รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3
- ผู้ติดตาม: 0
รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 1
การคิดค่า EV ที่ต้องใช้ market cap + หนี้สินรวม - เงินสด
อยากทราบหลักการว่า เหตุใดการคิดมูลค่ากิจการ ต้องลบเงินสด ออกด้วยครับ
บังเอิญมีงานวิจัยที่ผมต้องทำ แต่ไม่ได้จบการเงินมาโดยตรง
ทำให้ไม่ทราบ concept จริงๆ และไม่กล้า assume เอาเองครับ
อยากทราบหลักการว่า เหตุใดการคิดมูลค่ากิจการ ต้องลบเงินสด ออกด้วยครับ
บังเอิญมีงานวิจัยที่ผมต้องทำ แต่ไม่ได้จบการเงินมาโดยตรง
ทำให้ไม่ทราบ concept จริงๆ และไม่กล้า assume เอาเองครับ
- ครรชิต ไพศาล
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4637
- ผู้ติดตาม: 1
Re: รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 2
ถ้าเราซื้อ บริษัททั้งบริษัท เราต้องจ่ายเงิน เท่ากับ Market Cap. + หนี้สินสุทธิของบริษัท
สิ่งที่เราได้ได้มาจากการลงทุนคือ บริษัท มาพร้อมกับได้ หนี้ของบริษัท และ เงินสดของบริษัท มาด้วย
มูลค่าที่ต้องลงทุน EV = Market Cap. + หนี้สินสุทธิ = Market Cap. + (หนี้ของบริษัท - เงินสดของบริษัท)
ดูคำอธิบายจากเวบ
http://www.investopedia.com/terms/e/ent ... z1j915XfV6
สิ่งที่เราได้ได้มาจากการลงทุนคือ บริษัท มาพร้อมกับได้ หนี้ของบริษัท และ เงินสดของบริษัท มาด้วย
มูลค่าที่ต้องลงทุน EV = Market Cap. + หนี้สินสุทธิ = Market Cap. + (หนี้ของบริษัท - เงินสดของบริษัท)
ดูคำอธิบายจากเวบ
http://www.investopedia.com/terms/e/ent ... z1j915XfV6
ความสุขอื่น ยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ
หัดเล่น Facebook กะเขาบ้างแล้วนะครับ ใช้ชื่อ Kanchit Paisan ครับ
Facebook เพจ Eps16year Settrade Set ตลาดหลักทรัพย์ งบดุล ปันผล อัตราส่วนการเงิน กราฟ
Google เพจ kanchitpaisan
Google+ KANCHIT PAISAN
หัดเล่น Facebook กะเขาบ้างแล้วนะครับ ใช้ชื่อ Kanchit Paisan ครับ
Facebook เพจ Eps16year Settrade Set ตลาดหลักทรัพย์ งบดุล ปันผล อัตราส่วนการเงิน กราฟ
Google เพจ kanchitpaisan
Google+ KANCHIT PAISAN
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 3
มาช่วยเสริมครับ
อย่างพี่ครรชิตบอก EV คิดคล้ายเมื่อต้องการ take over ทั้งบริษัท คิดหลักการแบบ vi เลยแหละ
จึงเริ่มตั้งต้นที่ราคาตลาดขณะนั้น -----> market cap
แล้วเมื่อต้องซื้อ รับความเป็นหนี้ -----> + debt
แต่เมื่อซื้อบริษัทแล้ว มีความเป็นเจ้าของเงินสดด้วย -----> - cash เพราะมองว่าเข้าไปเป็นเจ้าของ เงินมาจ่าย debtor ก็ได้ หักล้างได้
เช่น เราจะเข้าไำปซื้อ take over DTAC
Market Cap 165 พันล้าน
ควักเงินไปเท่านี้ แต่ต้องรับสภาพหนี้ debt 37 พันล้าน
แต่ที่จริง ก็บริษัทมีเงิน (และเทียบเท่าเงิน) อยู่ภายใน 22 พันล้าน
ถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการทั้งหมด ที่จริงก็ได้กิจการมูลค่า 165-37+22 พันล้าน = 150 พันล้าน
ไม่นับ Asset อื่นที่ถือว่าเอามาจ่ายเจ้าหนี้ทันทีไม่ได้ เราอยากเข้าไป take over อยากรีดเอาเงินสดมาเป็น dividend ก็ไม่ได้
สมมติมีบริษัทคล้ายกัน ชื่อ DTOX
DTOX มี Market Cap 140 พันล้านน้อยกว่า ตัดสินใจอะไรยังไม่ได้
ต้องรับสภาพหนี้ debt มากกว่าหน่อย 38 พันล้าน ... เฮ้ย... บริษัท market cap น้อยกว่า แต่หนี้บาน สงสัยจะแย่...
แต่ไปดูลึกกว่านั้น มีเงิน (และเทียบเท่าเงิน) มากกว่า คือมีอยู่ตั้ง 50 พันล้าน
ยังไม่แน่ใจ ว่าคุ้มขนาดไหน ลองคำนวณเปรียบเทียบดีกว่า
ถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการทั้งหมด ที่จริงก็ได้กิจการมูลค่า 140-38+50 พันล้าน = 152 พันล้าน
ตอนนี้เราพอสรุปได้ว่า
DTAC เราเข้าครอบงำ ได้กิจการมูลค่า 150 พันล้าน
DTOX เราเข้าครอบงำ ได้กิจการมูลค่า 152 พันล้าน
แต่ว่า...เดี๋ยวก่อน...จอร์จ...แค่รู้ราคากิจการ ไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป ดูให้แน่ก่อน
ที่คล้าย PE ... ยิ่งน้อย ยิ่งดี นิยมวัดกันมากที่สุด คือ EV/EBITDA
ในที่นี้ EV เป็นราคาต้นทุนที่ต้องจ่าย EBITDA เป็น Earning รายปี ที่เกิดจาก operation เป็นตัวเป็นตน เพราะไม่ได้บวก D&A เข้าไป
ถ้าเราพบว่า DTAC มี EBITDA 26 พันล้านบาท และไปพบว่า DTOX มี EBITDA 30 พันล้านบาท
กรณีนี้
DTAC มี EV/EBITDA = 150/26 = 5.8 เท่า
DTOX มี EV/EBITDA = 152/30 = 5.1 เท่า
ถ้าอย่างอื่นดีเท่ากันหมด ไม่รู้จะวัดตรงไหนแล้ว
เราเลือก DTOX ดีกว่า
แต่ถ้ากลับกัน EBITDA/EV ก็คล้าย E/P คล้าย ROI หรือ %ผลตอบแทนการลงทุน
เพราะคิดง่ายๆ EBITDA ก็คือ Earning ต่อ EV มูลค่าลงทุนกับกิจการ
ลองคิดเอง จะพบว่า DTOX ได้ 1/5.1 = 19.6%
DTAC ได้ 1/5.7 = 17.2% จากการลงทุนขณะนี้
ก็แปลว่า DTOX คุ้มกว่า
ปล. ผม MBA การเงิน แต่สุดท้าย ถือเป็น MBA เทียม เพราะไม่จบ
(ที่เหลือ อาศัยอากู๋สอน หาหนังสืออ่านเองกับแอบหาความรู้ อย่างจาก TVI แบบนี้....
