เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับการม
-
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับการม
โพสต์ที่ 1
ช่วง10 วันที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสเดินทางมา ยุโรป ทำให้ได้เห็นและสัมผัสประสบการณ์ ที่ทำให้รู้สึกลึก ๆ ในใจตัวเองว่า " สมควรแล้วที่ยุโรปจะเกิดวิกฤติทางการเงิน" ผมรู้สึกว่าถ้าจะหาความเสียสละและน้ำใจ ของสังคมที่นี้คงหายากน่าดูเลย. เริ่มจากประสบการณ์แรกเลยแล้วกัน พอดีมีคนที่นี้หาผมไปเที่ยวชมพระราชวังแวชาย ซึ่งเค้าพาผมเดินทางไปด้วยรถบัส. ไปถึงก็ต้องยอมรับว่าสวยจริง ๆ ครับ แต่นักท่องเที่ยวดูจะบางตามาก ไม่สมกับความสวยงาม และความอลังการของสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่เลย พอลงรถได้ผมก็เจอกับ ฝรั่งผิวสี ที่กรูกันเข้ามาจนผมกลัวว่าจะมาทำร้ายผมหรือใครในคณะหรือป่าวแต่ จริง ๆ แล้วเค้าแย่งกันมาขายพวกพ่วงกุญแจและของชำรวยสัญลักษณ์ต่าง ๆ นะครับ. คนที่อาสาพามาเที่ยวซึ่งเป็นคนท้องถิ่น บอกกับผมว่า เดี๋ยวนี้นักท่องเที่ยวน้อยลงไปเยอะ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ลานจอดรถจะแน่นไปด้วยรถบัสนักท่องเที่ยว แม้ว่าจะเป็นช่วงที่มีอากาสหนาวเย็นอย่างในช่วงนี้ และคนขายของ ผิวสี ก็มีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้ง ๆ ที่เป็นการขายของที่ผิดกฎหมายและก็มีตำรวจค่อยตรวจจับอยู่ตลอด ซึ่งอาจจะเพราะมีการว่างงานเกิดขึ้นมาก โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว. จะโดนก่อนเลยต้องชักชวนกันมาขายของกันมากขึ้น. และระหว่างทางเข้าชมพระราชวัง ก็จะเห็นป้ายให้ระวังกระเป๋าจะถูกลวงเยอะแยะไปหมด ผมก็เกิดความสงสัยจึงถามคนที่พาผมมาว่ามันมีมิจฉาชีพเยอะขนาดนี้เลยเหรอ สำหรับประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าขนาดนี้ เค้าว่าเยอะแต่ส่วนมากจะเป็นคนจากท้องที่อื่นหรือประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาสร้างปัญหาเพราะแต่ละประเทศก็ประสบปัญหา พวกนี้จึงเข้ามาอาศัยประเทศที่ยังพอจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาบ้าง จึงทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ก็ด้วยเพราะการผ่านเข้าออกระหว่างประเทศในกลุ่มสมาชิก. ค่อนข้างจะหละหลวม
และพอจะเดินทางกลับพอดีผมนั่งอยู่บนรถก่อนแล้ว และก็มีวัยรุ่นสาว ๆ สามคนเป็นคนท้องถิ่น นั่งอยู่ใกล้ๆ บันไดรถ พอดีมีคนสูงอายุ ซึ่งก็เป็นคนท้องถิ่นเหมือนกันและก็เป็นผู้หญิงด้วย. แกคงจะเดินเหนื่อยพอเดินขึ้นมาบนรถ เหมือนแกจะเป็นลมเซ ไปนั่งโดยเด็กวัยรุ่นสามคนนั้น แค่นั้นเองและผมก็เห็นคนแก่แกก็ขอโทษแล้ว แต่คุณเธอทั้งสามคนด่าซะไม่หยั้ง เหมือนกับหนักหนามากทำให้ผมคิดว่า ทำไมแค่นี้ไม่มีน้ำใจกันเลยเหรอ เพื่อนคนนั้นก็บอกว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทไม่มีศาสนา แล้วและการเลี้ยงดูของพ่อแม่เค้าก็เลี้ยงดูตามสไตล์เค้าอยู่แล้ว จึงทำให้เด็กรุ่นใหม่เป็นแบบนี้
เดี๋ยวไว้มาเล่าต่อมีเรื่องสยองที่เกิดกับผมโดยตรงเลย จะมาเล่าและวิถีการทำงานของคนที่นี้ผมล่ะ งง จริง ๆ เลย หากเพื่อน ๆ ท่านใดมีประสบการณ์ในต่างแดนในช่วงนี้ เอามาแชร์กันผมว่าก็จะทำให้เห็นภาพได้กว้างขึ้นนะครับ ปัญหายุโรปยังจะแก้ไม่ได้แน่ถ้ายังมีและยังเป็นหลาย ๆ อย่างที่ผมประสบพบเห็นมาในช่วง 10 กว่าวันนี้
และพอจะเดินทางกลับพอดีผมนั่งอยู่บนรถก่อนแล้ว และก็มีวัยรุ่นสาว ๆ สามคนเป็นคนท้องถิ่น นั่งอยู่ใกล้ๆ บันไดรถ พอดีมีคนสูงอายุ ซึ่งก็เป็นคนท้องถิ่นเหมือนกันและก็เป็นผู้หญิงด้วย. แกคงจะเดินเหนื่อยพอเดินขึ้นมาบนรถ เหมือนแกจะเป็นลมเซ ไปนั่งโดยเด็กวัยรุ่นสามคนนั้น แค่นั้นเองและผมก็เห็นคนแก่แกก็ขอโทษแล้ว แต่คุณเธอทั้งสามคนด่าซะไม่หยั้ง เหมือนกับหนักหนามากทำให้ผมคิดว่า ทำไมแค่นี้ไม่มีน้ำใจกันเลยเหรอ เพื่อนคนนั้นก็บอกว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทไม่มีศาสนา แล้วและการเลี้ยงดูของพ่อแม่เค้าก็เลี้ยงดูตามสไตล์เค้าอยู่แล้ว จึงทำให้เด็กรุ่นใหม่เป็นแบบนี้
เดี๋ยวไว้มาเล่าต่อมีเรื่องสยองที่เกิดกับผมโดยตรงเลย จะมาเล่าและวิถีการทำงานของคนที่นี้ผมล่ะ งง จริง ๆ เลย หากเพื่อน ๆ ท่านใดมีประสบการณ์ในต่างแดนในช่วงนี้ เอามาแชร์กันผมว่าก็จะทำให้เห็นภาพได้กว้างขึ้นนะครับ ปัญหายุโรปยังจะแก้ไม่ได้แน่ถ้ายังมีและยังเป็นหลาย ๆ อย่างที่ผมประสบพบเห็นมาในช่วง 10 กว่าวันนี้
- neuhiran
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 817
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 2
ผมเคยเห็นตำรวจฝรั่งเศสขี่จักรยานมาแล้วใช้กระบองไล่ตี คนผิวสีที่มาเร่ขายของชำร่วย
และตรงที่หอไอเฟล นะ ผมสังเกตดูเวลาที่ตำรวจมา กลุ่มคนผิวสีจะแตกฮือเลย
มองดูแล้วเหมือนกับใน ทีวีที่เวลาสิงโตไล่จับอาหารเลย ผมไม่เคยเห็นแบบในเยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์
ประเทศไทยเราผมก็ยังไม่เคยเห็น
และตรงที่หอไอเฟล นะ ผมสังเกตดูเวลาที่ตำรวจมา กลุ่มคนผิวสีจะแตกฮือเลย
มองดูแล้วเหมือนกับใน ทีวีที่เวลาสิงโตไล่จับอาหารเลย ผมไม่เคยเห็นแบบในเยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์
ประเทศไทยเราผมก็ยังไม่เคยเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 4
ผมได้ร่วมงานแสดงนวัตกรรมด้านการออกแบบระดับโลก ที่ประเทศฝรั่งเศส ในครั้งนี้ด้วย ต้องยอมรับว่าของเค้าดีจริง ๆ ในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างต่าง และที่โดดเด่นในสายตาผม ผมว่าเค้ารู้จักเอาวัสดุใหม่ ๆ มาคิดต่อยอดและออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีการใช้งานและผลิตได้จริง. ผมดูว่าปีนี้ส่วนใหญ่จะใช้วัสดุ พวกเคมีเช่น พลาสติกและยางและเคมีภัณฑ์ที่ได้จาก ปิโตเลียม แต่มีการพัฒนาในการย่อยสลายได้ดี ในส่วนนี้ต้องชมว่าทางยุโรปยังเหนือกว่าทาง เอเชียมาก อันนี้จากสายตาผมเองนะครับ. จริง ๆ แล้วผมได้เคยมางานนี้เมื่อ2-3 ปีก่อนทีหนึ่งแล้วแต่ครั้งนั้นมามีเวลาจำกัดมาก ๆ เลยไม่ได้ไปไหนเลย. ครั้งนี้ถือโอกาสพักผ่อนไปด้วยในตัวและก็ได้เพื่อนใหม่ ซึ่งพาผมเที่ยวแบบที่เข้าถึงความเป็นคน ฝรั่งเศสจริง ๆ เลยทำให้ได้เห็นในมุมที่นักท่องเทียวทั่วไปอาจจะไม่ค่อยได้เห็นนัก. เลยเอามาเล่าให้พี่ ๆ เพื่อน ๆ ได้ฟังเผื่อใครจะจับประเด็นเอาไปประกอบการวิเคาะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ได้ไม่มากก็น้อยครับ.
คราวนี้ช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ที่นี้ระยะเวลาสั้น ๆ พอมีโอกาสคุยกับเพื่อน ใหม่ ในช่วงเวลาทานข้าว ผมก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถามมุมมองของเค้าที่อาศัยและใช้ชีวิตในยุโรปว่าเป็นอย่างไรบ้างร่วมถึงวิธีคิดของเค้า ผมเริ่มด้วยคำถามว่าในฐานะที่เค้าเป็นคนฝรั่งเศสและยุโรปเค้ามีความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจขณะนี้อย่างไร
เค้าตอบว่าเค้าคิดว่าปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของ ยุโรป ที่ผ่านมามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตั้งแต่มีแนวความคิดว่าจะตั้งเป็นสหภาพยุโรป แล้ว ร่วมทั้งปัญหาสังคมและการเมืองด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวเค้าคิดว่าน่าจะเกิดเร็วกว่านี้ด้วยซ้ำไป. เค้าถามว่าผมสังเกตมั้ยว่าเวลานั่งรถออกมานอกเมืองหรือ โซนที่ไม่ใช้เขตเศษฐกิจใจกลางเมือง จะเห็นมีการพ่นสีตามผนัง ตลอดทาง หรือที่เรียกกันว่า กราฟิตี้ นะ ซึ่งมันเยอะมากจริง ๆ ทุกที่ที่มีพื้นที่ที่พ่นได้พวกนี้จะต้องพ่น เค้าบอกว่านี้เป็นปัญหาสังคมที่ยังแก้ไม่ได้ร่วมทั้งยังสะท้อนว่า มีความเก็บกดและมีช่องว่างของฐานะของประชาชน เค้าว่าคนอื่นอาจจะมองว่ามันคือศิลป แขนงหนึ่ง เพราะไปคิดว่า ฝรั่งเศส ทำอะไรต้องมีความเป็น art. อยู่ด้วย แต่สำหรับเค้า ๆ มองว่ามันคือสัญญานของความเสื่อม และการไม่เคารพสิทธิของคน และมันยังเป็นการบอกว่าคนรุ่นใหม่มีความคิดยังไง.
เค้าว่าสำหรับคนอื่นเค้าไม่รู้ว่าคิดยังไงแต่สำหรับเค้า ๆ ไม่เคยเห็นด้วยกับการรวมกันเป็นสหภาพยุโรป ความคิดเห็นเค้าน่าสนใจตรงที่ว่า ในแต่ละประเทศที่มาร่วมกันนั้น มันมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก. โดยเฉพาะวัฒนธรรมและความเชื่อต่าง ๆ รวมทั้งขนาดของเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
เดี๋ยวของพักไปธุระก่อนครับ
คราวนี้ช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ที่นี้ระยะเวลาสั้น ๆ พอมีโอกาสคุยกับเพื่อน ใหม่ ในช่วงเวลาทานข้าว ผมก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถามมุมมองของเค้าที่อาศัยและใช้ชีวิตในยุโรปว่าเป็นอย่างไรบ้างร่วมถึงวิธีคิดของเค้า ผมเริ่มด้วยคำถามว่าในฐานะที่เค้าเป็นคนฝรั่งเศสและยุโรปเค้ามีความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจขณะนี้อย่างไร
เค้าตอบว่าเค้าคิดว่าปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของ ยุโรป ที่ผ่านมามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตั้งแต่มีแนวความคิดว่าจะตั้งเป็นสหภาพยุโรป แล้ว ร่วมทั้งปัญหาสังคมและการเมืองด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวเค้าคิดว่าน่าจะเกิดเร็วกว่านี้ด้วยซ้ำไป. เค้าถามว่าผมสังเกตมั้ยว่าเวลานั่งรถออกมานอกเมืองหรือ โซนที่ไม่ใช้เขตเศษฐกิจใจกลางเมือง จะเห็นมีการพ่นสีตามผนัง ตลอดทาง หรือที่เรียกกันว่า กราฟิตี้ นะ ซึ่งมันเยอะมากจริง ๆ ทุกที่ที่มีพื้นที่ที่พ่นได้พวกนี้จะต้องพ่น เค้าบอกว่านี้เป็นปัญหาสังคมที่ยังแก้ไม่ได้ร่วมทั้งยังสะท้อนว่า มีความเก็บกดและมีช่องว่างของฐานะของประชาชน เค้าว่าคนอื่นอาจจะมองว่ามันคือศิลป แขนงหนึ่ง เพราะไปคิดว่า ฝรั่งเศส ทำอะไรต้องมีความเป็น art. อยู่ด้วย แต่สำหรับเค้า ๆ มองว่ามันคือสัญญานของความเสื่อม และการไม่เคารพสิทธิของคน และมันยังเป็นการบอกว่าคนรุ่นใหม่มีความคิดยังไง.
