บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่งเอเ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่งเอเ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่งเอเชีย

10 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 06:51 น. |
เปิดอ่าน 2,991 |
comment ความคิดเห็น 9

โดย......ณัฐสุดา จิตตปาลพงศ์

กลายเป็นข่าวที่คนไทยต้องจับตาไม่กะพริบ เมื่อบรรดาค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลกไม่ว่าจะเป็น โตโยต้า ฟอร์ด เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) และทาทา มอเตอร์ส ต่างพร้อมใจกันตบเท้าเดินหน้าบุกตลาดที่ขึ้นชื่อว่าร้อนแรงและกำลังเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคอาเซียนอย่าง “อินโดนีเซีย”

เมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ แล้ว ต้องยอมรับว่าอินโดนีเซียในวันนี้ ถือได้ว่าเป็นประเทศที่น่าลงทุน น่าเย้ายวนใจมากที่สุดสำหรับกลุ่มประเทศอาเซียน จากศักยภาพการเติบโตที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งก็ว่าได้

ปัจจัยแรก คือ ขนาดของตลาดอินโดนีเซียซึ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน และใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ด้วยจำนวนผู้บริโภคภายในที่สูงถึง 240 ล้านคน นั่นหมายถึงแรงซื้อที่ใหญ่กว่าไทยมากกว่า 3 เท่าตัว

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีจำนวนประชากรที่สูง ทว่าชาวอินโดนีเซียส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นเจ้าของรถยนต์ โดยหนังสือพิมพ์วอลสตรีตเจอร์นัลของสหรัฐเปิดเผยว่า หนุ่มสาวชาวอินโดนีเซียเพียง 1 ใน 20 คนเท่านั้นที่ครอบครองรถยนต์

แต่ทว่าในอีกมุมมองหนึ่ง สัดส่วนดังกล่าวสามารถตีความหมายได้ว่า สำหรับผู้ผลิตยานยนต์ต่างชาตินั้น ผู้ที่ยังไม่มีรถ ก็คือกำลังซื้อใหม่ที่ไม่ควรจะมองข้าม

อีกทั้งต้องไม่ลืมว่า ตลาดรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐ จีน และอินเดีย นั้นเริ่มอิ่มตัวมากขึ้นแล้ว ตลาดสหรัฐกำลังเจอกับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรง ยาวนาน และต่อเนื่อง ส่วนตลาดจีนและอินเดียที่เคยเป็นที่หมายปองของบรรดาค่ายรถยนต์ต่างชาติ ก็กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวและเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว

ตรงกันข้ามกับอินโดนีเซีย ถือเป็นตลาดใหม่ที่มี “ความสด” โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตลาดรถยนต์ในอินโดนีเซียมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยยอดจำหน่ายรถยนต์อาจพุ่งสูงถึง 3 ล้านคันต่อปีภายในหนึ่งทศวรรษ จากเดิมที่ 1 ล้านคันต่อปี

ปัจจัยต่อมา คือ การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วของอินโดนีเซีย โดยล่าสุด ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2554 มีอัตราการเติบโตถึง 6.5% อันเป็นผลพวงจากความต้องการบริโภคภายในประเทศที่พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด และการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งนับเป็นการเติบโตเร็วที่สุดในรอบ 15 ปี โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า และในปีนี้ เศรษฐกิจอินโดนีเซียจะยังคงโตในระดับสูงที่ 6-6.5%

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดาค่ายรถยนต์ชื่อดังจะเริ่มส่งสัญญาณที่จะผลักดันอินโดนีเซียให้กลายเป็น “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์” แห่งใหม่ของอาเซียน ขึ้นมาเทียบชั้น หรืออาจจะแทนที่ประเทศไทยที่กำลังงมกับปัญหา “น้ำท่วม” อย่างแทบโงหัวไม่ขึ้น

“ด้วยอัตราการครอบครองรถยนต์ที่ต่ำ และเศรษฐกิจที่กำลังร้อนแรง จึงเรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์อินโดนีเซีย” ปีเตอร์ ฟลีท ประธานฟอร์ดอาเซียน ย้ำ