ที่ไม่ต่อแล้วเพราะไม่ได้หวังเอาวุฒิหวังมา upgrade เลยเอาค่าเทอมที่เตรียมไว้มาลงทุนให้งอก ตอนนี้คิดถูกเพราะได้มากกว่าแล้วจริงๆ )
อย่างพี่ครรชิตบอก EV คิดคล้ายเมื่อต้องการ take over ทั้งบริษัท คิดหลักการแบบ vi เลยแหละ
จึงเริ่มตั้งต้นที่ราคาตลาดขณะนั้น -----> market cap
แล้วเมื่อต้องซื้อ รับความเป็นหนี้ -----> + debt
แต่เมื่อซื้อบริษัทแล้ว มีความเป็นเจ้าของเงินสดด้วย -----> - cash เพราะมองว่าเข้าไปเป็นเจ้าของ เงินมาจ่าย debtor ก็ได้ หักล้างได้
เช่น เราจะเข้าไำปซื้อ take over DTAC
Market Cap 165 พันล้าน
ควักเงินไปเท่านี้ แต่ต้องรับสภาพหนี้ debt 37 พันล้าน
แต่ที่จริง ก็บริษัทมีเงิน (และเทียบเท่าเงิน) อยู่ภายใน 22 พันล้าน
ถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการทั้งหมด ที่จริงก็ได้กิจการมูลค่า 165-37+22 พันล้าน = 150 พันล้าน
ไม่นับ Asset อื่นที่ถือว่าเอามาจ่ายเจ้าหนี้ทันทีไม่ได้ เราอยากเข้าไป take over อยากรีดเอาเงินสดมาเป็น dividend ก็ไม่ได้
สมมติมีบริษัทคล้ายกัน ชื่อ DTOX
DTOX มี Market Cap 140 พันล้านน้อยกว่า ตัดสินใจอะไรยังไม่ได้
ต้องรับสภาพหนี้ debt มากกว่าหน่อย 38 พันล้าน ... เฮ้ย... บริษัท market cap น้อยกว่า แต่หนี้บาน สงสัยจะแย่...
แต่ไปดูลึกกว่านั้น มีเงิน (และเทียบเท่าเงิน) มากกว่า คือมีอยู่ตั้ง 50 พันล้าน
ยังไม่แน่ใจ ว่าคุ้มขนาดไหน ลองคำนวณเปรียบเทียบดีกว่า
ถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการทั้งหมด ที่จริงก็ได้กิจการมูลค่า 140-38+50 พันล้าน = 152 พันล้าน
ตอนนี้เราพอสรุปได้ว่า
DTAC เราเข้าครอบงำ ได้กิจการมูลค่า 150 พันล้าน
DTOX เราเข้าครอบงำ ได้กิจการมูลค่า 152 พันล้าน
แต่ว่า...เดี๋ยวก่อน...จอร์จ...แค่รู้ราคากิจการ ไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป ดูให้แน่ก่อน
ที่คล้าย PE ... ยิ่งน้อย ยิ่งดี นิยมวัดกันมากที่สุด คือ EV/EBITDA
ในที่นี้ EV เป็นราคาต้นทุนที่ต้องจ่าย EBITDA เป็น Earning รายปี ที่เกิดจาก operation เป็นตัวเป็นตน เพราะไม่ได้บวก D&A เข้าไป
ถ้าเราพบว่า DTAC มี EBITDA 26 พันล้านบาท และไปพบว่า DTOX มี EBITDA 30 พันล้านบาท
กรณีนี้
DTAC มี EV/EBITDA = 150/26 = 5.8 เท่า
DTOX มี EV/EBITDA = 152/30 = 5.1 เท่า
ถ้าอย่างอื่นดีเท่ากันหมด ไม่รู้จะวัดตรงไหนแล้ว
เราเลือก DTOX ดีกว่า
แต่ถ้ากลับกัน EBITDA/EV ก็คล้าย E/P คล้าย ROI หรือ %ผลตอบแทนการลงทุน
เพราะคิดง่ายๆ EBITDA ก็คือ Earning ต่อ EV มูลค่าลงทุนกับกิจการ
ลองคิดเอง จะพบว่า DTOX ได้ 1/5.1 = 19.6%
DTAC ได้ 1/5.7 = 17.2% จากการลงทุนขณะนี้
ก็แปลว่า DTOX คุ้มกว่า
ปล. ผม MBA การเงิน แต่สุดท้าย ถือเป็น MBA เทียม เพราะไม่จบ
(ที่เหลือ อาศัยอากู๋สอน หาหนังสืออ่านเองกับแอบหาความรู้ อย่างจาก TVI แบบนี้....
