ไปฟังสัมมนา ดร.นิเวศน์มา มีแจก superstock ด้วยนะ
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 1
ไปฟังสัมมนา ดร.นิเวศน์มา มีแจก superstock ด้วยนะ
โพสต์ที่ 1
มีคนถามคำถามว่าขอให้แนะนำหุ้นที่จะถือระยะยาวสัก 5ปี
ดร.ท่านก็ใจดีแจกให้.... เป็นตัวเดิมๆ ครับ 8)
ดร.ท่านก็ใจดีแจกให้.... เป็นตัวเดิมๆ ครับ 8)
-
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไปฟังสัมมนา ดร.นิเวศน์มา มีแจก superstock ด้วยนะ
โพสต์ที่ 3
:lol: :lol: :lol:Financial Engineer เขียน:มีคนถามคำถามว่าขอให้แนะนำหุ้นที่จะถือระยะยาวสัก 5ปี
ดร.ท่านก็ใจดีแจกให้.... เป็นตัวเดิมๆ ครับ 8)
มนุษย์เห่อลูก :lol:
http://tyakon.multiply.com
http://tyakon.multiply.com
-
- Verified User
- โพสต์: 511
- ผู้ติดตาม: 0
ไปฟังสัมมนา ดร.นิเวศน์มา มีแจก superstock ด้วยนะ
โพสต์ที่ 4
ตัวไหนเหรอครับ ช่วยบอกหน่อยครับ วันนี้ผมก็ไปมา คนเต็มห้องเลย ไม่มีที่นั่ง เลยอดฟังเลย T_T
VI ฝึกหัด
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ไปฟังสัมมนา ดร.นิเวศน์มา มีแจก superstock ด้วยนะ
โพสต์ที่ 5
เค้าขุดบ่อล่อไว้ครับตัวไหนเหรอครับ ช่วยบอกหน่อยครับ วันนี้ผมก็ไปมา คนเต็มห้องเลย ไม่มีที่นั่ง เลยอดฟังเลย T_T
ที่นี่เค้าให้หากันเอาเอง
ค่อยๆอ่านไปให้เวลากะมัน
เดี๋ยวก็เจอตัวที่คุณชอบ
ในราคาที่คุณไม่เสียเปรียบ
ใจเย็นๆ...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 511
- ผู้ติดตาม: 0
ไปฟังสัมมนา ดร.นิเวศน์มา มีแจก superstock ด้วยนะ
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณครับ คุณ por_jai
อ่านแล้วสงสัยจะขอรบกวนสอบถามเพิ่มเติมนะครับ
อ่านแล้วสงสัยจะขอรบกวนสอบถามเพิ่มเติมนะครับ
VI ฝึกหัด
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 1
ไปฟังสัมมนา ดร.นิเวศน์มา มีแจก superstock ด้วยนะ
โพสต์ที่ 7
ไม่ได้ขุดบ่งขุดบ่อล่ออะไรหรอกครับ ก็คุณ miracle แกเฉลยไว้แล้วในอีกกระทู้นึงนี่นา
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=10408
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=10408
-
- Verified User
- โพสต์: 94
- ผู้ติดตาม: 0
ไปฟังสัมมนา ดร.นิเวศน์มา มีแจก superstock ด้วยนะ
โพสต์ที่ 8
เกิดอะไรขึ้นกับ..."GRAMMY-GMMM" ธุรกิจสู่วงจร "อิ่มตัว" และ "เสื่อมถอย"
จากกรุงเทพธุรกิจBIZWEEK
การเปลี่ยนแปลงของผลการดำเนินการไตรมาส 1 ปี 2548 ของ "เครือแกรมมี่" (GRAMMY-GMMM) ที่ทรุดตัวลงอย่าง "ฮวบฮาบ" แสดงให้เห็นว่า "วัฏจักรธุรกิจ" บันเทิงที่แข็งแกร่งของอาณาจักรแห่งนี้กำลังเข้าสู่ระยะ "อิ่มตัว" (Maturity) และ "เสื่อมถอย" (Decline) ตามวงจรเศรษฐกิจค่อนข้างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่!