ไล่เรียงมาตั้งแต่ โตโยต้า มอเตอร์ ค่ายรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลกจากแดนปลาดิบที่คนไทยมักคุ้นกันดี ได้ประกาศทุ่มเงินลงทุนถึง 1.94 แสนล้านเหรียญสหรัฐในอินโดนีเซียเพื่อเพิ่มยอดผลิตรถยนต์ในประเทศจากปัจจุบันที่ผลิตได้ปีละ 1.1 แสนคัน เพิ่มขึ้นเป็น 2.3 แสนคัน ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า

โตโยต้ายังเล็งที่จะใช้อินโดนีเซียเป็นฐานส่งออกรถยนต์ที่สำคัญอีกด้วย โดยได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มการส่งออก 30% โดยมุ่งเน้นตลาดออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และทวีปแอฟริกาเป็นสำคัญ

หรือจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอย่าง จีเอ็ม ที่เพิ่งรอดตัวมาจากการปรับโครงสร้างบริษัทหลังการยื่นล้มละลายเมื่อปี 2009 และสามารถกลับมาผงาดเป็นค่ายรถอันดับ 1 ของโลกได้อีกครั้งนั้น ก็เปิดเผยแผนที่จะเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียอีกครั้งหนึ่งภายหลังยุติปฏิบัติการไปเมื่อปี 2548

จีเอ็มเตรียมทุ่มเงินราว 150 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อปรับปรุงโรงงานรถยนต์ โดยทางบริษัทตั้งเป้าที่จะผลิตให้ได้ปีละ 4 หมื่นคัน เลยทีเดียว

ฟอร์ด มอเตอร์ ซึ่งแม้จะไม่มีโรงงานรถยนต์ในอินโดนีเซีย ก็เริ่มส่งสัญญาณแล้วว่าจะไม่ยอมพลาดโอกาสในการกอบโกยผลประโยชน์ในอินโดนีเซีย โดยทางบริษัทเผยว่า อาจจะเนรมิตโรงงานพร้อมขยายเครือข่ายตัวแทนผู้จำหน่ายรถยนต์ของฟอร์ดอีก 20%

ขณะที่ ซูซูกิ ประกาศว่าเตรียมลงทุนกว่า 780 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตยานยนต์ในอินโดนีเซียถึงสองเท่า และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับรัฐบาลเรื่องการงดเว้นภาษีเพื่อปูทางให้บริษัทสามารถเดินหน้าผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานหรืออีโคคาร์ได้

ทั้งนี้ ในขณะที่อินโดนีเซียกำลังผงาดในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งใหม่ของโลก นักวิเคราะห์ได้ออกโรงเตือนว่า อดีตดาวรุ่งอย่างไทยอาจต้องกลายสภาพเป็นดาวตกก็เป็นได้

เพราะต้องไม่ลืมว่า เป็นระยะเวลานานแล้วที่บรรดาค่ายรถยนต์ต่างชาติต่างยกให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ขนาดใหญ่ของภูมิภาคอาเซียน

ไม่ว่าจะเป็นเพราะปัจจัยด้านทำเลที่ตั้งของประเทศไทยซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ความเพียบพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน และแรงงานฝีมือดีที่ราคาถูก จึงทำให้ไทยกลายเป็นที่หมายปองของธุรกิจต่างชาติ โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์มาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงของการลงทุนในไทยก็ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีความต่อเนื่องไม่จบสิ้นง่ายๆ อีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในภาคการเมือง และความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติอย่างวิกฤตอุทกภัยที่เกิดขึ้นกลายเป็นปัญหาน้องใหม่ที่มาแรงแซงทางโค้ง ทำเอาค่ายรถยนต์ต่างชาติต้องประสบกับวิกฤตในการผลิตรถยนต์อย่างรุนแรงที่สุดเมื่อปีที่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลไทยเองยังทำให้นักลงทุนส่ายหน้า ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนกำลังเติบโตและกลายมาเป็นคู่แข่งขันมากขึ้นนั้น กำลังทำให้ไทยต้องเสียผลประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย และอาจจะถูกแซงหน้าแบบก้าวกระโดดในที่สุด