ที่ไม่ต่อแล้วเพราะไม่ได้หวังเอาวุฒิหวังมา upgrade เลยเอาค่าเทอมที่เตรียมไว้มาลงทุนให้งอก ตอนนี้คิดถูกเพราะได้มากกว่าแล้วจริงๆ )
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 4
แฮะัๆ คำนวณใหม่ เข้า excel เลย
รีบหน่ิอย ดันใส่ บวกกับลบสลับกัน
DTAC
EV 180 =165+37-22
EBITDA 22
EV/EBITDA 8.182
EBITDA/EV 12%
DTOX
EV 128 =140+38-50
EBITDA 50
EV/EBITDA 2.56
EBITDA/EV 39%
แต่บริษัทจำนวนมากที่พบ EV/EBITDA น้อยกว่า 1
รีบหน่ิอย ดันใส่ บวกกับลบสลับกัน
DTAC
EV 180 =165+37-22
EBITDA 22
EV/EBITDA 8.182
EBITDA/EV 12%
DTOX
EV 128 =140+38-50
EBITDA 50
EV/EBITDA 2.56
EBITDA/EV 39%
แต่บริษัทจำนวนมากที่พบ EV/EBITDA น้อยกว่า 1
-
- Verified User
- โพสต์: 3
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณทุกท่านมากเลยครับ อธิบายกระจ่างเลยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1123
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 6
สงสัย ในทฤษฎีนี้อยู่หน่อยครับ
EV หามาได้แล้ว บอกอะไรครับ
งงตรงที่ว่า สูตร ทำไมถึงเป็น market cap + หนี้ - เงินสด
ที่บวกหนี้ - เงิน น่ะพอเข้าใจ
แต่สูตรในที่นี้ เหมือน assume ว่า เราต้องจ่ายหนี้ทันที
เพราะถ้าไม่จ่ายหนี้ทันที มันดูขัดๆกันยังไงไม่รู้ เพราะ
ราคาตลาดเราจ่ายทันที
เงินสด เราได้ทันที
หนี้..... เราทยอยจ่าย
market cap + หนี้ - เงิน ------->> จ่ายทันที + ทยอยจ่าย - ได้ทันที ........ ทยอยจ่ายเอามาคิดเป็นมูลค่าบริษัททำไม
แล้วรายได้ เราก็ทยอยได้ ทำไม่ไม่เอามาคิด
แล้วถ้าการจ่ายหนี้เป็นการทยอยจ่าย ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่ง... ซึ่งทุกปีก็มีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นที่ต้องทยอยจ่าย
ทำไมไม่เอามาคิด
สรุป งง ครับ เหมือนว่าในสูตรมันคิดในกรณีว่าต้องจ่ายหนี้ทั้งหมดทันที.....
EV หามาได้แล้ว บอกอะไรครับ
งงตรงที่ว่า สูตร ทำไมถึงเป็น market cap + หนี้ - เงินสด
ที่บวกหนี้ - เงิน น่ะพอเข้าใจ
แต่สูตรในที่นี้ เหมือน assume ว่า เราต้องจ่ายหนี้ทันที
เพราะถ้าไม่จ่ายหนี้ทันที มันดูขัดๆกันยังไงไม่รู้ เพราะ
ราคาตลาดเราจ่ายทันที
เงินสด เราได้ทันที
หนี้..... เราทยอยจ่าย
market cap + หนี้ - เงิน ------->> จ่ายทันที + ทยอยจ่าย - ได้ทันที ........ ทยอยจ่ายเอามาคิดเป็นมูลค่าบริษัททำไม
แล้วรายได้ เราก็ทยอยได้ ทำไม่ไม่เอามาคิด
แล้วถ้าการจ่ายหนี้เป็นการทยอยจ่าย ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่ง... ซึ่งทุกปีก็มีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นที่ต้องทยอยจ่าย
ทำไมไม่เอามาคิด
สรุป งง ครับ เหมือนว่าในสูตรมันคิดในกรณีว่าต้องจ่ายหนี้ทั้งหมดทันที.....
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
- BeSmile
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1178
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณ คุณ Ii8n ครับ อธิบายได้เคลียร์มาก
อยากสอบถามเรื่อง EBIT กับ EBITDA ต่างกันอย่างไรในมุมมอง เมื่อนำมาประยุกต์ใช้
กับ การที่ DA มากขึ้นแล้วกำไรไม่เพิ่ม
ขอบคุณครับ
อยากสอบถามเรื่อง EBIT กับ EBITDA ต่างกันอย่างไรในมุมมอง เมื่อนำมาประยุกต์ใช้
กับ การที่ DA มากขึ้นแล้วกำไรไม่เพิ่ม
ขอบคุณครับ
มีสติ - อย่าประมาทในการใช้ชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 3
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 8
เยี่ยมเลยครับ ถามแตกประเด็นกันเยอะๆ
จะได้ต่อยอดความรู้
ผมขอเพิ่มประเด็นคำถามครับ
การที่นักลงทุนบางท่าน ใช้การประเมินด้วยค่า EV/EBITDA หรือ EBIT/EV
แต่ก็มีเหมือนกัน ที่แย้งเรื่องการนำค่า EBITDA มาใช้
อยากทราบความเห็น หรือประสบการณ์ของท่านผู้รู้ครับ
จะได้ต่อยอดความรู้
ผมขอเพิ่มประเด็นคำถามครับ
การที่นักลงทุนบางท่าน ใช้การประเมินด้วยค่า EV/EBITDA หรือ EBIT/EV
แต่ก็มีเหมือนกัน ที่แย้งเรื่องการนำค่า EBITDA มาใช้
อยากทราบความเห็น หรือประสบการณ์ของท่านผู้รู้ครับ
