ทีทีอาร์ระบุ เบี้ยประกันชีวิตไทยสูงกว่าต่างประเทศ 10 เท่า
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
ทีทีอาร์ระบุ เบี้ยประกันชีวิตไทยสูงกว่าต่างประเทศ 10 เท่า
โพสต์ที่ 1
ขีดเส้น30ก.ย.นี้ TTRสั่งคปภ.แจง เบี้ยประกันแพง
เศรษฐกิจ 23 กันยายน 2554 - 00:00
ทีทีอาร์ขีดเส้น 30 ก.ย. สั่ง คปภ.แจงเบี้ยประกันชีวิตไทยสูงกว่าต่างประเทศ 10 เท่า
นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์ ผู้แทนการค้าไทย (ทีทีอาร์) เปิดเผยว่า ทีทีอาร์ได้หารือกับนางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในเรื่องการเปิดเสรีธุรกิจประกันภัย และได้ให้ไปเจรจากับบริษัทประกันชีวิตของไทยที่มีกว่า 25 บริษัท ให้พิจารณาปรับลดค่าเบี้ยประกันชีวิตลง
เนื่องจากการคิดเบี้ยประกันภัยในประเทศ สูงกว่าต่างประเทศถึง 10 เท่า ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงอายุ 26 ปี ไม่เคยสูบบุหรี่ ทำประกันชีวิตวงเงิน 10 ล้านบาท ในระยะเวลา 15 ปี ต้องจ่ายเบี้ยบริษัทประกันภัย ถ้าเป็นบริษัทประเทศไทยอยู่ที่ 589,000 บาท แต่ถ้าเป็นสหรัฐ หรืออังกฤษอยู่ที่ 50,000-60,000 บาท
โดย คปภ.ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า สาเหตุที่เบี้ยประกันในประเทศสูง เพราะจำนวนผู้ทำประกันภัยมีน้อย แต่ถ้าเปิดเสรีจะทำให้การจ่ายเบี้ยประกันภัยในประเทศถูกลง โดยทีทีอาร์ให้ คปภ.หาข้อมูลมาชี้แจง ซึ่งให้ระยะเวลาไม่เกิน 30 ก.ย.นี้ แต่ถ้า คปภ.หาข้อมูลมาหักล้างไม่ได้ ก็ต้องเปิดแบบเสรีไปเลย ทีทีอาร์ก็สามารถหารือกับนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเปิดเสรีธุรกิจประกันภัยได้เลย เพราะการเปิดเสรีธุรกิจประกันภัย ทำให้ประชาชนในประเทศจ่ายเบี้ยประกันภัยถูกลงถึง 90% และคาดว่าจะทำให้คนไทยจะมาทำประกันชีวิตเพิ่มถึง 50-60%.
เศรษฐกิจ 23 กันยายน 2554 - 00:00
ทีทีอาร์ขีดเส้น 30 ก.ย. สั่ง คปภ.แจงเบี้ยประกันชีวิตไทยสูงกว่าต่างประเทศ 10 เท่า
นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์ ผู้แทนการค้าไทย (ทีทีอาร์) เปิดเผยว่า ทีทีอาร์ได้หารือกับนางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในเรื่องการเปิดเสรีธุรกิจประกันภัย และได้ให้ไปเจรจากับบริษัทประกันชีวิตของไทยที่มีกว่า 25 บริษัท ให้พิจารณาปรับลดค่าเบี้ยประกันชีวิตลง
เนื่องจากการคิดเบี้ยประกันภัยในประเทศ สูงกว่าต่างประเทศถึง 10 เท่า ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงอายุ 26 ปี ไม่เคยสูบบุหรี่ ทำประกันชีวิตวงเงิน 10 ล้านบาท ในระยะเวลา 15 ปี ต้องจ่ายเบี้ยบริษัทประกันภัย ถ้าเป็นบริษัทประเทศไทยอยู่ที่ 589,000 บาท แต่ถ้าเป็นสหรัฐ หรืออังกฤษอยู่ที่ 50,000-60,000 บาท
