หุ้นตก…จะทำอย่างไร? : มนตรี นิพิฐวิทยา
- Rocker
- Verified User
- โพสต์: 4886
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นตก…จะทำอย่างไร? : มนตรี นิพิฐวิทยา
โพสต์ที่ 1
เจอบทความเก่า ของ ป๋า มนตรีครับ อ่านทวนแล้ว
คิดว่ามีประโยชน์ต่อเพื่อนๆในสถาณการณ์ ปัจจุบัน จึงนํามาฝากครับ
หุ้นตก…จะทำอย่างไร?
Value Way
มนตรี นิพิฐวิทยา
หลายท่านเห็นหัวเรื่องแล้วอาจคิดว่า เขียนเรื่องอะไร ไม่เข้ากับบรรยากาศเลย!
จริงครับระยะนี้หุ้นขึ้นทุกวัน จะปรับลดลงบ้างก็เล็กน้อย ถือเป็นการขายทำกำไรเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้ายังจำกันได้ถึงบรรยากาศตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้แน่ๆว่า มันอึดอัดรำคาญใจอย่างที่สุด..!
ว่าไปแล้วหุ้นขึ้นก็ต้องมีลง ลงแล้วมันก็ต้องขึ้น เป็นอย่างนี้เรื่อยมา จะมีก็แต่เพียงระยะเวลาที่ขึ้นและลงเท่านั้นที่ไม่แน่นอน
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่คุยกันได้อย่างไม่เสียบรรยากาศอย่างแน่นอนครับ
สำหรับ Value Investor แล้ว การขึ้นลงของหุ้นถือเป็นเรื่องปกติครับ Value investor เชื่อว่า การขึ้นหรือลงของหุ้นในระยะยาวเกิดจาก ปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ และการขึ้นลงของหุ้นในระยะสั้นเกิดจาก “ความโลภ” และ “ความกลัว” ของนักลงทุน เมื่อความโลภเกิดขึ้นจากการที่ได้เห็นหุ้นขึ้นต่อเนื่องก็เข้าซื้อมากขึ้น ทำให้หุ้นยิ่งขึ้นจนในที่สุดก็เกิดความกลัวก็ขายออกทำกำไร
แต่หากกลัวมากถึงขั้นตกใจ อย่างที่นักวิเคราะห์เรียกว่า “Panic” กันอย่างช่วงที่มีไข้หวัดนก หรือเหตุการณ์ 911 นักลงทุนก็จะรีบขายหุ้นออก เราก็จะเห็นหุ้นตกกันอย่างรุนแรงทีเดียว
Value Investor หลายท่านมักเห็นโอกาสตอนที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันมาก่อน จนทำให้เกิดอาการตกใจขายหุ้นออกมาเป็นโอกาสลงทุนชั้นดี ถือเป็นมหกรรมลดราคากันเลยก็ว่าได้ครับ
ผมขอยกตัวอย่างเพื่อนของผมท่านหนึ่ง ท่านนี้ถือหุ้นอยู่บริษัทหนึ่ง ถือมานานมาก เนื่องจากมั่นใจในพื้นฐาน พอเกิดเหตุการณ์ 911 ท่านชิงขายก่อนเลยครับ เหตุเพราะกลัวว่าหุ้นที่ถืออยู่จะตกไปกับเขาด้วย
ผลออกมา ก็คือ ท่านคาดการณ์ได้ถูกครับ มันตกลงมาจริงๆ คือตกมาประมาณ 3%เห็นจะได้ครับ แต่ที่มันตกลงมานั้น เป็นเพราะท่านกับนักลงทุนอีกไม่กี่คนขายออกมา เนื่องจากปริมาณการซื้อขายน้อยมาก และในวันต่อมาราคาก็ปรับตัวกลับมาที่เดิม และแถมปรับขึ้นไปอีกต่างหาก
แต่ท่านก็ยังไม่ได้ซื้อกลับ เพราะยังไม่แน่ใจสถานการณ์ พอท่านหันมาดูหุ้นนี้อีกที ราคาปรับขึ้นสูงกว่าที่ท่านขายออกไปพอสมควร ทีนี้เกิดอาการตกใจซื้อเลย และหุ้นบริษัทนี้ก็ปรับตัวขึ้นตลอดมา
อีกตัวอย่างหนึ่งครับ มีหุ้นอยู่บริษัทหนึ่งราคาได้ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อปี 2546 จนต้นปี 2547 จากนั้นตลาดหุ้นก็ตกเรื่อยมา พาเอาราคาหุ้นบริษัทนี้ลดลงมาด้วย เพื่อนผมท่านนี้เห็นว่า ราคาลงมามากแล้วเลยเข้าซื้อครับ ปรากฏว่า ซื้อได้ราคาถูกแล้วก็ยังมีถูกกว่าอีก ตอนนี้ก็ยังถูกเหมือนเดิม…
อย่างที่กล่าวไว้ครับว่า Value Investor เชื่อว่า หุ้นขึ้นลงในระยะยาวเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานของกิจการนั้นๆเป็นสำคัญ ดังนั้น Value Investor มักจะไม่สนใจราคาหุ้นรายวันหรือในระยะสั้นๆ เป็นอันขาด
พวกเขาจะสนใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐานที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของกิจการในระยะยาว เช่น ความสามารถในการแข่งขัน ความสามารถในการทำกำไร และการขยายตลาด ฯลฯ
Value Investor เชื่อในเรื่องมูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของกิจการ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยพื้นฐานของกิจการนั่นเอง
สำหรับผมแล้ว เคยครับ!