เพราะหากพิจารณาธุรกิจแวดล้อมในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น อาร์.เอส.โปรโมชั่น (RS) บีอีซี เวิลด์ (BEC) มีเดีย ออฟ มีเดียส์ (MEDIAS) รวมถึง ทราฟฟิก คอร์นเนอร์ (TRAF) หุ้นเหล่านี้ได้เข้าสู่วัฏจักร "เสื่อมถอย" มาแล้วพักใหญ่
สิ่งที่ตอกย้ำชัด ก็คือ ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2548 ของ "จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" (GRAMMY) ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ตัวเลข "รายได้รวม" ในไตรมาส 1 จะลดลงเพียง 17% จาก 1,531 ล้านบาท เหลือ 1,275 ล้านบาท แต่ตัวเลขที่น่าตกใจกลับเป็น "กำไรสุทธิ" ที่ลดลงอย่างฮวบฮาบถึง 72% โดยลดลงจาก 165.16 ล้านบาท ที่กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.34 บาท เหลือเพียง 45.21 ล้านบาท มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.09 บาท ต่ำที่สุดในรอบหลายปี
โดยเฉพาะเมื่อสิ้นปี 2547 แกรมมี่แถลงข่าวผลประกอบการประจำปีสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 22 ปี ทำได้ 700.20 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.43 บาท...เวลาผ่านไปเพียง 1 ไตรมาสภาพธุรกิจกลับ "ตาลปัตร" เหมือนกับดูหนังคนละม้วน
เนื้อหาที่ลึกซึ้งของงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2548 อยู่ที่ "เนื้อใน" ของรายได้จาก "ธุรกิจหลัก" แสดงถึงอาการ "อิ่มตัว" และ "เสื่อมถอย" ลงเกือบหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเปรียบเทียบผลประกอบการ "ไตรมาส" ต่อ "ไตรมาส" รายได้จาก "ธุรกิจเพลง และลิขสิทธิ์" ซึ่งครองส่วนแบ่งรายได้สูงที่สุดประมาณ 48% ของรายได้รวม..ลดลงไป 21% จาก 726 ล้านบาท เหลือเพียง 576 ล้านบาท
รายได้จาก "ธุรกิจวิทยุ" (จาก "บ.จีเอ็มเอ็ม มีเดีย" (GMMM) แกรมมี่ถือหุ้น 79.50%) มีสัดส่วนรายได้ 16% ของรายได้รวม..ส่วนนี้ลดลงไป 12% จาก 242 ล้านบาท เหลือ 213 ล้านบาท
รายได้จาก "ธุรกิจโทรทัศน์" (สัดส่วนรายได้ 16% ของรายได้รวม) เทียบไตรมาส 1 ปีนี้กับปีที่แล้วแม้มีรายได้เพิ่มขึ้น 9% จาก 194 ล้านบาท เป็น 213 ล้านบาท แต่กลับลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2547 ที่มีรายได้ในส่วนนี้ 232 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น รายได้ "ค่าบริหารศิลปิน" ก็ลดลง 28% รายได้จาก "ธุรกิจคอนเสิร์ต และละครเวที" หายไป 77% แต่รายได้ที่เติบโตขึ้นมากลับเป็น "ธุรกิจภาพยนตร์" และ "สื่อสิ่งพิมพ์" แต่รายได้จาก 2 ส่วนนี้มีสัดส่วนรายได้รวมกันไม่ถึง 10% ของรายได้รวม จึงไม่สามารถมาทดแทนรายได้จากธุรกิจหลักที่หายไปได้
ถ้าวิเคราะห์โจทย์ของ GRAMMY โอกาสที่จะกลับมาทำกำไรสุทธิได้เท่ากับปี 2547 ที่ 700.20 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.43 บาท แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย...ในสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ต้องถือว่าสุดหินสำหรับ "ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม" อย่างยิ่ง