จากข้อมูลล่าสุดจะเห็นได้ว่า แม้ว่าค่ายรถยนต์ต่างๆ จะไม่ได้ย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทยเสียทีเดียว แต่การลงทุนใหม่ๆ ก็แทบจะไม่เห็น โดยที่ค่ายรถยนต์ต่างชาติเริ่มที่จะสตาร์ตเครื่องในโครงการใหม่ๆ ในอินโดนีเซียแทนบ้างแล้ว

อย่างเช่น โตโยต้าเตรียมดันให้อินโดนีเซียเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ “อิติออส”

ส่วนทาทา มอเตอร์ส ซึ่งซื้อกิจการยานยนต์สุดหรูอย่างจากัวร์ และแลนด์โรเวอร์ ไว้ในมือก็ได้เผยแผนสร้างโรงงานใหม่ในอินโดนีเซียพร้อมเปิดตัวรถยนต์ประหยัดพลังงานรุ่นใหม่ ซึ่งโครงการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความสูญเสียโอกาสของไทยทั้งสิ้น

นอกจากนี้ เมื่อปีที่แล้วอินโดนีเซียยังสามารถล้มยักษ์ใหญ่อย่างไทย ขึ้นแท่นกลายเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคอาเซียนได้ด้วยยอดจำหน่ายรถยนต์ที่สูงถึง 8.94 แสนคัน ขณะที่ยอดจำหน่ายของไทยนั้นอยู่ที่ 8.03 แสนคัน โดยอัมมาร์ มาสเตอร์ นักวิเคราะห์อาวุโสจากบริษัท เจดี พาวเวอร์ มองว่า ภายในปี 2556 ไทยจะเสียตำแหน่งตลาดรถยนต์ขนาดเล็กให้กับอินโดนีเซีย

“มีความเป็นไปได้สูงที่ไทยจะต้องเผชิญกับการสูญเสียความได้เปรียบในฐานะศูนย์กลางยานยนต์อาเซียน เพราะขณะนี้เพื่อนบ้านกำลังไล่ตามทันแล้ว” มาสเตอร์ กล่าว

ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับความเห็นของ กิทา วิร์จาวัน รัฐมนตรีการค้าของอินโดนีเซีย ซึ่งได้แสดงความมั่นใจว่า อินโดนีเซียจะสามารถแซงไทยได้อย่างแน่นอน

“ผมมั่นใจว่าเราจะไล่ตามทันไทยได้ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลอินโดนีเซียได้พยายามผลักดันมาตรการต่างๆ อาทิ มาตรการด้านภาษี และการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการต่างชาติมากยิ่งขึ้น” วิร์จาวัน ระบุ

ส่วน “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” อย่างไทยก็ต้องก้มหน้าก้มตารับสภาพกับความเสี่ยงที่ก่อขึ้นมาเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง ปัญหาการจัดการน้ำที่สุดย่ำแย่ ตลอดจนปัญหาจากนโยบายขึ้นค่าแรงไล่นักลงทุนกันต่อไป !

http://www.posttoday.com/%E0%B8%A7%E0%B ... 5%E0%B8%A2
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ผมว่าปัจจัยหลักๆ เลยที่ทำให้ พื้นฐานของประเทศเปลี่ยนไปมาก คือ

1) เรื่องความเสี่ยงจาก อุทุกภัย และที่สำคัญกว่านั้น ทางต่างชาติได้เรียนรู้แล้วว่า
การจัดการของรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพและไม่มีข้อมูลจริง (จะเห็นได้ว่าทางญี่ปุ่น
ให้ข่าวหลายครั้งในเรื่องนี้ การมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องทำให้ หลายๆ บริษัทฯ ตัดสินใจ
ผิดพลาด)

2) การขึ้นเงินเดือนและค่าแรง แบบก้าวกระโดด แทนที่จะเป็น "step by step"
เกิดภาวะ "Shock and Awe" ผลกระทบรุนแรง และเป็น "Chain Reaction"
ค่าแรงแพง --> ของขึ้นราคา --> ต้องขึ้นค่าแรง --> ของขึ้นราคา
โดยที่ ประสิทธิภาพของแรงงานไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย --> ส่งผลให้ ประเทศคู่แข่ง
ได้เปรียบโดยไม่ต้องทำอะไรมาก

ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ต้องพยายามปรับตัวให้ได้อย่างรวดเร็ว
จะเห็นได้ว่า บริษัทที่มีผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ และมีกำลังพอทั้งคนและเงิน อย่างเช่น SCC
ได้เข้าไปลงทุนใน อินโดนิเซีย ในช่วงปีสองปีนี้ เป็นเงินจำนวนมาก

เปิด AEC ไทยเราอาจเสียเปรียบกว่าเพื่อนบ้าน สิงคโปร์ มาเลยเซีย ฟิลิปปินส์ เรื่องภาษาอังกฤษ เป็นภาษาหลักและใช้เป็นภาษาราชการหรือกึ่งราชการ ส่วนอินโดฯ มีคนจำนวนมาก
ใช้ภาษาถิ่นเดียว (หรือใกล้เคียง) กับมาเลยเซีย มีอัตราการเจริญเติบโตสูงและต่อเนื่องมาหลายปี พม่าเพิ่งเปิดประเทศใหม่ มีทรัพยากรธรรมชาติเพียบ
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่

โพสต์ที่ 3

โพสต์

Feb. 12, 2012, 7:03 p.m. EST
Japan's economy shrinks more than expected in Q4
Stories You Might Like

LOS ANGELES (MarketWatch) -- Japan's economy shrank by more than expected in the October-December quarter, as a strong yen and collateral economic damage from flooding in Thailand took their toll. Real gross domestic product contracted by 0.6% during the quarter, the Cabinet Office reported Monday. The result was deeper than expected falls of 0.3% and 0.4% in separate economist surveys by Reuters and Dow Jones Newswires, respectively. On an annualized basis, the economy contracted 2.3% in the final quarter of 2011. In the July-September quarter, Japan's GDP had grown by 1.4% quarter-on-quarter.

http://www.marketwatch.com/story/japans ... 2012-02-12
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
ภาพประจำตัวสมาชิก
kabu
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2149
ผู้ติดตาม: 0

Re: บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่

โพสต์ที่ 4

โพสต์

syj เขียน:Feb. 12, 2012, 7:03 p.m. EST
Japan's economy shrinks more than expected in Q4
Stories You Might Like

LOS ANGELES (MarketWatch) -- Japan's economy shrank by more than expected in the October-December quarter, as a strong yen and collateral economic damage from flooding in Thailand took their toll. Real gross domestic product contracted by 0.6% during the quarter, the Cabinet Office reported Monday. The result was deeper than expected falls of 0.3% and 0.4% in separate economist surveys by Reuters and Dow Jones Newswires, respectively. On an annualized basis, the economy contracted 2.3% in the final quarter of 2011. In the July-September quarter, Japan's GDP had grown by 1.4% quarter-on-quarter.

http://www.marketwatch.com/story/japans ... 2012-02-12
ข่าวเกี่ยวกับประเทศไทยลงในหนังสือพิมพ์ที่นี่ทุกวันเลยครับ เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงประกาศผลประกอบการของบางบริษัทที่นี่ด้วย นับว่าน้ำท่วมครั้งนี้ส่งผลรุนแรงกับบริษัทในญี่ป่นเยอะมากๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการผลิต อย่างเช่น Panasonic นี่ขาดทุนไปกว่า 700,000 ล้านเยน ทำไปได้ไง

แต่ Trading Company ยักษ์ใหญ่ทุกบริษัทล่าสุดประกาศผลประกอบการ กำไรท่วมท้นกันทุกบริษัทครับ มากที่สุดเท่าที่เคยตั้งบริษัทมา ^^
"หนทางเดียวที่จะก้าวพ้นขอบเขตของความเป็นไปได้ คือก้าวเข้าสู่ความเป็นไปไม่ได้", Arthur C. Clarke
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
appendix
Verified User
โพสต์: 339
ผู้ติดตาม: 0

