ใครที่ท้อมาดู port ของเซียนช่วงวิกฤติดีกว่า
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
ใครที่ท้อมาดู port ของเซียนช่วงวิกฤติดีกว่า
โพสต์ที่ 1
ช่วงนี้เห็นหลายกระทู้....เลยคำนวณมาให้ดู
สำหรับใครที่กำลังท้อ หรือหนีตลาด
อาจจะผิดหวังนิดหน่อย เห็นหัวข้อแล้วอาจคิดว่าชวนให้ดู ว่ามีคนเก่ง หลบตลาดขาลงได้ โดยการหาจังหวะขายทิ้งอย่างสุดสวย แล้วโดดกลับมาซื้อใหม่ตอนตกท้องช้างต่ำสุด แล้วฟันกำไรบาน
โชว์เปรียบเทียบให้ดูว่า Buffett ผู้ยิ่งใหญ่ ก็ไม่ได้อยู่เหนือตลาด
ไม่ได้วิเศษ เสกให้ port ตัวเอง ไม่ให้ตกตามตลาดได้ หน่วยล้าน USD,
ที่มา: http://www.berkshirehathaway.com/letters/letters.html
พอร์ตแบบละเอียด มักอยู่ราวหน้า 13-15 ของไฟล์ pdf
เมื่อตอน 07-08 คิดว่าที่เป็นแบบนี้ เพราะถ้าปู่หนักใจตาลีตาเหลือกทิ้ง coke, well fargo, หรือ american express ขายไม่ได้ราคาดีแน่ และการกลับมา ก็ไม่น่ายิ่งใหญ่เท่าทุกวันนี้แน่
แทนที่จะกลัวนั่น กลัวนี่...หนีตลาด...กลัวหุ้นตก...กลัวความแดงของพอร์ต มีสติกันดีกว่า
ตัวไหนดี เพราะเลือกดีแล้ว ก็ทิ้งไว้ เดี๋ยวมันกลับมาดีเอง แต่จะแบ่งขายบ้างก็ไม่มีใครว่า (แต่อย่างอ.นิเวศน์พูด...ตอนนี้ขาย ก็ไม่ได้ราคาดีนะ ... ก็ต้องประเมินจังหวะ ดูความคุ้มค่า ทำกลับทางแบบ valuation ตอนซื้อเหมือนกัน)
ที่ควรทำคือ... คอยจังหวะโลภ ทำ short list / watch list "กิจการ" และ "หุ้น" เอาไว้เลย แล้วให้คะแนนความ sexy ความดี ความสวย ความหรู ความแรง ความคงทน อรรถประโยชน์ จัดอันดับให้คะแนน
รถเบนซ์ พอร์ช จากัวร์ ที่เราที่ีมีอยู่หลายคัน น้ำท่วมจอดทิ้งไว้เฉยๆ ก่อนก็ได้ ที่จริงคุณค่ามันยังไม่ได้ต่ำลง จะขายมันถูกๆ ทำไม (จำคำพูดกระทู้อื่นมา พี่คนไหนพูดไว้จำไม่ได้ แสดงตัวหน่อยครับ)
ซักพัก เราก็คอยจังหวะเปรียบเทียบ spec, ราคา, และพวก features โรสลอยซ์ ลัมบอจินี่ เฟอร์รารี่ ที่กำลังลดกระหน่ำเหมือนกัน อาจแบ่งขาย จากัวร์ พอร์ช เบนซ์ บางคันบ้างก็ได้เมื่อสักพักราคาของที่มีอยู่ขึ้นมาบ้าง แต่ราคารถหรูคันอื่นรุ่นอื่นที่ยังไม่มี ดูแล้วแถมมันลงแรงโดยบ้าคลั่งไม่มีเหตุผลหนักกว่า เพราะอยู่ในเทศกาลกระหน่ำ summer sales เตี้ยติดดินอย่างที่เคยเป็น 2008-2009 แล้ว 2009-2010 ก็เริ่มกลับมา แต่ราคายังไม่สูงเกินกำลัง
ช่วงนั้น มีคนเคยทำได้อย่างที่ว่าแล้ว ... ช่วงนี้ น่าจะมารอสร้างตำนาน แบบที่มีคนเคยสร้างไว้วิกฤติรอบแล้วกันดีกว่า กลัวแรงแข่งคนอื่นไม่พอก็แข่งกับตัวเองก็ได้ ดีกว่าตกใจ ท้อใจ ละเหี่ยใจ สมองจะไม่โล่ง คิดอะไรไม่ออก
ตอนตลาดขาขึ้น เราท่องกันจนติดปาก สงสัยลืมกันไปหมดแล้ว
ณ เวลาต่อจากนี้ อีกไม่นานเกินรอ จะได้เวลาทำอย่างทฤษฎีที่ว่าแล้ว
รอจังหวะ "ปรับพอร์ต" หรือลงเพิ่ม โลภ ตอนคนอื่นกลัวกันดีกว่า
จึงเรียนมาเพื่อโปรดแซ่บ
ฮ่า...กะลังจะ submit กระทู้ เริ่มเห็นมีคนขุดกระทู้ 2008 ทำนองเดียวกัน "เรื่องโอกาสทอง" ขึ้นมาเตือนความจำแล้ว
สมกับ Thai VI จริงๆ
สำหรับใครที่กำลังท้อ หรือหนีตลาด
อาจจะผิดหวังนิดหน่อย เห็นหัวข้อแล้วอาจคิดว่าชวนให้ดู ว่ามีคนเก่ง หลบตลาดขาลงได้ โดยการหาจังหวะขายทิ้งอย่างสุดสวย แล้วโดดกลับมาซื้อใหม่ตอนตกท้องช้างต่ำสุด แล้วฟันกำไรบาน
โชว์เปรียบเทียบให้ดูว่า Buffett ผู้ยิ่งใหญ่ ก็ไม่ได้อยู่เหนือตลาด
ไม่ได้วิเศษ เสกให้ port ตัวเอง ไม่ให้ตกตามตลาดได้ หน่วยล้าน USD,
ที่มา: http://www.berkshirehathaway.com/letters/letters.html
พอร์ตแบบละเอียด มักอยู่ราวหน้า 13-15 ของไฟล์ pdf
เมื่อตอน 07-08 คิดว่าที่เป็นแบบนี้ เพราะถ้าปู่หนักใจตาลีตาเหลือกทิ้ง coke, well fargo, หรือ american express ขายไม่ได้ราคาดีแน่ และการกลับมา ก็ไม่น่ายิ่งใหญ่เท่าทุกวันนี้แน่
แทนที่จะกลัวนั่น กลัวนี่...หนีตลาด...กลัวหุ้นตก...กลัวความแดงของพอร์ต มีสติกันดีกว่า