เค้าว่าสำหรับคนอื่นเค้าไม่รู้ว่าคิดยังไงแต่สำหรับเค้า ๆ ไม่เคยเห็นด้วยกับการรวมกันเป็นสหภาพยุโรป ความคิดเห็นเค้าน่าสนใจตรงที่ว่า ในแต่ละประเทศที่มาร่วมกันนั้น มันมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก. โดยเฉพาะวัฒนธรรมและความเชื่อต่าง ๆ รวมทั้งขนาดของเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
เดี๋ยวของพักไปธุระก่อนครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณที่นำประสบการณ์มาแชร์ครับ
ผมไม่เคยไปเมืองนอก บางทีดูจากในทีวี ก็เห็นแต่อะไรดีๆเต็มไปหมด
เหรียญมี 2 ด้านเสมอ
รออ่านต่อ เปิดหูเปิดตาได้ดีทีเดียวครับ
ผมไม่เคยไปเมืองนอก บางทีดูจากในทีวี ก็เห็นแต่อะไรดีๆเต็มไปหมด
เหรียญมี 2 ด้านเสมอ
รออ่านต่อ เปิดหูเปิดตาได้ดีทีเดียวครับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 6
เรื่องที่ทำให้ผมคิดว่ายุโรป น่าที่จะต้องประสบกับวิกฤติอย่างเลี่ยงไม่ได้ คืออุปนิสัยและวิถีการดำเนินชีวิต. ลองคิดดูนะครับร้านค้าตามถนนหนทางทั่วไปไม่ว่าจะขายอะไร จะเปิดร้านกันตอน ประมาณ 10-11 โมงเช้า และปิดประมาณ 5-6 โมงเย็นบ้างร้านปิด 1 ทุ่ม และบทจะปิด ๆ จริง ๆ ครับไม่มียืดหยุ่นเพราะเค้าว่ามันเป็นเวลาของเค้าแล้ว ผมเลยมาลองคิดดูว่าเค้าจะขายใครล่ะวัน ๆ คนทั่วไปก็ทำงานเลิก4-5 โมงเย็นเหมือนๆกันจะเอาเวลาที่ไหนไปช๊อปปิ้งกันล่ะทำให้ผมคิดต่อว่าถ้าวิกฤติเกิดขึ้นจริง ๆ โอกาสฟื้นตัวอาจจะนานกว่าทางด้านเอเชียหรือป่าวเพราะขนาดนี้คนของเค้าเองยังไม่คิดเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตเพื่อให้ก้าวเดินต่อไปได้ และผมสังเกตว่าเค้าต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างใช้ชีวิต ทุกอย่างจะตัดสินกันด้วยเงิน และภาพที่ปรุงแต่งกันว่าเป็นพวกที่เหนือกว่าเผ่าพันธ์ใด ๆ หรือถ้าเป็นภาษาไทยผมว่าน่าจะคล้าย ๆ ประเภท จมไม่ลง หรือป่าว ผมไม่ได้มีอคติอะไรนะครับ และแน่นอนว่าก็ไม่ใช่จะทุกคนที่คิดหรือเป็นยังงั้น ทุกประเทศก็มีทั้งคนดีและไม่ดี แต่ที่ผมพูดมามันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่สัมผัสได้นะครับ ผมได้ไปเดินย่านช๊อปปิ้ง ฌองเอริเซ่ ผมเห็นมีร้านๆ หนึ่ง ชื่อร้าน lancel ตอนแรกผมมองผ่านๆ นึกว่า เป็นโชว์รูมรถ มิตซู เห็นคนยืนเข้าแถวประมาณ 10 กว่าคนได้ผมสงสัยเลยเข้าไปดู อุ๊... แม่เจ้ามันคือร้านขายกระเป๋าของผู้หญิง ผมเลยดูว่าคนในร้านก็ไม่เห็นจะมีเห็นมีแต่ผู้ชายใส่หมวกสูง ๆ คอยจัดคนที่รอน่าร้าน จึงยืนดูสักพักเพิ่งเข้าใจว่าเค้าจะจัดให้คนเข้าไปซื้อได้ครั้งล่ะ2 คน (ผมดูจากการเข้าไปแต่ละครั้ง). รอบหนึ่งประมาณ 15 นาที โอ....กระเป๋ายี่ห้อนี้มันวิเศษแท้. แต่คนที่ยืนรอหน้าร้าน ผมกลับเห็นฝรั่งผมทองยืนอยู่คนเดียว และดันมากับ ผู้หญิงเอเชีย สรุปว่าช่วงที่ผมยืนดูอยู่นั้น มีแต่คนเอเชียทั้งนั้นที่เข้าคิวรอซื้อไอ้กระเป๋าที่ชื่อ คล้าย ๆ รุ่นของรถยนต์ ผมจึงเดาว่าราคามันใบล่ะเป็นล้านมั้ง ถึงได้มีวิธีการซื้อที่สุดหรูหร่าขนาดนี้ ผมเลยคิดนะว่าทำไมเค้าไม่ให้ลูกค้าเข้าร้านไปเลือกของตามใจชอบ ถ้าของมันดีจริงคนก็ซื้ออยู่แล้วไม่ว่าจะเข้าได้ที่ละกี่คน และถ้าเข้าเยอะ คนซื้อเยอะ ก็เพิ่มพนักงานขาย แทนที่จะมีผู้ชายยืนใส่หมวกสูง ๆ คำนับอยู่หน้าร้านอย่างเดียว ก็ทำให้คนมีงานทำมากขึ้น พอขายได้มากขึ้นก็จ้างคนเพิ่มเพื่อผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น คนก็ไม่ต้องตกงานมากขึ้น ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเค้าคิดของเค้ากันอย่างนี้จริง ๆ เหรอ. ยังมีอีกครับเดี๋ยวค่อยเล่าเรื่อง อื่นต่อครับ และเห็นด้วยครับ กราฟิตี้ื ทุกตารางนิ้ว ของกำแพงจริง ๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 7
ว่าง ๆ มาต่อครับ ผมได้มีโอกาสและได้รับเกียรติจากคนที่นี้พาไปทานดินเนอร์บนหอ ไอเฟล ที่ส่วนที่สูงที่สุดของหอทำให้ได้รับประสบการณ์ทั้งที่ดีและทั้งที่ไม่ดี คราวนี้เริ่มจากสิ่งที่ดีบ้างครับ เดี๋ยวจะดูเหมือนว่าจ้องจะตำหนิอย่างเดียว เรื่องที่ประทับใจคือการรักษาสิ่งที่อยู่คู่กับเมืองและเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ผมว่าหอไอเฟล รวมทั้งประตูชัย และ โบสถ์ นอตเทอดัม ยอมรับครับว่าของจริงสวยสง่างามและสะอาดและยังรักษาสภาพให้คงสภาพเดิมแต่ดูดีอยู่อันนี้ ผมต้องชมครับ ซึ่งสิ่งนี้ผมว่าเกิดจากการที่คนของเค้ามีความรักและเข้าใจรวมทั้งเห็นคุณค่าของงานศิลปและสถาปัตยกรรมต่างๆ ซึ่งต่างจากของไทยเราทั้งๆ มีสิ่งที่ทรงคุณค่าทางศิลปะมากมายอย่างเช่นอยุธยา แต่พอเข้าไปใกล้ๆ บางที่ไม่รู้คนสมัยพ่อขุนรามมาประกาศหรือป่าว เช่นสถาบันนั้นพ่อสถาบันนี้ แม่โรงเรียนนั้น และของโทษลายมือไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเป็น พวกกราฟิตี้แบบยุโรปนะครับ ผมว่าดูแล้วน่าจะพวก กาฝากสังคมซะมากกว่าอันนี้ขอพูดตรง ๆ นี้แหละเพราะรับไม่ได้จริงๆกับคนประเภทนี้ เอาว่าเข้าเรื่องยุโรปต่อดีกว่า
ผมได้ทานดินเนอร์บนหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก รู้สึกดีครับ แต่ถ้าถามเรื่องวิวที่ได้มองลงมาเวลาอยู่ข้างบน. ผมว่ายังไม่ได้ครึ่งของ ห้องอาหาร ซีร๊อคโค ที่บ้านเราเลยครับและอาหารแพงเกินจริงไปรวมทั้งไม่ค่อยอร่อยนะครับ แต่ก็โดยรวมสำหรับจุดนี้ผมถือว่าดีครับ
ทำให้ผมฉุดคิดขึ้นมาได้ว่า จริง ๆ ยุโรปอาจจะไม่เกิดวิกฤติหรือถ้าเกิดก็อาจจะไม่รุนแรงหรือเกิดยาวนานมากนัก หากคนที่นี้ มีหัวใจที่พร้อมจะให้บริการ หรือที่เค้าชอบเรียกกันว่า service mine นะครับ ผมว่ายุโรปเป็นกลุ่มประเทศที่น่าท่องเที่ยวมากเลยนะครับ มีทั้งประวัติศาสตร์ มีทั้งศิลปะ สถาปัตยกรรมที่ยังคงสวยงามอีกมากกว่า และผมว่าการท่องเที่ยวของเค้าน่าจะต้องบูมมากๆเลยหากเค้าสามารถสร้างความประทับใจให้กับคนที่มาเที่ยวานได้ทซึ่งน่าจะทำเงินเข้าประเทศให้กับเค้าได้มากเลยนะครับ เสียดายที่เค้าไม่คิดที่จะมองและให้เกียรต์กับคนชนชาติอื่นอย่างให้เกียรติมากกว่านี้ เอาล่ะข้ามไปเลยดีกว่า ง่วงมากเลยขอต่อพรุ่งนี้ครับ
ผมได้ทานดินเนอร์บนหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก รู้สึกดีครับ แต่ถ้าถามเรื่องวิวที่ได้มองลงมาเวลาอยู่ข้างบน. ผมว่ายังไม่ได้ครึ่งของ ห้องอาหาร ซีร๊อคโค ที่บ้านเราเลยครับและอาหารแพงเกินจริงไปรวมทั้งไม่ค่อยอร่อยนะครับ แต่ก็โดยรวมสำหรับจุดนี้ผมถือว่าดีครับ
ทำให้ผมฉุดคิดขึ้นมาได้ว่า จริง ๆ ยุโรปอาจจะไม่เกิดวิกฤติหรือถ้าเกิดก็อาจจะไม่รุนแรงหรือเกิดยาวนานมากนัก หากคนที่นี้ มีหัวใจที่พร้อมจะให้บริการ หรือที่เค้าชอบเรียกกันว่า service mine นะครับ ผมว่ายุโรปเป็นกลุ่มประเทศที่น่าท่องเที่ยวมากเลยนะครับ มีทั้งประวัติศาสตร์ มีทั้งศิลปะ สถาปัตยกรรมที่ยังคงสวยงามอีกมากกว่า และผมว่าการท่องเที่ยวของเค้าน่าจะต้องบูมมากๆเลยหากเค้าสามารถสร้างความประทับใจให้กับคนที่มาเที่ยวานได้ทซึ่งน่าจะทำเงินเข้าประเทศให้กับเค้าได้มากเลยนะครับ เสียดายที่เค้าไม่คิดที่จะมองและให้เกียรต์กับคนชนชาติอื่นอย่างให้เกียรติมากกว่านี้ เอาล่ะข้ามไปเลยดีกว่า ง่วงมากเลยขอต่อพรุ่งนี้ครับ
- lengmanutd
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 143
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณครับที่มาแชร์ประสบการณ์ เห็นภาพได้ดีครับ
ลงทุนในบริษัทที่ดี ราคาหุ้นมี MOS (Downside = Limited) และแนวโน้มกำไรมี Growth (Upside = Infinity)
-
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 9
มาต่อครับ....ระหว่างที่ทานข้าวผมสังเกตุว่า คนฝรั่งเศส จะไม่ค่อยคุยหรือเลี่ยงที่จะคุยเรื่องงานหลังจากเวลางาน คล้ายๆ คนญี่ปุ่นที่หลังเลิกงานเค้าจะไม่คุยเรื่องงานกันเพราะเค้าถือว่าเวลางานเค้าจะทำงานอย่างเต็มที่พร้อมเลิกงานคนญี่ปุ่นจึงมักจะเที่ยวดื่มสาเกสูบบุหรี่จัดเพราะเวลางานเค้าจะเครียดมาก เท่าที่ผมเคยสัมผัสนะครับ ส่วนคนฝรั่งเศส เท่าที่ผมฟังเค้าจะคุยกันแต่ว่าพักร้อนนี้หรือวันหยุดเค้าจะไปพักผ่อนที่ไหนดี ผมเห็นถึงความแตกต่างระหว่างชนชาติเอเชีย กับคนยุโรป ด้านนี้ค่อนข้างจะแตกต่างมาก ไม่เหมือนคนไทย ขนาดเมาหรือมีงานเลี้ยงสังสรรค์อะไรจ้องแต่จะคุยเรื่องงานกันอย่างเดียว แต่พอเวลางานไม่ค่อยคุยเรื่องงานกับคุยแต่ เฟชบุ๊ค 5555 อันนี้ผมแซวเล่นครับ ผมจึงสันนิฐานในมุมหนึ่งว่า เป็นไปได้ว่าคนยุโรปมีการใช้เทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์มาช่วยทำงานต่างๆได้อย่างเต็มประสิทธิภาพหรือป่าวจึงทำให้เค้าทำงานได้อย่างสบายๆ (ผมคิดเองในด้านดีนะครับ) แต่ถ้าคิดในด้านไม่ดีเค้าก็คงจะขี้เกียจกว่าคนเอเชีย
คราวนี้ผมได้โอกาสท่ีจะถามว่า ถ้าสมมติผมอยากจะรู้จักความเป็นฝรั่งเศสแท้ๆผมควรจะไปดูที่ไหนดี (ไม่ใช้มาให้ถึงฝรั่งเศสนะครับเพราะภรรยาผมมาด้วยไม่งั้นก็อยากไปให้ถึงเหมือนกัน555) มีคนหนึ่งตอบได้น่าสนใจครับ เค้าว่าทุกอย่างถูกเก็บเอาไว้ใต้ดิน ตอนแรกผมงงว่าอะไร ตอนหลังเค้าเฉลยว่า ใต้ดินของเค้าก็คือ. Metro. หรือรถไฟใต้ดินนั้นแหละครับ ผมจึงตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ผมจะไปเที่ยวรถไฟใต้ดิน หันไปเห็นหน้าภรรยาและลูก ไม่รู้ผมคิดถูกหรือป่าวแต่ดูเหมือนว่าเข้าอยากกลับเมืองไทยหลังจากผมบอกว่าพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวในรถไฟใต้ดินกัน5555
คราวนี้ผมได้โอกาสท่ีจะถามว่า ถ้าสมมติผมอยากจะรู้จักความเป็นฝรั่งเศสแท้ๆผมควรจะไปดูที่ไหนดี (ไม่ใช้มาให้ถึงฝรั่งเศสนะครับเพราะภรรยาผมมาด้วยไม่งั้นก็อยากไปให้ถึงเหมือนกัน555) มีคนหนึ่งตอบได้น่าสนใจครับ เค้าว่าทุกอย่างถูกเก็บเอาไว้ใต้ดิน ตอนแรกผมงงว่าอะไร ตอนหลังเค้าเฉลยว่า ใต้ดินของเค้าก็คือ. Metro. หรือรถไฟใต้ดินนั้นแหละครับ ผมจึงตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ผมจะไปเที่ยวรถไฟใต้ดิน หันไปเห็นหน้าภรรยาและลูก ไม่รู้ผมคิดถูกหรือป่าวแต่ดูเหมือนว่าเข้าอยากกลับเมืองไทยหลังจากผมบอกว่าพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวในรถไฟใต้ดินกัน5555
-
- Verified User
- โพสต์: 1904
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 10
พวกฝรั่งเค้าเคยชินกับการที่ตกงานแล้วรัฐบาลเลี้ยงไงครับก็เลยดูไม่กระตือรือล้นอะไร สวัสดิการสังคมเค้าดีมาก ก็เพราะยังงี้หนี้ภาครัฐก็เลยเยอะจนกลายเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ เพราะถ้าลดสวัสดิการลงประชาชนก็จะมาประท้วง อย่าว่าแต่เขาเลยคนไทยเราเองก็อยากให้รัฐมาจ่ายนั่นนี่ให้ หารู้ไม่ว่าการทำแบบนั้นก็คือการเอาเงินลูกหลานมาใช้ ต่อไปๆก็คงไม่แคล้ว รัฐบาลอนาคตต้องมาตามใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ สุดท้ายก็ไม่ต่างกับยุโรปเวลานี้
- marcus147
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 11