Re: บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ผมว่าบทสรุปการเมืองมากไปเยอะครับ
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

Re: บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ผมเคยได้ฟังความเห็นจากผู้บริหาร TSC ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ของไทย

แน่นอนว่า อินโดนีเซียมีความได้เปรียบไทยมากในเรื่อง จำนวนประชากร อัตราการครอบครองรถที่ยังต่ำ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไทยทำอะไรไม่ได้ ยังไงอินโดก็ได้เปรียบไทยในด้านนี้

แต่ไทยเราก็มีข้อได้เปรียบอินโด หรือแม้แต่ จีน อินเดีย ในเรื่อง ฝีมือแรงงาน คุณภาพของผู้ผลิตชิ้นส่วน นิสัยน้ำใจของคนไทย สภาพบ้านเมือง

เราลองดูคุณภาพรถยนต์ที่ผลิตจากอินโดที่นำเข้ามาขายในไทย ทั้ง TOYOTA รุ่น AVANZA INOVA ยี่ห้อ HONDA รุ่น Stream ในขณะที่ไทยผลิต CAMRY Accord
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
zz99
Verified User
โพสต์: 480
ผู้ติดตาม: 0

Re: บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ผมคิดว่าอุตรถยนต์ของไทยไม่ควรประมาทครับ เพราะ ทั้งคุณภาพและฝีมือแรงงานสามารถไล่ตามกันทัน เราควรมองคู่แข่งแล้วปรับตัวให้ดียิ่งขี้นเพื่อให้ช่วงห่างไม่แคบเร็วเกินไป รวมถึงรัฐบาลไทยก็ควรติดตามใกล้ชิดเพื่อสามารถออกนโยบายที่ส่งเสริมให้เรามีปัจจัยที่ดีพอสำหรับการเติบโตในระยะยาวเหนือคู่แข่ง
The miracle of compounding,
nakatoon
Verified User
โพสต์: 26
ผู้ติดตาม: 0

Re: บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ความเห็นผม นะครับ ผมอยากให้เขานำหน้าเราไปครับ เราต้องเจ็บบ้างเพื่อจะได้รู้สึกว่าเรากำลังตามหลังเขาอยู่
บางทีตอนนี้ในประเทศเราสบายเกินไปเลยไม่ได้รับรู้ถึงการคลืบคลานเข้ามาจะแซงเราของประเทศเพื่อนบ้าน
ถ้าประเทศเราเจ็บเยอะๆ พอที่จะทำให้คนในประเทศทุกคิดได้แล้วจับมือกันกลับมาสู้ผมอยากเห็นตอนนั้นมากกว่าครับ
บางทีอาจจะมีโอกาสในธุรกิจอื่นๆที่มองยังไม่เห็นอยู่ก็ได้ครับ
แต่ไม่รู้จะเกิดขึ้นได้รึเปล่าที่คนในประเทศเราจะจับมือกันสู้ เพราะทุกอย่างผู้ใหญ่ยังหวังผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้นเลยครับ
pat4310
Verified User
โพสต์: 732
ผู้ติดตาม: 0

Re: บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ตั้งแต่มีเรื่องน้ำท่วมก็ต้องมาคิดเรื่อง supply chain risk มากขึ้นมีโรงงาน หรือ DC ที่เดียวก็เสียวหน่อย
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
sorawitch
Verified User
โพสต์: 152
ผู้ติดตาม: 0

Re: บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่

โพสต์ที่ 10

โพสต์

เห็นด้วยกับท่าน chatchai :mrgreen:

ช่วยๆกันอวยเกินไปก็ไม่ดี
พยามมองโลกแง่ร้ายเกินไปก็ไม่ดี
กลางๆดีที่สุดครับ
เราจะรวยแร้วววววววววว
ภาพประจำตัวสมาชิก
Energy_eak
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 925
ผู้ติดตาม: 0

Re: บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ผมไม่ได้เข้าข้างประเทศไทยนะ...แต่ผมว่า เกิน10ปีกว่าจะทันเราอะ...เอาแค่เรื่องรายได้ต่อหัว ห่างกะเราเป็นครึ่งๆ...ถึงมีประชากรเยอะก็จริง แต่จะเอาอะไรผ่อน@_@...นอกจากนี้..สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือตัวproduct. อย่าง Ecocar...ที่ยังไงก็ต้องทำบ้านเรา...ถึงรัฐบาลเขาไปทำก็ทำไม่ได้ง่ายๆ...ยื่งพูดก็ยิ่งยาว....แต่เพิ่งกดเข้ามาในหมวดนี้เป็นครั้งแรกๆเพิ่งรู้ว่าหมวดvalue investing สาระเพียบ!!