ตัวไหนดี เพราะเลือกดีแล้ว ก็ทิ้งไว้ เดี๋ยวมันกลับมาดีเอง แต่จะแบ่งขายบ้างก็ไม่มีใครว่า (แต่อย่างอ.นิเวศน์พูด...ตอนนี้ขาย ก็ไม่ได้ราคาดีนะ ... ก็ต้องประเมินจังหวะ ดูความคุ้มค่า ทำกลับทางแบบ valuation ตอนซื้อเหมือนกัน)
ที่ควรทำคือ... คอยจังหวะโลภ ทำ short list / watch list "กิจการ" และ "หุ้น" เอาไว้เลย แล้วให้คะแนนความ sexy ความดี ความสวย ความหรู ความแรง ความคงทน อรรถประโยชน์ จัดอันดับให้คะแนน
รถเบนซ์ พอร์ช จากัวร์ ที่เราที่ีมีอยู่หลายคัน น้ำท่วมจอดทิ้งไว้เฉยๆ ก่อนก็ได้ ที่จริงคุณค่ามันยังไม่ได้ต่ำลง จะขายมันถูกๆ ทำไม (จำคำพูดกระทู้อื่นมา พี่คนไหนพูดไว้จำไม่ได้ แสดงตัวหน่อยครับ)
ซักพัก เราก็คอยจังหวะเปรียบเทียบ spec, ราคา, และพวก features โรสลอยซ์ ลัมบอจินี่ เฟอร์รารี่ ที่กำลังลดกระหน่ำเหมือนกัน อาจแบ่งขาย จากัวร์ พอร์ช เบนซ์ บางคันบ้างก็ได้เมื่อสักพักราคาของที่มีอยู่ขึ้นมาบ้าง แต่ราคารถหรูคันอื่นรุ่นอื่นที่ยังไม่มี ดูแล้วแถมมันลงแรงโดยบ้าคลั่งไม่มีเหตุผลหนักกว่า เพราะอยู่ในเทศกาลกระหน่ำ summer sales เตี้ยติดดินอย่างที่เคยเป็น 2008-2009 แล้ว 2009-2010 ก็เริ่มกลับมา แต่ราคายังไม่สูงเกินกำลัง
ช่วงนั้น มีคนเคยทำได้อย่างที่ว่าแล้ว ... ช่วงนี้ น่าจะมารอสร้างตำนาน แบบที่มีคนเคยสร้างไว้วิกฤติรอบแล้วกันดีกว่า กลัวแรงแข่งคนอื่นไม่พอก็แข่งกับตัวเองก็ได้ ดีกว่าตกใจ ท้อใจ ละเหี่ยใจ สมองจะไม่โล่ง คิดอะไรไม่ออก
ตอนตลาดขาขึ้น เราท่องกันจนติดปาก สงสัยลืมกันไปหมดแล้ว
ณ เวลาต่อจากนี้ อีกไม่นานเกินรอ จะได้เวลาทำอย่างทฤษฎีที่ว่าแล้ว
รอจังหวะ "ปรับพอร์ต" หรือลงเพิ่ม โลภ ตอนคนอื่นกลัวกันดีกว่า
จึงเรียนมาเพื่อโปรดแซ่บ
ฮ่า...กะลังจะ submit กระทู้ เริ่มเห็นมีคนขุดกระทู้ 2008 ทำนองเดียวกัน "เรื่องโอกาสทอง" ขึ้นมาเตือนความจำแล้ว
สมกับ Thai VI จริงๆ
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ใครที่ท้อมาดู port ของเซียนช่วงวิกฤติดีกว่า
โพสต์ที่ 3
จุดสำคัญ คือต้องมีเงินสดเอาไว้ซื้อของถูก นะครับ อ่านหนังสือของ Buffett เห็นมีเงินซื้อของถูกตลอด (มีบริษัทประกันภัย เป็น Float หลัก) คงต้องปรับ port กันดีๆ ครับช่วงนี้
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
- erickiros
- Verified User
- โพสต์: 415
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ใครที่ท้อมาดู port ของเซียนช่วงวิกฤติดีกว่า
โพสต์ที่ 4
"แทนที่จะกลัวนั่น กลัวนี่...หนีตลาด...กลัวหุ้นตก...กลัวความแดงของพอร์ต มีสติกันดีกว่า
ตัวไหนดี เพราะเลือกดีแล้ว ก็ทิ้งไว้ เดี๋ยวมันกลับมาดีเอง แต่จะแบ่งขายบ้างก็ไม่มีใครว่า (แต่อย่างอ.นิเวศน์พูด...ตอนนี้ขาย ก็ไม่ได้ราคาดีนะ ... ก็ต้องประเมินจังหวะ ดูความคุ้มค่า ทำกลับทางแบบ valuation ตอนซื้อเหมือนกัน)
ที่ควรทำคือ... คอยจังหวะโลภ ทำ short list / watch list "กิจการ" และ "หุ้น" เอาไว้เลย แล้วให้คะแนนความ sexy ความดี ความสวย ความหรู ความแรง ความคงทน อรรถประโยชน์ จัดอันดับให้คะแนน"
เห็นด้วยกับสองย่อหน้านี้มากๆค่ะ ถ้ากิจการที่เราเป็นเจ้าของมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
และเราซื้อกิจการมาด้วยราคาที่ไม่แพงเกินความสามารถของกิจการก็ถือกันต่อไปค่ะ
ถ้าราคาของกิจการถูกลง หากมีเงินเหลืออยู่จะเก็บเพิ่มก็ดีนะคะ เราจะได้เป็นหุ้นส่วนที่ใหญ่ขึ้น
แต่พื้นฐานต้องไม่เปลี่ยนจากคราวที่ซื้อครั้งแรกหรือพื้นฐานเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นก็ยิ่งดีค่ะ
ตัวไหนดี เพราะเลือกดีแล้ว ก็ทิ้งไว้ เดี๋ยวมันกลับมาดีเอง แต่จะแบ่งขายบ้างก็ไม่มีใครว่า (แต่อย่างอ.นิเวศน์พูด...ตอนนี้ขาย ก็ไม่ได้ราคาดีนะ ... ก็ต้องประเมินจังหวะ ดูความคุ้มค่า ทำกลับทางแบบ valuation ตอนซื้อเหมือนกัน)
ที่ควรทำคือ... คอยจังหวะโลภ ทำ short list / watch list "กิจการ" และ "หุ้น" เอาไว้เลย แล้วให้คะแนนความ sexy ความดี ความสวย ความหรู ความแรง ความคงทน อรรถประโยชน์ จัดอันดับให้คะแนน"