ohiotour เขียน:เรื่องที่ทำให้ผมคิดว่ายุโรป น่าที่จะต้องประสบกับวิกฤติอย่างเลี่ยงไม่ได้ คืออุปนิสัยและวิถีการดำเนินชีวิต. ลองคิดดูนะครับร้านค้าตามถนนหนทางทั่วไปไม่ว่าจะขายอะไร จะเปิดร้านกันตอน ประมาณ 10-11 โมงเช้า และปิดประมาณ 5-6 โมงเย็นบ้างร้านปิด 1 ทุ่ม และบทจะปิด ๆ จริง ๆ ครับไม่มียืดหยุ่นเพราะเค้าว่ามันเป็นเวลาของเค้าแล้ว ผมเลยมาลองคิดดูว่าเค้าจะขายใครล่ะวัน ๆ คนทั่วไปก็ทำงานเลิก4-5 โมงเย็นเหมือนๆกันจะเอาเวลาที่ไหนไปช๊อปปิ้งกันล่ะทำให้ผมคิดต่อว่าถ้าวิกฤติเกิดขึ้นจริง ๆ โอกาสฟื้นตัวอาจจะนานกว่าทางด้านเอเชียหรือป่าวเพราะขนาดนี้คนของเค้าเองยังไม่คิดเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตเพื่อให้ก้าวเดินต่อไปได้ และผมสังเกตว่าเค้าต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างใช้ชีวิต ทุกอย่างจะตัดสินกันด้วยเงิน และภาพที่ปรุงแต่งกันว่าเป็นพวกที่เหนือกว่าเผ่าพันธ์ใด ๆ หรือถ้าเป็นภาษาไทยผมว่าน่าจะคล้าย ๆ ประเภท จมไม่ลง หรือป่าว ผมไม่ได้มีอคติอะไรนะครับ และแน่นอนว่าก็ไม่ใช่จะทุกคนที่คิดหรือเป็นยังงั้น ทุกประเทศก็มีทั้งคนดีและไม่ดี แต่ที่ผมพูดมามันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่สัมผัสได้นะครับ ผมได้ไปเดินย่านช๊อปปิ้ง ฌองเอริเซ่ ผมเห็นมีร้านๆ หนึ่ง ชื่อร้าน lancel ตอนแรกผมมองผ่านๆ นึกว่า เป็นโชว์รูมรถ มิตซู เห็นคนยืนเข้าแถวประมาณ 10 กว่าคนได้ผมสงสัยเลยเข้าไปดู อุ๊... แม่เจ้ามันคือร้านขายกระเป๋าของผู้หญิง ผมเลยดูว่าคนในร้านก็ไม่เห็นจะมีเห็นมีแต่ผู้ชายใส่หมวกสูง ๆ คอยจัดคนที่รอน่าร้าน จึงยืนดูสักพักเพิ่งเข้าใจว่าเค้าจะจัดให้คนเข้าไปซื้อได้ครั้งล่ะ2 คน (ผมดูจากการเข้าไปแต่ละครั้ง). รอบหนึ่งประมาณ 15 นาที โอ....กระเป๋ายี่ห้อนี้มันวิเศษแท้. แต่คนที่ยืนรอหน้าร้าน ผมกลับเห็นฝรั่งผมทองยืนอยู่คนเดียว และดันมากับ ผู้หญิงเอเชีย สรุปว่าช่วงที่ผมยืนดูอยู่นั้น มีแต่คนเอเชียทั้งนั้นที่เข้าคิวรอซื้อไอ้กระเป๋าที่ชื่อ คล้าย ๆ รุ่นของรถยนต์ ผมจึงเดาว่าราคามันใบล่ะเป็นล้านมั้ง ถึงได้มีวิธีการซื้อที่สุดหรูหร่าขนาดนี้ ผมเลยคิดนะว่าทำไมเค้าไม่ให้ลูกค้าเข้าร้านไปเลือกของตามใจชอบ ถ้าของมันดีจริงคนก็ซื้ออยู่แล้วไม่ว่าจะเข้าได้ที่ละกี่คน และถ้าเข้าเยอะ คนซื้อเยอะ ก็เพิ่มพนักงานขาย แทนที่จะมีผู้ชายยืนใส่หมวกสูง ๆ คำนับอยู่หน้าร้านอย่างเดียว ก็ทำให้คนมีงานทำมากขึ้น พอขายได้มากขึ้นก็จ้างคนเพิ่มเพื่อผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น คนก็ไม่ต้องตกงานมากขึ้น ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเค้าคิดของเค้ากันอย่างนี้จริง ๆ เหรอ. ยังมีอีกครับเดี๋ยวค่อยเล่าเรื่อง อื่นต่อครับ และเห็นด้วยครับ กราฟิตี้ื ทุกตารางนิ้ว ของกำแพงจริง ๆ
เรื่องการเลือกกระเป๋าแบบนี้ น่าจะเป็นวิธีการเพิ่มมูลค่าของตัวสินค้านะครับ
ประมาณว่าทำให้ดูไฮโซ ให้ความสำคัญกับลูกค้าไรงี้
ผมเลยเข้าร้าน Louis Vuitton ครั้งนึง
ใส่ขาสั้นเสื้อยืดเข้าไป เจอการบริการของพนักงาน ท่าทางที่เทรนมาอย่างดี
นิ่งไปเลยครับ อยากจะกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดมาใหม่เลยทีเดียว
ส่วนตัวคิดว่าตอนนี้ยุโรปอยู่ได้ด้วยสินค้าแบรนเนมที่ยังขาย(คนเอเชีย)ได้เรื่อยๆ
การลงทุนในตลาดหุ้น ไม่มีทางลัด อยากเก่ง ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
My Blog : http://marcus147.wordpress.com/
My Blog : http://marcus147.wordpress.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 12
ผมมาแชร์ในส่วนที่ผมได้ไปร่วมงานแฟร์ดีกว่าครับจะได้หลากหลายมุม
งานที่ว่านี้ เค้าชื่อว่า. เมซองออฟเจ็ต เป็นงานที่รวมนวัตกรรมและเทรนการออกแบบใหม่ๆ รวมทั้งโชว์นวัตกรรมจากวัสดุใหม่ๆดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้าแล้ว. สำหรับงานนี้ตามความคิดผมผมว่าน่าจะใหญ่ที่สุดในด้านการออกแบบของโลกเวลานี้นะครับ( เคยคิดว่างาน มิลานแฟร์ ใหญ่สุด แต่นี้ใหญ่กว่าและหลากหลากกว่า มิลาน จะเน้นด้านเฟอร์นิเจอร์). การเดินทางไปสถานที่จัดงานไม่ค่อยสะดวกตามความคิดผมคือต้องไปทางรถไฟอย่างเดียว. และหลายต่อมากถ้ามาจากในใจกลางเมือง ถ้าเทียบกับบ้านเราผมว่าอิมแพคสะดวกกว่า( อาจจะเพราะชิน) ตอนเดินทางคิดถึงอิมแพค แต่พอเข้าไปในงาน ลืมอิมแพคเลย อลังการงานสร้างมากๆน่าจะมีประมาณ 10 ฮอลได้และแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจน เช่น ฮอล 8 จะมีแต่นวัตกรรมใหม่ๆ เทรนในอนาคต แต่ที่ผมว่าเค้าทำได้ดีและเป็นการสร้างคนใหม่ๆ คือเค้าจะมีฮอลหนึ่งเลยคือ ฮอล 6 สำหรับนักออกแบบรุ่นใหม่ที่มานำเสนอผลงานของตัวเอง และถ้าเกิดถูกใจนักธุรกิจก็เกิดเลยงานนี้ ฟิลลิป สเตรา ก็เกิดจากงานนี้ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ. ผมว่ายุโรปเค้าสร้างสินค้าโดยให้ความสำคัญกับการออกแบบมากซึ่งมันเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของเค้าอย่างมาก. ยกตัวอย่างมีเก้าอี้ สตูล เค้าเอาไหมพรมมากถักให้หนาๆ แล้วขยำๆให้มันดูฟรีฟอร์มหน่อย เค้าขายส่งชิ้นละ เป็นเงินไทย 8600 บาท ผมว่ายังสวยสู้ผักตบชวาสานของบ้านเราไม่ได้เลย. แต่งานของเค้าจะละเอียดเรียบร้อยมาก และแพคเกจจิ้งเค้าก็ลงทุน ไม่เหมือนบ้านเราตอนตั้งโชว์ดูสวยเชียวพอซื้อปั้ป เอาถุงดำมาใส่และเอาเชือกมัด หมดกันเลย ( เพิ่งเจอกับตัวเองที่งานบ้านและสวนที่ผ่านมา). เนี้ยครับคนไทยน่าจะผลิตสินค้าและควรจะเน้นรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่านี้ก็จะทำให้เพิ่มมูลค่าได้อีกมากเลย ครั้งนี้ผมสังเกตว่ามีบริษัท จากเอเชียที่ไปร่วมงานที่เห็นเยอะก็ ญี่ปุ่น เองและก็เป็นที่สนใจของนักธุรกิจจากทางยุโรปมากเลยนะครับ แต่ของไทยไม่เห็นเลย ผมว่าคุ้นว่าไทยเรามีหน่วยงานที่ส่งเสริมด้านการออกแบบนะ แต่ดูเหมือนไม่คอยผลักดันสินค้าไทยและสนับสนุนนักออกแบบไทยให้ก้าวไปสู่เวทีระดับโลกแบบนี้ ออ...ปีนี้รางวัลนักออกแบบออฟเดอร์เยียร์ เป็นของคนญี่ปุ่นครับ. ออกแบบเกี่ยวกับคริสตัลอะไรประมาณนี้ครับ. ผมคิดว่าถ้าหน่วยงานที่ว่าน่าจะชื่อ TDRI. หรือป่าวไม่แน่ใจถ้าผิดก็ขออภัยด้วยครับ ทำงานร่วมมือกับกับกรมส่งเสริมการส่งออก ให้นำบริษัทคนไทยที่มีนวัตกรรมด้านการออกแบบที่โดดเด่น และให้สนับสนุนข้อมูลต่างๆ ผมว่าบริษัทคนไทยสู่เค้าได้แน่นอน เอ้า...นอกเรื่องไปไกลเลยผม แต่ผมว่างานปีนี้ในแง่ของธุรกิจหรือเม็ดเงินผมว่าไม่น่าจะได้ตามเป้าหมาย เพราะผมสังเกตว่า จะเป็นคนที่มาดูงานเพื่อกลับไปพัฒนาของตัวเองซะมากกว่าการที่จะมาติดต่อนำสินค้าเข้า โดยเฉพาะคนจีนเยอะมาก และในงานที่จริงเค้าห้ามถ่ายรูปเลยนะครับ แต่ผมเจอคนจีน 3 คน 2 คน ยืนบังข้างหน้าอีกคนอยู่ข้างหลัง กดถ่ายจากมือถือใหญ่และทำเนียนคุยกันมองไปทางอื่น ผมล่ะขำจริงๆ ไม่นานครับโคมไฟแบบนั้นก็จะมีอยู่ในตลาดแล้ว 5555 เดี๋ยวตลาดปิดแล้วดูก่อนว่าเป็นไงบ้างว่างๆมาเล่าต่อ เสริมกับ จขกท ครับ
งานที่ว่านี้ เค้าชื่อว่า. เมซองออฟเจ็ต เป็นงานที่รวมนวัตกรรมและเทรนการออกแบบใหม่ๆ รวมทั้งโชว์นวัตกรรมจากวัสดุใหม่ๆดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้าแล้ว. สำหรับงานนี้ตามความคิดผมผมว่าน่าจะใหญ่ที่สุดในด้านการออกแบบของโลกเวลานี้นะครับ( เคยคิดว่างาน มิลานแฟร์ ใหญ่สุด แต่นี้ใหญ่กว่าและหลากหลากกว่า มิลาน จะเน้นด้านเฟอร์นิเจอร์). การเดินทางไปสถานที่จัดงานไม่ค่อยสะดวกตามความคิดผมคือต้องไปทางรถไฟอย่างเดียว. และหลายต่อมากถ้ามาจากในใจกลางเมือง ถ้าเทียบกับบ้านเราผมว่าอิมแพคสะดวกกว่า( อาจจะเพราะชิน) ตอนเดินทางคิดถึงอิมแพค แต่พอเข้าไปในงาน ลืมอิมแพคเลย อลังการงานสร้างมากๆน่าจะมีประมาณ 10 ฮอลได้และแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจน เช่น ฮอล 8 จะมีแต่นวัตกรรมใหม่ๆ เทรนในอนาคต แต่ที่ผมว่าเค้าทำได้ดีและเป็นการสร้างคนใหม่ๆ คือเค้าจะมีฮอลหนึ่งเลยคือ ฮอล 6 สำหรับนักออกแบบรุ่นใหม่ที่มานำเสนอผลงานของตัวเอง และถ้าเกิดถูกใจนักธุรกิจก็เกิดเลยงานนี้ ฟิลลิป สเตรา ก็เกิดจากงานนี้ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ. ผมว่ายุโรปเค้าสร้างสินค้าโดยให้ความสำคัญกับการออกแบบมากซึ่งมันเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของเค้าอย่างมาก. ยกตัวอย่างมีเก้าอี้ สตูล เค้าเอาไหมพรมมากถักให้หนาๆ แล้วขยำๆให้มันดูฟรีฟอร์มหน่อย เค้าขายส่งชิ้นละ เป็นเงินไทย 8600 บาท ผมว่ายังสวยสู้ผักตบชวาสานของบ้านเราไม่ได้เลย. แต่งานของเค้าจะละเอียดเรียบร้อยมาก และแพคเกจจิ้งเค้าก็ลงทุน ไม่เหมือนบ้านเราตอนตั้งโชว์ดูสวยเชียวพอซื้อปั้ป เอาถุงดำมาใส่และเอาเชือกมัด หมดกันเลย ( เพิ่งเจอกับตัวเองที่งานบ้านและสวนที่ผ่านมา). เนี้ยครับคนไทยน่าจะผลิตสินค้าและควรจะเน้นรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่านี้ก็จะทำให้เพิ่มมูลค่าได้อีกมากเลย ครั้งนี้ผมสังเกตว่ามีบริษัท จากเอเชียที่ไปร่วมงานที่เห็นเยอะก็ ญี่ปุ่น เองและก็เป็นที่สนใจของนักธุรกิจจากทางยุโรปมากเลยนะครับ แต่ของไทยไม่เห็นเลย ผมว่าคุ้นว่าไทยเรามีหน่วยงานที่ส่งเสริมด้านการออกแบบนะ แต่ดูเหมือนไม่คอยผลักดันสินค้าไทยและสนับสนุนนักออกแบบไทยให้ก้าวไปสู่เวทีระดับโลกแบบนี้ ออ...ปีนี้รางวัลนักออกแบบออฟเดอร์เยียร์ เป็นของคนญี่ปุ่นครับ. ออกแบบเกี่ยวกับคริสตัลอะไรประมาณนี้ครับ. ผมคิดว่าถ้าหน่วยงานที่ว่าน่าจะชื่อ TDRI. หรือป่าวไม่แน่ใจถ้าผิดก็ขออภัยด้วยครับ ทำงานร่วมมือกับกับกรมส่งเสริมการส่งออก ให้นำบริษัทคนไทยที่มีนวัตกรรมด้านการออกแบบที่โดดเด่น และให้สนับสนุนข้อมูลต่างๆ ผมว่าบริษัทคนไทยสู่เค้าได้แน่นอน เอ้า...นอกเรื่องไปไกลเลยผม แต่ผมว่างานปีนี้ในแง่ของธุรกิจหรือเม็ดเงินผมว่าไม่น่าจะได้ตามเป้าหมาย เพราะผมสังเกตว่า จะเป็นคนที่มาดูงานเพื่อกลับไปพัฒนาของตัวเองซะมากกว่าการที่จะมาติดต่อนำสินค้าเข้า โดยเฉพาะคนจีนเยอะมาก และในงานที่จริงเค้าห้ามถ่ายรูปเลยนะครับ แต่ผมเจอคนจีน 3 คน 2 คน ยืนบังข้างหน้าอีกคนอยู่ข้างหลัง กดถ่ายจากมือถือใหญ่และทำเนียนคุยกันมองไปทางอื่น ผมล่ะขำจริงๆ ไม่นานครับโคมไฟแบบนั้นก็จะมีอยู่ในตลาดแล้ว 5555 เดี๋ยวตลาดปิดแล้วดูก่อนว่าเป็นไงบ้างว่างๆมาเล่าต่อ เสริมกับ จขกท ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 13
ตอนที่แล้วถึงตอนว่าจะได้ไปดูสิ่งที่เป็นจริงในสังคม ยุโรป โดยเฉพาะปารีสประเทศฝรั่งเศส. ขอสารภาพว่าเกือบจะเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วเพราะคิดเอาเองว่า มันก็คงไม่แตกต่างจาก รถไฟใต้ดินของไทย แค่ว่าอาจจะดูทันสมัยและคนจอแจกว่าแค่นั้นเอง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไป โดยคราวนี้ได้รับไมตรีจาก เพื่อนนักธุรกิจที่ส่งคนมาเป็นไกด์พาเที่ยวเมืองปารีส โดยการเดินทางโดย matro. หรือรถไฟใต้ดิน.