โดย คปภ.ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า สาเหตุที่เบี้ยประกันในประเทศสูง เพราะจำนวนผู้ทำประกันภัยมีน้อย แต่ถ้าเปิดเสรีจะทำให้การจ่ายเบี้ยประกันภัยในประเทศถูกลง โดยทีทีอาร์ให้ คปภ.หาข้อมูลมาชี้แจง ซึ่งให้ระยะเวลาไม่เกิน 30 ก.ย.นี้ แต่ถ้า คปภ.หาข้อมูลมาหักล้างไม่ได้ ก็ต้องเปิดแบบเสรีไปเลย ทีทีอาร์ก็สามารถหารือกับนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเปิดเสรีธุรกิจประกันภัยได้เลย เพราะการเปิดเสรีธุรกิจประกันภัย ทำให้ประชาชนในประเทศจ่ายเบี้ยประกันภัยถูกลงถึง 90% และคาดว่าจะทำให้คนไทยจะมาทำประกันชีวิตเพิ่มถึง 50-60%.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทีทีอาร์ระบุ เบี้ยประกันชีวิตไทยสูงกว่าต่างประเทศ 10 เท่
โพสต์ที่ 5
ถ้าทำได้จริง เบี้ยประกันที่เท่าเดิม จะคุ้มครองชีวิตโดยได้เงินชดเชยเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า
ก็คงต้องบอกว่าสุดยอดไปเลย
อย่างนี้การจ่ายเบี้ยประกันที่คุ้มครองชีวิตเป็นระยะเวลา 15 ปี โดยวงเงินเบี้ยประกันรวมคือ 589,000 บาท ก็จะได้ผลตอบแทนชดเชยเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านบาท
...ก็ดีนะ
ก็คงต้องบอกว่าสุดยอดไปเลย
อย่างนี้การจ่ายเบี้ยประกันที่คุ้มครองชีวิตเป็นระยะเวลา 15 ปี โดยวงเงินเบี้ยประกันรวมคือ 589,000 บาท ก็จะได้ผลตอบแทนชดเชยเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านบาท
...ก็ดีนะ
งานที่ทำแบบลวกๆ
เป็นหลักฐานที่ดี
ที่จะบอกว่า
คนที่ทำเป็นคนแบบไหน
เป็นหลักฐานที่ดี
ที่จะบอกว่า
คนที่ทำเป็นคนแบบไหน
- sathaporne
- Verified User
- โพสต์: 1661
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทีทีอาร์ระบุ เบี้ยประกันชีวิตไทยสูงกว่าต่างประเทศ 10 เท่
โพสต์ที่ 6
ทำไมเบี้ยประกันชีวิตของไทยจึงแพง
โดยสมพงษ์ ภูมิประเสริฐรุ่ง
เป็นเพราะรู้จักแต่ไม่รู้จริง จึงทำให้คนไทยที่ทำประกันชีวิตส่วนใหญ่ต้องสูญเสียผล ประโยชน์จากการทำประกันชีวิตอย่างมหาศาล ที่ใช้คำว่ามหาศาลเพราะมากจริงๆ ประโยชน์ที่สูญเสียคือเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทประกันชีวิตที่ทำไปเพราะความไม่เข้าใจ แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน ปัญหามันอยู่ตรงที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าบทบาทหน้าที่หลักจริงๆของบริษัทประกันชีวิตเขาทำอะไร และเกี่ยวข้องกับคนในสังคมอย่างไร บทบาทหน้าที่หลักของบริษัทประกันชีวิตคือการบริหารจัดการความเสี่ยงภัยของสมาชิกหรือที่เรียกว่าการจัดการเฉลี่ยภัยหรือการให้ความคุ้มครองทางการเงิน