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 11
เอ... เมื่อวานกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่หว่า...ทำไมเขียนไปว่า <1? สงสัยตอนกำลังหิวข้าว รู้สึกว่ากำลังจะเขียนอีกเรื่องด้วย เลยดันจับมาผิดตัว คิดออกแล้วจะมาบอก
ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่ผู้มีประสบการณ์กับการใช้ EV มากนัก เพราะที่ผ่านมาก็ใช้ DCF + PE, Forward PE ง่ายๆ ธรรมดาก็ใช้ได้ดี และทำเงินได้ดีอยู่แล้ว อย่างน้อยปีที่ผ่านมาก็ได้กำไร 2 digits ปลายๆ
แต่กำลังรวบรวมหลักวิธี valuation หลายๆ อย่าง เพื่อลองกรองหลายวิธี จะได้รอบคอบขึ้น และอาจเห็นให้มากแง่มุมขึ้นกว่าเดิม เผื่อมันจะทำเงินได้ดีขึ้น (เริ่มโลภมาก ) และดูกิจการเก่งขึ้น ยังตระหนักว่าตัวเองห่างไกลกับคำว่าผู้เชี่ยวชาญมากนัก
อีกอย่าง การที่ลองกรองหลายวิธี หุ้นหรือกิจการแต่ละประเภท การดู value อาจเหมาะสมไม่เหมือนกัน
เช่น ถ้าเราเอาวิธีการ Intrinsic Value แบบ Graham PE ต่ำก่อนคนอื่นพบ ไปดู HMPRO ไม่ผ่านตั้งแต่ต้นแล้ว โดยไม่ต้องไปคำนวณ
ที่กำลังทำ คือจะลองใส่แบบสำเร็จรูป เอาไว้ใช้ได้กับหุ้นทุกตัว ไม่ต้องมานั่งเรียงใหม่ทุกครั้งที่หาหุ้น โดยการกรอกข้อมูลตัวเลขมาจาก Financial Statements แล้วให้วิ่งคำนวณพวก ratio และ multiple ออกมาทุกวิธี และ การสำรวจ Value drivers ทั้งหลายในกิจการ
และถ้ามีหลักการ valuation และคัดกรองของปรมาจารย์ทั้งหลาย ก็จะเอาไปรวม อย่้า่ง Z-score ของ Stern, การแตกแปลงงบ P/L แยกตามกิจกรรมสอดคล้องในงบกระแสเงินสด โดยวิธี Penman แห่ง Columbia U เพื่อดูว่าบริษัทนี้รวยจาก operations หรือจากการเล่นเงิน เป็นต้น
ได้ผลแล้วลองเปรียบเทียบดู ว่ากิจการนั้นๆ หุ้นนั้นๆ ผ่านเกณฑ์ไหน ไม่ผ่านเกณฑ์ไหน
แต่ว่า....ทำมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ยังไม่เสร็จ เอาเป็นว่าได้แล้วจะเอามาแชร์ เพราะผมถือคติว่าแบ่งกันรวย ดีกว่าแข่งกันจน เอามาแชร์อาจพบข้อตำหนิ แล้วช่วยกันแก้ไข
ส่วนการใช้ multiple ที่เห็น EV
(หมายเหตุว่า ฝรั่งเขาใช้ คำที่หมายถึงอัตราแบบมูลค่าหรือราคา ต่อ การทำเงินเป็น "Multiple" คือสื่อว่ากี่เท่าๆ
ส่วนอัตราส่วนการเงินที่คำนวณใน statement ใช้คำว่า Ratio)
มีคนวัดทั้ง EV/EBITDA และ EV/EBIT และมี EV/SA (ต่อยอดขาย)
EBITDA คร่าวๆ ที่ทำให้ต่างจาก EBIT ก็คือ นอกจาก I&T ทั้งหลายมันอยู่ภายนอกเหนือการปฏิบัติการ เป็็นภาคบังคับทางบัญชี แล้ว D&A ก็ยิ่งไปกันใหญ่
พอไม่ถูกเอามาเกี่ยว ก็สะท้อนวัดฝีมือการทำงาน-การทำเงินล้วนๆ
ถ้าเอามาใช้เปรียบเทียบระหว่างกิจการ ดูง่ายขึ้น ไม่ถูกหลอกตาด้วยการตั้งค่าบัญชีไม่ตรงกัน เราเห็นอยู่บ่อยๆ ว่าการเปรียบเทียบกิจการด้วย EBIT หรือ NOPAT เป็นการทำให้เอา apple ไปเปรียบเทียบกับส้ม
เอาง่ายๆ กิจการ A กับ B ผลิตสินค้าเหมือนกันให้เครื่องจักรรุ่นเดียวกัน สั่งจากโรงงานเดียวกันวันเดียวกัน A ตั้งค่าเสื่อม 5 ปี กับ B 7 ปี แค่นี้ก็บิดเบือนไปมาก แต่ผลประกอบการมันโชว์ออกมา มี CPA เซ็นต์ท้าย ออกมา web set/settrade เสร็จ bloomberg เอาไปออกเผยแพร่ทั่วโลก
ถ้าดูเฉพาะตัว ก็ดูได้ แต่พอเอามาเทียบเคียงภาพมันมัวๆ
แล้วคงเคยได้ยิน ว่าปรับค่านี้ แล้วรายได้สวยขึ้น
ผมไม่เคยอยู่วงการธนาคารและการกู้ยืมเงิน แต่ได้ยินมาว่า เขาชอบดู EBITDA มากกว่า EBIT
ไม่กล้ายืนยัน แต่ว่ามีเพื่อนนักลงทุนท่านไหนในห้องนี้อยู่ในแวดวงธนาคารต้องลองถาม มาช่วยแสดงความเห็นหน่อย
ส่วนที่ว่าตัวอย่างสารพัดวิธีวัด multiple นั้น
ที่พูดไว้ในเอกสาร Equity Valuation Using Multiples, Andreas Schreiner, Dissertation der Universitat St.Gallen (HSG), Germany, 2006
ถึงเวลาจริงๆ คงไม่ได้มีประโยชน์ทั้งหมดนี่
แต่ถ้าลองวัดออกมาเปรียบเทียบ น่าจะทำให้เรารู้อะไรๆ ดีขึ้น ไม่เห็นมีใครเคยทำวัดทั้งหมดแบบนี้ แต่ก็จะลองดู เพราะไม่ได้มานั่งจิ้มเครื่องคิดเลขแบบสมัยอาจารย์ Graham หรือ Buffet
จะลองทำ Spreadsheet ออกมา ทำครั้งเดียวใช้ได้ตลอด