ตกไปเกือบ 50% สิ่งที่ต้องทำก็คือ ต้องตรวจสอบพื้นฐานของกิจการใหม่แล้วครับว่า มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่กระทบมูลค่ากิจการขนาดนี้ หากไม่พบว่ามีอะไรกระทบเลย พื้นฐานคงเดิม นั่นคือโอกาสซื้อหุ้นเพิ่มในราคา “ส่วนลด” หากมีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยพื้นฐานก็ต้อง “ขายทิ้ง”
ตัดสินใจพลาดต้องแก้ไขทันทีครับ
ท่านเชื่อไหมว่าในยามที่หุ้นตก ตลาดหุ้นซบเซา นักลงทุนหลายรายอยากขายหุ้นกันนั้น ยังมีหุ้นพื้นฐานดีๆ ราคาเหมาะสมให้เลือกลงทุนอย่างมากมาย บางท่านอยากให้หุ้นตกนานๆ เพราะรอเอาเงินปันผล หรือสะสมเงินมาซื้อหุ้นราคาถูกๆ เก็บไว้เพิ่มอีก และกลัวว่ามันลงและจะขึ้นมาก่อนจะได้ปันผลและสะสมเงินมาซื้อหุ้นเพิ่มได้ทัน
จะว่าไปแล้ว การเห็นหุ้นลงแล้วกระโดดโลดเต้นดีใจ มันก็คงแปลกอยู่สักหน่อย
แต่คุณๆเชื่อไหมครับว่า ในวิกฤตินั้นมักมีโอกาสอยู่เสมอ!
คิดว่ามีประโยชน์ต่อเพื่อนๆในสถาณการณ์ ปัจจุบัน จึงนํามาฝากครับ
หุ้นตก…จะทำอย่างไร?
Value Way
มนตรี นิพิฐวิทยา
หลายท่านเห็นหัวเรื่องแล้วอาจคิดว่า เขียนเรื่องอะไร ไม่เข้ากับบรรยากาศเลย!
จริงครับระยะนี้หุ้นขึ้นทุกวัน จะปรับลดลงบ้างก็เล็กน้อย ถือเป็นการขายทำกำไรเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้ายังจำกันได้ถึงบรรยากาศตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้แน่ๆว่า มันอึดอัดรำคาญใจอย่างที่สุด..!
