไม่ได้มาโพสวันนี้ ฮาๆๆ
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 47
ฝนจึงเริ่มคิดว่าหรือมันเป็นเพียง Economical cycle stock เท่านั้นเอง
แต่ Economical cycle stock กับ Growth stock หรือแม้แต่ commodities cycle stock ขาขึ้น
กับบริษัทที่มี DCA ต่างกันตรงไหน หรือว่าทุกอย่างเป็น Economical cycle หมด
แล้วฝนจะรู้ได้ยังไงว่าบริษัทใหนจะรอดจากวิกฤต หลังจากนั้นงานเข้าเลย
คิดไปคิดมา ตอนนั้นจึงยึดหลักของ Peter Kotler Five Force Model ท่านบอกว่าต้องมี
1 อำนาจต่อรองของลูกค้า
2 อำนาจต่อรองของ Supplier
3 การแข่งขันในอุตสาหกรรม
4 การคุกคามจากผู้แข่งขันหน้าใหม่
5 การคุกคามจากสินค้าทดแทน
จึงเกิดคิดต่อว่า 5 Force model ของท่าน Kotler จะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทมีสิ่งนั้น
หลังจากถอยออกมาหนึ่งก้าวมองกลับไปที่ 5 ข้อ 5 Force
ฝนจึงเห็นว่า แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ อำนาจต่อรอง และ ความสามารถในการแข่งขัน
ฝนจึงสรุปเอาเองว่า บริษัทที่มี DCA คือบริษัทต้องมี
- Strategic competitive advantage
- Cash Flow
- Market Share
คือต้องมี กลยุทธในการเติบโต กระแสเงินสด การเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด
เป็นมุมมองฝนต่อเงื่อนไขบริษัทที่ฝนต้องการลงทุนระยะยาวนะคะ (แต่ระยะสั้น เก็งกำไรไม่ได้ดูขนาดนี้ค่ะ ฮาๆ )
รอพี่ๆมาแลกเปลี่ยนวิธีการดูของพี่ๆค่ะ ^^
ตลาดหมีรอบที่ผ่านมาเกิดจากต่างประเทศขาดสภาพคล่องจึงขายสินทรัพย์ทำให้ราคาลง
ฝนรอดมาได้เพราะฟลุคเลย แต่ถ้าเกิดจากประเทศไทย....คงยากลำบาก
แต่ Economical cycle stock กับ Growth stock หรือแม้แต่ commodities cycle stock ขาขึ้น
กับบริษัทที่มี DCA ต่างกันตรงไหน หรือว่าทุกอย่างเป็น Economical cycle หมด
แล้วฝนจะรู้ได้ยังไงว่าบริษัทใหนจะรอดจากวิกฤต หลังจากนั้นงานเข้าเลย
คิดไปคิดมา ตอนนั้นจึงยึดหลักของ Peter Kotler Five Force Model ท่านบอกว่าต้องมี
1 อำนาจต่อรองของลูกค้า
2 อำนาจต่อรองของ Supplier
3 การแข่งขันในอุตสาหกรรม
4 การคุกคามจากผู้แข่งขันหน้าใหม่
5 การคุกคามจากสินค้าทดแทน
จึงเกิดคิดต่อว่า 5 Force model ของท่าน Kotler จะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทมีสิ่งนั้น
หลังจากถอยออกมาหนึ่งก้าวมองกลับไปที่ 5 ข้อ 5 Force
ฝนจึงเห็นว่า แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ อำนาจต่อรอง และ ความสามารถในการแข่งขัน
ฝนจึงสรุปเอาเองว่า บริษัทที่มี DCA คือบริษัทต้องมี
- Strategic competitive advantage
- Cash Flow
- Market Share
คือต้องมี กลยุทธในการเติบโต กระแสเงินสด การเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด
เป็นมุมมองฝนต่อเงื่อนไขบริษัทที่ฝนต้องการลงทุนระยะยาวนะคะ (แต่ระยะสั้น เก็งกำไรไม่ได้ดูขนาดนี้ค่ะ ฮาๆ )
รอพี่ๆมาแลกเปลี่ยนวิธีการดูของพี่ๆค่ะ ^^
ตลาดหมีรอบที่ผ่านมาเกิดจากต่างประเทศขาดสภาพคล่องจึงขายสินทรัพย์ทำให้ราคาลง