และภัยที่พูดถึงก็คือการตายก่อนวัยอันสมควรไงละ กล่าวคือคนเราไม่รู้ว่าความตายจะเกิดขึ้นแก่ตัวเราวันไหน เวลาใด และที่สำคัญถ้าตายในช่วงที่รับภาระที่สำคัญอยู่เช่น ลูกยังเล็ก กำลังลงทุน มีหนี้สินจำนองอยู่ ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่และยังมีอีกหลายเหตุผลที่คนๆหนึ่งอาจต้องรับภาระ ถ้าคนๆหนึ่งตาย แล้วมีคนหลายคนต้องเดือดร้อน และที่สำคัญคนที่เดือดร้อนก็คือคนที่เรารักและห่วงใย ด้วยสถานะเช่นนี้การได้รับความคุ้มครองจากการประกันชีวิตจะเป็นประโยชน์อย่างมาก จะทำให้เกิดความอบอุ่นใจ ไม่กังวลในความเสี่ยงภัยที่มีอยู่ ลักษณะอย่างนี้เป็นบทบาทหน้าที่หลักของบริษัทประกันชีวิตเท่านั้น สถาบันการเงินอื่นใดก็ไม่มีหน้าที่อย่างนี้ ดังนั้นเงื่อนไขข้อแรกเกี่ยวกับผลประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตจึงเขียนไว้ว่า หากผู้เอาประกันเสียชีวิตระหว่างสัญญา จะจ่ายเงินเอาประกันให้กับผู้รับผลประโยชน์ โดยทั่วไปก็คือทายาทของผู้เอาประกัน ใครก็แล้วแต่ถ้าทำประกันด้วยเหตุผลข้อนี้ เบี้ยประกันจะต่ำมาก และแบบประกันที่เหมาะสมกับเหตุผลนี้มีเพียง 2 แบบคือแบบชั่วระยะเวลาและแบบตลอดชีพเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นชายอายุ 35 ปี ต้องการความคุ้มครอง 1,000,000 บาท ในแบบชั่วระยะเวลา 15 ปีจ่ายเบี้ยประกันเพียงปีละ 11,600 บาท การซื้อประกันแบบนี้ตลอดระยะเวลา 15 ปีผู้เอาประกันจะได้รับการคุ้มครอง 1,000,000 บาท หากผู้เอาประกันเสียชีวิตในเวลาใดเวลาหนึ่งผู้รับผลประโยชน์ต้องได้รับเงิน 1,000,000 บาท โดยผู้เอาประกันมีหน้าที่จ่ายเงินเบี้ยประกันเพียงปีละ 11,600 บาท เมื่อครบ 15 ปี สัญญาสิ้นสุดเป็นอันจบสัญญาเบี้ยประกันที่จ่ายไปถือเป็นค่าเสี่ยงภัยจะไม่ได้รับเงินคืน ขณะที่ลูกค้าจากอายุ 35 ปี เพิ่มเป็น 50 ปี ภาระที่เคยมีก็เปลี่ยนไปเช่นลูกเรียนจบมีงานทำ ธุรกิจมีความมั่นคง ฐานะการเงินมั่นคง สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้โดยไม่ต้องกังวล พูดง่ายๆว่าขณะนี้ถึงตายไปก็ไม่ทำให้ครอบครัวเดือดร้อน แต่ถ้าต้องการให้มีการคุ้มครองระยะยาวโดยซื้อประกันแบบคุ้มครองตลอดชีพ กล่าวคือคุ้มครองจนถึงวันตายซึ่งจริงๆก็บอกไม่ได้ว่าช้าหรือเร็ว อาจเลือกชำระเบี้ยประกันเพียง 15 ปี เบี้ยประกันเพียงปีละ 36,000 บาท ในวงเงินคุ้มครองคือ 1,000,000 บาท หากเสียชีวิตระหว่าง 15 ปีบริษัทประกันต้องจ่ายเงิน 1,000,000 บาท ให้กับผู้รับผลประโยชน์ แต่หากมีอายุถึง 50 ปี ผู้เอาประกันก็ไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกัน 36,000 บาทอีกต่อไป โดยจ่ายมาแล้วทั้งหมด 540,000 บาท และจะได้รับการคุ้มครอง 1,000,000 บาท จนกระทั่งเสียชีวิตหรืออาจขอยกเลิกสัญญารับมูลค่าเวนคืนเงินสดไปใช้ในกรณีไม่มีความจำเป็นเกี่ยวกับการคุ้มครองอีกต่อไปก็ได้