ว่าไปแล้วหุ้นขึ้นก็ต้องมีลง ลงแล้วมันก็ต้องขึ้น เป็นอย่างนี้เรื่อยมา จะมีก็แต่เพียงระยะเวลาที่ขึ้นและลงเท่านั้นที่ไม่แน่นอน
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่คุยกันได้อย่างไม่เสียบรรยากาศอย่างแน่นอนครับ
สำหรับ Value Investor แล้ว การขึ้นลงของหุ้นถือเป็นเรื่องปกติครับ Value investor เชื่อว่า การขึ้นหรือลงของหุ้นในระยะยาวเกิดจาก ปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ และการขึ้นลงของหุ้นในระยะสั้นเกิดจาก “ความโลภ” และ “ความกลัว” ของนักลงทุน เมื่อความโลภเกิดขึ้นจากการที่ได้เห็นหุ้นขึ้นต่อเนื่องก็เข้าซื้อมากขึ้น ทำให้หุ้นยิ่งขึ้นจนในที่สุดก็เกิดความกลัวก็ขายออกทำกำไร
แต่หากกลัวมากถึงขั้นตกใจ อย่างที่นักวิเคราะห์เรียกว่า “Panic” กันอย่างช่วงที่มีไข้หวัดนก หรือเหตุการณ์ 911 นักลงทุนก็จะรีบขายหุ้นออก เราก็จะเห็นหุ้นตกกันอย่างรุนแรงทีเดียว
Value Investor หลายท่านมักเห็นโอกาสตอนที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันมาก่อน จนทำให้เกิดอาการตกใจขายหุ้นออกมาเป็นโอกาสลงทุนชั้นดี ถือเป็นมหกรรมลดราคากันเลยก็ว่าได้ครับ
ผมขอยกตัวอย่างเพื่อนของผมท่านหนึ่ง ท่านนี้ถือหุ้นอยู่บริษัทหนึ่ง ถือมานานมาก เนื่องจากมั่นใจในพื้นฐาน พอเกิดเหตุการณ์ 911 ท่านชิงขายก่อนเลยครับ เหตุเพราะกลัวว่าหุ้นที่ถืออยู่จะตกไปกับเขาด้วย
ผลออกมา ก็คือ ท่านคาดการณ์ได้ถูกครับ มันตกลงมาจริงๆ คือตกมาประมาณ 3%เห็นจะได้ครับ แต่ที่มันตกลงมานั้น เป็นเพราะท่านกับนักลงทุนอีกไม่กี่คนขายออกมา เนื่องจากปริมาณการซื้อขายน้อยมาก และในวันต่อมาราคาก็ปรับตัวกลับมาที่เดิม และแถมปรับขึ้นไปอีกต่างหาก
แต่ท่านก็ยังไม่ได้ซื้อกลับ เพราะยังไม่แน่ใจสถานการณ์ พอท่านหันมาดูหุ้นนี้อีกที ราคาปรับขึ้นสูงกว่าที่ท่านขายออกไปพอสมควร ทีนี้เกิดอาการตกใจซื้อเลย และหุ้นบริษัทนี้ก็ปรับตัวขึ้นตลอดมา
อีกตัวอย่างหนึ่งครับ มีหุ้นอยู่บริษัทหนึ่งราคาได้ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อปี 2546 จนต้นปี 2547 จากนั้นตลาดหุ้นก็ตกเรื่อยมา พาเอาราคาหุ้นบริษัทนี้ลดลงมาด้วย เพื่อนผมท่านนี้เห็นว่า ราคาลงมามากแล้วเลยเข้าซื้อครับ ปรากฏว่า ซื้อได้ราคาถูกแล้วก็ยังมีถูกกว่าอีก ตอนนี้ก็ยังถูกเหมือนเดิม…
อย่างที่กล่าวไว้ครับว่า Value Investor เชื่อว่า หุ้นขึ้นลงในระยะยาวเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานของกิจการนั้นๆเป็นสำคัญ ดังนั้น Value Investor มักจะไม่สนใจราคาหุ้นรายวันหรือในระยะสั้นๆ เป็นอันขาด
พวกเขาจะสนใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐานที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของกิจการในระยะยาว เช่น ความสามารถในการแข่งขัน ความสามารถในการทำกำไร และการขยายตลาด ฯลฯ
Value Investor เชื่อในเรื่องมูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของกิจการ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยพื้นฐานของกิจการนั่นเอง
สำหรับผมแล้ว เคยครับ!
ตกไปเกือบ 50% สิ่งที่ต้องทำก็คือ ต้องตรวจสอบพื้นฐานของกิจการใหม่แล้วครับว่า มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่กระทบมูลค่ากิจการขนาดนี้ หากไม่พบว่ามีอะไรกระทบเลย พื้นฐานคงเดิม นั่นคือโอกาสซื้อหุ้นเพิ่มในราคา “ส่วนลด” หากมีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยพื้นฐานก็ต้อง “ขายทิ้ง”
ตัดสินใจพลาดต้องแก้ไขทันทีครับ
ท่านเชื่อไหมว่าในยามที่หุ้นตก ตลาดหุ้นซบเซา นักลงทุนหลายรายอยากขายหุ้นกันนั้น ยังมีหุ้นพื้นฐานดีๆ ราคาเหมาะสมให้เลือกลงทุนอย่างมากมาย บางท่านอยากให้หุ้นตกนานๆ เพราะรอเอาเงินปันผล หรือสะสมเงินมาซื้อหุ้นราคาถูกๆ เก็บไว้เพิ่มอีก และกลัวว่ามันลงและจะขึ้นมาก่อนจะได้ปันผลและสะสมเงินมาซื้อหุ้นเพิ่มได้ทัน
จะว่าไปแล้ว การเห็นหุ้นลงแล้วกระโดดโลดเต้นดีใจ มันก็คงแปลกอยู่สักหน่อย
แต่คุณๆเชื่อไหมครับว่า ในวิกฤตินั้นมักมีโอกาสอยู่เสมอ!