ผมเริ่มเดินจากสถานที่พักที่ถนน 16 เดินไปแป้ปเดียวก็เจอบันไดลง. ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็ผ่านไอ้บันไดนี้ทุกวันที่ผ่านมา แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันคือทางลงไปสู่ระบบขนส่งมวลชน ของประเทศที่ตามความคิดของผมก่อนหน้านี้ว่า ศิวิไลซ์. เมื่องแห่งแฟชั่นและความทันสมัย. ทางลงเป็นบันไดมีราวบันไดสีเขียวถลอกๆ พอเริ่มเดินลงบันได เนื่องจากความไม่คุ้นเคยผมก็เดินด้วยความระมัดระวัง กำลังจะเอื่อมมือไปจับราวบันได. คนที่อาสาพาผมไปก็หันมาร้องเสียงหลง ว่า don't tuch ! ผมสงสัยว่าผมผิดตรงไหนเหรอที่ผมจะจับราวบันไดเค้าอธิบายกับผมว่ามันสกปรกมาก เนื่องจากมีพวกคนจรจัดมาอาศัยนอนกันตอนกลางคืนเยอะและคนพวกนี้ก็สกปรกมาก ผมเลยถามเค้าว่าแล้วทางการเค้าไม่จัดหาสถานที่ให้เป็นที่เป็นทางให้คนพวกนี้หรือหาอาชีพอะไรให้เค้าทำเพื่อที่เค้าจะได้ไม่ต้องมาอาศัยแบบนี้ เค้าว่าก็มีอยู่เหมือนกันแต่ในตอนนี้มันไม่พอรองรับเพราะ อากาศมันหนาวทำให้คนพวกนี้ที่กระจัดกระจายอยู่ตามสถานที่ตามที่ต่างๆ ก็ลงมาอยู่ในนี้เยอะ และอีกปัญหาคือคนจากต่างถิ่นที่หลบเข้ามาในปารีส เพื่อหางานทำ แต่ในขณะนี้ งานก็มีไม่มากพอที่จะให้คนพวกนี้ทำ ผมคิดและถามไปว่าแล้วทำไมรัฐบาลถึงไม่ลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และจ้างงานพวกนี้ เหมือนที่ประเทศไทยชอบทำคือเวลาจะให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจหรืออัตราการว่างงานออกมาดี รัฐบาลก็จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เค้าตอบผมว่า เนื่องจากประชาชนฝรั่งเศสมีใจรักในด้านสถาปัตยกรรมและภูมิใจจึงไม่คิดที่จะทำอะไรที่เป็นการไปทำร้ายสิ่งก่อสร้างเดิมเลยจะโดยประชาชนต่อต้านมาก เค้าว่าให้ผมสังเกตว่าถนนต่างๆ ส่วนใหญ่จะคงรูปแบบดั่งเดิมไว้ถ้าไม่มีความจำเป็นประเภทเลี่ยงไม่ได้เค้าก็จะไม่ทำเด็ดขาด ผมนึกได้ว่าเออ. ก็จริงอย่างที่เค้าว่า ถนนบางที่ใจกลางเมืองก็ยังเป็นหินที่เอามาปูไว้เหมือนสมัยก่อน ซึ่งผมก็ยังรู้สึกว่ามันสวยและดูวินเทจมากๆ เลยซึ่งมันเป็นส่วนประกอบที่ทำให้ปารีสดูโรแมนติกมาก
ผมได้คุยและถามเค้าต่อว่า. คนฝรั่งเศษมีช่องว่างของฐานะประชาชนมากมั้ย และคนรวยกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเดิมๆมั้ย เค้าว่ามันก็คงไม่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยของผมหรอกที่ย่อมต้องมีความแตกต่างของฐานะบ้าง แต่ความแตกต่างในคนฝรั่งเศสช่องว่างมันอาจจะไม่ห่างมากเหมือนประเทศที่กำลังพัฒนา ( ตอนนี้ผมชักสงสัยว่ามันแอบด่าเราหรือป่าวหว่า). เพราะคนฝรั่งเศสส่วนใหญ่จะมีฐานะปานกลาง ถ้าแบ่งเป็นเกรด ก็คนฝรั่งเศสแท้ๆ ส่วนมากอาจจะประมาณ c- b. ประมาณนั้น แต่ถ้าเป็นระดับไฮโซหรือนักธุรกิจที่รำ่รวยมหาศาลก็มีแต่ก็จัดว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ส่วนคนระดับล่างส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกผิวสี(ดำ). และพวกที่เคยอพยพย้ายมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เค้าบอกกับผมว่า คุณต้องเข้าใจคำว่า ฝรั่งเศส ในความรู้สึกของคนชาติอื่นๆ เมื่อสมัยก่อนหรือเมื่อสมัยนี้ก็เถอะ ยังไงก็ยังคงเป็นสถานที่หนึ่งที่คนหวังว่าสักวันจะต้องมาให้ได้.ถ้าคุณไม่ปฎิเสธเหตุผลนี้ คุณก็คงจะนึกออกว่าปัญหาสังคมหรือปัญหาต่างๆในขณะนี้ของปารีส มันเกิดจากสิ่งที่ทุกคนคาดหวังจาก ฝรั่งเศส ทั้งนั้น. พอถึงตรงนี้ผมก็ได้แต่ผะยักหน้าและเงียบสักพักก่อน แต่ผมคิดในใจว่าเค้าก็คงมีความคับข้องใจกับสังคมที่เค้าอยู่บ้านเกิดเมืองน้อยของเค้าเองพอสมควร. และพอดีภรรยาผมถามว่าจะย้ายมาตั้งรกรากที่นี้เหรอ. ผมยิ้มและไม่ตอบเหมือนเคยแต่ในใจผมแอบคิดบางอย่างอยู่ 55555 พักไว้ก่อนนะครับยังมีเรื่องสยองอีกเยอะเลยสำหรับการท่องเที่ยวเมืองใต้ดินวันนี้
ผมเริ่มเดินจากสถานที่พักที่ถนน 16 เดินไปแป้ปเดียวก็เจอบันไดลง. ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็ผ่านไอ้บันไดนี้ทุกวันที่ผ่านมา แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันคือทางลงไปสู่ระบบขนส่งมวลชน ของประเทศที่ตามความคิดของผมก่อนหน้านี้ว่า ศิวิไลซ์. เมื่องแห่งแฟชั่นและความทันสมัย. ทางลงเป็นบันไดมีราวบันไดสีเขียวถลอกๆ พอเริ่มเดินลงบันได เนื่องจากความไม่คุ้นเคยผมก็เดินด้วยความระมัดระวัง กำลังจะเอื่อมมือไปจับราวบันได. คนที่อาสาพาผมไปก็หันมาร้องเสียงหลง ว่า don't tuch ! ผมสงสัยว่าผมผิดตรงไหนเหรอที่ผมจะจับราวบันไดเค้าอธิบายกับผมว่ามันสกปรกมาก เนื่องจากมีพวกคนจรจัดมาอาศัยนอนกันตอนกลางคืนเยอะและคนพวกนี้ก็สกปรกมาก ผมเลยถามเค้าว่าแล้วทางการเค้าไม่จัดหาสถานที่ให้เป็นที่เป็นทางให้คนพวกนี้หรือหาอาชีพอะไรให้เค้าทำเพื่อที่เค้าจะได้ไม่ต้องมาอาศัยแบบนี้ เค้าว่าก็มีอยู่เหมือนกันแต่ในตอนนี้มันไม่พอรองรับเพราะ อากาศมันหนาวทำให้คนพวกนี้ที่กระจัดกระจายอยู่ตามสถานที่ตามที่ต่างๆ ก็ลงมาอยู่ในนี้เยอะ และอีกปัญหาคือคนจากต่างถิ่นที่หลบเข้ามาในปารีส เพื่อหางานทำ แต่ในขณะนี้ งานก็มีไม่มากพอที่จะให้คนพวกนี้ทำ ผมคิดและถามไปว่าแล้วทำไมรัฐบาลถึงไม่ลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และจ้างงานพวกนี้ เหมือนที่ประเทศไทยชอบทำคือเวลาจะให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจหรืออัตราการว่างงานออกมาดี รัฐบาลก็จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เค้าตอบผมว่า เนื่องจากประชาชนฝรั่งเศสมีใจรักในด้านสถาปัตยกรรมและภูมิใจจึงไม่คิดที่จะทำอะไรที่เป็นการไปทำร้ายสิ่งก่อสร้างเดิมเลยจะโดยประชาชนต่อต้านมาก เค้าว่าให้ผมสังเกตว่าถนนต่างๆ ส่วนใหญ่จะคงรูปแบบดั่งเดิมไว้ถ้าไม่มีความจำเป็นประเภทเลี่ยงไม่ได้เค้าก็จะไม่ทำเด็ดขาด ผมนึกได้ว่าเออ. ก็จริงอย่างที่เค้าว่า ถนนบางที่ใจกลางเมืองก็ยังเป็นหินที่เอามาปูไว้เหมือนสมัยก่อน ซึ่งผมก็ยังรู้สึกว่ามันสวยและดูวินเทจมากๆ เลยซึ่งมันเป็นส่วนประกอบที่ทำให้ปารีสดูโรแมนติกมาก
ผมได้คุยและถามเค้าต่อว่า. คนฝรั่งเศษมีช่องว่างของฐานะประชาชนมากมั้ย และคนรวยกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเดิมๆมั้ย เค้าว่ามันก็คงไม่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยของผมหรอกที่ย่อมต้องมีความแตกต่างของฐานะบ้าง แต่ความแตกต่างในคนฝรั่งเศสช่องว่างมันอาจจะไม่ห่างมากเหมือนประเทศที่กำลังพัฒนา ( ตอนนี้ผมชักสงสัยว่ามันแอบด่าเราหรือป่าวหว่า). เพราะคนฝรั่งเศสส่วนใหญ่จะมีฐานะปานกลาง ถ้าแบ่งเป็นเกรด ก็คนฝรั่งเศสแท้ๆ ส่วนมากอาจจะประมาณ c- b. ประมาณนั้น แต่ถ้าเป็นระดับไฮโซหรือนักธุรกิจที่รำ่รวยมหาศาลก็มีแต่ก็จัดว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ส่วนคนระดับล่างส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกผิวสี(ดำ). และพวกที่เคยอพยพย้ายมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เค้าบอกกับผมว่า คุณต้องเข้าใจคำว่า ฝรั่งเศส ในความรู้สึกของคนชาติอื่นๆ เมื่อสมัยก่อนหรือเมื่อสมัยนี้ก็เถอะ ยังไงก็ยังคงเป็นสถานที่หนึ่งที่คนหวังว่าสักวันจะต้องมาให้ได้.ถ้าคุณไม่ปฎิเสธเหตุผลนี้ คุณก็คงจะนึกออกว่าปัญหาสังคมหรือปัญหาต่างๆในขณะนี้ของปารีส มันเกิดจากสิ่งที่ทุกคนคาดหวังจาก ฝรั่งเศส ทั้งนั้น. พอถึงตรงนี้ผมก็ได้แต่ผะยักหน้าและเงียบสักพักก่อน แต่ผมคิดในใจว่าเค้าก็คงมีความคับข้องใจกับสังคมที่เค้าอยู่บ้านเกิดเมืองน้อยของเค้าเองพอสมควร. และพอดีภรรยาผมถามว่าจะย้ายมาตั้งรกรากที่นี้เหรอ. ผมยิ้มและไม่ตอบเหมือนเคยแต่ในใจผมแอบคิดบางอย่างอยู่ 55555 พักไว้ก่อนนะครับยังมีเรื่องสยองอีกเยอะเลยสำหรับการท่องเที่ยวเมืองใต้ดินวันนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 689
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 15
ยุโรปที่ว่านี่หมายถึงความถึงฝรั่งเศสประเทศเดียวใช่มั้ยครับ
เพราะผมไม่ค่อยเห็นด้วย ถ้าจะเหมารวมกันไปทั้งหมด
ในหลายประเทศ อย่างอังกฤษ, สวีเดน, บัลแกเลีย, โปรตุเกส หรือ แม้แต่ นิวซีแลนด์ ผมว่าคนที่นั่นส่วนใหญ่ มีน้ำใจ และอัธยาศัยดีทีเดียวแหละ และไม่เว้นแม้แต่ คนดำ คนขาว คนคริสต์ หรือ มุสลิม ในชาตินั้นนะครับ
อย่างคนฟิน จะเป็นคนเงียบๆขรึมๆแต่ มุขตลกเยอะ
คนเดนมาร์ก จะออกแนวแข็งๆ
อย่างออสซี่ ผมจะไม่ค่อยชอบ เพราะเหมือนๆ จะดูถูกคนเอเชียอย่างพวกเรา ที่ดีก็มี
เรื่องการปิดร้านเร็วผมว่าไม่แปลก เพราะเค้าก็ทำแบบนี้มาปกติ จนเป็นเหมือนเป็นขนบธรรมเนียมไปแ้ล้ว
ถ้าลองสังเกตุดีๆนะครับ ช่วงที่ร้านใกล้ปิด ส่วนใหญ่คนจะเยอะเป็นพิเศษ ยอดขายช่วงใกล้ร้านปิดบางทียังเยอะกว่าที่เปิดมาทั้งวันด้วยซ้ำ
ไม่เหมือนบ้านบ้านเราหรือหลายประเทศในเอเซีย เปิดทั้งวันก็จริง แต่คนเข้าบางทีก็หรอมแหรม เอาแน่เอานอนไม่ได้
เพราะผมไม่ค่อยเห็นด้วย ถ้าจะเหมารวมกันไปทั้งหมด
ในหลายประเทศ อย่างอังกฤษ, สวีเดน, บัลแกเลีย, โปรตุเกส หรือ แม้แต่ นิวซีแลนด์ ผมว่าคนที่นั่นส่วนใหญ่ มีน้ำใจ และอัธยาศัยดีทีเดียวแหละ และไม่เว้นแม้แต่ คนดำ คนขาว คนคริสต์ หรือ มุสลิม ในชาตินั้นนะครับ
อย่างคนฟิน จะเป็นคนเงียบๆขรึมๆแต่ มุขตลกเยอะ
คนเดนมาร์ก จะออกแนวแข็งๆ
อย่างออสซี่ ผมจะไม่ค่อยชอบ เพราะเหมือนๆ จะดูถูกคนเอเชียอย่างพวกเรา ที่ดีก็มี
เรื่องการปิดร้านเร็วผมว่าไม่แปลก เพราะเค้าก็ทำแบบนี้มาปกติ จนเป็นเหมือนเป็นขนบธรรมเนียมไปแ้ล้ว
ถ้าลองสังเกตุดีๆนะครับ ช่วงที่ร้านใกล้ปิด ส่วนใหญ่คนจะเยอะเป็นพิเศษ ยอดขายช่วงใกล้ร้านปิดบางทียังเยอะกว่าที่เปิดมาทั้งวันด้วยซ้ำ
ไม่เหมือนบ้านบ้านเราหรือหลายประเทศในเอเซีย เปิดทั้งวันก็จริง แต่คนเข้าบางทีก็หรอมแหรม เอาแน่เอานอนไม่ได้
..เงินทองร้อยล้าน ยังน้อยกว่าน้ำใจร้อยดวง...
- marcus147
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 16
ชอบสไตร์การเล่าครับ
คิดตามไปเหมือนได้ด้วยเลย
คิดตามไปเหมือนได้ด้วยเลย
การลงทุนในตลาดหุ้น ไม่มีทางลัด อยากเก่ง ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
My Blog : http://marcus147.wordpress.com/
My Blog : http://marcus147.wordpress.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 18
เพิ่งว่างมาเล่าให้จบครับ.
เนื่องจากผมมีโอกาสได้เดินทางมาเพียงแค่ ฝรั่งเศส และ เนเธอร์แลนด์ 2 ประเทศเท่านั้น และเป็นระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ซึ่งก็คงจะไปเหมารวมว่าทุกส่วนของทั้ง 2 ประเทศ หรือ ทั้งหมดของ สหภาพยุโรป จะเป็นเหมือนกันไปหมด เพียงแต่ผมได้มีโอกาสมาในช่วงที่ ประเทศเหล่านี้ กำลังประสพกับปัญหา และ กำลังเป็นที่สนใจของทั้งโลก โดยเฉพาะ นักลงทุนอย่างเรา ๆ ผมเชื่อว่าคงให้ความสนใจและติดตามความเป็นไปของประเทศต่าง ๆ เหล่านี้อย่างใกล้ชิด และ ผมก็เชื่อว่าคนมีหลาย ๆ ท่านที่ได้เดินทางมาประเทศเหล่านี้ เยอะอยู่แล้ว ทั้งมาเพื่อการท่องเที่ยว หรือ ติดต่อ ธุรกิจ หรือแม้แต่เคยมาศึกษาหรือใช้ชีวิตเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร.
และหลายท่านก็คงเคยหรือเห็นแบบที่ผมเห็นและอาจจะมากกว่าที่ผมเจอมา แต่ในช่วงเวลานั้นประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ยังไม่ได้ประสบปัญหาเศรฐกิจ เราจึงไม่ได้มองด้วยสายตาหรือให้ความสนใจในอีกมุมหนึ่ง เมื่อก่อนตามความรู้สึกของผม ถ้าพูดถึงประเทศฝรั่งเศส. ผมจะนึกถึง แฟชั่น ความโรแมนติก ความสวยและความหล่อของคน และความศิวิลัย และถ้าผมมีโอกาสมาในช่วงนั้น ผมก็คงจะไม่รู้สึกเหมือนกับมาครั้งนี้ ผมคงจะเลือกที่จะมองดูแต่สิ่งที่ดู ศิวิลัย หรือ คงเดินดูความหรูหราของ ฌองเอริเซ่ และนึกกับตัวเองว่าคนที่นี้ช่างมีชีวิตที่หรูหราไฮโซมาก และคงพูดคุยกับคนที่นี้ด้วยความรู้สึกเกร็งและรู้สึกถึงความไม่ทันสมัยและเหมือนกับจะดูด้อยกว่าเค้าทุกๆ ด้าน
แต่การมาฝรั่งเศสในช่วงเวลานี้ ผมมีความรู้สึกว่า ผมอยากจะมาเห็นว่าประชาชนเค้ามีความลำบากมากมั้ยหรือ มีการปรับตัวเพื่อเตรียมหรือรับมือกับปัญหาที่น่าจะเกิดขึ้นอย่างไร รวมทั้งอยากจะพูดคุยกับคนที่นี้ด้วยคำถามที่ผมคิดมาก่อนแล้วว่า เค้าจะมีความคิดหรือวิธีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของเค้าในตอนนี้อย่างไร และเค้ามีการปรับตัวหรือปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตอย่างไหร่บ้างเพื่อที่เค้าจะผ่านมันไปได้ด้วยเวลาอันสั้น. และสิ่งที่สำคัญที่ผมหวังคือผมอยากดูว่าคนที่นี้เค้ามีการเสียสละและช่วยเหลือกันเพื่อที่จะผ่านไปด้วยกัน ผมอยากรู้ว่าจะมีบริษัทเอกชนของเค้ามั้ยที่จะประกาศว่าจะไม่มีการลดพนักงานลง แต่จะช่วยกันประหยัดค่าใช่จ่ายต่างๆ ลงเพื่อที่ทุกคนในองค์กรจะผ่านพ้นไปด้วยกันโดยที่ไม่มีใครต้องได้รับผลกระทบ และก็ยังอยากจะได้ยินว่ามีพนักงานในบริษัทรวมใจกันไม่ขอรับเงินเดือนแต่ยังทำงานหรือขอลดเงินเดือนตัวเองด้วยความสมัครใจเพื่อที่จะทำให้องค์กรยังคงดำเนินการต่อไปได้ ผมคาดหวังว่าเค้าจะบอกผมว่า พวกคนรวยหรือดาราคนดังที่มีเงินเยอะได้ร่วมกันบริจาคเงินหรือจัดกิจกรรมเพื่อหาเงินให้องค์กรต่าง ๆ ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลจำเป็นต้องตัดสวัสดิการบางอย่างออก และอาจจะได้ยินต่อว่าทางการของเค้าได้มีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อฝึกและพัฒนาอาชีพของคนที่ตกออกจากงานและพร้อมสร้างงานในภาครัฐเพื่อรองรับแรงงานที่อาจจะว่างงานมากขึ้น และสุดท้ายที่ผมอยากได้ยินคือแม้ประเทศของเค้าเกิดวิกฤติคนของเค้าก็ร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน. มีความสามัคคีช่วยกันประคับประคองกันเดินต่อไปได้ และได้เห็นคนที่เสียสละไม่เอารัดเอาเปรียบและ กอบโกยในเวลาที่ส่วนร่วมเกิดปัญหา และปัญหาอาชญกรรมของเค้าไม่มีอัตราเพิ่มขึ้นเลยแม้จะมีปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชน ซ่ำกลับลดลงเพราะคนเค้าเห็นใจกัน.