แต่เพราะความไม่เข้าใจ ในหลักการทำประกันชีวิตที่แท้จริง ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ที่ซื้อประกันชีวิตไปเลือกซื้อการประกันชีวิตอีกลักษณะหนึ่ง คือแทนที่จะเน้นที่การคุ้มครองกับไปมุ่งเน้นการออมทรัพย์กับบริษัทประกันชีวิต ทั้งๆที่การออมทรัพย์กับบริษัทประกันชีวิตเขาเรียกว่าสะสมทรัพย์แท้จริง เป็นคำที่คนทั่วไปอาจไม่คุ้นเคย แต่มีความหมายว่าเป็นเงินออมหรือเงินสะสมทรัพย์ที่จะคืนให้กับผู้เอาประกัน ต่อเมื่อผู้เอาประกันหรือลูกค้ามีชีวิตอยู่ หรือพูดง่ายๆว่าลูกค้าจะได้รับเงินส่วนนี้ต้องมีชีวิตอยู่ หากเสียชีวิตระหว่างสัญญาเงินส่วนนี้จะไม่ได้รับ จะต้องตกเป็นของบริษัทที่รับประกัน เพราะสัญญาประกันชีวิตเป็นเช่นนี้ ตัวอย่างเช่นชายอายุ 35 ปี ต้องการการคุ้มครอง 1,000,000 บาท แต่ซื้อประกันเป็นแบบสะสมทรัพย์ 15 ปี เบี้ยประกันชีวิตปีละ 65,000 บาท โดยระหว่างสัญญาจะได้รับความคุ้มครอง 1,000,000 บาท หากมีชีวิตอยู่ครบสัญญาจะได้รับเงินสะสมคืน 1,000,0000 บาท ถ้าไม่เปรียบเทียบจะมองไม่เห็นว่าการสูญเสียผลประโยชน์ของลูกค้าอยู่ตรงไหน
ข้อเปรียบเทียบ อายุ 35 ปี ซื้อแบบสะสมทรัพย์ 15 ปี ทุนประกัน 1,000,000 บาทเบี้ยประกัน 65,000 บาท
อายุ 35 ปี ซื้อแบบชั่วระยะเวลา 15 ปี ทุนประกัน 1,000,000 บาทเบี้ยประกัน 11,600 บาท
เบี้ยประกันต่างกัน 53,400 บาท
หากคนทั้ง 2 ซื้อประกันพร้อมกันและต่อมา 10 ปีเกิดเสียชีวิตพร้อมกันสิ่งที่ครอบครัวทั้ง 2 จะได้รับเหมือนกันคือเงินสินไหมครอบครัวละ 1,000,000 บาท แต่ที่ต่างกันก็คือครอบครัวที่ซื้อแบบสะสมทรัพย์จ่ายเบี้ยประกันไปทั้งสิ้น 650,000 บาท ครอบครัวที่ซื้อแบบชั่วระยะเวลาจ่ายเบี้ยประกันไปทั้งสิ้น 116,000 บาท ต่างกัน534,000 บาท พูดง่ายๆว่าครอบครัวที่ซื้อประกันแบบสะสมทรัพย์ หากเปลี่ยนใจมาซื้อแบบชั่วระยะเวลาจะเหลือเงินอีกปีละ 53,000 บาท นำเงินส่วนนี้ไปฝากสะสมทรัพย์กับธนาคารก็จะเหลือเงินเก็บอีก 530,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย หรือถ้าเป็นนักลงทุนเอาเงินส่วนนี้ไปซื้อที่ดินผ่อนปีละ 53,000 บาท 15 ปี ก็ได้ที่ดินอีก 1แปลงหรือจะซื้อหุ้นก็ได้ แต่พอนำไปซื้อประกันแบบสะสมทรัพย์แล้วเสียชีวิตในระหว่างสัญญา เงินก้อนนี้จึงต้องตกเป็นของบริษัทประกันไปโดยปริยาย