- awesomekid
- Verified User
- โพสต์: 94
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นตก…จะทำอย่างไร? : มนตรี นิพิฐวิทยา
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณครับ
====================================
เก็บเล็กผสมน้อยมาลงทุน เพื่ออนาคตอันเป็นอิสระ
====================================
เก็บเล็กผสมน้อยมาลงทุน เพื่ออนาคตอันเป็นอิสระ
====================================
- kotaro
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1496
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นตก…จะทำอย่างไร? : มนตรี นิพิฐวิทยา
โพสต์ที่ 7
เชื่อครับแต่คุณๆเชื่อไหมครับว่า ในวิกฤตินั้นมักมีโอกาสอยู่เสมอ!
ภาษาจีน วิกฤติ พูดว่า "เหว่ยจี" ซึ่ง เหว่ย มาจาก เหว่ยเสี่ยน และ จี มาจาก จีฮุ่ย 2 คำมาผสมกัน
เหว่ยเสี่ยน แปลว่า อันตราย
จีฮุ่ย แปลว่า โอกาส
ดังนั้นคำพูดว่า วิกฤต ก็คือว่า อันตราย + โอกาส
แล้วแต่มุมมองใครที่จะมองเห็น บางคนเลือกที่จะมองแต่อันตราย บางคนก็เลือกที่จะมองแต่โอกาส
“Laughter is timeless. Imagination has no age. And dreams are forever.” ― Walt Disney Company
- Rocker
- Verified User
- โพสต์: 4886
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นตก…จะทำอย่างไร? : มนตรี นิพิฐวิทยา
โพสต์ที่ 8
โอกาส มี แต่เราจะมี กระสุนที่จะ คว้า โอกาส นั้นหรือ เปล่า เพราะ คน ส่วนใหญ่ เงินลงทุนจะอยู่ในหุ้น
แต่ถ้าใคร มี กระสุน มี Cashflow เข้ามาเรื่อยๆ หรือ Cut Loss ทันก็โชคดีไป ครับ ผมจําตอน Subprime ได้เลย หุ้นลงวันละ 30-40 จุด ติดๆกัน เห็นแล้วยังฝังใจเลย มันลงเร็วและแรงมากๆ มีเด้งแต่เด้งเพื่อลงต่อ
หนักกว่า 100 จุดมาก ครับ แต่ 100 จุด จําได้ว่า หุ้นลงแบบ หา Bid ไม่เจอ มีแต่ Volume ขาย เคาะขวาแทบไม่เจอวันนั้นเหมือนตลาดพังเลย บ้านเราโดน Circuit Breaker ไป 2 ครั้งมั้ง พอวันรุ่งขึ้น หม่อมอุ๋ย ประกาศยกเลิกมาตราการหักเงินสํารอง หุ้นก็ขึ้นกลับมา ปกติ ใครที่ใจกล้าซื้อ วัน 100 จุด ก็ได้ผลตอบแทนสําหรับความใจกล้าในวันถัดมา
แต่ถ้าใคร มี กระสุน มี Cashflow เข้ามาเรื่อยๆ หรือ Cut Loss ทันก็โชคดีไป ครับ ผมจําตอน Subprime ได้เลย หุ้นลงวันละ 30-40 จุด ติดๆกัน เห็นแล้วยังฝังใจเลย มันลงเร็วและแรงมากๆ มีเด้งแต่เด้งเพื่อลงต่อ
หนักกว่า 100 จุดมาก ครับ แต่ 100 จุด จําได้ว่า หุ้นลงแบบ หา Bid ไม่เจอ มีแต่ Volume ขาย เคาะขวาแทบไม่เจอวันนั้นเหมือนตลาดพังเลย บ้านเราโดน Circuit Breaker ไป 2 ครั้งมั้ง พอวันรุ่งขึ้น หม่อมอุ๋ย ประกาศยกเลิกมาตราการหักเงินสํารอง หุ้นก็ขึ้นกลับมา ปกติ ใครที่ใจกล้าซื้อ วัน 100 จุด ก็ได้ผลตอบแทนสําหรับความใจกล้าในวันถัดมา