ฝนรอดมาได้เพราะฟลุคเลย แต่ถ้าเกิดจากประเทศไทย....คงยากลำบาก
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
- getkung
- Verified User
- โพสต์: 286
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 48
ต่างกับของ Michael E. Porter มั๊ยครับ ผมว่ามันเหมือนกันเลย หรือว่ามันต่างกันตรงไหนป่าวครับFon^^ เขียน: คิดไปคิดมา ตอนนั้นจึงยึดหลักของ Peter Kotler Five Force Model ท่านบอกว่าต้องมี
1 อำนาจต่อรองของลูกค้า
2 อำนาจต่อรองของ Supplier
3 การแข่งขันในอุตสาหกรรม
4 การคุกคามจากผู้แข่งขันหน้าใหม่
5 การคุกคามจากสินค้าทดแทน
ซักวันหนึ่ง port จะโต๊ port จะโต
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 49
ฝนปล่อยไก่ตัวใหญ่getkung เขียน:ต่างกับของ Michael E. Porter มั๊ยครับ ผมว่ามันเหมือนกันเลย หรือว่ามันต่างกันตรงไหนป่าวครับฝน เขียน:คิดไปคิดมา ตอนนั้นจึงยึดหลักของ Peter Kotler Five Force Model ท่านบอกว่าต้องมี
ขอโทษทีค่ะ อยู่เวรติดกันหลายวันแล้วก็พิมพ์สดระหว่างว่าง
พี่getkung มาแก้ให้ขอบคุณค่ะ เย่ๆๆ
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
- iluckyhappy
- Verified User
- โพสต์: 72
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 50
ผมว่าอยู่ กับความพอดี พอเพียง เป็นที่ตั้ง ครับ การลงทุน มีหลายทฤษฎี
ไม่มีใครถูกใครผิด แล้วแต่ว่าเรา นำไปใช้ แล้วเหมาะสมกับเรามากที่สุด
ผมว่า เสาร์ที่ 13 สค นี้ "ธรรมะกับการลงทุน" เป็นหัวข้อที่น่าจะตอบ ได้
ทุกทฤษฎี อะเปล่า ไม่รู้ !!!
-------------------------------------------------------------------------
ความสุข ความมั่งคั่ง อยู่ที่เราเป็นคนกำหนด
ไม่มีใครถูกใครผิด แล้วแต่ว่าเรา นำไปใช้ แล้วเหมาะสมกับเรามากที่สุด
ผมว่า เสาร์ที่ 13 สค นี้ "ธรรมะกับการลงทุน" เป็นหัวข้อที่น่าจะตอบ ได้
ทุกทฤษฎี อะเปล่า ไม่รู้ !!!
-------------------------------------------------------------------------
ความสุข ความมั่งคั่ง อยู่ที่เราเป็นคนกำหนด
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 51
ไม่เป็นไรครับคุณหมอFon^^ เขียน:ฝนปล่อยไก่ตัวใหญ่getkung เขียน:ต่างกับของ Michael E. Porter มั๊ยครับ ผมว่ามันเหมือนกันเลย หรือว่ามันต่างกันตรงไหนป่าวครับฝน เขียน:คิดไปคิดมา ตอนนั้นจึงยึดหลักของ Peter Kotler Five Force Model ท่านบอกว่าต้องมี
ขอโทษทีค่ะ อยู่เวรติดกันหลายวันแล้วก็พิมพ์สดระหว่างว่าง
พี่getkung มาแก้ให้ขอบคุณค่ะ เย่ๆๆ
จะเป็นไก่ตัวใหญ่หรือไก่ตัวเล็ก
ก็ได้บุญครับ
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <( ̄︶ ̄)> ...
-
- Verified User
- โพสต์: 551
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 52
ชอบประโยคนี้นะ และขอเพิ่มTibular เขียน:"It doesn't matter how slowly you go as long as you don't stop." "
ศรัทธา ความเชื่อ ความมุ่งมั่น อดทน ไตร่ตรอง รู้เขา รู้เรา และ It's (normalized) earnings that count ของคุณ Blueblood.