จากตัวอย่างเป็นการเปรียบเทียบ แบบประกันระหว่าง แบบชั่วระยะเวลากับแบบสะสมทรัพย์ที่เบี้ยประกันที่ไม่สูงมากนัก ถ้าหากเป็นแบบที่ตัวแทนพยายามกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อ หรือ แบบประกันที่บริษัทประกันพยายามกระตุ้นให้ตัวแทนขาย จะเป็นแบบประกันที่มีส่วนของสะสมทรัพย์แท้จริงมากกว่านี้อีกมาก เช่นเงินเอาประกัน 1,000,000 บาท เบี้ยประกันอาจสูงถึง 25,000 บาทหรือมากกว่าต่อปี และพยายามบอกว่าเป็นการชำระเบี้ยประกันระยะสั้น หรือบอกว่าเมื่อครบสัญญาจะได้รับเงินคืน 200 หรือ 300 เปอร์เซ็นต์ของทุนประกันก็ตาม ล้วนแต่เป็นการทำให้เข้าใจผิดจากความเป็นจริงในบทบาทและหน้าที่ของบริษัทประกัน ทำให้ผู้เอาประกันต้องเสียเงินค่าเบี้ยประกัน ในส่วนที่ไม่เข้าใจในเงื่อนไขที่แท้จริงของสัญญาคือ คำว่าสะสมทรัพย์แท้จริงหมายถึงผู้เอาประกันต้องมีชีวิตอยู่ในขณะรับเงิน หากเสียชีวิตระหว่างสัญญาเงินส่วนนี้ตกเป็นของบริษัท
ส่วนเงินที่จ่ายเป็นสินไหมให้กับผู้รับผลประโยชน์ เป็นเงินในส่วนของการคุ้มครอง ซึ่งบริษัทประกันได้คำนวณเป็นเงินเบี้ยประกัน เพื่อจ่ายให้กับผู้รับผลประโยชน์เป็นการเฉลี่ยภัยในแต่ละปีอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยได้รับผลตอบแทนจากการทำธุรกิจประกันชีวิตอย่างมหาศาล เพราะความรู้จักแต่ไม่รู้จริงเกี่ยวกับการประกันชีวิตของคนไทย จึง เป็นที่มาว่าทำไมคนที่เคยอยู่ในประเทศที่มีความเจริญและมีความเข้าใจเกี่ยว กับการประกันชีวิตจะบอกว่าเบี้ยประกันชีวิตของประเทศไทยแพง จริงๆไม่แพงแต่เพราะความไม่รู้จริงจึงได้ของแพง และ ไม่ควรโทษบริษัทประกันและตัวแทนที่ขายประกันเพราะเป็นเรื่องของการดำเนิน ธุรกิจและการดำเนินชีวิตให้อยู่รอดขององค์กรและบุคคลเท่านั้น แต่ควรโทษผู้บริหารประเทศหรือรัฐบาลที่จัดการศึกษาอย่างไร จึงทำให้คนไทยไม่ค่อยรู้จริงหลายต่อหลายเรื่อง การศึกษาทำให้คนไทยส่วนมากได้แต่ความรู้ แต่ไม่ได้ปัญญา การทำอะไรก็มักจะผิดๆพลาดๆอยู่ร่ำไป
http://www.lannatoast.com/article/51-ar ... mber1.html
โดยสมพงษ์ ภูมิประเสริฐรุ่ง
เป็นเพราะรู้จักแต่ไม่รู้จริง จึงทำให้คนไทยที่ทำประกันชีวิตส่วนใหญ่ต้องสูญเสียผล ประโยชน์จากการทำประกันชีวิตอย่างมหาศาล ที่ใช้คำว่ามหาศาลเพราะมากจริงๆ ประโยชน์ที่สูญเสียคือเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทประกันชีวิตที่ทำไปเพราะความไม่เข้าใจ แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน ปัญหามันอยู่ตรงที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าบทบาทหน้าที่หลักจริงๆของบริษัทประกันชีวิตเขาทำอะไร และเกี่ยวข้องกับคนในสังคมอย่างไร บทบาทหน้าที่หลักของบริษัทประกันชีวิตคือการบริหารจัดการความเสี่ยงภัยของสมาชิกหรือที่เรียกว่าการจัดการเฉลี่ยภัยหรือการให้ความคุ้มครองทางการเงิน