เห็นด้วยกับสองย่อหน้านี้มากๆค่ะ ถ้ากิจการที่เราเป็นเจ้าของมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
และเราซื้อกิจการมาด้วยราคาที่ไม่แพงเกินความสามารถของกิจการก็ถือกันต่อไปค่ะ
ถ้าราคาของกิจการถูกลง หากมีเงินเหลืออยู่จะเก็บเพิ่มก็ดีนะคะ เราจะได้เป็นหุ้นส่วนที่ใหญ่ขึ้น
แต่พื้นฐานต้องไม่เปลี่ยนจากคราวที่ซื้อครั้งแรกหรือพื้นฐานเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นก็ยิ่งดีค่ะ
ว่างๆแวะไปเยี่ยมชม blog ของซันได้นะคะ Economics Blog
เนื้อหาของบล็อกนี้จะเกี่ยวกับการนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาอธิบายเรื่องราวต่างๆค่ะ
เนื้อหาของบล็อกนี้จะเกี่ยวกับการนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาอธิบายเรื่องราวต่างๆค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ใครที่ท้อมาดู port ของเซียนช่วงวิกฤติดีกว่า
โพสต์ที่ 5
พึ่งได้อ่านหนังสือ Learn to Earn หรือ เรียนให้รวย ของ Peter Lynch ที่แปลโดย คุณ นรา สุภัคโรจน์
ผมว่า เป็นหนังสือ ที่อ่านสนุกมั๊กๆ เห็นว่าเหมาะสำหรับเยาวชนและมือใหม่ แต่ผมว่า มือเก่า ถ้าได้อ่าน ก็จะได้เกร็ดความรู้และข้อคิดต่างๆ มากมาย เลยทีเดียวครับ
ผมเจอย่อหน้าหนึ่ง ในหนังสือ เล่มนี้ อ่านแล้ว โดนใจมาก เหมาะกับช่วงนี้เป็นที่สุดครับ
" คนเรามักจะพยายามมองหาสูตรต่างๆ ที่จะเอาชนะ วอลล์สตรีททั้งที่เห็นอยู่ทนโท่ว่า " จงซื้อหุ้นในบริษัทที่แข็งแกร่งและมีอำนาจในการสร้างรายได้ และอย่าปล่อยให้หลุดมือหากไม่มีเหตุผลที่ดีพอเท่านั้น ซี่งการที่ราคาหุ้นตกลงไม่ใช่เหตุผลที่ดี " การยืนสาบานหน้ากระจกว่า คุณจะเป็นนักลงทุนระยะยาวที่จะไม่มีวันทอดทิ้งหุ้นของคุณนั้น เป็นเรื่องง่าย ถ้าคุณถามคนกลุ่มหนึ่งว่า มีใครบ้างเป็นนักลงทุนระยะยาว คุณจะเห็นคนยกมือกันพรึ่บ ในสมัยนี้ยากมากที่จะพบคนที่ไม่อ้างว่าตนเป็นนักลงทุนระยะยาว แต่บททดสอบที่แท้จริงว่ายาวจริงหรือไม่นั้นต้องรอตอนที่หุ้นตก
เราจะพูดถึงการถล่ม การปรับฐาน และตลาดหมีในรายละเอียดภายหลัง ไม่มีใครสามารถทำนายได้แน่นอนว่า ตลาดหมีจะมาถึงเมื่อใด ( แม้วอล์ลสตรีทจะไม่เคยขาดพวกที่อ้างว่าตนทำนายได้แม่นยำก็ตาม) เมื่อใดที่ตลาดหมีมาถึง และหุ้นตก 9 ใน 10 ตัวพร้อมเพียงกัน เป็นธรรมชาติที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะขวัญหนีดีผ่อเมื่อได้ยินนักข่าว TV บรรยายถึงสถานการณ์ตลาดด้วยคำว่า หายนะ หรือ ความสูญเสีย แล้วก็เริ่มหวั่นเกรงว่าราคาหุ้นจะดิ่งจนเหลือ 0 และเงินลงทุนทั้งหมดจะหายเกลี้ยง แล้วก็ตัดสินใจเก็บเงินที่เหลือขึ้นมาก่อนด้วยการขายทิ้งแม้ว่าจะขาดทุนก็ตาม พร้อมปลอบใจตัวเองว่า เดี๋ยวสถานการณ์ดีขึ้นค่อยกลับมาซื้อใหม่
ตอนนี้นี่เองที่ผู้คนจะพากันหันมาเป็นนักลงทุนระยะสั้นกันเป็นทิวแถว แม้จะเคยลั่นวาจาได้แล้วก็ตาม พวกเขาปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำลืมเหตุผลเสียสิ้นว่าที่ซื้อหุ้นเหล่านั้นในตอนแรกก็เพราะต้องการเป็นเจ้าของบริษัทที่ดี พวกเขาแตกตื่นก็เพราะราคาหุ้นตกลงและแทนที่จะรอให้กลับขึ้นมา กลับขายในราคาที่ต่ำทั้งที่ไม่มีใครบังคับให้ทำ แต่ตัวเองขออาสาเสียเงินเอง
คนเหล่านี้ติดกับดักความพยายามในการเก็งกำไรโดยไม่รู้ตัว หากคุณบอกพวกเขาว่า พวกเขาเป็นนักเก็งกำไร พวกเขาจะปฏิเสธ แต่แน่นอนใครก็ตามที่ขายหุ้นเพราะตลาดขึ้นหรือลงก็คือนักเก็งกำไรดีๆ นั่นเอง "
เป็นไงครับ เฮีย Lynch นี่แก แรง ดีเหมือนกันนะครับ
ผมว่า เป็นหนังสือ ที่อ่านสนุกมั๊กๆ เห็นว่าเหมาะสำหรับเยาวชนและมือใหม่ แต่ผมว่า มือเก่า ถ้าได้อ่าน ก็จะได้เกร็ดความรู้และข้อคิดต่างๆ มากมาย เลยทีเดียวครับ
ผมเจอย่อหน้าหนึ่ง ในหนังสือ เล่มนี้ อ่านแล้ว โดนใจมาก เหมาะกับช่วงนี้เป็นที่สุดครับ