แต่ทุก ๆ สิ่งที่ผมคาดว่าจะได้เห็นได้ฟัง ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ตามความคาดหวังของผม พอผมเดินทางกลับมาผมก็นึกว่า ทำไมหรือเพราะเหตุใดผมถึงจะต้องคาดว่าหรืออยากรู้วิธีแก้ปัญหาหรืออยากเห็นสิ่งที่เค้าเตรียมการรับมือหากเกิดวิกฤติลุกลามมากขึ้น. ผมนึกไม่ออกจนกระทั่งก่อนหน้าที่จะเขียนกะทู้นี้
ผมคิดออกว่า ว่าสาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้นก็เพราะ เมื่อก่อนความรู้สึกที่ผมคิดถึงประเทศเหล่านี้คือ ความเจริญ ทันสมัย ความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี ความร่ำรวย ความสะดวกสบาย ความมีเกียรติ ความสง่างาม และความที่ได้ชื่อว่า กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว. และผมก็จะรู้สึกต่ำต้อยกว่าพวกเค้าเสมอเวลาที่จะต้องพบปะกัน หรือผมต้องพยายามฟังหรือคิดตามเวลาที่พวกเค้าแสดงหรือเสนอความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งผมรู้สึกเหมือนว่าเค้าพวกนั้นคือยอดคนเหนือกว่าเราในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะมันสมอง ความคิด หรือวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่แม้แต่เกิดปัญหาที่บ้านเรา ๆ ยังต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญของเค้ามาบอกถึงวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเราเองและจากเราเองแท้ ๆ ซึ่งผมจะรู้สึกตัวเล็กลงเสมอเมื่อได้อยู่ในแวดวงของพวกเค้า ผมไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกันมั้ยแต่สำหรับผมๆ คิดว่าอาจจะเป็นเพราะผมดันเกิดเป็นประชาชนของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา จึงทำให้ผมรู้ศึกต่ำต้อยกว่าพวกเค้าเสมอมา
แต่ตอนนี้หลังจากผมกลับมาและได้พบเห็นหรือไปสัมผัสมาด้วยตัวเองแล้ว ผมก็ได้คิดอีกว่าเหตุผลที่ทำไมผมถึงต้องไปตั้งคำถามหรือคาดหวังกับสิ่งต่างๆเหล่านั้นที่คาดว่าจะได้คำตอบตามนั้น. ผมรู้แล้วครับ เพราะว่าสิ่งต่าง ๆเหล่านั้นมันเคยเกิดขึ้นในประเทศของผมมาก่อนนั้นเองไม่ว่าจะเป็นความเสียสละ ความสามัคคี การช่วยเหลือกันของคนในทุกระดับ และประชาชนทุกคนก็พร้อมใจและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใจที่เชื่อมั่นว่าเราจะต้องผ่านมันไปได้ด้วยกัน เคยเห็นคนที่ร่ำรวยต้องมาเป็นคนเป็นหนี้หรือยืนขายขนมหรือแซนวิส แต่ก็ไม่มีใครจะไปซ่ำเติมหรือดูถูกเค้ามีแต่ให้กำลังใจชื่มชมจนเค้าสามารถลุกขึ้นมากันใหม่ได้ ผมเคยได้ยินเจ้าของโรงงานยืนพูดกับพนักงานทุกระดับด้วยเสียงที่ดังและมั่นใจว่า บริษัท เราโตมาได้ด้วยเพราะพวกเราทุกคน และถ้าตอนนี้หากทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องล้มลงเราก็จะล้มด้วยกัน จะต้องไม่มีใครล้มหรือเดือดร้อนจากวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศเราในครั้งนี้ เราจะไม่ม่การปลดพนักงานทุกระดับและทุกคนจากสาเหตุนี้แม้แต่คนเดี่ยว. ผมอยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นพนักงานทุกคนจึงพร้อมใจกันของลดเงินเดือนตัวเองลง ครึ่งหนึ่งทุกคนเป็นเวลา 3 เดือนในเบื้องต้นและจะดูตามความเหมาะสมอีกที่ หลังเหตุการณ์ในวันนั้น บริษัท กลับมาฝืนตัวได้เร็วเนื่องจากค่าใช้จ่ายลดลงมาก ทุกวันนี้บริษัท นี้เป็นเบอร์หนึ่ง ของอุตสาหกรรม และเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในเรื่องคุณภาพ ผมรู้สาเหตุเพราะผมยังจดจำเรื่องราวของบริษัทที่ผมได้เคยมีโอกาสได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร แห่งนี้. และทุกอย่างรวมทั้งองค์กรแห่งนี้เกิดที่ ประเทศที่ได้ชื่อว่า ประเทศกำลังพัฒนา.
มาถึงตอนนี้ผมคิดว่าผมคงไม่มีความจำเป็นและผมก็ไม่อยากเล่าประสบการณ์ที่เหลือแล้วล่ะครับ. และที่ผมเล่ามาทั้งหมดก็มิได้มีเจตนาที่จะทำให้เห็นว่าประเทศต่างๆ ที่ผมกล่าวมามีแต่เรื่องไม่ดีหรือคนที่นั้นไม่ดี ผมยังเชื่อว่าทุกที่มีทั้งคนที่ดีและไม่ดีหรือแม้แต่กระทั้งในคนๆ เดียวกันก็มีส่วนที่ดีและส่วนที่ไม่ดีทั้งนั้น คงไม่มีใครจะดีได้ทุกอย่างและ ผมมีกำหนดที่จะต้องเดินทางกลับไปประเทศเหล่านั้นอีกครั้งในอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้เพื่อติดตามความคืบหน้าของงาน ผมจึงคิดว่าผมจะมาเล่าใหม่หลังจากผมไปสัมผัสกับประเทศเหล่านั้นใหม่ด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวผมก็เล็กกว่าเค้านิดเดียวเอง และแน่นอนผมคงไม่มีอะไรที่จะตั้งใจไปถามเค้าอีกแล้ว และผมก็จะไม่เกร็งเวลาที่ต้องอยู่ในแวดวงของพวกเค้าอีก ผมขอจบเพียงเท่านี้ครับ. ขอบคุณครับที่ทนอ่านกันมาอาจจะไม่ได้สาระหรือข้อมูลอะไรที่มีประโยชน์มากนักแต่ผมเชื่อโดยส่วนตัวว่า. ปัญหาทุกอย่างหรือวิกฤติต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น มันจะผ่านไปได้ด้วยความสามัคคีของพวกเรากันเอง และความเสียสละ และสิ่งที่จะทำให้ปัญหาหรือวิกฤติต่างๆ มีโอกาสที่จะไม่เกิดขึ้นอีกก็ได้ คิดความไม่โลภ การไม่เอารัดเอาเปรียบกันในสังคม หรือ การที่เราต้องรู้จักความหมายของคำว่า พอ และคำว่า ให้ ให้ท่องแท้กว่านี้นะครับ.
ปล. บริษัท ที่ทำให้ผมรู้จักสิ่งดีๆ มากมาย เป็นบริษัท ที่ไม่ได้อยู่ใน ตลาดนะครับ แต่อยู่ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ผมขอไม่นำมากล่าวถึงเนื่องจากผมพ้นสภาพพนักงานมานานมากแล้ว แต่ผมยังนำสิ่งดีๆ ที่ได้จากที่นั้นติดตัวไว้เสมอครับ
เนื่องจากผมมีโอกาสได้เดินทางมาเพียงแค่ ฝรั่งเศส และ เนเธอร์แลนด์ 2 ประเทศเท่านั้น และเป็นระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ซึ่งก็คงจะไปเหมารวมว่าทุกส่วนของทั้ง 2 ประเทศ หรือ ทั้งหมดของ สหภาพยุโรป จะเป็นเหมือนกันไปหมด เพียงแต่ผมได้มีโอกาสมาในช่วงที่ ประเทศเหล่านี้ กำลังประสพกับปัญหา และ กำลังเป็นที่สนใจของทั้งโลก โดยเฉพาะ นักลงทุนอย่างเรา ๆ ผมเชื่อว่าคงให้ความสนใจและติดตามความเป็นไปของประเทศต่าง ๆ เหล่านี้อย่างใกล้ชิด และ ผมก็เชื่อว่าคนมีหลาย ๆ ท่านที่ได้เดินทางมาประเทศเหล่านี้ เยอะอยู่แล้ว ทั้งมาเพื่อการท่องเที่ยว หรือ ติดต่อ ธุรกิจ หรือแม้แต่เคยมาศึกษาหรือใช้ชีวิตเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร.
และหลายท่านก็คงเคยหรือเห็นแบบที่ผมเห็นและอาจจะมากกว่าที่ผมเจอมา แต่ในช่วงเวลานั้นประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ยังไม่ได้ประสบปัญหาเศรฐกิจ เราจึงไม่ได้มองด้วยสายตาหรือให้ความสนใจในอีกมุมหนึ่ง เมื่อก่อนตามความรู้สึกของผม ถ้าพูดถึงประเทศฝรั่งเศส. ผมจะนึกถึง แฟชั่น ความโรแมนติก ความสวยและความหล่อของคน และความศิวิลัย และถ้าผมมีโอกาสมาในช่วงนั้น ผมก็คงจะไม่รู้สึกเหมือนกับมาครั้งนี้ ผมคงจะเลือกที่จะมองดูแต่สิ่งที่ดู ศิวิลัย หรือ คงเดินดูความหรูหราของ ฌองเอริเซ่ และนึกกับตัวเองว่าคนที่นี้ช่างมีชีวิตที่หรูหราไฮโซมาก และคงพูดคุยกับคนที่นี้ด้วยความรู้สึกเกร็งและรู้สึกถึงความไม่ทันสมัยและเหมือนกับจะดูด้อยกว่าเค้าทุกๆ ด้าน
แต่การมาฝรั่งเศสในช่วงเวลานี้ ผมมีความรู้สึกว่า ผมอยากจะมาเห็นว่าประชาชนเค้ามีความลำบากมากมั้ยหรือ มีการปรับตัวเพื่อเตรียมหรือรับมือกับปัญหาที่น่าจะเกิดขึ้นอย่างไร รวมทั้งอยากจะพูดคุยกับคนที่นี้ด้วยคำถามที่ผมคิดมาก่อนแล้วว่า เค้าจะมีความคิดหรือวิธีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของเค้าในตอนนี้อย่างไร และเค้ามีการปรับตัวหรือปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตอย่างไหร่บ้างเพื่อที่เค้าจะผ่านมันไปได้ด้วยเวลาอันสั้น. และสิ่งที่สำคัญที่ผมหวังคือผมอยากดูว่าคนที่นี้เค้ามีการเสียสละและช่วยเหลือกันเพื่อที่จะผ่านไปด้วยกัน ผมอยากรู้ว่าจะมีบริษัทเอกชนของเค้ามั้ยที่จะประกาศว่าจะไม่มีการลดพนักงานลง แต่จะช่วยกันประหยัดค่าใช่จ่ายต่างๆ ลงเพื่อที่ทุกคนในองค์กรจะผ่านพ้นไปด้วยกันโดยที่ไม่มีใครต้องได้รับผลกระทบ และก็ยังอยากจะได้ยินว่ามีพนักงานในบริษัทรวมใจกันไม่ขอรับเงินเดือนแต่ยังทำงานหรือขอลดเงินเดือนตัวเองด้วยความสมัครใจเพื่อที่จะทำให้องค์กรยังคงดำเนินการต่อไปได้ ผมคาดหวังว่าเค้าจะบอกผมว่า พวกคนรวยหรือดาราคนดังที่มีเงินเยอะได้ร่วมกันบริจาคเงินหรือจัดกิจกรรมเพื่อหาเงินให้องค์กรต่าง ๆ ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลจำเป็นต้องตัดสวัสดิการบางอย่างออก และอาจจะได้ยินต่อว่าทางการของเค้าได้มีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อฝึกและพัฒนาอาชีพของคนที่ตกออกจากงานและพร้อมสร้างงานในภาครัฐเพื่อรองรับแรงงานที่อาจจะว่างงานมากขึ้น และสุดท้ายที่ผมอยากได้ยินคือแม้ประเทศของเค้าเกิดวิกฤติคนของเค้าก็ร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน. มีความสามัคคีช่วยกันประคับประคองกันเดินต่อไปได้ และได้เห็นคนที่เสียสละไม่เอารัดเอาเปรียบและ กอบโกยในเวลาที่ส่วนร่วมเกิดปัญหา และปัญหาอาชญกรรมของเค้าไม่มีอัตราเพิ่มขึ้นเลยแม้จะมีปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชน ซ่ำกลับลดลงเพราะคนเค้าเห็นใจกัน.
แต่ทุก ๆ สิ่งที่ผมคาดว่าจะได้เห็นได้ฟัง ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ตามความคาดหวังของผม พอผมเดินทางกลับมาผมก็นึกว่า ทำไมหรือเพราะเหตุใดผมถึงจะต้องคาดว่าหรืออยากรู้วิธีแก้ปัญหาหรืออยากเห็นสิ่งที่เค้าเตรียมการรับมือหากเกิดวิกฤติลุกลามมากขึ้น. ผมนึกไม่ออกจนกระทั่งก่อนหน้าที่จะเขียนกะทู้นี้
ผมคิดออกว่า ว่าสาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้นก็เพราะ เมื่อก่อนความรู้สึกที่ผมคิดถึงประเทศเหล่านี้คือ ความเจริญ ทันสมัย ความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี ความร่ำรวย ความสะดวกสบาย ความมีเกียรติ ความสง่างาม และความที่ได้ชื่อว่า กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว. และผมก็จะรู้สึกต่ำต้อยกว่าพวกเค้าเสมอเวลาที่จะต้องพบปะกัน หรือผมต้องพยายามฟังหรือคิดตามเวลาที่พวกเค้าแสดงหรือเสนอความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งผมรู้สึกเหมือนว่าเค้าพวกนั้นคือยอดคนเหนือกว่าเราในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะมันสมอง ความคิด หรือวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่แม้แต่เกิดปัญหาที่บ้านเรา ๆ ยังต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญของเค้ามาบอกถึงวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเราเองและจากเราเองแท้ ๆ ซึ่งผมจะรู้สึกตัวเล็กลงเสมอเมื่อได้อยู่ในแวดวงของพวกเค้า ผมไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกันมั้ยแต่สำหรับผมๆ คิดว่าอาจจะเป็นเพราะผมดันเกิดเป็นประชาชนของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา จึงทำให้ผมรู้ศึกต่ำต้อยกว่าพวกเค้าเสมอมา
แต่ตอนนี้หลังจากผมกลับมาและได้พบเห็นหรือไปสัมผัสมาด้วยตัวเองแล้ว ผมก็ได้คิดอีกว่าเหตุผลที่ทำไมผมถึงต้องไปตั้งคำถามหรือคาดหวังกับสิ่งต่างๆเหล่านั้นที่คาดว่าจะได้คำตอบตามนั้น. ผมรู้แล้วครับ เพราะว่าสิ่งต่าง ๆเหล่านั้นมันเคยเกิดขึ้นในประเทศของผมมาก่อนนั้นเองไม่ว่าจะเป็นความเสียสละ ความสามัคคี การช่วยเหลือกันของคนในทุกระดับ และประชาชนทุกคนก็พร้อมใจและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใจที่เชื่อมั่นว่าเราจะต้องผ่านมันไปได้ด้วยกัน เคยเห็นคนที่ร่ำรวยต้องมาเป็นคนเป็นหนี้หรือยืนขายขนมหรือแซนวิส แต่ก็ไม่มีใครจะไปซ่ำเติมหรือดูถูกเค้ามีแต่ให้กำลังใจชื่มชมจนเค้าสามารถลุกขึ้นมากันใหม่ได้ ผมเคยได้ยินเจ้าของโรงงานยืนพูดกับพนักงานทุกระดับด้วยเสียงที่ดังและมั่นใจว่า บริษัท เราโตมาได้ด้วยเพราะพวกเราทุกคน และถ้าตอนนี้หากทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องล้มลงเราก็จะล้มด้วยกัน จะต้องไม่มีใครล้มหรือเดือดร้อนจากวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศเราในครั้งนี้ เราจะไม่ม่การปลดพนักงานทุกระดับและทุกคนจากสาเหตุนี้แม้แต่คนเดี่ยว. ผมอยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นพนักงานทุกคนจึงพร้อมใจกันของลดเงินเดือนตัวเองลง ครึ่งหนึ่งทุกคนเป็นเวลา 3 เดือนในเบื้องต้นและจะดูตามความเหมาะสมอีกที่ หลังเหตุการณ์ในวันนั้น บริษัท กลับมาฝืนตัวได้เร็วเนื่องจากค่าใช้จ่ายลดลงมาก ทุกวันนี้บริษัท นี้เป็นเบอร์หนึ่ง ของอุตสาหกรรม และเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในเรื่องคุณภาพ ผมรู้สาเหตุเพราะผมยังจดจำเรื่องราวของบริษัทที่ผมได้เคยมีโอกาสได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร แห่งนี้. และทุกอย่างรวมทั้งองค์กรแห่งนี้เกิดที่ ประเทศที่ได้ชื่อว่า ประเทศกำลังพัฒนา.