ค่าเฉลี่ย "รายได้" ของ GRAMMY ในปี 2547 อยู่ที่ไตรมาสละ 1,667 ล้านบาท "กำไรสุทธิ" เฉลี่ยทำได้ไตรมาสละ 175 ล้านบาท แยกออกมาเป็นส่วนๆจะพบว่ามาจากธุรกิจ "เพลง และค่าลิขสิทธิ์" เฉลี่ยไตรมาสละ 808 ล้านบาท หรือ 48% ของรายได้รวม มาจากธุรกิจ "โทรทัศน์" เฉลี่ยไตรมาสละ 234 ล้านบาท และมาจากธุรกิจ "วิทยุ" เฉลี่ยไตรมาสละ 243 ล้านบาท
ถ้าเรานำ "รายได้" โดยเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย(รายไตรมาส)ของปี 2547 กับไตรมาส 1 ปี 2548 ข้อมูลนี้จะอธิบายว่ารายได้ 80% ของรายได้รวมที่มาจาก ธุรกิจเพลง, วิทยุ และโทรทัศน์ ของ GRAMMY "หลุดเป้า" ทั้งหมด ที่แย่ยิ่งกว่านั้น ก็คือ รายได้ในไตรมาส 1 ปี 2548 ยังต่ำกว่า "รายได้" และ "กำไรสุทธิ" เฉลี่ย(รายไตรมาส)ของปี 2546 อีกด้วย
แสดงว่าการ "ถอยหลัง" ของ GRAMMY หนนี้ เป็นการถอยหลังย้อนกลับไปไม่น้อยกว่า 2 ปี
เพราะฉะนั้นถ้า "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ตั้งสมมติฐานว่า "อากู๋...ไพบูลย์" สามารถพลิกฟื้นธุรกิจกลับมาได้ในอีก 3 ไตรมาสที่เหลือ..อย่าง "ดีที่สุด" ก็ไม่น่าจะทำรายได้ "ดีกว่า" ปี 2546 ทั้งปีที่มีรายได้รวม 5,986 ล้านบาท เฉลี่ยไตรมาสละ 1,496 ล้านบาท และสามารถรักษา "กำไรสุทธิ" ไว้ได้ที่ 525.16 ล้านบาท เฉลี่ยไตรมาสละ 131.29 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS)เท่ากับ 1.07 บาท
จากข้อมูลนี้ถ้าเราตั้งโจทย์ว่าหุ้น GRAMMY ควรจะ "ซื้อ-ขาย" ที่ พี/อี เรโช 10 เท่า(ใกล้เคียงกับค่าพี/อีในปัจจุบัน) ราคาหุ้นก็ควรจะอยู่ที่ 10.70 บาท(10 คูณ 1.07) ขณะที่ไตรมาส 1 ปี 2548 บริษัททำกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS)ได้เพียง 0.09 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าผิดหวังมากๆ
ถ้าเทียบเคียงกับหุ้น BEC ที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) ในไตรมาส 1 ปี 2548 เท่ากับ 0.08 บาท ใกล้เคียงกับของ GRAMMY ขณะที่ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ก็ใกล้เคียงกัน แต่กลับมีราคาซื้อขายที่ "ต่ำกว่า" มาก
หรือจะเปรียบเทียบกับหุ้น ITV ที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) สูงกว่า ในไตรมาส 1 ปี 2548 เท่ากับ 0.13 บาท หรือเปรียบเทียบกับหุ้น MAJOR ที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ในไตรมาส 1 ปี 2548 เท่ากับ 0.18 บาท แต่ราคาหุ้นทั้ง ITV และ MAJOR ก็ยังซื้อขายต่ำกว่าที่ 12-12.50 บาท
ไม่ว่าจะมองในแง่ของ "ศักยภาพ" ในการทำกำไรที่เริ่มเสื่อมถอย หรือ เปรียบเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันแทบจะ "ฟันธง" ได้เลยว่าราคาหุ้น GRAMMY ในปัจจุบันยังค่อนข้าง "แพง" กว่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่มที่มีความเข้มแข็งทางการเงินไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