-
- Verified User
- โพสต์: 551
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 53
แสดงว่าคุณหมอฝนซื้อแล้วถือไม่ค่อยขายตามสไตล์ของ Buffet และ ดร.นิเวศน์ หรือป่าวครับ มองระยะยาว ให้ port โตไปกับกิจการอย่างยั่งยืน นั่นคือมองหาผู้ชนะในระยะยาว โดยดู Qualitative analysis เป็นหลักหรือป่าวครับFon^^ เขียน: เป็นมุมมองฝนต่อเงื่อนไขบริษัทที่ฝนต้องการลงทุนระยะยาวนะคะ (แต่ระยะสั้น เก็งกำไรไม่ได้ดูขนาดนี้ค่ะ ฮาๆ )
รอพี่ๆมาแลกเปลี่ยนวิธีการดูของพี่ๆค่ะ ^^
ตลาดหมีรอบที่ผ่านมาเกิดจากต่างประเทศขาดสภาพคล่องจึงขายสินทรัพย์ทำให้ราคาลง
ฝนรอดมาได้เพราะฟลุคเลย แต่ถ้าเกิดจากประเทศไทย....คงยากลำบาก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 54
ฝนมีทั้งลงทุน แต่ก็มีเก็งกำไรกลุ่ม commodities หรือ economical cycle บ้างviim เขียน:แสดงว่าคุณหมอฝนซื้อแล้วถือไม่ค่อยขายตามสไตล์ของ Buffet และ ดร.นิเวศน์ หรือป่าวครับ มองระยะยาว ให้ port โตไปกับกิจการอย่างยั่งยืน นั่นคือมองหาผู้ชนะในระยะยาว โดยดู Qualitative analysis เป็นหลักหรือป่าวครับ
ถ้าจังหวะสวยๆเข้ามาจังๆ ฝนทำหมดค่ะ
แต่ต้องรู้ตัวเองว่าฝนกำลังทำอะไร ลงทุน หรือ เก็งกำไร จริงๆมันมีแค่เส้นบางๆแบ่งใว้
มุมมองข้างบนเป็นเงื่อนไขการคัดหุ้นส่วนลงทุนระยะยาวของฝนค่ะ
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
-
- Verified User
- โพสต์: 2141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 55
คนที่คุณ fon พูดผิดถึงนี่คือ philip kotler ด้วยป่าวครับ พอดีไม่เคยเห็น peter kotler คนละคนหรือเค้าชื่อนี่ด้วยครับFon^^ เขียน:ฝนปล่อยไก่ตัวใหญ่getkung เขียน:ต่างกับของ Michael E. Porter มั๊ยครับ ผมว่ามันเหมือนกันเลย หรือว่ามันต่างกันตรงไหนป่าวครับฝน เขียน:คิดไปคิดมา ตอนนั้นจึงยึดหลักของ Peter Kotler Five Force Model ท่านบอกว่าต้องมี
ขอโทษทีค่ะ อยู่เวรติดกันหลายวันแล้วก็พิมพ์สดระหว่างว่าง
พี่getkung มาแก้ให้ขอบคุณค่ะ เย่ๆๆ
peter นี่ peter drucker ป่าวครับ หลายคนอาจงงเป็นเรื่องธรรมดา ผมยังไม่แน่ใจเลยเหมือนกัน อิอิ
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
A ttitude & Perception
D isclipine
-
- Verified User
- โพสต์: 551
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 56
ยอดเยี่ยมเลยครับFon^^ เขียน:ฝนมีทั้งลงทุน แต่ก็มีเก็งกำไรกลุ่ม commodities หรือ economical cycle บ้างviim เขียน:แสดงว่าคุณหมอฝนซื้อแล้วถือไม่ค่อยขายตามสไตล์ของ Buffet และ ดร.นิเวศน์ หรือป่าวครับ มองระยะยาว ให้ port โตไปกับกิจการอย่างยั่งยืน นั่นคือมองหาผู้ชนะในระยะยาว โดยดู Qualitative analysis เป็นหลักหรือป่าวครับ
ถ้าจังหวะสวยๆเข้ามาจังๆ ฝนทำหมดค่ะ
แต่ต้องรู้ตัวเองว่าฝนกำลังทำอะไร ลงทุน หรือ เก็งกำไร จริงๆมันมีแค่เส้นบางๆแบ่งใว้
มุมมองข้างบนเป็นเงื่อนไขการคัดหุ้นส่วนลงทุนระยะยาวของฝนค่ะ
- kabu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 57
ยกนิ้วให้ครับFon^^ เขียน:ฝนมีทั้งลงทุน แต่ก็มีเก็งกำไรกลุ่ม commodities หรือ economical cycle บ้างviim เขียน:แสดงว่าคุณหมอฝนซื้อแล้วถือไม่ค่อยขายตามสไตล์ของ Buffet และ ดร.นิเวศน์ หรือป่าวครับ มองระยะยาว ให้ port โตไปกับกิจการอย่างยั่งยืน นั่นคือมองหาผู้ชนะในระยะยาว โดยดู Qualitative analysis เป็นหลักหรือป่าวครับ