มาถึงตอนนี้ผมคิดว่าผมคงไม่มีความจำเป็นและผมก็ไม่อยากเล่าประสบการณ์ที่เหลือแล้วล่ะครับ. และที่ผมเล่ามาทั้งหมดก็มิได้มีเจตนาที่จะทำให้เห็นว่าประเทศต่างๆ ที่ผมกล่าวมามีแต่เรื่องไม่ดีหรือคนที่นั้นไม่ดี ผมยังเชื่อว่าทุกที่มีทั้งคนที่ดีและไม่ดีหรือแม้แต่กระทั้งในคนๆ เดียวกันก็มีส่วนที่ดีและส่วนที่ไม่ดีทั้งนั้น คงไม่มีใครจะดีได้ทุกอย่างและ ผมมีกำหนดที่จะต้องเดินทางกลับไปประเทศเหล่านั้นอีกครั้งในอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้เพื่อติดตามความคืบหน้าของงาน ผมจึงคิดว่าผมจะมาเล่าใหม่หลังจากผมไปสัมผัสกับประเทศเหล่านั้นใหม่ด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวผมก็เล็กกว่าเค้านิดเดียวเอง และแน่นอนผมคงไม่มีอะไรที่จะตั้งใจไปถามเค้าอีกแล้ว และผมก็จะไม่เกร็งเวลาที่ต้องอยู่ในแวดวงของพวกเค้าอีก ผมขอจบเพียงเท่านี้ครับ. ขอบคุณครับที่ทนอ่านกันมาอาจจะไม่ได้สาระหรือข้อมูลอะไรที่มีประโยชน์มากนักแต่ผมเชื่อโดยส่วนตัวว่า. ปัญหาทุกอย่างหรือวิกฤติต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น มันจะผ่านไปได้ด้วยความสามัคคีของพวกเรากันเอง และความเสียสละ และสิ่งที่จะทำให้ปัญหาหรือวิกฤติต่างๆ มีโอกาสที่จะไม่เกิดขึ้นอีกก็ได้ คิดความไม่โลภ การไม่เอารัดเอาเปรียบกันในสังคม หรือ การที่เราต้องรู้จักความหมายของคำว่า พอ และคำว่า ให้ ให้ท่องแท้กว่านี้นะครับ.
ปล. บริษัท ที่ทำให้ผมรู้จักสิ่งดีๆ มากมาย เป็นบริษัท ที่ไม่ได้อยู่ใน ตลาดนะครับ แต่อยู่ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ผมขอไม่นำมากล่าวถึงเนื่องจากผมพ้นสภาพพนักงานมานานมากแล้ว แต่ผมยังนำสิ่งดีๆ ที่ได้จากที่นั้นติดตัวไว้เสมอครับ
- sathaporne
- Verified User
- โพสต์: 1661
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 19
ขอบคุณครับสำหรับการแชร์ประสบการณ์
ปล.นับถือมากเลยครับ ไม่มีภาษาอังกฤษปนเลยสักคำ
ปล.นับถือมากเลยครับ ไม่มีภาษาอังกฤษปนเลยสักคำ
- canuseeme
- Verified User
- โพสต์: 302
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 22
โทษที ครับ กดลบ ผิด คนkunchorn เขียน:ขอบคุณมากครับ สำหรับประสบการณ์ดีๆ
ผมไม่เคยไปยุโรป มาก่อน เคยแต่ที่ญี่ปุ่น
อ่านแล้วจิตนาการตามเลย ชอบมาก
กำลังอ่านเพลินๆ ท่านดัน หยุดเล่า ซะแล้ว คนเงินน้อย อย่างผม จะไป หาประสบการณ์แบบนี้ จากไหน
ละท่าน
ถือว่า สงเคราะห์ ผู้น้อย เถอะ
กำลัง สนุกเลย
ปัญญาไม่มีในผู้ไม่พิจารณา
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
-
- Verified User
- โพสต์: 6
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 23
เหมือนกันครับกำลังสนุกเหมือนกัน ผมว่ากระทู้แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เหมือนได้ติดตามสถานการณ์ต่างๆ แบบไม่ค่อยซีเรียสดีเหมือนกันcanuseeme เขียน:โทษที ครับ กดลบ ผิด คนkunchorn เขียน:ขอบคุณมากครับ สำหรับประสบการณ์ดีๆ
ผมไม่เคยไปยุโรป มาก่อน เคยแต่ที่ญี่ปุ่น
อ่านแล้วจิตนาการตามเลย ชอบมาก
กำลังอ่านเพลินๆ ท่านดัน หยุดเล่า ซะแล้ว คนเงินน้อย อย่างผม จะไป หาประสบการณ์แบบนี้ จากไหน
ละท่าน
ถือว่า สงเคราะห์ ผู้น้อย เถอะ
กำลัง สนุกเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 24
ขอบคุณมากนะครับที่ให้ความสนใจในสิ่งที่ผมนำมาเล่าซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างหรือมีเรื่องที่น่าสนใจมากว่าท่านอื่น ๆ ที่ได้เดินทางไปในที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเดินทางด้วยจุดประสงค์อะไร และผมเชื่อว่ามีเพื่อน ๆ พี่ที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ และได้พบเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่มีประโยชน์มากว่าสิ่งที่ผมเล่ามากครับ ความตั้งใจจริง ๆ ที่เขียนกระทู้นี้เพราะอยากบอกว่า ก่อนหน้าที่จะเดินทางไป เวลาที่ติดตามข่าวที่จะมากระทบกับ บริษัท ที่เราลงทุนและภาพใหญ่นั้นเรานั้น เราก็จะอ่านข่าว แล้วก็มีโอกาสจะเชื่อตามข่าวนั้นเหตุ เพราะเราไม่เคยได้เห็นและสัมผัสจริง ๆ
เมื่อก่อนเวลาที่ได้อ่านข่าวว่า ทาง ผู้นำกลุ่มประเทศยุโรปได้มีความคิดและมาตรการที่จะสามารถแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจได้แล้ว อะไรทำนองนี้ ผมก็จะคิดว่าเอาล่ะ วิกฤติน่าจะต้องเบาแล้วเพราะเห็นทางสว่างแล้ว ซึ่งเราในฐานะที่ไม่เคยได้ไปเห็นหรือสัมผัสกับสภาพจริงนั้นก็อาจจะทำให้เราเห็นภาพที่บิดเบี้ยวไปจากภาพของความเป็นจริงได้ และบางทีการที่เราเชื่อว่า ชาวต่างชาติหรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ฝรั่ง นั้น เป็นชนชาติที่มีความเจริญพัฒนาและฉลาดเก่งกว่าเราซึ่ง ผมยอมรับว่าผมก็เป็นอย่างนั้น เวลาที่ ฝรั่ง จะพูดหรือแนะนำอะไรเราก็ดูจะเห็นด้วยไปก่อนแล้ว ซึ่งผมว่าอาจจะเพราะเราแค่ เคยมีความคิดว่าเค้าเก่ง ฉลาด และเจริญกว่าเรา ที่เป็นคนเอเชีย หรือที่พวกเค้าเคยหรือยังเรียกว่า พวกคนผิวเหลือง ซึ่งผมเคยเห็นและรู้สึกไม่ดีเสมอเวลาที่เราทำอะไร และพวกฝรั่ง ที่เห็นก็จะหัวเราะ และทำหน้าแปลกใจเหมือนกับว่าเราทำอะไรที่มัน ดูล้าสมัยหรือ ถ้าจะให้แรงหน่อยก็อาจจะคิดว่า พวกนี้เป็นพวกล้าหลังกว่าเรา ผมถึงอยากจะรู้ว่าเมื่อคนที่เคยคิดทนงตนคิดแต่ว่าสิ่งที่พวกตนคิดและทำอยู่นั้น คือสิ่งที่ดีและฉลาดที่สุดเท่าที่มนุษยชาติในขณะนี้จะคิดได้ และเพียงแค่คำว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศที่กำลังพัฒนา มันอาจจะไม่มีใครรู้สึกอะไร แต่สำหรับผม ๆ ว่ามันเป็นคำที่แบ่งชนชั้น ของ มนุษยชาติ แบ่งเกรดของประชากรโลก และในขณะเดียวกันเราก็พูดถึงคำว่า เพื่อนมนุษยชาติ หรือ ความเท่าเทียมกันของความเป็นมนุษย์ ผมเชื่อมาตลอดว่ามนุษย์หรือคนไม่ว่าจะ ผิวสีอะไร. ผมสีอะไร. หรือพูดภาษาอะไร. ย่อมต้องมีความเก่งและความถนัดที่ไม่เหมือนกัน เนี้ยและครับคือ สิ่งที่ผมอยากรู้และอยากเห็นว่า มนุษย์ที่ผมต้องคอยติดตามและดูว่าเค้าคิดหรือทำอะไร ผมจะได้เอามาทำบ้าง และ ก็ต้องคอยว่าเค้าจะกำหนดให้ใครได้เครดิตเกรดไหนเพื่อที่จะให้คนทั่วโลกทราบและกำหนดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมตามที่ได้ถูกจัดเกรดโดยที่ไม่เคยเอาปัจจัยด้านจิตใจของประชาชนมาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดแบ่งเกรดและ พยายามที่จะคิดให้ได้เหมือนกับเค้าด้วยวิธี ไม่ว่าจะพยายามไปเรียนที่ต่างประเทศที่เรามองว่าดีที่สุด. หรือพยายามที่จะได้ทำงานในองค์กรที่เป็นของ ฝรั่ง เพื่อที่จะรู้สึกหรือเป็นประวัติการทำงานที่ผ่านและทำงานกับ ฝรั่ง มา หรือแม้กระทั้งเด็กบางคนที่พยายามที่จะต้องทำตัวและคิดหรือพูด ไทยคำอังกฤษ คำ พยายามจะสร้างบุคลิกและการดำเนินชีวิตให้เหมือน ฝรั่ง ผมเคยได้ยินเพื่อนของลูกคุยกัน ว่า (ขอโทษนะครับหากคำไม่สุภาพ)เฮ้้อ....พ่อแม่มึงทำอย่างนี้ไม่ถูกว่ะ มึงโตแล้วนะเว้ย มึงต้องกำหนดชีวิตของมึงเองสิ ดูอย่างเด็กฝรั่งสิ แม่งได้อิสระ และพ่อแม่มันปล่อยตั้งแต่ 17-18เลย ฝรั่งแม่งถึงเก่งและเจริญไง. (ขอโทษอีกครั้งกับคำที่ไม่เหมาะสม).
ครับนี้คือคำพูดของเพื่อนนักเรียนของลูกผม ซึ่งผมได้ยินกับหูตอนไปนั่งรอรับลูก ซึ่งเรียนอยู่ชั้น ป. 6 โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่เวลาเรียนจะมีครูประจำชั้น 2คน คนหนึ่งเป็นคนไทยอีกคนหนึ่งเป็น ฝรั่ง ไม่รู้ว่าผมคิดมากไปและกังวลไปหรือป่าวที่คิดว่า แล้วนักเรียนจะสับสนกับการดำเนินชีวิตมั้ย หากครูทั้งสองคนสอนนักเรียน และเป็นครูประจำชั้นที่ต้องคอยให้คำแนะนำนักเรียนเวลาที่นักเรียนเกิดปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจากทางบ้านหรือด้านการเรียน เหตุจากความแตกต่างของรากเหง้าและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของ ครูซึ่งเป็นบุคคลที่มีผลต่อชีวิตของคนที่จะต้องเรียนรู้ทั้งความรู้และชีวิต เพื่อที่จะบ่มเพราะความเป็นคนที่มีคุณภาพในอนาคต. ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังหาโรงเรียนใหม่ให้กับลูกอยู่โดยไม่ได้สนใจว่าโรงเรียนต้องชื่อ ฝรั่ง หรือ มีครูฝรั่งหรือป่าว.
กับตัวเองนั้นผมได้เรียนระดับมัธยมที่โรงเรียน ชายล้วน แถวถนนศรีอยุธยา ซึ่งในขณะนั้นจัดว่าเป็นโรงเรียนชายล้วนที่ดูดีและมีประวัติยาวนาน คนใหญ่คนโตของบ้านเมืองหลายคนโดยเฉพาะสายทหาร ก็ล้วนเคยเรียนที่นี้ และมีประเพณีหลายๆอย่างการเลี้ยงรุ่นที่ดีและมีรุ่นพี่รุ่นพ่อมาร่วมงานตลอด. ผมจบจากที่นี้ผมภูมิใจที่เคยศึกษาที่นี้ ผมจึงคิดว่าถ้าผมมีลูกผมก็จะให้ลูกเรียนที่นี้. และพอผมมีลูกผมก็เอาลูกมาเรียนที่นี้จริง ๆ แต่โรงเรียนเดิมของผมกับโรงเรียนตอนนี้ผมสงสัยว่าใช้โรงเรียนเดียวกันมั้ย นอกจากสภาพตึกอาคารเรียนจะเปลี่ยนไปบ้างและมีสระว่ายน้ำซึ่งสร้างใหม่ และที่ผมต้องแปลกใจอย่างมาก โรงเรียนเดิมของผมที่เคยมีแต่นักเรียนชาย ปัจจุบันมีนักเรียนหญิงด้วยซึ่งมันทำให้ความทรงจำของผมบิดเบี้ยวไปจากเดิม แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังทำให้ผมรู้สึกภูมิใจและนับถือเครพมากขึ้น คือ ผมยังพบกับ อจ.ฝ่ายปกครองที่เคยเป็น อจ.ฝ่ายปกครองตั้งแต่รุ่นผมจนถึงรุ่นลูกผม ผมพบท่านผมทำตัวไม่ถูกเพราะความรู้สึกเดิม ๆ ตอนที่ยังเป็นนักเรียนและต้องยืนอยู่ต่อหน้าท่านนั้นมันเป็นอะไรที่ชวนขนลุกมาก ตอนเช้าหน้าประตูโรงเรียนผมจะเห็นท่านทุกวันไม่เคยไม่เห็นผมท่านจะหวีเรียบแป้ หน้าตาจะดูหน้าเกรงครามมากในมือถือไม่เรียว และคอยดูว่ามีพวกตัวแสบคนไหนที่ทำตัวไม่เรียบร้อยท่านจะทำโทษ และดุเพื่อให้เราอยู่ในระเบียบวินัย. ครับนั้นเป็นเมื่อตอนผมเรียนอยู่แต่พอวันนี้ผมกลับมาในฐานะผู้ปกครอง ของนักเรียน แต่ท่านยังคงมีสถานะเหมือนเดิมคือ อาจารย์ ฝ่ายปกครอง และสิ่งท่ีทำให้ผมยืนนิ่งอยู่นานคือ ท่านเรียกชื่อผมได้อย่างถูกต้องและไม่ต้องใช้เวลานึกนานเลย บวกกับสรรพนามเดิมที่เคยเรียก ทั้งๆที่ผมไม่ได้เป็นนักเรียนที่เด่นดังหรือมีนามสกุลที่ดังและก็ไม่ได้เกเรจนต้องเจอกับท่านตลอดแต่ท่านยังจำผมได้. ท่านยังไม่เปลี่ยนไปจากที่เคยเพียงแต่ดูชราขึ้นตามวัย ผมก็ยังทรงเดิมแต่สีขาวแล้ว ตอนแรกที่ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงไปของโรงเรียนเดิมผมเกือบจะพาลูกกลับเพราะ ผมคิดว่าผมคงจะไม่มีเรื่องเล่าเวลาที่ผมมารับลูกว่าผมเคยทำอะไรที่นี้ไว้บ้าง แต่ผมเปลี่ยนใจพอเห็นท่านยืนเรียกชื่อผมอยู่ ผมพาลูกสมัครเรียนโดยมีการเรียนแบบสองภาษา หรือ ไบร์ริ่งกลั้ว และมีครูประจำแผนกเป็นฝรั่ง พอผมเสร็จเดินมาคุยกับ ท่านถามท่านว่า อจ.ยังไม่เกษียนอีกหรือครับท่านต่อว่า ถ้าตามอายุ ก็เกษียนไปเกือบ5 ปีแล้วแต่ไม่รู้จะทำอะไรเลยขอ เค้าทำหน้าที่ต่อ โดยไม่ขอรับเงินเดือน ผมบอก ท่านไม่เหนื่อยหรือครับ. ท่านว่าไม่เหนื่อยหรอก อยู่นี้ค่อยดูแลลูกๆ พวกมึงเนี้ยกูก็มีความสุขแล้ว ( ขอโทษครับท่านพูดยังงี้) ผมกราบท่านพร้อมทั้งน้ำตา และบอกท่านว่า ผมฝากลูกชายด้วยนะครับ. พี่ใหญ่ ท่านลูบหัวผมและบอกว่าเวลากูตีลูกมึงๆอย่าแจ้งความจับกูนะ ( พี่ใหญ่ เป็นชื่อที่พวกเราเรียกท่านในเวลานั้นครับ). ผมลาท่านมาและนั่งเล่าเรื่องของท่านเมื่อสมัยก่อนและเรื่องของผมให้ลูกฟัง ตอนขับรถกลับ และผมบอกลูกว่าถ้าเจอท่านให้เคารพไม่ใช้เพราะท่านเป็นอาจารย์ แต่ต้องเคารพเพราะท่านเป็นปู่ของลูก นี้ก็คืออีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดีที่ผมยังนำติดตัวไว้ตลอด. คณะเราและพี่ใหญ่