Multiples for Valuation
Equity Value Multiples
Accrual flow multiples
P/SA
P/GI
P/EBITDA
P/EBIT
P/EBT
P/E
Book value multiples
P/TA
P/IC
P/B
Cash flow multiples
P/OCF
P/D
P/LFCF
P/CE
Alternative (Knowledge-related) multiples
P/(EBIT+R&D)
P/(EBIT+AIA)
P/(EBIT+KC)
P/(E+R&D)
P/(E+AIA)
P/(E+KC)
PEG
Forward-looking multiples
P/SA 1
P/SA 2
P/EBITDA 1
P/EBITDA 2
P/EBIT 1
P/EBIT 2
P/EBT 1
P/EBT 2
P/E 1
P/E 2
Entity (Enterprise) Value Multiples
Accrual flow multiples
EV/SA
EV/GI
EV/EBITDA
EV/EBIT
Book value multiples
EV/TA
EV/IC
Cash flow multiples
EV/OCF
EV/FCF
Alternative (Knowledge-related) multiples
EV/(EBIT+R&D)
EV/(EBIT+AIA)
EV/(EBIT+KC)
Forward-looking multiples
EV/SA 1
EV/SA 2
EV/EBITDA 1
EV/EBITDA 2
EV/EBIT 1
EV/EBIT 2
EV/EBT 1
EV/EBT 2
OTHERS
EV/NOPLAT
EV/Invested Capital
EV/Capity Unit
รายการไหนมี เลข 2 คือการดูค่าอนาคต และการเติบโต
ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่ผู้มีประสบการณ์กับการใช้ EV มากนัก เพราะที่ผ่านมาก็ใช้ DCF + PE, Forward PE ง่ายๆ ธรรมดาก็ใช้ได้ดี และทำเงินได้ดีอยู่แล้ว อย่างน้อยปีที่ผ่านมาก็ได้กำไร 2 digits ปลายๆ
แต่กำลังรวบรวมหลักวิธี valuation หลายๆ อย่าง เพื่อลองกรองหลายวิธี จะได้รอบคอบขึ้น และอาจเห็นให้มากแง่มุมขึ้นกว่าเดิม เผื่อมันจะทำเงินได้ดีขึ้น (เริ่มโลภมาก ) และดูกิจการเก่งขึ้น ยังตระหนักว่าตัวเองห่างไกลกับคำว่าผู้เชี่ยวชาญมากนัก
อีกอย่าง การที่ลองกรองหลายวิธี หุ้นหรือกิจการแต่ละประเภท การดู value อาจเหมาะสมไม่เหมือนกัน
เช่น ถ้าเราเอาวิธีการ Intrinsic Value แบบ Graham PE ต่ำก่อนคนอื่นพบ ไปดู HMPRO ไม่ผ่านตั้งแต่ต้นแล้ว โดยไม่ต้องไปคำนวณ
ที่กำลังทำ คือจะลองใส่แบบสำเร็จรูป เอาไว้ใช้ได้กับหุ้นทุกตัว ไม่ต้องมานั่งเรียงใหม่ทุกครั้งที่หาหุ้น โดยการกรอกข้อมูลตัวเลขมาจาก Financial Statements แล้วให้วิ่งคำนวณพวก ratio และ multiple ออกมาทุกวิธี และ การสำรวจ Value drivers ทั้งหลายในกิจการ
และถ้ามีหลักการ valuation และคัดกรองของปรมาจารย์ทั้งหลาย ก็จะเอาไปรวม อย่้า่ง Z-score ของ Stern, การแตกแปลงงบ P/L แยกตามกิจกรรมสอดคล้องในงบกระแสเงินสด โดยวิธี Penman แห่ง Columbia U เพื่อดูว่าบริษัทนี้รวยจาก operations หรือจากการเล่นเงิน เป็นต้น
ได้ผลแล้วลองเปรียบเทียบดู ว่ากิจการนั้นๆ หุ้นนั้นๆ ผ่านเกณฑ์ไหน ไม่ผ่านเกณฑ์ไหน
แต่ว่า....ทำมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ยังไม่เสร็จ เอาเป็นว่าได้แล้วจะเอามาแชร์ เพราะผมถือคติว่าแบ่งกันรวย ดีกว่าแข่งกันจน เอามาแชร์อาจพบข้อตำหนิ แล้วช่วยกันแก้ไข
ส่วนการใช้ multiple ที่เห็น EV
(หมายเหตุว่า ฝรั่งเขาใช้ คำที่หมายถึงอัตราแบบมูลค่าหรือราคา ต่อ การทำเงินเป็น "Multiple" คือสื่อว่ากี่เท่าๆ
ส่วนอัตราส่วนการเงินที่คำนวณใน statement ใช้คำว่า Ratio)
มีคนวัดทั้ง EV/EBITDA และ EV/EBIT และมี EV/SA (ต่อยอดขาย)
EBITDA คร่าวๆ ที่ทำให้ต่างจาก EBIT ก็คือ นอกจาก I&T ทั้งหลายมันอยู่ภายนอกเหนือการปฏิบัติการ เป็็นภาคบังคับทางบัญชี แล้ว D&A ก็ยิ่งไปกันใหญ่
พอไม่ถูกเอามาเกี่ยว ก็สะท้อนวัดฝีมือการทำงาน-การทำเงินล้วนๆ
ถ้าเอามาใช้เปรียบเทียบระหว่างกิจการ ดูง่ายขึ้น ไม่ถูกหลอกตาด้วยการตั้งค่าบัญชีไม่ตรงกัน เราเห็นอยู่บ่อยๆ ว่าการเปรียบเทียบกิจการด้วย EBIT หรือ NOPAT เป็นการทำให้เอา apple ไปเปรียบเทียบกับส้ม
เอาง่ายๆ กิจการ A กับ B ผลิตสินค้าเหมือนกันให้เครื่องจักรรุ่นเดียวกัน สั่งจากโรงงานเดียวกันวันเดียวกัน A ตั้งค่าเสื่อม 5 ปี กับ B 7 ปี แค่นี้ก็บิดเบือนไปมาก แต่ผลประกอบการมันโชว์ออกมา มี CPA เซ็นต์ท้าย ออกมา web set/settrade เสร็จ bloomberg เอาไปออกเผยแพร่ทั่วโลก
ถ้าดูเฉพาะตัว ก็ดูได้ แต่พอเอามาเทียบเคียงภาพมันมัวๆ
แล้วคงเคยได้ยิน ว่าปรับค่านี้ แล้วรายได้สวยขึ้น