การเดินแผนแก้เกมของ "อากู๋" จึงพยายามใช้ "เงินสดในมือ" กว่า 2,470 ล้านบาท ไปซื้อกิจการมาเสริมรายได้ พร้อมๆ กับปรับกระบวนทัพธุรกิจใหม่ เพื่อให้ GRAMMY ย้อนกลับมาสู่ยุคของการ "ลงทุนใหญ่" อีกครั้ง ทั้งในธุรกิจ "สื่อสิ่งพิมพ์" ธุรกิจ E-Business ธุรกิจภาพยนตร์ และธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์
แต่ธุรกิจที่ถดถอยลงอย่างมาก คือ ธุรกิจวิทยุ ภายใต้ "บ.จีเอ็มเอ็ม มีเดีย" (GMMM) ที่พยายามปรับตัวไปซื้อหุ้น "อินเด็กซ์ อีเวนท์ เอเจนซี่" 50% มูลค่าประมาณ 183 ล้านบาท เพื่อขยายฐานธุรกิจสื่อในรูปแบบอื่นให้กับบริษัท
ถ้าพิจารณาผลประกอบการของ "GMMM" ก็แย่พอๆ กับ "GRAMMY" เพราะมีกำไรสุทธิเพียง 42.88 ล้านบาท (กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.22 บาท) เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2547 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 91.22 ล้านบาท(กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.48 บาท) ลดลง 53%
ล่าสุด GRAMMY ก็เลือกที่จะ "พยุงหุ้น" GMMM อีกครั้งโดยอนุมัติวงเงิน "ซื้อหุ้นคืน" (Treasury Stocks) อีก 155 ล้านบาท จากเดิมที่ซื้อหุ้น GMMM กลับมาแล้ว 7,744,500 หุ้น 3.87% ใช้เงินไปแล้ว 231.30 ล้านบาท และมีต้นทุนเฉลี่ย "สูงมาก" ถึงหุ้นละ 29.86 บาท
ขณะที่ GRAMMY ก็ซื้อหุ้นตัวเองกลับคืนจำนวน 10 ล้านหุ้น 2% ในวงเงิน 156.60 ล้านบาท และมีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 15.66 บาท ความผิดพลาดจากการซื้อหุ้น "GRAMMY" และ "GMMM" คืนทำให้เครือแกรมมี่ต้อง "ขาดทุน" ไปแล้ว 134.32 ล้านบาท
กราฟฟิค-โครงสร้างรายได้ GRAMMY
โครงสร้างรายได้ GRAMMY ในไตรมาส 1 ปี 2548 เทียบกับปี 2547
ไตรมาส 1 ไตรมาส 1 เปลี่ยนแปลง
ปี 2548 ปี 2547 (%)
(ล้านบาท) (ล้านบาท)
รายได้จากธุรกิจเพลง และค่าลิขสิทธิ์ 576.37 726.7 -20.69
รายได้จากธุรกิจวิทยุ 213.22 242.02 -11.90
รายได้จากธุรกิจโทรทัศน์ 212.59 194.68 9.20
รายได้ค่าบริหารศิลปิน 74.87 104.29 -28.21
รายได้อื่นๆ 51.04 86.51 -41.00
รายได้จากธุรกิจภาพยนตร์ และโฆษณา 49.79 24.37 104.31
รายได้ค่าโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ 43.01 34.46 24.81
รายได้จากธุรกิจคอนเสิร์ต และละครเวที 22.75 98.4 -76.88
รายได้จากธุรกิจหนังสือ และนิตยสาร 20.31 15.38 32.05
รายได้รวม 1,275.03 1,531.40 -16.74
ต้นทุนขายและผลิต 718.84 911.64 -21.15
ค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหาร 456.64 367.42 24.28
รวมค่าใช้จ่าย 1,175.71 1,279.19 -8.09
กำไรก่อนดอกเบี้ย และภาษี(EBIT) 99.32 252.21 -60.62
EBITDA 169.97 315.15 -46.07
กำไรสุทธิ 45.21 165.46 -72.68
กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.09 0.34 -73.53
จากกรุงเทพธุรกิจBIZWEEK
การเปลี่ยนแปลงของผลการดำเนินการไตรมาส 1 ปี 2548 ของ "เครือแกรมมี่" (GRAMMY-GMMM) ที่ทรุดตัวลงอย่าง "ฮวบฮาบ" แสดงให้เห็นว่า "วัฏจักรธุรกิจ" บันเทิงที่แข็งแกร่งของอาณาจักรแห่งนี้กำลังเข้าสู่ระยะ "อิ่มตัว" (Maturity) และ "เสื่อมถอย" (Decline) ตามวงจรเศรษฐกิจค่อนข้างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่!