และภัยที่พูดถึงก็คือการตายก่อนวัยอันสมควรไงละ กล่าวคือคนเราไม่รู้ว่าความตายจะเกิดขึ้นแก่ตัวเราวันไหน เวลาใด และที่สำคัญถ้าตายในช่วงที่รับภาระที่สำคัญอยู่เช่น ลูกยังเล็ก กำลังลงทุน มีหนี้สินจำนองอยู่ ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่และยังมีอีกหลายเหตุผลที่คนๆหนึ่งอาจต้องรับภาระ ถ้าคนๆหนึ่งตาย แล้วมีคนหลายคนต้องเดือดร้อน และที่สำคัญคนที่เดือดร้อนก็คือคนที่เรารักและห่วงใย ด้วยสถานะเช่นนี้การได้รับความคุ้มครองจากการประกันชีวิตจะเป็นประโยชน์อย่างมาก จะทำให้เกิดความอบอุ่นใจ ไม่กังวลในความเสี่ยงภัยที่มีอยู่ ลักษณะอย่างนี้เป็นบทบาทหน้าที่หลักของบริษัทประกันชีวิตเท่านั้น สถาบันการเงินอื่นใดก็ไม่มีหน้าที่อย่างนี้ ดังนั้นเงื่อนไขข้อแรกเกี่ยวกับผลประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตจึงเขียนไว้ว่า หากผู้เอาประกันเสียชีวิตระหว่างสัญญา จะจ่ายเงินเอาประกันให้กับผู้รับผลประโยชน์ โดยทั่วไปก็คือทายาทของผู้เอาประกัน ใครก็แล้วแต่ถ้าทำประกันด้วยเหตุผลข้อนี้ เบี้ยประกันจะต่ำมาก และแบบประกันที่เหมาะสมกับเหตุผลนี้มีเพียง 2 แบบคือแบบชั่วระยะเวลาและแบบตลอดชีพเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นชายอายุ 35 ปี ต้องการความคุ้มครอง 1,000,000 บาท ในแบบชั่วระยะเวลา 15 ปีจ่ายเบี้ยประกันเพียงปีละ 11,600 บาท การซื้อประกันแบบนี้ตลอดระยะเวลา 15 ปีผู้เอาประกันจะได้รับการคุ้มครอง 1,000,000 บาท หากผู้เอาประกันเสียชีวิตในเวลาใดเวลาหนึ่งผู้รับผลประโยชน์ต้องได้รับเงิน 1,000,000 บาท โดยผู้เอาประกันมีหน้าที่จ่ายเงินเบี้ยประกันเพียงปีละ 11,600 บาท เมื่อครบ 15 ปี สัญญาสิ้นสุดเป็นอันจบสัญญาเบี้ยประกันที่จ่ายไปถือเป็นค่าเสี่ยงภัยจะไม่ได้รับเงินคืน ขณะที่ลูกค้าจากอายุ 35 ปี เพิ่มเป็น 50 ปี ภาระที่เคยมีก็เปลี่ยนไปเช่นลูกเรียนจบมีงานทำ ธุรกิจมีความมั่นคง ฐานะการเงินมั่นคง สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้โดยไม่ต้องกังวล พูดง่ายๆว่าขณะนี้ถึงตายไปก็ไม่ทำให้ครอบครัวเดือดร้อน แต่ถ้าต้องการให้มีการคุ้มครองระยะยาวโดยซื้อประกันแบบคุ้มครองตลอดชีพ กล่าวคือคุ้มครองจนถึงวันตายซึ่งจริงๆก็บอกไม่ได้ว่าช้าหรือเร็ว อาจเลือกชำระเบี้ยประกันเพียง 15 ปี เบี้ยประกันเพียงปีละ 36,000 บาท ในวงเงินคุ้มครองคือ 1,000,000 บาท หากเสียชีวิตระหว่าง 15 ปีบริษัทประกันต้องจ่ายเงิน 1,000,000 บาท ให้กับผู้รับผลประโยชน์ แต่หากมีอายุถึง 50 ปี ผู้เอาประกันก็ไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกัน 36,000 บาทอีกต่อไป โดยจ่ายมาแล้วทั้งหมด 540,000 บาท และจะได้รับการคุ้มครอง 1,000,000 บาท จนกระทั่งเสียชีวิตหรืออาจขอยกเลิกสัญญารับมูลค่าเวนคืนเงินสดไปใช้ในกรณีไม่มีความจำเป็นเกี่ยวกับการคุ้มครองอีกต่อไปก็ได้