ผมไม่เคยอยู่วงการธนาคารและการกู้ยืมเงิน แต่ได้ยินมาว่า เขาชอบดู EBITDA มากกว่า EBIT
ไม่กล้ายืนยัน แต่ว่ามีเพื่อนนักลงทุนท่านไหนในห้องนี้อยู่ในแวดวงธนาคารต้องลองถาม มาช่วยแสดงความเห็นหน่อย
ส่วนที่ว่าตัวอย่างสารพัดวิธีวัด multiple นั้น
ที่พูดไว้ในเอกสาร Equity Valuation Using Multiples, Andreas Schreiner, Dissertation der Universitat St.Gallen (HSG), Germany, 2006
ถึงเวลาจริงๆ คงไม่ได้มีประโยชน์ทั้งหมดนี่
แต่ถ้าลองวัดออกมาเปรียบเทียบ น่าจะทำให้เรารู้อะไรๆ ดีขึ้น ไม่เห็นมีใครเคยทำวัดทั้งหมดแบบนี้ แต่ก็จะลองดู เพราะไม่ได้มานั่งจิ้มเครื่องคิดเลขแบบสมัยอาจารย์ Graham หรือ Buffet
จะลองทำ Spreadsheet ออกมา ทำครั้งเดียวใช้ได้ตลอด
Multiples for Valuation
Equity Value Multiples
Accrual flow multiples
P/SA
P/GI
P/EBITDA
P/EBIT
P/EBT
P/E
Book value multiples
P/TA
P/IC
P/B
Cash flow multiples
P/OCF
P/D
P/LFCF
P/CE
Alternative (Knowledge-related) multiples
P/(EBIT+R&D)
P/(EBIT+AIA)
P/(EBIT+KC)
P/(E+R&D)
P/(E+AIA)
P/(E+KC)
PEG
Forward-looking multiples
P/SA 1
P/SA 2
P/EBITDA 1
P/EBITDA 2
P/EBIT 1
P/EBIT 2
P/EBT 1
P/EBT 2
P/E 1
P/E 2
Entity (Enterprise) Value Multiples
Accrual flow multiples
EV/SA
EV/GI
EV/EBITDA
EV/EBIT
Book value multiples
EV/TA
EV/IC
Cash flow multiples
EV/OCF
EV/FCF
Alternative (Knowledge-related) multiples
EV/(EBIT+R&D)
EV/(EBIT+AIA)
EV/(EBIT+KC)
Forward-looking multiples
EV/SA 1
EV/SA 2
EV/EBITDA 1
EV/EBITDA 2
EV/EBIT 1
EV/EBIT 2
EV/EBT 1
EV/EBT 2
OTHERS
EV/NOPLAT
EV/Invested Capital
EV/Capity Unit
รายการไหนมี เลข 2 คือการดูค่าอนาคต และการเติบโต
- green-orange
- Verified User
- โพสต์: 896
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 12
ผมขอลองตอบแบบคนที่มีความรู้เท่าหางอึ่ง ที่ยังต้องศึกษาอีกมาก ผิดถูกอย่าว่ากันนะครับsakkaphan เขียน:สงสัย ในทฤษฎีนี้อยู่หน่อยครับ
EV หามาได้แล้ว บอกอะไรครับ
งงตรงที่ว่า สูตร ทำไมถึงเป็น market cap + หนี้ - เงินสด
ที่บวกหนี้ - เงิน น่ะพอเข้าใจ
แต่สูตรในที่นี้ เหมือน assume ว่า เราต้องจ่ายหนี้ทันที
เพราะถ้าไม่จ่ายหนี้ทันที มันดูขัดๆกันยังไงไม่รู้ เพราะ
ราคาตลาดเราจ่ายทันที
เงินสด เราได้ทันที
หนี้..... เราทยอยจ่าย
market cap + หนี้ - เงิน ------->> จ่ายทันที + ทยอยจ่าย - ได้ทันที ........ ทยอยจ่ายเอามาคิดเป็นมูลค่าบริษัททำไม
แล้วรายได้ เราก็ทยอยได้ ทำไม่ไม่เอามาคิด
แล้วถ้าการจ่ายหนี้เป็นการทยอยจ่าย ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่ง... ซึ่งทุกปีก็มีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นที่ต้องทยอยจ่าย
ทำไมไม่เอามาคิด
สรุป งง ครับ เหมือนว่าในสูตรมันคิดในกรณีว่าต้องจ่ายหนี้ทั้งหมดทันที.....
ผมเข้าใจว่า EV = market cap + debt - cash มีที่มาจากการที่ว่าเวลาเราจะซื้อกิจการสักแห่งนั้นเค้ามองว่า เค้าซื้อสินทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบกิจการที่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งก็คือ market cap (ซึ่งเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นที่นักลงทุนเป็นคนกำหนดมูลค่า ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง) รวมกับ ส่วนของหนี้สิน เพื่อสร้างรายได้
ส่วนเงินสดนั้นถือว่าเป็นส่วนเกินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เค้าจึงทำการลบส่วนของเงินสดออกไป
แต่ถ้าจะให้เห็นภาพชัดและถูกต้องมากขึ้น เราจะต้องนำเอาส่วนของ หนี้สินที่เป็น off balance sheet เข้ามานับด้วย เช่น สัญญาเช่าต่างๆ เป็นต้น
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 13
ที่จริงต้องเขียนใหม่ น่าจะเข้าใจง่ายกว่า
EV = {ส่วนทุน Equity (Market Cap) + ส่วนหนี้ Debt} - cash
(ลองไปดู http://pages.stern.nyu.edu/~adamodar/pd ... ed/ch9.pdf )