" คนเรามักจะพยายามมองหาสูตรต่างๆ ที่จะเอาชนะ วอลล์สตรีททั้งที่เห็นอยู่ทนโท่ว่า " จงซื้อหุ้นในบริษัทที่แข็งแกร่งและมีอำนาจในการสร้างรายได้ และอย่าปล่อยให้หลุดมือหากไม่มีเหตุผลที่ดีพอเท่านั้น ซี่งการที่ราคาหุ้นตกลงไม่ใช่เหตุผลที่ดี " การยืนสาบานหน้ากระจกว่า คุณจะเป็นนักลงทุนระยะยาวที่จะไม่มีวันทอดทิ้งหุ้นของคุณนั้น เป็นเรื่องง่าย ถ้าคุณถามคนกลุ่มหนึ่งว่า มีใครบ้างเป็นนักลงทุนระยะยาว คุณจะเห็นคนยกมือกันพรึ่บ ในสมัยนี้ยากมากที่จะพบคนที่ไม่อ้างว่าตนเป็นนักลงทุนระยะยาว แต่บททดสอบที่แท้จริงว่ายาวจริงหรือไม่นั้นต้องรอตอนที่หุ้นตก
เราจะพูดถึงการถล่ม การปรับฐาน และตลาดหมีในรายละเอียดภายหลัง ไม่มีใครสามารถทำนายได้แน่นอนว่า ตลาดหมีจะมาถึงเมื่อใด ( แม้วอล์ลสตรีทจะไม่เคยขาดพวกที่อ้างว่าตนทำนายได้แม่นยำก็ตาม) เมื่อใดที่ตลาดหมีมาถึง และหุ้นตก 9 ใน 10 ตัวพร้อมเพียงกัน เป็นธรรมชาติที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะขวัญหนีดีผ่อเมื่อได้ยินนักข่าว TV บรรยายถึงสถานการณ์ตลาดด้วยคำว่า หายนะ หรือ ความสูญเสีย แล้วก็เริ่มหวั่นเกรงว่าราคาหุ้นจะดิ่งจนเหลือ 0 และเงินลงทุนทั้งหมดจะหายเกลี้ยง แล้วก็ตัดสินใจเก็บเงินที่เหลือขึ้นมาก่อนด้วยการขายทิ้งแม้ว่าจะขาดทุนก็ตาม พร้อมปลอบใจตัวเองว่า เดี๋ยวสถานการณ์ดีขึ้นค่อยกลับมาซื้อใหม่
ตอนนี้นี่เองที่ผู้คนจะพากันหันมาเป็นนักลงทุนระยะสั้นกันเป็นทิวแถว แม้จะเคยลั่นวาจาได้แล้วก็ตาม พวกเขาปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำลืมเหตุผลเสียสิ้นว่าที่ซื้อหุ้นเหล่านั้นในตอนแรกก็เพราะต้องการเป็นเจ้าของบริษัทที่ดี พวกเขาแตกตื่นก็เพราะราคาหุ้นตกลงและแทนที่จะรอให้กลับขึ้นมา กลับขายในราคาที่ต่ำทั้งที่ไม่มีใครบังคับให้ทำ แต่ตัวเองขออาสาเสียเงินเอง
คนเหล่านี้ติดกับดักความพยายามในการเก็งกำไรโดยไม่รู้ตัว หากคุณบอกพวกเขาว่า พวกเขาเป็นนักเก็งกำไร พวกเขาจะปฏิเสธ แต่แน่นอนใครก็ตามที่ขายหุ้นเพราะตลาดขึ้นหรือลงก็คือนักเก็งกำไรดีๆ นั่นเอง "
เป็นไงครับ เฮีย Lynch นี่แก แรง ดีเหมือนกันนะครับ
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
- NAI-A SIKHIU
- Verified User
- โพสต์: 584
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ใครที่ท้อมาดู port ของเซียนช่วงวิกฤติดีกว่า
โพสต์ที่ 6
โดนใจอย่างแรงGreen เขียน:พึ่งได้อ่านหนังสือ Learn to Earn หรือ เรียนให้รวย ของ Peter Lynch ที่แปลโดย คุณ นรา สุภัคโรจน์
ผมว่า เป็นหนังสือ ที่อ่านสนุกมั๊กๆ เห็นว่าเหมาะสำหรับเยาวชนและมือใหม่ แต่ผมว่า มือเก่า ถ้าได้อ่าน ก็จะได้เกร็ดความรู้และข้อคิดต่างๆ มากมาย เลยทีเดียวครับ
ผมเจอย่อหน้าหนึ่ง ในหนังสือ เล่มนี้ อ่านแล้ว โดนใจมาก เหมาะกับช่วงนี้เป็นที่สุดครับ
" คนเรามักจะพยายามมองหาสูตรต่างๆ ที่จะเอาชนะ วอลล์สตรีททั้งที่เห็นอยู่ทนโท่ว่า " จงซื้อหุ้นในบริษัทที่แข็งแกร่งและมีอำนาจในการสร้างรายได้ และอย่าปล่อยให้หลุดมือหากไม่มีเหตุผลที่ดีพอเท่านั้น ซี่งการที่ราคาหุ้นตกลงไม่ใช่เหตุผลที่ดี " การยืนสาบานหน้ากระจกว่า คุณจะเป็นนักลงทุนระยะยาวที่จะไม่มีวันทอดทิ้งหุ้นของคุณนั้น เป็นเรื่องง่าย ถ้าคุณถามคนกลุ่มหนึ่งว่า มีใครบ้างเป็นนักลงทุนระยะยาว คุณจะเห็นคนยกมือกันพรึ่บ ในสมัยนี้ยากมากที่จะพบคนที่ไม่อ้างว่าตนเป็นนักลงทุนระยะยาว แต่บททดสอบที่แท้จริงว่ายาวจริงหรือไม่นั้นต้องรอตอนที่หุ้นตก
เราจะพูดถึงการถล่ม การปรับฐาน และตลาดหมีในรายละเอียดภายหลัง ไม่มีใครสามารถทำนายได้แน่นอนว่า ตลาดหมีจะมาถึงเมื่อใด ( แม้วอล์ลสตรีทจะไม่เคยขาดพวกที่อ้างว่าตนทำนายได้แม่นยำก็ตาม) เมื่อใดที่ตลาดหมีมาถึง และหุ้นตก 9 ใน 10 ตัวพร้อมเพียงกัน เป็นธรรมชาติที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะขวัญหนีดีผ่อเมื่อได้ยินนักข่าว TV บรรยายถึงสถานการณ์ตลาดด้วยคำว่า หายนะ หรือ ความสูญเสีย แล้วก็เริ่มหวั่นเกรงว่าราคาหุ้นจะดิ่งจนเหลือ 0 และเงินลงทุนทั้งหมดจะหายเกลี้ยง แล้วก็ตัดสินใจเก็บเงินที่เหลือขึ้นมาก่อนด้วยการขายทิ้งแม้ว่าจะขาดทุนก็ตาม พร้อมปลอบใจตัวเองว่า เดี๋ยวสถานการณ์ดีขึ้นค่อยกลับมาซื้อใหม่