แต่เพราะความไม่เข้าใจ ในหลักการทำประกันชีวิตที่แท้จริง ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ที่ซื้อประกันชีวิตไปเลือกซื้อการประกันชีวิตอีกลักษณะหนึ่ง คือแทนที่จะเน้นที่การคุ้มครองกับไปมุ่งเน้นการออมทรัพย์กับบริษัทประกันชีวิต ทั้งๆที่การออมทรัพย์กับบริษัทประกันชีวิตเขาเรียกว่าสะสมทรัพย์แท้จริง เป็นคำที่คนทั่วไปอาจไม่คุ้นเคย แต่มีความหมายว่าเป็นเงินออมหรือเงินสะสมทรัพย์ที่จะคืนให้กับผู้เอาประกัน ต่อเมื่อผู้เอาประกันหรือลูกค้ามีชีวิตอยู่ หรือพูดง่ายๆว่าลูกค้าจะได้รับเงินส่วนนี้ต้องมีชีวิตอยู่ หากเสียชีวิตระหว่างสัญญาเงินส่วนนี้จะไม่ได้รับ จะต้องตกเป็นของบริษัทที่รับประกัน เพราะสัญญาประกันชีวิตเป็นเช่นนี้ ตัวอย่างเช่นชายอายุ 35 ปี ต้องการการคุ้มครอง 1,000,000 บาท แต่ซื้อประกันเป็นแบบสะสมทรัพย์ 15 ปี เบี้ยประกันชีวิตปีละ 65,000 บาท โดยระหว่างสัญญาจะได้รับความคุ้มครอง 1,000,000 บาท หากมีชีวิตอยู่ครบสัญญาจะได้รับเงินสะสมคืน 1,000,0000 บาท ถ้าไม่เปรียบเทียบจะมองไม่เห็นว่าการสูญเสียผลประโยชน์ของลูกค้าอยู่ตรงไหน
ข้อเปรียบเทียบ อายุ 35 ปี ซื้อแบบสะสมทรัพย์ 15 ปี ทุนประกัน 1,000,000 บาทเบี้ยประกัน 65,000 บาท
อายุ 35 ปี ซื้อแบบชั่วระยะเวลา 15 ปี ทุนประกัน 1,000,000 บาทเบี้ยประกัน 11,600 บาท
เบี้ยประกันต่างกัน 53,400 บาท
หากคนทั้ง 2 ซื้อประกันพร้อมกันและต่อมา 10 ปีเกิดเสียชีวิตพร้อมกันสิ่งที่ครอบครัวทั้ง 2 จะได้รับเหมือนกันคือเงินสินไหมครอบครัวละ 1,000,000 บาท แต่ที่ต่างกันก็คือครอบครัวที่ซื้อแบบสะสมทรัพย์จ่ายเบี้ยประกันไปทั้งสิ้น 650,000 บาท ครอบครัวที่ซื้อแบบชั่วระยะเวลาจ่ายเบี้ยประกันไปทั้งสิ้น 116,000 บาท ต่างกัน534,000 บาท พูดง่ายๆว่าครอบครัวที่ซื้อประกันแบบสะสมทรัพย์ หากเปลี่ยนใจมาซื้อแบบชั่วระยะเวลาจะเหลือเงินอีกปีละ 53,000 บาท นำเงินส่วนนี้ไปฝากสะสมทรัพย์กับธนาคารก็จะเหลือเงินเก็บอีก 530,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย หรือถ้าเป็นนักลงทุนเอาเงินส่วนนี้ไปซื้อที่ดินผ่อนปีละ 53,000 บาท 15 ปี ก็ได้ที่ดินอีก 1แปลงหรือจะซื้อหุ้นก็ได้ แต่พอนำไปซื้อประกันแบบสะสมทรัพย์แล้วเสียชีวิตในระหว่างสัญญา เงินก้อนนี้จึงต้องตกเป็นของบริษัทประกันไปโดยปริยาย