ถ้าจังหวะสวยๆเข้ามาจังๆ ฝนทำหมดค่ะ
แต่ต้องรู้ตัวเองว่าฝนกำลังทำอะไร ลงทุน หรือ เก็งกำไร จริงๆมันมีแค่เส้นบางๆแบ่งใว้
มุมมองข้างบนเป็นเงื่อนไขการคัดหุ้นส่วนลงทุนระยะยาวของฝนค่ะ
"หนทางเดียวที่จะก้าวพ้นขอบเขตของความเป็นไปได้ คือก้าวเข้าสู่ความเป็นไปไม่ได้", Arthur C. Clarke
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 58
การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานคุณฝนทำได้ดีมากๆอยู่แล้วคับ ถ้าผมคิดไม่ผิดสิ่งที่คุณฝนอยากพัฒนาน่าจะเป็นทางเทคนิคถ้าใช่เรื่องpriceในทางเทคนิคที่คุณฝนเขียนลองต่อท้ายด้วยคำว่าActionดูสิคับ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 59
การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานคุณฝนทำได้ดีมากๆอยู่แล้วคับ ถ้าผมคิดไม่ผิดสิ่งที่คุณฝนอยากพัฒนาน่าจะเป็นทางเทคนิคถ้าใช่เรื่องpriceในทางเทคนิคที่คุณฝนเขียนลองต่อท้ายด้วยคำว่าActionดูสิคับ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ชวนคุยค่ะ ^^
โพสต์ที่ 60
ขอบคุณทุกๆ ท่าน และคุณหมอฝนมากนะครับ
ได้มุมมองใหม่เยอะเลย ^^
ส่วนตัว ผมคิดว่าการวัดผลนั้นสำคัญครับ และจำเป็นต้องทำให้ชัดเจน
เพราะถ้าตั้งไว้ไม่ชัดเจน เราจะกำหนดทิดทางการลงทุนของเราไม่ถูกเลย
และจะเสียเวลาอย่างมากในการเดินสู่เป้าหมายของเรา
แน่นอนครับว่าเรื่องนี้ เกี่ยวพันกับจุดมุ่งหมายในการลงทุนของเราอย่างแน่นอน
เกณฑ์การณ์วัดผล จึงสามารถมีได้หลากหลาย ตามจุดมุ่งหมายของเราด้วย
บางคนก็เลือกวัดผลจากการเติบโตของพอร์ท
บางคนก็เลือกวัดผลจากผลประกอบการของบริษัทที่ลงทุน
บางคนก็เลือกวัดผลจากความแม่นยำในการวิเคราะห์ของตัวเอง
บางคนก็เลือกวัดผลจากจำนวนเงินปันผลที่ได้รับ
บางคนก็เลือกวัดผลจากราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นลง
บางคนก็วัดผลจากความสบายใจของตนเองและครอบครัว
ฯลฯ
ส่วนตัวผมก็คิดว่ามันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะเลือกวัดผลยังไง
อาจจะวัดจากหลายๆ ข้อก็ยังได้
เราอาจจะเลือกวิธีการลงทุนก่อน แล้วจึงเลือกวิธีการวัดผล
หรือเลือกวิธีการวัดผล แล้วจึงเลือกวิธีการลงทุน ก็ทำได้
แต่ที่สำคัญคือ เราเลือกวิธีการวัดผลได้เหมาะสมกับวิธีการลงทุนของเราหรือเปล่า
ได้มุมมองใหม่เยอะเลย ^^
ส่วนตัว ผมคิดว่าการวัดผลนั้นสำคัญครับ และจำเป็นต้องทำให้ชัดเจน
เพราะถ้าตั้งไว้ไม่ชัดเจน เราจะกำหนดทิดทางการลงทุนของเราไม่ถูกเลย
และจะเสียเวลาอย่างมากในการเดินสู่เป้าหมายของเรา
แน่นอนครับว่าเรื่องนี้ เกี่ยวพันกับจุดมุ่งหมายในการลงทุนของเราอย่างแน่นอน
เกณฑ์การณ์วัดผล จึงสามารถมีได้หลากหลาย ตามจุดมุ่งหมายของเราด้วย
บางคนก็เลือกวัดผลจากการเติบโตของพอร์ท
บางคนก็เลือกวัดผลจากผลประกอบการของบริษัทที่ลงทุน
บางคนก็เลือกวัดผลจากความแม่นยำในการวิเคราะห์ของตัวเอง
บางคนก็เลือกวัดผลจากจำนวนเงินปันผลที่ได้รับ
บางคนก็เลือกวัดผลจากราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นลง
บางคนก็วัดผลจากความสบายใจของตนเองและครอบครัว
ฯลฯ
ส่วนตัวผมก็คิดว่ามันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะเลือกวัดผลยังไง
อาจจะวัดจากหลายๆ ข้อก็ยังได้
เราอาจจะเลือกวิธีการลงทุนก่อน แล้วจึงเลือกวิธีการวัดผล
หรือเลือกวิธีการวัดผล แล้วจึงเลือกวิธีการลงทุน ก็ทำได้
แต่ที่สำคัญคือ เราเลือกวิธีการวัดผลได้เหมาะสมกับวิธีการลงทุนของเราหรือเปล่า