ตอนนี้นี่เองที่ผู้คนจะพากันหันมาเป็นนักลงทุนระยะสั้นกันเป็นทิวแถว แม้จะเคยลั่นวาจาได้แล้วก็ตาม พวกเขาปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำลืมเหตุผลเสียสิ้นว่าที่ซื้อหุ้นเหล่านั้นในตอนแรกก็เพราะต้องการเป็นเจ้าของบริษัทที่ดี พวกเขาแตกตื่นก็เพราะราคาหุ้นตกลงและแทนที่จะรอให้กลับขึ้นมา กลับขายในราคาที่ต่ำทั้งที่ไม่มีใครบังคับให้ทำ แต่ตัวเองขออาสาเสียเงินเอง
คนเหล่านี้ติดกับดักความพยายามในการเก็งกำไรโดยไม่รู้ตัว หากคุณบอกพวกเขาว่า พวกเขาเป็นนักเก็งกำไร พวกเขาจะปฏิเสธ แต่แน่นอนใครก็ตามที่ขายหุ้นเพราะตลาดขึ้นหรือลงก็คือนักเก็งกำไรดีๆ นั่นเอง "
เป็นไงครับ เฮีย Lynch นี่แก แรง ดีเหมือนกันนะครับ
นครจันทึก จารึกภาพ ๔,๐๐๐ ปี สี่เขี้ยวต้นตำนาน คู่บ้านลำตะคลอง
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ใครที่ท้อมาดู port ของเซียนช่วงวิกฤติดีกว่า
โพสต์ที่ 9
เป็นกระทู้ที่ดีมากๆ มีกำลังใจสู้ต่อครับ แม้แต่ป๋าบัฟเฟตต์ยังเคยติดลบเลย จะกลัวไปทำไม
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ใครที่ท้อมาดู port ของเซียนช่วงวิกฤติดีกว่า
โพสต์ที่ 12
แต่ port ใหญ่หรือเล็ก ผมว่าเป็นประเด็นรอง (อาจเป็นเหตุบ้าง ว่าตอนเทขายอาจทำตลาดตื่น ขาย lot หลังได้กำไรน้อยลง)
แต่เราได้อะไรจากบทเรียน ของวิธีการของ Buffett ข้างต้น ที่ได้ผลมาตลอด ตั้งแต่ no name?
มันก็เรื่องเดียวกับที่ Lynch ก็พูดไว้เหมือนกัน เพิ่งผ่าตาไปหยกๆ ข้างบน "ซื้อบริษัท ไม่ใช่ซื้อหุ้น"
จะเห็นว่าแม้ต้นทุนของ Buffett ต่ำมาก ในไทยก็คล้าย port อ.นิเวศน์ ที่มี CPALL กับ HMPRO เป็นตัวชูโรง
แต่ก็จะเห็น ว่ากำไรหายวับไปกับตามหาศาลเหมือนกัน 75-49 หมื่นล้าน = 26หมื่นล้านดอลล่าร์ (ยังไม่ได้คูณ 30 เพื่อเทียบเงินไทย)
แล้วกลุ่มหุ้นตัวเอกที่เลือกมาดีแล้วมีน้ำหนัก % สูงๆ ของพอร์ต ก็ไม่ได้มีการเทขายหรือรินขายออกมาบ้าง เพื่อเก็งตลาดมารอรับต่ำ เพราะนั้นไม่ใช่วิธีการหลักที่ 2 ท่านนี้ใช้อยู่
ถ้าจะขาย เพราะคุณว่าเก็งตลาดได้ แล้วคุณเอาชนะได้ คล้ายชอร์ตเซลล์ กลายๆ คือขายแล้วได้ราคาต่ำกว่าเดิมได้หุ้นเพิ่ม ไม่มีใครว่าคุณครับ เป็นความสามารถของคุณ ถ้าแน่ใจ ลงมือได้เลย
แต่ที่ผมเอามานั่งเปรียบเทียบให้เห็น เพราะดูเหมือนจะมีคนแห่เทขายกันตอนนี้ เพราะสติแตกกระเจิงกันเยอะ ทำใจกันไม่ได้ เพราะไปเปรียบเทียบกับกำไรที่ไำด้ตอนขาขึ้น
เห็นในหลายกระทู้ บางคนกำลังชั่งใจว่าจะกด "sell" ดีหรือไม่ รอมานานจนทนไม่ไหว บางคนลงมือไปแล้วเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา มาเทขายเอาตอนตลาดถึงเลข 8 ตอนนี้ ต่อไปอาจถึงขั้นเข็ดเลิกลงทุนใตลาดหุ้นไปตลอดชีวิตเลยก็มี (ไม่กลับมาเล่า เพราะ "คนตายพูดไม่ได้")
ทั้งที่ตอนตลาดขาขึ้น เคยมั่นใจสุดๆ ว่าทำดีแล้ว แต่ความเป็นจริง การขาดทุนของบางคน ก็มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ถ้ากลับมาดูหลักการ ที่มีตัวอย่างจริง
แค่ตอนนี้ตลาดมองราคาต่ำ เพราะ P ต่ำลง เพราะคนหนีออกจากการสนใจลงทุนในหุ้นชั่วคราว เนื่องจากตกใจตามฝรั่ง กลัวตามภูมิภาค PE, PBV เลยต่ำลง
แต่ว่ามูลค่า E กับ BV กิจการยังไม่ทรุดลง ถ้าเลือกทุกตัวแน่ใจว่าเลือกดีแล้ว ตลาดกลับมาก็ยังจะมีหุ้นบริษัทเดิมอยู่ บริษัทไม่ได้โดนกรีกเบี้ยวหนี้ไปด้วย
วัตถุประสงค์ของผม....เลยอยากให้เอาคนที่ทำสำเร็จมาตลอดชีวิตเป็นตัวอย่าง ถ้าเลือกกิจการดีแล้ว ใครใจร้อน จะไำด้ใจเย็นรอการกลับมา
...(แต่จะบอกว่า Buffett ไม่ได้ "ถือแบบไร้สติ" เหมือนกัน
มีการทยอยขายจริงกับหุ้นที่มั่นใจว่าประเมินพลาดไปเหมือนกัน แต่ไม่ได้ขายเพราะตื่นตามชาวบ้าน)
แต่เราได้อะไรจากบทเรียน ของวิธีการของ Buffett ข้างต้น ที่ได้ผลมาตลอด ตั้งแต่ no name?