มูลค่าตลาดคือ { ส่วนทุน Equity (Market Cap) + ส่วนหนี้ Debt } -> มันคือ Total Asset หรือตัวเลขทั้งสองข้าง Balance Sheet นั่นเอง
ส่วนนี้ข้างต้น Prof. Damodaran (Stern) ใช้คำว่า "Firm Value"
แล้วลบ - เงินสด ลดต้นทุน
จึงได้เป็น "Enterprise Value"
ขอยืมวีดีโอจาก investopedia ที่พี่ครรชิตบอก
http://www.investopedia.com/video/play/ ... z1YQhtpMhp
ถ้าจะสรุปวิดีโอ
เพราะ concept ที่เขามองคือ take over = มองว่าเอาเงินสดๆ ไปกองเดี๋ยวนั้น แล้วเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์เลย ต้องจ่ายทั้งเจ้าของเดิม และเจ้าหนี้
แม้โลกความเป็นจริง เป็นลูกหนี้ที่ดีต่อไปของสถาบันที่ให้กู้ก็ตาม ไม่มีใครใช้หนี้หมดทันที
ตามที่คุณ sakkaphan ข้องใจ แต่ถ้าคิดในรูปสมการอย่างท่าน professor ว่าไว้ทุกอย่างวางอยู่ในระนาบเดียวกันแล้ว น่าจะหมดความสงสัย
ความเข้าใจของผม (ลองช่วยวิจา่รณ์นะครับ ว่าผมเข้าใจถูกหรือไม่ อาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้) Debt+Equity ก็เป็นตัวเลขที่เทียบเคียงกันกับเงินสด ณ เวลานั้นได้ ที่ออกมาเป็น balance sheet ต้นทุนการเงินทั้งหมดถูกคิดรวมอยู่ในนั้นให้เป็นเทียบเคียงกันได้แล้ว
ก็เพราะที่เราเห็น balance sheet ทุกวันนี้ จะ้เห็นว่าใน balance sheet มีทั้ง short term, long term บวกกัน มันจับบวกกันได้ เพราะแต่ละตัวมี Cost of Capital มีอยู่ครบ ถูกทำให้เป็นระนาบเดียวกันคือ PV
แม้แต่ระหว่าง Debt vs Equity WACC เราก็คิดให้ทั้งเจ้าของ Equity และเจ้าของ Debt อย่างยุติธรรมและตามจริง ขนาดพอมีต้นทุน tax คนที่รับคือ Debt ข้างเดียว ก็ยังถูกเอาไปคิดแยกเลย
EV = {ส่วนทุน Equity (Market Cap) + ส่วนหนี้ Debt} - cash
(ลองไปดู http://pages.stern.nyu.edu/~adamodar/pd ... ed/ch9.pdf )
มูลค่าตลาดคือ { ส่วนทุน Equity (Market Cap) + ส่วนหนี้ Debt } -> มันคือ Total Asset หรือตัวเลขทั้งสองข้าง Balance Sheet นั่นเอง
ส่วนนี้ข้างต้น Prof. Damodaran (Stern) ใช้คำว่า "Firm Value"
แล้วลบ - เงินสด ลดต้นทุน
จึงได้เป็น "Enterprise Value"
ขอยืมวีดีโอจาก investopedia ที่พี่ครรชิตบอก
http://www.investopedia.com/video/play/ ... z1YQhtpMhp
ถ้าจะสรุปวิดีโอ
เพราะ concept ที่เขามองคือ take over = มองว่าเอาเงินสดๆ ไปกองเดี๋ยวนั้น แล้วเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์เลย ต้องจ่ายทั้งเจ้าของเดิม และเจ้าหนี้
แม้โลกความเป็นจริง เป็นลูกหนี้ที่ดีต่อไปของสถาบันที่ให้กู้ก็ตาม ไม่มีใครใช้หนี้หมดทันที
ตามที่คุณ sakkaphan ข้องใจ แต่ถ้าคิดในรูปสมการอย่างท่าน professor ว่าไว้ทุกอย่างวางอยู่ในระนาบเดียวกันแล้ว น่าจะหมดความสงสัย
ความเข้าใจของผม (ลองช่วยวิจา่รณ์นะครับ ว่าผมเข้าใจถูกหรือไม่ อาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้) Debt+Equity ก็เป็นตัวเลขที่เทียบเคียงกันกับเงินสด ณ เวลานั้นได้ ที่ออกมาเป็น balance sheet ต้นทุนการเงินทั้งหมดถูกคิดรวมอยู่ในนั้นให้เป็นเทียบเคียงกันได้แล้ว
ก็เพราะที่เราเห็น balance sheet ทุกวันนี้ จะ้เห็นว่าใน balance sheet มีทั้ง short term, long term บวกกัน มันจับบวกกันได้ เพราะแต่ละตัวมี Cost of Capital มีอยู่ครบ ถูกทำให้เป็นระนาบเดียวกันคือ PV
แม้แต่ระหว่าง Debt vs Equity WACC เราก็คิดให้ทั้งเจ้าของ Equity และเจ้าของ Debt อย่างยุติธรรมและตามจริง ขนาดพอมีต้นทุน tax คนที่รับคือ Debt ข้างเดียว ก็ยังถูกเอาไปคิดแยกเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 15
ว่าจะไม่โพสต์ละ
คิดง่ายๆคับ จะไปซื้อกิจการ เราคงไม่เตรียมเงินเพื่อไปซื้อเงินสดที่อยู่ในกิจการใช่ไหมคับ
ดังนั้น ราคาตลาดที่เราซื้อแท้จริง ก็คือราคาที่เราแอบเอาเงินสดในกิจการเข้าตัวเอง
มันจึงเอามาลบราคาตลาดไงคับ
คิดง่ายๆคับ จะไปซื้อกิจการ เราคงไม่เตรียมเงินเพื่อไปซื้อเงินสดที่อยู่ในกิจการใช่ไหมคับ
ดังนั้น ราคาตลาดที่เราซื้อแท้จริง ก็คือราคาที่เราแอบเอาเงินสดในกิจการเข้าตัวเอง
มันจึงเอามาลบราคาตลาดไงคับ
show me money.