เพราะหากพิจารณาธุรกิจแวดล้อมในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น อาร์.เอส.โปรโมชั่น (RS) บีอีซี เวิลด์ (BEC) มีเดีย ออฟ มีเดียส์ (MEDIAS) รวมถึง ทราฟฟิก คอร์นเนอร์ (TRAF) หุ้นเหล่านี้ได้เข้าสู่วัฏจักร "เสื่อมถอย" มาแล้วพักใหญ่
สิ่งที่ตอกย้ำชัด ก็คือ ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2548 ของ "จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" (GRAMMY) ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ตัวเลข "รายได้รวม" ในไตรมาส 1 จะลดลงเพียง 17% จาก 1,531 ล้านบาท เหลือ 1,275 ล้านบาท แต่ตัวเลขที่น่าตกใจกลับเป็น "กำไรสุทธิ" ที่ลดลงอย่างฮวบฮาบถึง 72% โดยลดลงจาก 165.16 ล้านบาท ที่กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.34 บาท เหลือเพียง 45.21 ล้านบาท มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.09 บาท ต่ำที่สุดในรอบหลายปี
โดยเฉพาะเมื่อสิ้นปี 2547 แกรมมี่แถลงข่าวผลประกอบการประจำปีสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 22 ปี ทำได้ 700.20 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.43 บาท...เวลาผ่านไปเพียง 1 ไตรมาสภาพธุรกิจกลับ "ตาลปัตร" เหมือนกับดูหนังคนละม้วน
เนื้อหาที่ลึกซึ้งของงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2548 อยู่ที่ "เนื้อใน" ของรายได้จาก "ธุรกิจหลัก" แสดงถึงอาการ "อิ่มตัว" และ "เสื่อมถอย" ลงเกือบหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเปรียบเทียบผลประกอบการ "ไตรมาส" ต่อ "ไตรมาส" รายได้จาก "ธุรกิจเพลง และลิขสิทธิ์" ซึ่งครองส่วนแบ่งรายได้สูงที่สุดประมาณ 48% ของรายได้รวม..ลดลงไป 21% จาก 726 ล้านบาท เหลือเพียง 576 ล้านบาท
รายได้จาก "ธุรกิจวิทยุ" (จาก "บ.จีเอ็มเอ็ม มีเดีย" (GMMM) แกรมมี่ถือหุ้น 79.50%) มีสัดส่วนรายได้ 16% ของรายได้รวม..ส่วนนี้ลดลงไป 12% จาก 242 ล้านบาท เหลือ 213 ล้านบาท
รายได้จาก "ธุรกิจโทรทัศน์" (สัดส่วนรายได้ 16% ของรายได้รวม) เทียบไตรมาส 1 ปีนี้กับปีที่แล้วแม้มีรายได้เพิ่มขึ้น 9% จาก 194 ล้านบาท เป็น 213 ล้านบาท แต่กลับลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2547 ที่มีรายได้ในส่วนนี้ 232 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น รายได้ "ค่าบริหารศิลปิน" ก็ลดลง 28% รายได้จาก "ธุรกิจคอนเสิร์ต และละครเวที" หายไป 77% แต่รายได้ที่เติบโตขึ้นมากลับเป็น "ธุรกิจภาพยนตร์" และ "สื่อสิ่งพิมพ์" แต่รายได้จาก 2 ส่วนนี้มีสัดส่วนรายได้รวมกันไม่ถึง 10% ของรายได้รวม จึงไม่สามารถมาทดแทนรายได้จากธุรกิจหลักที่หายไปได้
ถ้าวิเคราะห์โจทย์ของ GRAMMY โอกาสที่จะกลับมาทำกำไรสุทธิได้เท่ากับปี 2547 ที่ 700.20 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.43 บาท แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย...ในสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ต้องถือว่าสุดหินสำหรับ "ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม" อย่างยิ่ง