มันก็เรื่องเดียวกับที่ Lynch ก็พูดไว้เหมือนกัน เพิ่งผ่าตาไปหยกๆ ข้างบน "ซื้อบริษัท ไม่ใช่ซื้อหุ้น"
จะเห็นว่าแม้ต้นทุนของ Buffett ต่ำมาก ในไทยก็คล้าย port อ.นิเวศน์ ที่มี CPALL กับ HMPRO เป็นตัวชูโรง
แต่ก็จะเห็น ว่ากำไรหายวับไปกับตามหาศาลเหมือนกัน 75-49 หมื่นล้าน = 26หมื่นล้านดอลล่าร์ (ยังไม่ได้คูณ 30 เพื่อเทียบเงินไทย)
แล้วกลุ่มหุ้นตัวเอกที่เลือกมาดีแล้วมีน้ำหนัก % สูงๆ ของพอร์ต ก็ไม่ได้มีการเทขายหรือรินขายออกมาบ้าง เพื่อเก็งตลาดมารอรับต่ำ เพราะนั้นไม่ใช่วิธีการหลักที่ 2 ท่านนี้ใช้อยู่
ถ้าจะขาย เพราะคุณว่าเก็งตลาดได้ แล้วคุณเอาชนะได้ คล้ายชอร์ตเซลล์ กลายๆ คือขายแล้วได้ราคาต่ำกว่าเดิมได้หุ้นเพิ่ม ไม่มีใครว่าคุณครับ เป็นความสามารถของคุณ ถ้าแน่ใจ ลงมือได้เลย
แต่ที่ผมเอามานั่งเปรียบเทียบให้เห็น เพราะดูเหมือนจะมีคนแห่เทขายกันตอนนี้ เพราะสติแตกกระเจิงกันเยอะ ทำใจกันไม่ได้ เพราะไปเปรียบเทียบกับกำไรที่ไำด้ตอนขาขึ้น
เห็นในหลายกระทู้ บางคนกำลังชั่งใจว่าจะกด "sell" ดีหรือไม่ รอมานานจนทนไม่ไหว บางคนลงมือไปแล้วเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา มาเทขายเอาตอนตลาดถึงเลข 8 ตอนนี้ ต่อไปอาจถึงขั้นเข็ดเลิกลงทุนใตลาดหุ้นไปตลอดชีวิตเลยก็มี (ไม่กลับมาเล่า เพราะ "คนตายพูดไม่ได้")
ทั้งที่ตอนตลาดขาขึ้น เคยมั่นใจสุดๆ ว่าทำดีแล้ว แต่ความเป็นจริง การขาดทุนของบางคน ก็มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ถ้ากลับมาดูหลักการ ที่มีตัวอย่างจริง
แค่ตอนนี้ตลาดมองราคาต่ำ เพราะ P ต่ำลง เพราะคนหนีออกจากการสนใจลงทุนในหุ้นชั่วคราว เนื่องจากตกใจตามฝรั่ง กลัวตามภูมิภาค PE, PBV เลยต่ำลง
แต่ว่ามูลค่า E กับ BV กิจการยังไม่ทรุดลง ถ้าเลือกทุกตัวแน่ใจว่าเลือกดีแล้ว ตลาดกลับมาก็ยังจะมีหุ้นบริษัทเดิมอยู่ บริษัทไม่ได้โดนกรีกเบี้ยวหนี้ไปด้วย
วัตถุประสงค์ของผม....เลยอยากให้เอาคนที่ทำสำเร็จมาตลอดชีวิตเป็นตัวอย่าง ถ้าเลือกกิจการดีแล้ว ใครใจร้อน จะไำด้ใจเย็นรอการกลับมา
...(แต่จะบอกว่า Buffett ไม่ได้ "ถือแบบไร้สติ" เหมือนกัน
มีการทยอยขายจริงกับหุ้นที่มั่นใจว่าประเมินพลาดไปเหมือนกัน แต่ไม่ได้ขายเพราะตื่นตามชาวบ้าน)
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ใครที่ท้อมาดู port ของเซียนช่วงวิกฤติดีกว่า
โพสต์ที่ 13
ขออภัยครับ เผอิญผมอ่านข้อความด้านบนแล้วติดใจคำว่าขายไม่ได้ราคาดีแน่ อ้อ แล้วการกลับมาที่ยิ่งใหญ่นี่เพราะอะไรเป็นหลักเดี๋ยวอดใจรอตามอ่านบทความข้างล่างนิดนึงครับIi'8N เขียน:เมื่อตอน 07-08 คิดว่าที่เป็นแบบนี้ เพราะถ้าปู่หนักใจตาลีตาเหลือกทิ้ง coke, well fargo, หรือ american express ขายไม่ได้ราคาดีแน่ และการกลับมา ก็ไม่น่ายิ่งใหญ่เท่าทุกวันนี้แน่…แต่ port ใหญ่หรือเล็ก ผมว่าเป็นประเด็นรอง (อาจเป็นเหตุบ้าง ว่าตอนเทขายอาจทำตลาดตื่น ขาย lot หลังได้กำไรน้อยลง)
ตัดตอนส่วนหนึ่งมาจากบทความจาก Seeking Alpha ครับ http://seekingalpha.com/article/190312- ... en-buffett ” But Buffett wasn’t just buying Coca-Cola (KO) and Geico as many have been led to believe. Buffett was placing some (short-term AND long-term) complex bets in derivatives markets, options markets, and bond markets. The myth that Buffett is a pure value investor is just that. And it has been fed to the public hook line and sinker by people who entirely fail to understand Buffett’s genius, but benefit from an investing public that continues to pour money into the “hold and hope” myth.Ii'8N เขียน:แต่เราได้อะไรจากบทเรียน ของวิธีการของ Buffett ข้างต้น ที่ได้ผลมาตลอด ตั้งแต่ no name?