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 16
มันมีอีกคำพูดหนึ่ง ที่ผมพบในเรื่อง EV เรื่องเอา cash ออก
เขาบอกว่าดึง cash ออกทิ้ง บริษัทก็อยู่ได้ และ generate revenue ได้ดังเดิม
คือ cash เป็น non-operating asset .... revenue ไม่ได้ออกจากตัวมันเอง
เหมือนคุณส้มเขียวบอก
เขาจึงมองว่าเป็นการลดต้นทุน ถ้าเข้าไปซื้อกิจการแล้วหักลบกันตรงๆ ได้
และมองอีกแง่ เพื่อจะไม่ได้ไม่ต้องอาศัยความจำมาก
สังเกตุว่าคำว่า "Enterprise" Value
"Enterprise" ฝรั่งเขาหมายถึงคือกิจการที่มี 'Entrepreneur' เถ้าแก่คนเดียวดูแลเป็นเจ้าของเด็ดขาด บางทีไม่ได้จดทะเบียนด้วยซ้ำ เราเห็น Enterprise อยู่ทั่วไป
และต่างจาก Firm, Company, Partnership หรือ Incorporation ที่รูปแบบธุรกิจที่มีหุ้นส่วนร่วมกันก่อการ ซึ่งต้องสร้างหนี้ เพื่อเอามาทำ leverage ให้บริษัทใหญ่โต
Balance sheet ก่อนเข้าซื้อ Assets = Debt+Equity คือ Firm
แต่หลักการ กำลังจะมองว่าเราจะทำเป็น Enterprise
Balance sheet หลังเข้าซื้อ Assets = Equity (เราเข้าไปซื้อพร้อมใช้หนี้กับธนาคารไปหมดแล้ว)
มีเงินสดอยู่ในกิจการ เถ้าแก่จึงจะเอาไปทำอะไรก็ได้
ลองย่อขนาดกิจการมา เพื่อวาดภาพ
นึกถึงร้านขายลูกชิ้น ถือเป็น Enterprise เล็กๆ
เครื่องทอด กระทะ รถเข็น เป็น Operating Asset
เงินเป็น Non-Operating Asset
ตกเย็นแต่ละวัน ก็มานั่งนับแต่เงินสด
หรือเอาให้ดูเป็นธุรกิจหน่อย อู่ซ่อมยางรถยนต์
เครื่องตั้งศูนย์ถ่วงล้อรถยนต์ เครื่องเติมลม เครื่องอัดฉีดล้างรถ เป็น Operating Asset
เงินเป็น Non-Operating Asset
ถ้าเราเข้าไปซื้อกิจการด้วยเงินสดและคล้ายกับที่คุณ nut776 บอก เมื่อเราพบว่ามีเงินสดอยู่ในกิจการอยู่แล้วก็ไม่แปลก ที่เราจะมองว่าไปลดต้นทุนที่เราจ่ายไป
เขาบอกว่าดึง cash ออกทิ้ง บริษัทก็อยู่ได้ และ generate revenue ได้ดังเดิม
คือ cash เป็น non-operating asset .... revenue ไม่ได้ออกจากตัวมันเอง
เหมือนคุณส้มเขียวบอก
เขาจึงมองว่าเป็นการลดต้นทุน ถ้าเข้าไปซื้อกิจการแล้วหักลบกันตรงๆ ได้
และมองอีกแง่ เพื่อจะไม่ได้ไม่ต้องอาศัยความจำมาก
สังเกตุว่าคำว่า "Enterprise" Value
"Enterprise" ฝรั่งเขาหมายถึงคือกิจการที่มี 'Entrepreneur' เถ้าแก่คนเดียวดูแลเป็นเจ้าของเด็ดขาด บางทีไม่ได้จดทะเบียนด้วยซ้ำ เราเห็น Enterprise อยู่ทั่วไป
และต่างจาก Firm, Company, Partnership หรือ Incorporation ที่รูปแบบธุรกิจที่มีหุ้นส่วนร่วมกันก่อการ ซึ่งต้องสร้างหนี้ เพื่อเอามาทำ leverage ให้บริษัทใหญ่โต
Balance sheet ก่อนเข้าซื้อ Assets = Debt+Equity คือ Firm
แต่หลักการ กำลังจะมองว่าเราจะทำเป็น Enterprise
Balance sheet หลังเข้าซื้อ Assets = Equity (เราเข้าไปซื้อพร้อมใช้หนี้กับธนาคารไปหมดแล้ว)
มีเงินสดอยู่ในกิจการ เถ้าแก่จึงจะเอาไปทำอะไรก็ได้
ลองย่อขนาดกิจการมา เพื่อวาดภาพ
นึกถึงร้านขายลูกชิ้น ถือเป็น Enterprise เล็กๆ
เครื่องทอด กระทะ รถเข็น เป็น Operating Asset
เงินเป็น Non-Operating Asset
ตกเย็นแต่ละวัน ก็มานั่งนับแต่เงินสด
หรือเอาให้ดูเป็นธุรกิจหน่อย อู่ซ่อมยางรถยนต์
เครื่องตั้งศูนย์ถ่วงล้อรถยนต์ เครื่องเติมลม เครื่องอัดฉีดล้างรถ เป็น Operating Asset
เงินเป็น Non-Operating Asset
ถ้าเราเข้าไปซื้อกิจการด้วยเงินสดและคล้ายกับที่คุณ nut776 บอก เมื่อเราพบว่ามีเงินสดอยู่ในกิจการอยู่แล้วก็ไม่แปลก ที่เราจะมองว่าไปลดต้นทุนที่เราจ่ายไป
- Flashy
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 299
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รบกวนผู้รู้ เรื่องการคิด enterprise value หน่อยครับ
โพสต์ที่ 17
ขอลองตอบมั่งครับ
สมมติว่า ผมมีกระปุกออมสิน เป็นหมูอ้วนพี ภายในกระปุกมีเงินออมอยู่ 100 บาท
ผมขายกระปุกออมสินนี้ให้คุณในราคา 200 บาท
ถามว่า ถ้าคุณซื้อกระปุกนี้จากผม ...สุทธิแล้ว คุณเสียเงิน (ลงทุนซื้อกระปุก) เท่าไหร่ครับ
100 ใช่ไหม?
สมมติต่อ ...ถ้าในกระปุกที่มีเงินออม 100 บาท นั้น มีลูกอมรสพิศดารที่ผมต้องใช้คืนให้เด็กข้างบ้านอยู่แล้ว (ตีมูลค่าลูกอม = 20 บาท)
โดยคุณซื้อกระปุกต่อจากผม และเผลอกินลูกอมนั้นไปแล้ว ดังนั้นคุณต้องใช้คืนค่าลูกอมให้เด็กข้างบ้านผมด้วย 20 บาท
...สุทธิแล้ว คุณต้องเสียเงิน 120 ใช่ไหม?
ปล. เปรียบกระปุกออมสินเหมือนตัวกิจการอ่ะครับ
สมมติว่า ผมมีกระปุกออมสิน เป็นหมูอ้วนพี ภายในกระปุกมีเงินออมอยู่ 100 บาท
ผมขายกระปุกออมสินนี้ให้คุณในราคา 200 บาท
ถามว่า ถ้าคุณซื้อกระปุกนี้จากผม ...สุทธิแล้ว คุณเสียเงิน (ลงทุนซื้อกระปุก) เท่าไหร่ครับ
100 ใช่ไหม?
สมมติต่อ ...ถ้าในกระปุกที่มีเงินออม 100 บาท นั้น มีลูกอมรสพิศดารที่ผมต้องใช้คืนให้เด็กข้างบ้านอยู่แล้ว (ตีมูลค่าลูกอม = 20 บาท)
โดยคุณซื้อกระปุกต่อจากผม และเผลอกินลูกอมนั้นไปแล้ว ดังนั้นคุณต้องใช้คืนค่าลูกอมให้เด็กข้างบ้านผมด้วย 20 บาท
...สุทธิแล้ว คุณต้องเสียเงิน 120 ใช่ไหม?
ปล. เปรียบกระปุกออมสินเหมือนตัวกิจการอ่ะครับ
stay calm, stay invest