ค่าเฉลี่ย "รายได้" ของ GRAMMY ในปี 2547 อยู่ที่ไตรมาสละ 1,667 ล้านบาท "กำไรสุทธิ" เฉลี่ยทำได้ไตรมาสละ 175 ล้านบาท แยกออกมาเป็นส่วนๆจะพบว่ามาจากธุรกิจ "เพลง และค่าลิขสิทธิ์" เฉลี่ยไตรมาสละ 808 ล้านบาท หรือ 48% ของรายได้รวม มาจากธุรกิจ "โทรทัศน์" เฉลี่ยไตรมาสละ 234 ล้านบาท และมาจากธุรกิจ "วิทยุ" เฉลี่ยไตรมาสละ 243 ล้านบาท
ถ้าเรานำ "รายได้" โดยเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย(รายไตรมาส)ของปี 2547 กับไตรมาส 1 ปี 2548 ข้อมูลนี้จะอธิบายว่ารายได้ 80% ของรายได้รวมที่มาจาก ธุรกิจเพลง, วิทยุ และโทรทัศน์ ของ GRAMMY "หลุดเป้า" ทั้งหมด ที่แย่ยิ่งกว่านั้น ก็คือ รายได้ในไตรมาส 1 ปี 2548 ยังต่ำกว่า "รายได้" และ "กำไรสุทธิ" เฉลี่ย(รายไตรมาส)ของปี 2546 อีกด้วย
แสดงว่าการ "ถอยหลัง" ของ GRAMMY หนนี้ เป็นการถอยหลังย้อนกลับไปไม่น้อยกว่า 2 ปี
เพราะฉะนั้นถ้า "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ตั้งสมมติฐานว่า "อากู๋...ไพบูลย์" สามารถพลิกฟื้นธุรกิจกลับมาได้ในอีก 3 ไตรมาสที่เหลือ..อย่าง "ดีที่สุด" ก็ไม่น่าจะทำรายได้ "ดีกว่า" ปี 2546 ทั้งปีที่มีรายได้รวม 5,986 ล้านบาท เฉลี่ยไตรมาสละ 1,496 ล้านบาท และสามารถรักษา "กำไรสุทธิ" ไว้ได้ที่ 525.16 ล้านบาท เฉลี่ยไตรมาสละ 131.29 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS)เท่ากับ 1.07 บาท
จากข้อมูลนี้ถ้าเราตั้งโจทย์ว่าหุ้น GRAMMY ควรจะ "ซื้อ-ขาย" ที่ พี/อี เรโช 10 เท่า(ใกล้เคียงกับค่าพี/อีในปัจจุบัน) ราคาหุ้นก็ควรจะอยู่ที่ 10.70 บาท(10 คูณ 1.07) ขณะที่ไตรมาส 1 ปี 2548 บริษัททำกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS)ได้เพียง 0.09 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าผิดหวังมากๆ
ถ้าเทียบเคียงกับหุ้น BEC ที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) ในไตรมาส 1 ปี 2548 เท่ากับ 0.08 บาท ใกล้เคียงกับของ GRAMMY ขณะที่ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ก็ใกล้เคียงกัน แต่กลับมีราคาซื้อขายที่ "ต่ำกว่า" มาก
หรือจะเปรียบเทียบกับหุ้น ITV ที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) สูงกว่า ในไตรมาส 1 ปี 2548 เท่ากับ 0.13 บาท หรือเปรียบเทียบกับหุ้น MAJOR ที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ในไตรมาส 1 ปี 2548 เท่ากับ 0.18 บาท แต่ราคาหุ้นทั้ง ITV และ MAJOR ก็ยังซื้อขายต่ำกว่าที่ 12-12.50 บาท
ไม่ว่าจะมองในแง่ของ "ศักยภาพ" ในการทำกำไรที่เริ่มเสื่อมถอย หรือ เปรียบเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันแทบจะ "ฟันธง" ได้เลยว่าราคาหุ้น GRAMMY ในปัจจุบันยังค่อนข้าง "แพง" กว่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่มที่มีความเข้มแข็งทางการเงินไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