มันก็เรื่องเดียวกับที่ Lynch ก็พูดไว้เหมือนกัน เพิ่งผ่าตาไปหยกๆ ข้างบน "ซื้อบริษัท ไม่ใช่ซื้อหุ้น จะเห็นว่าแม้ต้นทุนของ Buffett ต่ำมาก ในไทยก็คล้าย port อ.นิเวศน์ ที่มี CPALL กับ HMPRO เป็นตัวชูโรง
แต่ก็จะเห็น ว่ากำไรหายวับไปกับตามหาศาลเหมือนกัน 75-49 หมื่นล้าน = 26หมื่นล้านดอลล่าร์ (ยังไม่ได้คูณ 30 เพื่อเทียบเงินไทย)
แล้วกลุ่มหุ้นตัวเอกที่เลือกมาดีแล้วมีน้ำหนัก % สูงๆ ของพอร์ต ก็ไม่ได้มีการเทขายหรือรินขายออกมาบ้าง เพื่อเก็งตลาดมารอรับต่ำ เพราะนั้นไม่ใช่วิธีการหลักที่ 2 ท่านนี้ใช้อยู่
"
Berkshire has grown into one of the most complex financial businesses in the world. The investment portfolio he has become famous for is the equivalent of just about 25% of Berkshire’s market cap. His most famous holdings (Coke, American Express (AXP) and Washington Post (WPO)) account for roughly 10% of the total market cap. Interestingly, two of Buffett’s most famous investments weren’t traditional value picks at all, but distressed plays. His original investments in American Express and Geico occurred when both companies were teetering on the edge of insolvency. These deals are more akin to what many modern day distressed debt hedge fund managers do – NOT what Bill Miller and other “value” players do.
Make no mistake – this folksy frugal regular old chum is a killer businessman. Just look at the deal he struck with Goldman Sachs (GS) and GE (GE) in 2008. He practically stepped on their throats, demanded high yielding preferreds and the results speak for themselves. Of course, the deal was described by Buffett (all smiles of course) as a long-term value play. Right. If this same move had been achieved by a distressed debt hedge fund (which is a role Berkshire often plays) reporters would have described the fund manager as a thief who was attacking two great American corporations while they were down.”
ล่าสุด Warren เข้าลงทุนใน BoA แต่ลองมาดูรายละเอียดที่คุณปู่ตกลงนะครับ
“Under the terms of the deal, Berkshire will buy $5 billion of preferred stock that pay a 6 percent annual dividend, and receive warrants for 700 million shares that it can exercise over the next 10 years. Bank of America has the option to buy back the preferred shares at any time for a 5 percent premium.”
ถ้าหาดีลแบบนี้ตอนวิกฤติได้ก็น่าสนครับ
ตรงส่วนนี้ ผมว่าเราไม่กล่าวถึงดีไหมครับ อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่ได้เกี่ยวกับข้อความที่เราโพสท์กันด้านบนแต่อย่างใดIi'8N เขียน:ถ้าจะขาย เพราะคุณว่าเก็งตลาดได้ แล้วคุณเอาชนะได้ คล้ายชอร์ตเซลล์ กลายๆ คือขายแล้วได้ราคาต่ำกว่าเดิมได้หุ้นเพิ่ม ไม่มีใครว่าคุณครับ เป็นความสามารถของคุณ ถ้าแน่ใจ ลงมือได้เลย
ส่วนกรณีของ ดร. นิเวศน์ท่าน เมื่อเร็วๆ นี้ได้ให้สัมภาษณ์ว่า "พอร์ตส่วนตัวของผมตอนนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ซื้อเพิ่มเพราะราคาหุ้นยังไม่จูงใจและก็ไม่ได้ขายออก(เพราะหุ้นที่ถือ อยู่ต้นทุนต่ำ) ช่วงนี้คิดว่าทั้งหุ้นตัวเล็กและหุ้นตัวใหญ่มีโอกาสถูกขายได้อีก ช่วงนี้จึงอยากให้ชะลอการลงทุนไว้ก่อน"
ก็ถ้าทุนต่ำเหมือน ดร. ก็จะแบ่งส่วนนึงไว้ถือก็ได้ครับ
ตามหลัก Behavioural Investing อัตราส่วนความรู้สึกระหว่าตอนขาดทุนกับกำไร risk/reward ต่างกันประมาณ 2.5-3 เท่าครับ ฉะนั้นไม่แปลก ที่จะทำใจกันไม่ได้ อีกอย่างถ้าขาดทุน 33% กว่าจะกลับมาได้นี่ต้องหามาถึงราวๆ 50% เลยนะครับ ถึงจะกลับไปได้ ดังนั้นถ้าจะขายบ้างลดความกดดัน ลดความเสี่ยงก็น่าจะเป็นการดีถ้าทำให้เราไม่เสียศูนย์Ii'8N เขียน:แต่ที่ผมเอามานั่งเปรียบเทียบให้เห็น เพราะดูเหมือนจะมีคนแห่เทขายกันตอนนี้ เพราะสติแตกกระเจิงกันเยอะ ทำใจกันไม่ได้ เพราะไปเปรียบเทียบกับกำไรที่ไำด้ตอนขาขึ้น
เห็นในหลายกระทู้ บางคนกำลังชั่งใจว่าจะกด "sell" ดีหรือไม่ รอมานานจนทนไม่ไหว บางคนลงมือไปแล้วเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา มาเทขายเอาตอนตลาดถึงเลข 8 ตอนนี้ ต่อไปอาจถึงขั้นเข็ดเลิกลงทุนใตลาดหุ้นไปตลอดชีวิตเลยก็มี (ไม่กลับมาเล่า เพราะ "คนตายพูดไม่ได้")
ทั้งที่ตอนตลาดขาขึ้น เคยมั่นใจสุดๆ ว่าทำดีแล้ว แต่ความเป็นจริง การขาดทุนของบางคน ก็มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ถ้ากลับมาดูหลักการ ที่มีตัวอย่างจริง
แค่ตอนนี้ตลาดมองราคาต่ำ เพราะ P ต่ำลง เพราะคนหนีออกจากการสนใจลงทุนในหุ้นชั่วคราว เนื่องจากตกใจตามฝรั่ง กลัวตามภูมิภาค PE, PBV เลยต่ำลง