ปล.ไงเขียนออกทะเลมาเรื่องนี้ได้ขอโทษนะครับที่พาออกทะเลมาเยอะเลยและก็ไม่ได้มีประโยชน์เท่าไหร่เลย เอาเป็นว่าผมไม่ได้มีอคติ กลับ ฝรั่ง หรือ ต่อต้านชาวต่างชาตินะครับ ผมก็มีเพื่อนชาวต่างชาติที่คบและรักกันก็เยอะซ้ำน้อยเขยผมก็เป็นชาวต่างชาติ. ไว้ผมจะมาเล่าให้ฟังอีกถ้ายังมีคนอยากฟัง และก็วันนี้ก็เพียงแค่อยากบอกว่า ผมเปลี่ยนความคิดในการลงทุนในขณะนี้ว่า. ผมไม่จำเป็นที่จะต้องไปกังวลกับปัญหาหรือ ไปเอาความเป็นไปในการแก้ปัญหาของฝั่งยุโรป มากำหนดหรือกลัวกับมันจนเกินกว่าเหตุ เพราะว่าเรื่องนี้ เราเคยผ่านมาแล้วและถ้ามันจะเกิดขึ้นผมก็มีจุดสังเกตได้ว่าตอนไหนที่จะเป็นช่วงที่จะกลับมาปกติได้. ผมจะสังเกตหรือดูว่าผมได้เห็นถึงความสามัคคี ความเสียสละ และการยอมรับความจริงและร่วมมือกันเพื่อที่จะผ่านมันไปด้วยกัน มั้ย ถ้าผมเห็นผมก็จะลงทุน 100% อีกครั้งหนึ่ง แค่นั้นแหละครับเล่ามาซะยืดยาว เอาเป็นว่าคิดซะว่าเอาไว้อ่านและแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าจากการเดินทางดีๆ และความทรงจำดีๆ กันนะครับ
เมื่อก่อนเวลาที่ได้อ่านข่าวว่า ทาง ผู้นำกลุ่มประเทศยุโรปได้มีความคิดและมาตรการที่จะสามารถแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจได้แล้ว อะไรทำนองนี้ ผมก็จะคิดว่าเอาล่ะ วิกฤติน่าจะต้องเบาแล้วเพราะเห็นทางสว่างแล้ว ซึ่งเราในฐานะที่ไม่เคยได้ไปเห็นหรือสัมผัสกับสภาพจริงนั้นก็อาจจะทำให้เราเห็นภาพที่บิดเบี้ยวไปจากภาพของความเป็นจริงได้ และบางทีการที่เราเชื่อว่า ชาวต่างชาติหรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ฝรั่ง นั้น เป็นชนชาติที่มีความเจริญพัฒนาและฉลาดเก่งกว่าเราซึ่ง ผมยอมรับว่าผมก็เป็นอย่างนั้น เวลาที่ ฝรั่ง จะพูดหรือแนะนำอะไรเราก็ดูจะเห็นด้วยไปก่อนแล้ว ซึ่งผมว่าอาจจะเพราะเราแค่ เคยมีความคิดว่าเค้าเก่ง ฉลาด และเจริญกว่าเรา ที่เป็นคนเอเชีย หรือที่พวกเค้าเคยหรือยังเรียกว่า พวกคนผิวเหลือง ซึ่งผมเคยเห็นและรู้สึกไม่ดีเสมอเวลาที่เราทำอะไร และพวกฝรั่ง ที่เห็นก็จะหัวเราะ และทำหน้าแปลกใจเหมือนกับว่าเราทำอะไรที่มัน ดูล้าสมัยหรือ ถ้าจะให้แรงหน่อยก็อาจจะคิดว่า พวกนี้เป็นพวกล้าหลังกว่าเรา ผมถึงอยากจะรู้ว่าเมื่อคนที่เคยคิดทนงตนคิดแต่ว่าสิ่งที่พวกตนคิดและทำอยู่นั้น คือสิ่งที่ดีและฉลาดที่สุดเท่าที่มนุษยชาติในขณะนี้จะคิดได้ และเพียงแค่คำว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศที่กำลังพัฒนา มันอาจจะไม่มีใครรู้สึกอะไร แต่สำหรับผม ๆ ว่ามันเป็นคำที่แบ่งชนชั้น ของ มนุษยชาติ แบ่งเกรดของประชากรโลก และในขณะเดียวกันเราก็พูดถึงคำว่า เพื่อนมนุษยชาติ หรือ ความเท่าเทียมกันของความเป็นมนุษย์ ผมเชื่อมาตลอดว่ามนุษย์หรือคนไม่ว่าจะ ผิวสีอะไร. ผมสีอะไร. หรือพูดภาษาอะไร. ย่อมต้องมีความเก่งและความถนัดที่ไม่เหมือนกัน เนี้ยและครับคือ สิ่งที่ผมอยากรู้และอยากเห็นว่า มนุษย์ที่ผมต้องคอยติดตามและดูว่าเค้าคิดหรือทำอะไร ผมจะได้เอามาทำบ้าง และ ก็ต้องคอยว่าเค้าจะกำหนดให้ใครได้เครดิตเกรดไหนเพื่อที่จะให้คนทั่วโลกทราบและกำหนดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมตามที่ได้ถูกจัดเกรดโดยที่ไม่เคยเอาปัจจัยด้านจิตใจของประชาชนมาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดแบ่งเกรดและ พยายามที่จะคิดให้ได้เหมือนกับเค้าด้วยวิธี ไม่ว่าจะพยายามไปเรียนที่ต่างประเทศที่เรามองว่าดีที่สุด. หรือพยายามที่จะได้ทำงานในองค์กรที่เป็นของ ฝรั่ง เพื่อที่จะรู้สึกหรือเป็นประวัติการทำงานที่ผ่านและทำงานกับ ฝรั่ง มา หรือแม้กระทั้งเด็กบางคนที่พยายามที่จะต้องทำตัวและคิดหรือพูด ไทยคำอังกฤษ คำ พยายามจะสร้างบุคลิกและการดำเนินชีวิตให้เหมือน ฝรั่ง ผมเคยได้ยินเพื่อนของลูกคุยกัน ว่า (ขอโทษนะครับหากคำไม่สุภาพ)เฮ้้อ....พ่อแม่มึงทำอย่างนี้ไม่ถูกว่ะ มึงโตแล้วนะเว้ย มึงต้องกำหนดชีวิตของมึงเองสิ ดูอย่างเด็กฝรั่งสิ แม่งได้อิสระ และพ่อแม่มันปล่อยตั้งแต่ 17-18เลย ฝรั่งแม่งถึงเก่งและเจริญไง. (ขอโทษอีกครั้งกับคำที่ไม่เหมาะสม).
ครับนี้คือคำพูดของเพื่อนนักเรียนของลูกผม ซึ่งผมได้ยินกับหูตอนไปนั่งรอรับลูก ซึ่งเรียนอยู่ชั้น ป. 6 โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่เวลาเรียนจะมีครูประจำชั้น 2คน คนหนึ่งเป็นคนไทยอีกคนหนึ่งเป็น ฝรั่ง ไม่รู้ว่าผมคิดมากไปและกังวลไปหรือป่าวที่คิดว่า แล้วนักเรียนจะสับสนกับการดำเนินชีวิตมั้ย หากครูทั้งสองคนสอนนักเรียน และเป็นครูประจำชั้นที่ต้องคอยให้คำแนะนำนักเรียนเวลาที่นักเรียนเกิดปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจากทางบ้านหรือด้านการเรียน เหตุจากความแตกต่างของรากเหง้าและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของ ครูซึ่งเป็นบุคคลที่มีผลต่อชีวิตของคนที่จะต้องเรียนรู้ทั้งความรู้และชีวิต เพื่อที่จะบ่มเพราะความเป็นคนที่มีคุณภาพในอนาคต. ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังหาโรงเรียนใหม่ให้กับลูกอยู่โดยไม่ได้สนใจว่าโรงเรียนต้องชื่อ ฝรั่ง หรือ มีครูฝรั่งหรือป่าว.
กับตัวเองนั้นผมได้เรียนระดับมัธยมที่โรงเรียน ชายล้วน แถวถนนศรีอยุธยา ซึ่งในขณะนั้นจัดว่าเป็นโรงเรียนชายล้วนที่ดูดีและมีประวัติยาวนาน คนใหญ่คนโตของบ้านเมืองหลายคนโดยเฉพาะสายทหาร ก็ล้วนเคยเรียนที่นี้ และมีประเพณีหลายๆอย่างการเลี้ยงรุ่นที่ดีและมีรุ่นพี่รุ่นพ่อมาร่วมงานตลอด. ผมจบจากที่นี้ผมภูมิใจที่เคยศึกษาที่นี้ ผมจึงคิดว่าถ้าผมมีลูกผมก็จะให้ลูกเรียนที่นี้. และพอผมมีลูกผมก็เอาลูกมาเรียนที่นี้จริง ๆ แต่โรงเรียนเดิมของผมกับโรงเรียนตอนนี้ผมสงสัยว่าใช้โรงเรียนเดียวกันมั้ย นอกจากสภาพตึกอาคารเรียนจะเปลี่ยนไปบ้างและมีสระว่ายน้ำซึ่งสร้างใหม่ และที่ผมต้องแปลกใจอย่างมาก โรงเรียนเดิมของผมที่เคยมีแต่นักเรียนชาย ปัจจุบันมีนักเรียนหญิงด้วยซึ่งมันทำให้ความทรงจำของผมบิดเบี้ยวไปจากเดิม แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังทำให้ผมรู้สึกภูมิใจและนับถือเครพมากขึ้น คือ ผมยังพบกับ อจ.ฝ่ายปกครองที่เคยเป็น อจ.ฝ่ายปกครองตั้งแต่รุ่นผมจนถึงรุ่นลูกผม ผมพบท่านผมทำตัวไม่ถูกเพราะความรู้สึกเดิม ๆ ตอนที่ยังเป็นนักเรียนและต้องยืนอยู่ต่อหน้าท่านนั้นมันเป็นอะไรที่ชวนขนลุกมาก ตอนเช้าหน้าประตูโรงเรียนผมจะเห็นท่านทุกวันไม่เคยไม่เห็นผมท่านจะหวีเรียบแป้ หน้าตาจะดูหน้าเกรงครามมากในมือถือไม่เรียว และคอยดูว่ามีพวกตัวแสบคนไหนที่ทำตัวไม่เรียบร้อยท่านจะทำโทษ และดุเพื่อให้เราอยู่ในระเบียบวินัย. ครับนั้นเป็นเมื่อตอนผมเรียนอยู่แต่พอวันนี้ผมกลับมาในฐานะผู้ปกครอง ของนักเรียน แต่ท่านยังคงมีสถานะเหมือนเดิมคือ อาจารย์ ฝ่ายปกครอง และสิ่งท่ีทำให้ผมยืนนิ่งอยู่นานคือ ท่านเรียกชื่อผมได้อย่างถูกต้องและไม่ต้องใช้เวลานึกนานเลย บวกกับสรรพนามเดิมที่เคยเรียก ทั้งๆที่ผมไม่ได้เป็นนักเรียนที่เด่นดังหรือมีนามสกุลที่ดังและก็ไม่ได้เกเรจนต้องเจอกับท่านตลอดแต่ท่านยังจำผมได้. ท่านยังไม่เปลี่ยนไปจากที่เคยเพียงแต่ดูชราขึ้นตามวัย ผมก็ยังทรงเดิมแต่สีขาวแล้ว ตอนแรกที่ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงไปของโรงเรียนเดิมผมเกือบจะพาลูกกลับเพราะ ผมคิดว่าผมคงจะไม่มีเรื่องเล่าเวลาที่ผมมารับลูกว่าผมเคยทำอะไรที่นี้ไว้บ้าง แต่ผมเปลี่ยนใจพอเห็นท่านยืนเรียกชื่อผมอยู่ ผมพาลูกสมัครเรียนโดยมีการเรียนแบบสองภาษา หรือ ไบร์ริ่งกลั้ว และมีครูประจำแผนกเป็นฝรั่ง พอผมเสร็จเดินมาคุยกับ ท่านถามท่านว่า อจ.ยังไม่เกษียนอีกหรือครับท่านต่อว่า ถ้าตามอายุ ก็เกษียนไปเกือบ5 ปีแล้วแต่ไม่รู้จะทำอะไรเลยขอ เค้าทำหน้าที่ต่อ โดยไม่ขอรับเงินเดือน ผมบอก ท่านไม่เหนื่อยหรือครับ. ท่านว่าไม่เหนื่อยหรอก อยู่นี้ค่อยดูแลลูกๆ พวกมึงเนี้ยกูก็มีความสุขแล้ว ( ขอโทษครับท่านพูดยังงี้) ผมกราบท่านพร้อมทั้งน้ำตา และบอกท่านว่า ผมฝากลูกชายด้วยนะครับ. พี่ใหญ่ ท่านลูบหัวผมและบอกว่าเวลากูตีลูกมึงๆอย่าแจ้งความจับกูนะ ( พี่ใหญ่ เป็นชื่อที่พวกเราเรียกท่านในเวลานั้นครับ). ผมลาท่านมาและนั่งเล่าเรื่องของท่านเมื่อสมัยก่อนและเรื่องของผมให้ลูกฟัง ตอนขับรถกลับ และผมบอกลูกว่าถ้าเจอท่านให้เคารพไม่ใช้เพราะท่านเป็นอาจารย์ แต่ต้องเคารพเพราะท่านเป็นปู่ของลูก นี้ก็คืออีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดีที่ผมยังนำติดตัวไว้ตลอด. คณะเราและพี่ใหญ่
ปล.ไงเขียนออกทะเลมาเรื่องนี้ได้ขอโทษนะครับที่พาออกทะเลมาเยอะเลยและก็ไม่ได้มีประโยชน์เท่าไหร่เลย เอาเป็นว่าผมไม่ได้มีอคติ กลับ ฝรั่ง หรือ ต่อต้านชาวต่างชาตินะครับ ผมก็มีเพื่อนชาวต่างชาติที่คบและรักกันก็เยอะซ้ำน้อยเขยผมก็เป็นชาวต่างชาติ. ไว้ผมจะมาเล่าให้ฟังอีกถ้ายังมีคนอยากฟัง และก็วันนี้ก็เพียงแค่อยากบอกว่า ผมเปลี่ยนความคิดในการลงทุนในขณะนี้ว่า. ผมไม่จำเป็นที่จะต้องไปกังวลกับปัญหาหรือ ไปเอาความเป็นไปในการแก้ปัญหาของฝั่งยุโรป มากำหนดหรือกลัวกับมันจนเกินกว่าเหตุ เพราะว่าเรื่องนี้ เราเคยผ่านมาแล้วและถ้ามันจะเกิดขึ้นผมก็มีจุดสังเกตได้ว่าตอนไหนที่จะเป็นช่วงที่จะกลับมาปกติได้. ผมจะสังเกตหรือดูว่าผมได้เห็นถึงความสามัคคี ความเสียสละ และการยอมรับความจริงและร่วมมือกันเพื่อที่จะผ่านมันไปด้วยกัน มั้ย ถ้าผมเห็นผมก็จะลงทุน 100% อีกครั้งหนึ่ง แค่นั้นแหละครับเล่ามาซะยืดยาว เอาเป็นว่าคิดซะว่าเอาไว้อ่านและแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าจากการเดินทางดีๆ และความทรงจำดีๆ กันนะครับ
- VI Wannabe
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1014
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 25
สนุกมากเลยครับขอบคุณครับ
"Attempt to be fearful when others are greedy and to be greedy only when others are fearful"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
-
- Verified User
- โพสต์: 14
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 26
ผมก็จบจากที่เดียวกับพี่ครับแต่ผมน่าจะเป็นรุ่นน้องพี่หลายปี เพราะพี่มีลูกโตแล้วแต่ผมยังไม่มีแม่ของลูกเลย พี่เขียนอ่านแล้วสนุกเหมือนอ่านเรื่องเล่าสนุกดีครับ และนับถือมุมมอง ขอคารวะครับรุ่นพี่. อำนวยศิลป ( คณะเรา ). พี่ใหญ่ของพวกเราตอนนี้รู้สึกท่านจะได้พักผ่อนแล้วแหละครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่โดนแกตีเพราะมาโรงเรียนสายทุกวันเพราะมาถึงแล้วต้องไปนั่งที่ร้านข้าวในดับเพลิงจนสายทุกวัน.