การเดินแผนแก้เกมของ "อากู๋" จึงพยายามใช้ "เงินสดในมือ" กว่า 2,470 ล้านบาท ไปซื้อกิจการมาเสริมรายได้ พร้อมๆ กับปรับกระบวนทัพธุรกิจใหม่ เพื่อให้ GRAMMY ย้อนกลับมาสู่ยุคของการ "ลงทุนใหญ่" อีกครั้ง ทั้งในธุรกิจ "สื่อสิ่งพิมพ์" ธุรกิจ E-Business ธุรกิจภาพยนตร์ และธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์
แต่ธุรกิจที่ถดถอยลงอย่างมาก คือ ธุรกิจวิทยุ ภายใต้ "บ.จีเอ็มเอ็ม มีเดีย" (GMMM) ที่พยายามปรับตัวไปซื้อหุ้น "อินเด็กซ์ อีเวนท์ เอเจนซี่" 50% มูลค่าประมาณ 183 ล้านบาท เพื่อขยายฐานธุรกิจสื่อในรูปแบบอื่นให้กับบริษัท
ถ้าพิจารณาผลประกอบการของ "GMMM" ก็แย่พอๆ กับ "GRAMMY" เพราะมีกำไรสุทธิเพียง 42.88 ล้านบาท (กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.22 บาท) เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2547 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 91.22 ล้านบาท(กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.48 บาท) ลดลง 53%
ล่าสุด GRAMMY ก็เลือกที่จะ "พยุงหุ้น" GMMM อีกครั้งโดยอนุมัติวงเงิน "ซื้อหุ้นคืน" (Treasury Stocks) อีก 155 ล้านบาท จากเดิมที่ซื้อหุ้น GMMM กลับมาแล้ว 7,744,500 หุ้น 3.87% ใช้เงินไปแล้ว 231.30 ล้านบาท และมีต้นทุนเฉลี่ย "สูงมาก" ถึงหุ้นละ 29.86 บาท
ขณะที่ GRAMMY ก็ซื้อหุ้นตัวเองกลับคืนจำนวน 10 ล้านหุ้น 2% ในวงเงิน 156.60 ล้านบาท และมีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 15.66 บาท ความผิดพลาดจากการซื้อหุ้น "GRAMMY" และ "GMMM" คืนทำให้เครือแกรมมี่ต้อง "ขาดทุน" ไปแล้ว 134.32 ล้านบาท
กราฟฟิค-โครงสร้างรายได้ GRAMMY
โครงสร้างรายได้ GRAMMY ในไตรมาส 1 ปี 2548 เทียบกับปี 2547
ไตรมาส 1 ไตรมาส 1 เปลี่ยนแปลง
ปี 2548 ปี 2547 (%)
(ล้านบาท) (ล้านบาท)
รายได้จากธุรกิจเพลง และค่าลิขสิทธิ์ 576.37 726.7 -20.69
รายได้จากธุรกิจวิทยุ 213.22 242.02 -11.90
รายได้จากธุรกิจโทรทัศน์ 212.59 194.68 9.20
รายได้ค่าบริหารศิลปิน 74.87 104.29 -28.21
รายได้อื่นๆ 51.04 86.51 -41.00
รายได้จากธุรกิจภาพยนตร์ และโฆษณา 49.79 24.37 104.31
รายได้ค่าโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ 43.01 34.46 24.81
รายได้จากธุรกิจคอนเสิร์ต และละครเวที 22.75 98.4 -76.88
รายได้จากธุรกิจหนังสือ และนิตยสาร 20.31 15.38 32.05
รายได้รวม 1,275.03 1,531.40 -16.74
ต้นทุนขายและผลิต 718.84 911.64 -21.15
ค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหาร 456.64 367.42 24.28
รวมค่าใช้จ่าย 1,175.71 1,279.19 -8.09
กำไรก่อนดอกเบี้ย และภาษี(EBIT) 99.32 252.21 -60.62
EBITDA 169.97 315.15 -46.07
กำไรสุทธิ 45.21 165.46 -72.68
กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.09 0.34 -73.53
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ไปฟังสัมมนา ดร.นิเวศน์มา มีแจก superstock ด้วยนะ
โพสต์ที่ 10
เพิ่งรู้ว่าตัวเองไปเฉลยที่โน้นไม่ได้ขุดบ่งขุดบ่อล่ออะไรหรอกครับ ก็คุณ miracle แกเฉลยไว้แล้วในอีกกระทู้นึงนี่นา
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=10408
ฮาเลย