จากตัวอย่างเป็นการเปรียบเทียบ แบบประกันระหว่าง แบบชั่วระยะเวลากับแบบสะสมทรัพย์ที่เบี้ยประกันที่ไม่สูงมากนัก ถ้าหากเป็นแบบที่ตัวแทนพยายามกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อ หรือ แบบประกันที่บริษัทประกันพยายามกระตุ้นให้ตัวแทนขาย จะเป็นแบบประกันที่มีส่วนของสะสมทรัพย์แท้จริงมากกว่านี้อีกมาก เช่นเงินเอาประกัน 1,000,000 บาท เบี้ยประกันอาจสูงถึง 25,000 บาทหรือมากกว่าต่อปี และพยายามบอกว่าเป็นการชำระเบี้ยประกันระยะสั้น หรือบอกว่าเมื่อครบสัญญาจะได้รับเงินคืน 200 หรือ 300 เปอร์เซ็นต์ของทุนประกันก็ตาม ล้วนแต่เป็นการทำให้เข้าใจผิดจากความเป็นจริงในบทบาทและหน้าที่ของบริษัทประกัน ทำให้ผู้เอาประกันต้องเสียเงินค่าเบี้ยประกัน ในส่วนที่ไม่เข้าใจในเงื่อนไขที่แท้จริงของสัญญาคือ คำว่าสะสมทรัพย์แท้จริงหมายถึงผู้เอาประกันต้องมีชีวิตอยู่ในขณะรับเงิน หากเสียชีวิตระหว่างสัญญาเงินส่วนนี้ตกเป็นของบริษัท
ส่วนเงินที่จ่ายเป็นสินไหมให้กับผู้รับผลประโยชน์ เป็นเงินในส่วนของการคุ้มครอง ซึ่งบริษัทประกันได้คำนวณเป็นเงินเบี้ยประกัน เพื่อจ่ายให้กับผู้รับผลประโยชน์เป็นการเฉลี่ยภัยในแต่ละปีอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยได้รับผลตอบแทนจากการทำธุรกิจประกันชีวิตอย่างมหาศาล เพราะความรู้จักแต่ไม่รู้จริงเกี่ยวกับการประกันชีวิตของคนไทย จึง เป็นที่มาว่าทำไมคนที่เคยอยู่ในประเทศที่มีความเจริญและมีความเข้าใจเกี่ยว กับการประกันชีวิตจะบอกว่าเบี้ยประกันชีวิตของประเทศไทยแพง จริงๆไม่แพงแต่เพราะความไม่รู้จริงจึงได้ของแพง และ ไม่ควรโทษบริษัทประกันและตัวแทนที่ขายประกันเพราะเป็นเรื่องของการดำเนิน ธุรกิจและการดำเนินชีวิตให้อยู่รอดขององค์กรและบุคคลเท่านั้น แต่ควรโทษผู้บริหารประเทศหรือรัฐบาลที่จัดการศึกษาอย่างไร จึงทำให้คนไทยไม่ค่อยรู้จริงหลายต่อหลายเรื่อง การศึกษาทำให้คนไทยส่วนมากได้แต่ความรู้ แต่ไม่ได้ปัญญา การทำอะไรก็มักจะผิดๆพลาดๆอยู่ร่ำไป
http://www.lannatoast.com/article/51-ar ... mber1.html
-
- Verified User
- โพสต์: 1104
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทีทีอาร์ระบุ เบี้ยประกันชีวิตไทยสูงกว่าต่างประเทศ 10 เท่
โพสต์ที่ 7
งง ว่า ผู้เเทนการค้าไทยเกี่ยวไรด้วย
ดูเเล้วเเปลกเหมือนพยายามจะบอกว่า ถ้าเปิดเสรีประกันชีวิตเเล้ว
คนไทยจะได้ผลตอบเเทนดีขึ้น
ผู้เเทนการค้าไทย เเต่ อยากให้เปิดเสรีประกันให้ต่างชาติ เเปลกดีวุ้ย
ดูเเล้วเเปลกเหมือนพยายามจะบอกว่า ถ้าเปิดเสรีประกันชีวิตเเล้ว
คนไทยจะได้ผลตอบเเทนดีขึ้น
ผู้เเทนการค้าไทย เเต่ อยากให้เปิดเสรีประกันให้ต่างชาติ เเปลกดีวุ้ย
สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ เเละดับไปในที่สุด