อย่างไรผมเชื่อว่าในระยะ10ปีนี้...ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยน เต็มที่ก็คือ รถlowๆไปทำบ้านเขา รถhighๆมาทำบ้านเรา
nuaythebest
Verified User
โพสต์: 244
ผู้ติดตาม: 0

Re: บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ผมว่าเป็นไปไม่ได้ครับ แต่ถ้าเป็น hub ที่สองก็พอเป็นไปได้ การที่ค่ายรถทั้งหลายมาตั้งในไทย เพราะเขาขายรถในไทยได้เยอะจนคุ้มค่าพอที่จะตั้ง และเมื่อตั้งแล้วก็ใช้เป็นฐานผลิตส่งไปที่อื่นด้วย ถ้าสนแต่เรื่องค่าแรงอย่างเดียวพวก Ford,GM ก็คงต้องเลิกโรงงานในอเมริกาให้หมดแล้วไปผลิตแถว เม็กซิโก แทนดีกว่า Product ของไทยที่ชัดเจนคือรถกระบะและ ECO Car ซึ่งขายได้ดีมากๆ ในไทย คงไม่มีค่ายไหนบ้าจี้ไปเอากระบะไปผลิตที่อินโดแทนแล้วส่งเข้ามาในไทยเพราะไม่คุ้ม อย่างที่อินโดเขาก็มีรถบาง Segment ที่คนที่นั่นเขานิยมซึ่งไม่เหมือนกับไทย ซึ่งค่ายรถที่ไปตั้งที่อินโดก็เน้นผลิตรุ่นพวกนี้ เพราะผลิตในไทยเพื่อส่งออกไปอินโดนีเซียอย่างเดียวคงไม่คุ้ม

ข่าวล่าสุดทั้ง Ford,Honda ก็เลิกผลิตโรงงานใน ฟิลิปปินส์แล้วยก line มาทำที่ไทยแทน และการเปิดประเทศของพม่าและ ประชาคม Asean ยิ่งจะช่วยให้ค่ายรถทั้งหลายยิ่งลงทุนเพิ่มในไทย เพราะคุ้มสุดแล้วในการผลิตและส่งไปขายในประเทศรอบๆนี้ ผลิตเสร็จก็ส่งขึ้นไปขายได้ทันที ไม่ต้องมาลงเรือให้เสียเวลา ที่ผมกังวลจะมีก็คือคนไทยบางส่วนชอบมองคนไทยและประเทศไทยเองในแง่ลบ ชอบทะเลาะกันเองบ้าง ถ้าเราหยุดเรื่องพวกนี้ได้และหันกลับมาคิดว่าจะทำยังไงให้ที่นำเขาอยู่แล้วนำมากๆ ขึ้นไปอีกคงจะดีกว่านี้เยอะครับ
harikung
Verified User
โพสต์: 2236
ผู้ติดตาม: 0

Re: บ๊าย บาย ...ไทยแลนด์ 'อิเหนา'เนื้อหอม อนาคตฮับยานยนต์แห่

โพสต์ที่ 13

โพสต์

เมื่อเช้าดูรายการเรื่องเล่าเช้านี้ พี่สรยุทธแกบอกว่าญี่ปุ่นยังอยากอยู่ในไทยครับ"ถ้า" มีแผนป้องกันน้ำท่วมที่ชัดเจน และที่นายกจะroadshow พวกยุ่นบอกว่าไม่ต้องเตรียมเรื่องอื่นไปหรอกนอกจากเรื่องแผนป้องกันน้ำท่วม
นักเลงคีย์บอร์ด4.0
โพสต์โพสต์