บางที่เราก็ลืมคิดถึงบุคคลที่บ่มเพราะเราจนมาเป็นเราอย่างในวันนี้. และผมยังจำโฆษณาที่ พี่ใหญ่ ของเราเป็นพรีเซ็นเตอร์ และพูดว่า " เอาสเต็กมาแลกก็ไม่ยอม ". เมื่อสัก 10กว่า20ปีที่แล้ว ผมไม่ได้รุ่นปีนั้นหรอกครับพี่ชายผมเค้าเอามาให้ดู เดี๋ยวนี้ไม่รู้จะหาดูที่ไหนได้ ขอบคุณครับที่ทำให้ผมนึกถึงความทรงจำและบุคคลที่เป็นผู้ให้จริง ๆ พี่ใหญ่ของชาวคณะเรา
บางที่เราก็ลืมคิดถึงบุคคลที่บ่มเพราะเราจนมาเป็นเราอย่างในวันนี้. และผมยังจำโฆษณาที่ พี่ใหญ่ ของเราเป็นพรีเซ็นเตอร์ และพูดว่า " เอาสเต็กมาแลกก็ไม่ยอม ". เมื่อสัก 10กว่า20ปีที่แล้ว ผมไม่ได้รุ่นปีนั้นหรอกครับพี่ชายผมเค้าเอามาให้ดู เดี๋ยวนี้ไม่รู้จะหาดูที่ไหนได้ ขอบคุณครับที่ทำให้ผมนึกถึงความทรงจำและบุคคลที่เป็นผู้ให้จริง ๆ พี่ใหญ่ของชาวคณะเรา
-
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 28
สวัสดีครับ ผมได้เดินทางอีกแล้วแต่แค่เชียงใหม่เอง เมื่อตอนเช้าวันก่อนจะเดินทาง ไปยืนรอเช็คอิน คนเยอะพอสมควรเลย. ถ้าตามความรู้สึกของผม ๆ ว่าการเดินทางโดยเครื่องบินภายในประเทศคนใช้บริการมากขึ้นเยอะนะครับ ดูจากยืนรอเช็คอินหรืออาจจะเป็นเฉพาะช่วงเวลาเช้าหรือป่าว แต่ยังไงผมว่าก็เยอะขึ้นนะ เห็นว่าจะมีรถไฟความเร็วสูง ไม่รู้จะเสร็จปีไหน อย่างผมเห็นคนเดินทางเยอะขึ้นผมว่าความเจริญของตามจังหวัดต่างๆ คงขยายตัวมากขึ้นผมว่านะถ้ายิ่งมีรถไฟความเร็วสูงความเจริญคงกระจายไปตามต่างจังหวัดเร็วขึ้นเยอะนะครับ ไม่รู้ว่าจะมีไปจังหวัดบ้าง เผื่อถ้าสร้างแน่จะได้ไปหาซื้อที่ไว้เก็งกำไรก็ไม่เลวนะครับ แต่ถ้าล้มกลางคันเหมือนโฮปเวลล่ะก็ คงล้มทั้งยืนล่ะ ที่นี้.
ผมยังมีเรื่องของที่ยุโรปอีกเยอะที่ยังไม่ได้เล่าเลย มั่วแต่พาออกทะเลไปเรื่องอีก พี่ๆและเพื่อนๆ ที่เคยไปฝรั่งเศสมาแล้วผมว่าต้องเคยทานหรือเคยเห็น ขนมประจำชาติ( ไม่รู้ประจำชาติหรือป่าวนะครับเห็นเยอะเลยคิดเอง). ของเค้าแน่เลย ที่เค้าเรียกว่า มาร์กาลอง หรือ มาร์กาลูน ผมไม่รู้ว่าเรียกยังไงแน่ประมาณเนี้ยแหละครับผมลองทานดูแล้วผมว่าเหมือนผมเคยทานแล้วรสชาติคุ้นๆไม่รู้เหมือนอะไรที่เคยทาน ตรงกลางมีใส้เป็นสีๆเป็นครีม และก็มีแผ่นรูปทรงคล้ายแฮมเบอร์เกอร์แต่เล็กๆเป็นพวกขนมอบ ผมทานก็งั้นๆ ผมว่าถ้าคนไทยทำน่าจะทำได้ไม่ยาก ทานกะกาแฟ มีอยู่วันหนึ่งได้ตื่นสายหน่อยเลยได้นั่งร้านกาแฟ ที่มีโต๊ะอยู่หน้าร้านเยอะๆเหมือนแบบในหนังซึ่งอยากนั่งมาตั้งแต่ก่อนมาเลย และอากาศเย็นๆ แหม ผมว่าโอเคเลยได้บรรยากาศมาก เพื่อนผมที่มารับสั่งมาให้ทานก็งั้นๆ แต่ตอนเช็คบิลสิครับ ขนมหนึ่งกล่องมีขนมอยู่ 12 ชิ้น. ไอ้กาแฟไม่เท่าไหร่หรอกครับเป็นเงินไทยก็น่าจะ100 กว่า ต่อแก้วก็โอเคพอไหวแต่ไอ้ขนมนี้สิครับ กล่องหนึ่ง ตกเป็นเงินไทย 1800 บาทโดยประมาณ ผมร้องอุทานออกมาดีเค้าฟังไม่ออกไม่งั้นไม่แน่อาจจะยังไม่ได้กลับมาก็ได้ตอนนี้. ผมจ่ายครับเที่ยวนี้ผมถามว่านี้ขนมเหรอ ที่บ้านผมเรียกกางเกงยีน. คราวนี้ผมเล่นเอา ฝรั่งงง ผมบอกว่ากางเกงยีนผมนะราคา 1800 ร้อยบาท 55555
ปล. ผมได้ไปทานอาหารทะเลร้านที่ดีทีสุดใน ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นร้านที่ เจ้าชายวิเลี่ยม และ พระชายา เคยเสด็จมาทานแล้วด้วย ไฮโซมาก อิอิอิ
ผมยังมีเรื่องของที่ยุโรปอีกเยอะที่ยังไม่ได้เล่าเลย มั่วแต่พาออกทะเลไปเรื่องอีก พี่ๆและเพื่อนๆ ที่เคยไปฝรั่งเศสมาแล้วผมว่าต้องเคยทานหรือเคยเห็น ขนมประจำชาติ( ไม่รู้ประจำชาติหรือป่าวนะครับเห็นเยอะเลยคิดเอง). ของเค้าแน่เลย ที่เค้าเรียกว่า มาร์กาลอง หรือ มาร์กาลูน ผมไม่รู้ว่าเรียกยังไงแน่ประมาณเนี้ยแหละครับผมลองทานดูแล้วผมว่าเหมือนผมเคยทานแล้วรสชาติคุ้นๆไม่รู้เหมือนอะไรที่เคยทาน ตรงกลางมีใส้เป็นสีๆเป็นครีม และก็มีแผ่นรูปทรงคล้ายแฮมเบอร์เกอร์แต่เล็กๆเป็นพวกขนมอบ ผมทานก็งั้นๆ ผมว่าถ้าคนไทยทำน่าจะทำได้ไม่ยาก ทานกะกาแฟ มีอยู่วันหนึ่งได้ตื่นสายหน่อยเลยได้นั่งร้านกาแฟ ที่มีโต๊ะอยู่หน้าร้านเยอะๆเหมือนแบบในหนังซึ่งอยากนั่งมาตั้งแต่ก่อนมาเลย และอากาศเย็นๆ แหม ผมว่าโอเคเลยได้บรรยากาศมาก เพื่อนผมที่มารับสั่งมาให้ทานก็งั้นๆ แต่ตอนเช็คบิลสิครับ ขนมหนึ่งกล่องมีขนมอยู่ 12 ชิ้น. ไอ้กาแฟไม่เท่าไหร่หรอกครับเป็นเงินไทยก็น่าจะ100 กว่า ต่อแก้วก็โอเคพอไหวแต่ไอ้ขนมนี้สิครับ กล่องหนึ่ง ตกเป็นเงินไทย 1800 บาทโดยประมาณ ผมร้องอุทานออกมาดีเค้าฟังไม่ออกไม่งั้นไม่แน่อาจจะยังไม่ได้กลับมาก็ได้ตอนนี้. ผมจ่ายครับเที่ยวนี้ผมถามว่านี้ขนมเหรอ ที่บ้านผมเรียกกางเกงยีน. คราวนี้ผมเล่นเอา ฝรั่งงง ผมบอกว่ากางเกงยีนผมนะราคา 1800 ร้อยบาท 55555
ปล. ผมได้ไปทานอาหารทะเลร้านที่ดีทีสุดใน ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นร้านที่ เจ้าชายวิเลี่ยม และ พระชายา เคยเสด็จมาทานแล้วด้วย ไฮโซมาก อิอิอิ
- canuseeme
- Verified User
- โพสต์: 302
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 29
มาแชร์ประสบการณ์เรื่อยๆ นะครับท่าน
ผู้น้อย (ทั้ง เงินและประสบการณ์) รอ ฟัง อยู่เสมอ
ผู้น้อย (ทั้ง เงินและประสบการณ์) รอ ฟัง อยู่เสมอ
ปัญญาไม่มีในผู้ไม่พิจารณา
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
-
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาประสบการณ์ จากการเดินทางมาแชร์เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับ
โพสต์ที่ 30
เนื่องจากการเดินทางของผมที่มีโอกาสมา ฝรั่งเศส ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้นเอง และครั้งแรกก็มาเที่ยวซะมากกว่า แต่ครั้งนี้มาเพื่อทำงานและถือโอกาสเที่ยวและก็ตั้งใจมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะมาดูให้เห็นกับตาว่าสภาพเศรษฐกิจ จากที่ได้รับรู้จากข่าวก็ยังไม่สามารถคาดถึงสถานการณ์ในขณะนี้ได้ถูกต้องสู้มาเห็นด้วยตาตัวเองจะดีกว่า เลยตั้งใจตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะมาจ้องดูเลย. และก็คิดไว้ก่อนหน้าแล้วว่าถ้าหากได้เห็นหรือได้พูดคุยกับคนที่นี้ก็จะถามว่าเค้ามีการเตรียมตัวอย่างไรบ้างเพื่อเตรียมรับมือ ครั้งนี้ และหากได้ทราบหรือเห็นอะไรมาก็จะมาแชร์ไว้ในนี้เผื่อว่าจะเกิดประโยชน์กันครับไม่มากก็น้อย. ตามกำหนดการของผม ๆ จะอยู่ในปารีสเป็นเวลา 6 วัน และจะไปที่กรุงอัมเตอร์ดัมต่ออีก 4 วัน ผมเลยคิดว่าผมจะตั้งหัวข้อในด้านต่าง ๆ เพื่อผมจะประเมินในด้านต่าง ๆ และให้เป็นคะแนนในแต่ละข้อ ๆ ล่ะ 10 คะแนนรวม 100 คะแนน ผมตั้งแต่ละข้อดังนี้ครับ
1. สภาพบ้านเมือง ความสะอาด ความมีระเบียบวินัย ความสวยงามของสถานที่ต่าง ๆ บรรยากาศโดยรวม
2. ด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ด้านคมนาคม ที่ใช่ในการเดินทางต่าง ๆ รวมถึงด้านการสื่อสาร. น้ำไฟ
3. ด้านการท่องเที่ยว ได้มีการดูแลและรักษาโบราณและสถาปัตยกรรม. การส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวจากทางการว่าเป็นยังไงบ้าง รวมทั้งภาพรวมของอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยว
4. ด้านอาหารการกิน รวมทั้งความสะดวกและความหลากหลายของชนิดอาหารรวมทั้งอาหารชาติต่าง ๆ
5. การจัดระเบียบสถานบันเทิงเวลาเปิดปิดรวมทั้ง สีสันของเวลากลางคืน.
6. ปัญหาอาชญกรรมต่าง ๆ รวมทั้งความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
7. ความสนใจของประชาชนทั่วไปต่อตลาดทุน รวมถึงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของประชาชนว่ามีเยอะมั้ย
8. ความเป็นมิตรต่อชาวต่างชาติรวมทั้งทัศนะคติที่มีต่อชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวเอเชีย
9. การให้ความสนใจต่อสถานการณ์รวมทั้งติดตามและเตรียมตัวกับวิกฤติและการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในสหภาพยุโรป
10. ความสามัคคีร่วมมือร่วมใจและความเสียสละของคนในชาติหากเกิดวิกฤติรวมทั้งทัศนะคติต่อประเทศต่างๆในยุโรป
นี้คือหัวข้อที่ผมตั้งเอาไว้เป็นคำถามเพื่อให้ตัวเองให้คะแนน ในแต่ละข้อ ซึ่งผมคิดเอาเองว่า หากได้คะแนนในระดับสูงในแต่ละข้อได้ ผมว่าก็ไม่น่าห่วงต่อวิกฤติการนี้เพราะ ผมว่าในแต่ละข้อมันเป็นสิ่งที่หากประเทศใดเกิดปัญหาถ้ามีดีในข้อต่างๆ ก็น่าจะฟื้นได้เร็วครับ. ผมได้ให้คะแนนพร้อมทั้งเหตุผล ในแต่ละข้อของผมไว้เรียบร้อยตั้งแต่บนเครื่องบินเที่ยวกลับกรุงเทพ ที่เอาคำถามมาแชร์ไว้ก็เผื่อหากมีพี่ ๆ เพื่อน ๆที่ได้มีโอกาสไปยุโรปในช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าประเทศใดก็ตาม อาจจะนึกอยากลองให้คะแนนประเทศเหล่านั้นตามสิ่งที่ได้พบเจอและสัมผัสมาในระยะเวลานี้ หรือ พี่ๆเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เดินทางไปในช่วงนี้ เป็นช่วงก่อนเกิดปัญหาก็ได้ลองนึกกันเล่นๆ เผื่อจะมีประโยชน์. เล็กๆน้อยๆ. จากการเดินทางของเรา ส่วนผมอย่างน้อยก็ดีกว่านั่งเฉยๆ บนเครื่อง 10 กว่าชั่วโมง และยังทำให้นึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ หรือคนที่เราได้เจอและได้รับความรู้สึกต่อกันครับ คำตอบของผมขอเป็นครั้งหน้านะครับ
ปล. การตั้งคำถามต่าง ๆ และคำตอบ ของผมเกิดจากความคิดมุมมองของผมคนเดียวซึ่งผมไม่สามารถรับรองหรือยืนยันว่าคำถามและคำตอบนั้นๆ จะเป็นดังนั้น ทุกอย่าง เพราะไม่ได้มีการค้นคว้าอย่างถูกต้อง เป็นเพียงแค่ความเห็นในช่วงเวลาแค่6 วันที่ได้สัมผัสเท่านั้นครับ
1. สภาพบ้านเมือง ความสะอาด ความมีระเบียบวินัย ความสวยงามของสถานที่ต่าง ๆ บรรยากาศโดยรวม
2. ด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ด้านคมนาคม ที่ใช่ในการเดินทางต่าง ๆ รวมถึงด้านการสื่อสาร. น้ำไฟ
3. ด้านการท่องเที่ยว ได้มีการดูแลและรักษาโบราณและสถาปัตยกรรม. การส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวจากทางการว่าเป็นยังไงบ้าง รวมทั้งภาพรวมของอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยว
4. ด้านอาหารการกิน รวมทั้งความสะดวกและความหลากหลายของชนิดอาหารรวมทั้งอาหารชาติต่าง ๆ
5. การจัดระเบียบสถานบันเทิงเวลาเปิดปิดรวมทั้ง สีสันของเวลากลางคืน.
6. ปัญหาอาชญกรรมต่าง ๆ รวมทั้งความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
7. ความสนใจของประชาชนทั่วไปต่อตลาดทุน รวมถึงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของประชาชนว่ามีเยอะมั้ย
8. ความเป็นมิตรต่อชาวต่างชาติรวมทั้งทัศนะคติที่มีต่อชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวเอเชีย
9. การให้ความสนใจต่อสถานการณ์รวมทั้งติดตามและเตรียมตัวกับวิกฤติและการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในสหภาพยุโรป
10. ความสามัคคีร่วมมือร่วมใจและความเสียสละของคนในชาติหากเกิดวิกฤติรวมทั้งทัศนะคติต่อประเทศต่างๆในยุโรป
นี้คือหัวข้อที่ผมตั้งเอาไว้เป็นคำถามเพื่อให้ตัวเองให้คะแนน ในแต่ละข้อ ซึ่งผมคิดเอาเองว่า หากได้คะแนนในระดับสูงในแต่ละข้อได้ ผมว่าก็ไม่น่าห่วงต่อวิกฤติการนี้เพราะ ผมว่าในแต่ละข้อมันเป็นสิ่งที่หากประเทศใดเกิดปัญหาถ้ามีดีในข้อต่างๆ ก็น่าจะฟื้นได้เร็วครับ. ผมได้ให้คะแนนพร้อมทั้งเหตุผล ในแต่ละข้อของผมไว้เรียบร้อยตั้งแต่บนเครื่องบินเที่ยวกลับกรุงเทพ ที่เอาคำถามมาแชร์ไว้ก็เผื่อหากมีพี่ ๆ เพื่อน ๆที่ได้มีโอกาสไปยุโรปในช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าประเทศใดก็ตาม อาจจะนึกอยากลองให้คะแนนประเทศเหล่านั้นตามสิ่งที่ได้พบเจอและสัมผัสมาในระยะเวลานี้ หรือ พี่ๆเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เดินทางไปในช่วงนี้ เป็นช่วงก่อนเกิดปัญหาก็ได้ลองนึกกันเล่นๆ เผื่อจะมีประโยชน์. เล็กๆน้อยๆ. จากการเดินทางของเรา ส่วนผมอย่างน้อยก็ดีกว่านั่งเฉยๆ บนเครื่อง 10 กว่าชั่วโมง และยังทำให้นึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ หรือคนที่เราได้เจอและได้รับความรู้สึกต่อกันครับ คำตอบของผมขอเป็นครั้งหน้านะครับ
ปล. การตั้งคำถามต่าง ๆ และคำตอบ ของผมเกิดจากความคิดมุมมองของผมคนเดียวซึ่งผมไม่สามารถรับรองหรือยืนยันว่าคำถามและคำตอบนั้นๆ จะเป็นดังนั้น ทุกอย่าง เพราะไม่ได้มีการค้นคว้าอย่างถูกต้อง เป็นเพียงแค่ความเห็นในช่วงเวลาแค่6 วันที่ได้สัมผัสเท่านั้นครับ