แต่ว่ามูลค่า E กับ BV กิจการยังไม่ทรุดลง ถ้าเลือกทุกตัวแน่ใจว่าเลือกดีแล้ว ตลาดกลับมาก็ยังจะมีหุ้นบริษัทเดิมอยู่ บริษัทไม่ได้โดนกรีกเบี้ยวหนี้ไปด้วย
ส่วนเรื่อง PE, PBV จริงๆ ข้อดีของมันคือการเอาไว้ดูว่าหุ้นนั้นๆ ถูกหรือแพง แต่ประโยชน์อีกอย่างนึงที่ลืมกันไม่ได้คือเรื่องของการนำไปเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่นๆ หุ้นตกตามภูมิภาคเพราะว่าคนมีทางเลือกที่ risk/reward มันคุ้มกว่า จะบอกเป็น absolute อย่างเดียวผมว่าก็ไม่ควรมั้งครับ
วัตถุประสงค์ของผมคือ เป็นสิ่งดีที่เราจะเรียนรู้วิธีการของคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็อย่าลืมว่าปัจจัยสภาพแวดล้อมมันต่างกัน เพราะ Warren Buffet มีคนเดียวเท่านั้น...Ii'8N เขียน:วัตถุประสงค์ของผม....เลยอยากให้เอาคนที่ทำสำเร็จมาตลอดชีวิตเป็นตัวอย่าง ถ้าเลือกกิจการดีแล้ว ใครใจร้อน จะไำด้ใจเย็นรอการกลับมา
Impossible is Nothing
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ใครที่ท้อมาดู port ของเซียนช่วงวิกฤติดีกว่า
โพสต์ที่ 14
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ใครที่ท้อมาดู port ของเซียนช่วงวิกฤติดีกว่า
โพสต์ที่ 15
ผมเสียดายประโยคปิดท้าย อ่านแล้ว แทบจะเลิกเรียนรู้เพิ่มเติมจากตำราไหนๆ เลย เพราะหนังสือฝรั่งเขียนมาจากสภาพแวดล้อมแบบฝรั่งทั้งนั้น หรือดร.นิเวศน์ก็มีคนเดียวเท่านั้น คนทั่วไปแทบเลิกจะเรียนรู้วิธีการอ.นิเวศน์กับหลักวิธีคิดของ Buffett เลย
ที่บอกว่าเสียดายตอนขึ้นประโยค เพราะก็หลายส่วนในข้อความและบทความของคุณก็เป็นความรู้ดี และช่วยเปิดความคิดดี แม้บางส่วนจะเป็นเพราะเข้าใจไม่ตรงกัน คงจะไม่มีใครพูดสื่อสารทุกเรื่อง ในทุกประโยคได้พร้อมกัน มัีนก็มีละในฐานที่เข้าใจกันบ้าง (การไม่ได้ประเมินหุ้นคงไม่ใช่ด้วยแค่ PE PBV เท่่านั้น แล้วผมจะอธิบายทำไมให้ยาวมากมายในนี้) อย่างหลายเรื่อง มันคือการเรียนรู้เอาแนวทางเอาไปประยุกต์ต่อบ้าง แต่ไม่ใช่ copy ทั้งหมด
เอาเป็นว่าคนที่ผ่านมาอ่านและคนที่ช่วยกันแสดงความเห็น อันไหนที่เป็นประโยชน์ และก็เลือกเอาไปใช้ละกัน ถือว่าแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองรับมาอีกด้านละกัน ขอบคุณครับ สำหรับสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ผมรู้สึกได้ว่าคุณมีความรู้ และประสบการณ์มากกว่าผมจริงๆ ถ้ามีอะไรก็เอามาแลกเปลี่ยนกันอีกนะครับ
ถ้าตรรกะแบบนี้ไปต่อไม่ได้ละครับ ผมหยุดครับ ผมหยุดเขียนต่อจากช่องนี้ละกัน ถือว่าผมแสดงมุมมองผมครบในนี้แล้วwoody เขียน:แต่ก็อย่าลืมว่าปัจจัยสภาพแวดล้อมมันต่างกัน เพราะ Warren Buffet มีคนเดียวเท่านั้น...
ที่บอกว่าเสียดายตอนขึ้นประโยค เพราะก็หลายส่วนในข้อความและบทความของคุณก็เป็นความรู้ดี และช่วยเปิดความคิดดี แม้บางส่วนจะเป็นเพราะเข้าใจไม่ตรงกัน คงจะไม่มีใครพูดสื่อสารทุกเรื่อง ในทุกประโยคได้พร้อมกัน มัีนก็มีละในฐานที่เข้าใจกันบ้าง (การไม่ได้ประเมินหุ้นคงไม่ใช่ด้วยแค่ PE PBV เท่่านั้น แล้วผมจะอธิบายทำไมให้ยาวมากมายในนี้) อย่างหลายเรื่อง มันคือการเรียนรู้เอาแนวทางเอาไปประยุกต์ต่อบ้าง แต่ไม่ใช่ copy ทั้งหมด
เอาเป็นว่าคนที่ผ่านมาอ่านและคนที่ช่วยกันแสดงความเห็น อันไหนที่เป็นประโยชน์ และก็เลือกเอาไปใช้ละกัน ถือว่าแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองรับมาอีกด้านละกัน ขอบคุณครับ สำหรับสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ผมรู้สึกได้ว่าคุณมีความรู้ และประสบการณ์มากกว่าผมจริงๆ ถ้ามีอะไรก็เอามาแลกเปลี่ยนกันอีกนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ใครที่ท้อมาดู port ของเซียนช่วงวิกฤติดีกว่า
โพสต์ที่ 16
ผมขอความอนุเคราะห์การ quote ให้เต็มประโยคนิดนึงครับ น่าจะได้ตรรกะครบIi'8N เขียน:ผมเสียดายประโยคปิดท้าย อ่านแล้ว แทบจะเลิกเรียนรู้เพิ่มเติมจากตำราไหนๆ เลย เพราะหนังสือฝรั่งเขียนมาจากสภาพแวดล้อมแบบฝรั่งทั้งนั้น หรือดร.นิเวศน์ก็มีคนเดียวเท่านั้น คนทั่วไปแทบเลิกจะเรียนรู้วิธีการอ.นิเวศน์กับหลักวิธีคิดของ Buffett เลย
ถ้าตรรกะแบบนี้ไปต่อไม่ได้ละครับ ผมหยุดครับ ผมหยุดเขียนต่อจากช่องนี้ละกัน ถือว่าผมแสดงมุมมองผมครบในนี้แล้ว
ผมตั้งใจสือให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะเรียนรู้ แต่อย่าลืมดูเรื่องปัจจัยสภาพแวดล้อม หมายถึงเรียนรู้เอามาประยุกต์ จะทำอะไรก็ขอให้ศึกษาเนื้อในให้ดีจริงๆ เปรียบเทียบส่วนเหมือนและต่างให้เข้าใจดีๆ ก่อนwoody เขียน:วัตถุประสงค์ของผมคือ เป็นสิ่งดีที่เราจะเรียนรู้วิธีการของคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็อย่าลืมว่าปัจจัยสภาพแวดล้อมมันต่างกัน เพราะ Warren Buffet มีคนเดียวเท่านั้น...
Impossible is Nothing