ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 1
นานๆจะว่างสักทีหนึ่ง เลยขออนุญาติมาแชร์ประสลการณ์นะครับผม
ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนเรื่องการลงทุน และคติที่ได้จากการลงทุนไว้เมื่อ กค. 2552 ครับ
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... 29&gblog=1
วันนี้ตื่นขึ้นมา หลังจากทำงานบ้านได้สักพัก ผมกลับมาอ่านหนังสือ Beating the street แล้วก็มาอ่านบทที่เขียนเกี่ยวกับ ความกังวลในช่วงสุดสัปดาห์
เมื่อคืนผมพึ่งเห็นข่าว Dow Jones ตก มากที่สุดตั้งแต่ต้นปี(พึ่งผ่านปีใหม่มาได้ 2 เดือนนิดๆ )
มีคนบอกว่า เค้ากังวลเรื่อง วิกฤติหนี้ยุโรป และกรีซ อีกแล้ว
ตกลงเมื่อไหร่จะจบเสียที
คำตอบที่ผมคิดได้ก็คือ
... จริงๆเราไม่ทราบหรอกครับ ว่าเมื่อไหร่ปัญหานี้มันจะจบ
และเมื่อปัญหานี้จบแล้ว จะมีปัญหาอื่นๆตามมาหรือไม่ และจะเกิดเมื่อไหร่
อาจารย์ของผม(พี่มนตรี นิพิฐวิทยา) เคยสอนผมไว้ว่า ให้บริหารความโลภ ให้พอๆกับ ความรู้ที่เรามี
มันเป็นความจริงอย่างหนึ่งเลยนะครับ
เพราะเวลา ตลาดร่วงลงมา เวลามีความกลัวเกิดขึ้น สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ดี กลับหายไป
ความมั่นใจในตัวเองมันจืดจาง
เช่นกันพอตลาดกลับมาดูดี หุ้นกลับมาขึ้นมากๆแล้ว เรามักจะบอกว่า รู้งี้ฯ(รู้อพไรไม่สู้เท่า รู้งี้ )
แล้วนักลงทุนธรรมดาๆอย่างเราจะทำอย่างไรล่ะ
เวลาแบบนี้ ผมมักย้อนกลับมาที่ หลักการลงทุนที่ผมใช้
ผมรู้สึกได้ถึง ความความรู้สึกไม่มั่นใจในหลักการลงทุนที่ตนเองเคยใช้
ยิ่งฟัง ยิ่งอ่าน Big name ยิ่งเค้าบอกว่า หุ้นตัวนี้ไม่รีบขาย ระวังจะเสียจายยยย
(ไม่รีบล้าง port ตอน 380 จุด ระวังจะแย่น้า 555 ลงมา 2 ทีแล้ว .... ผมโดนแบบนี้อ่ะ ไม่ได้อยากขอความเห็นเล้ย)
ผมไม่เคยดูถูกตลาดเลยครับ เพราะจริงๆตลาดก็คือ การรวมกันของการกระทำของคนเป็นหลายๆล้านคน
แค่เราเดาความคิดของคนข้างๆเพียงไม่กี่คน เรายังเดาเค้าไม่ออกเลยครับ
แล้วเราจะเดา Mr Market ได้อย่างไร
บางคนใช้กราฟ(Technical Investment)
บางคนใช้ Fundamental Investmant
ผมว่า ใช้อะไรก็ได้ที่เหมาะสมกับเรา ที่เราถนัด
ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ผมพบคือ เรามักนำหลักการลงทุนของคนอื่น มาใช้กับตัวเรา
และมักเปลี่ยนกระทันหัน ตอนที่เรารู้สึกว่า ไม่ไหวแล้วเฟ้ยยยย
(หมายถึงตอนที่ อยู่ดีๆหุ้นลงหนัก หรืแ อยู่ดีๆหุ้นขึ้นเยอะๆ ก็ไหนเค้าบอกว่า เศรษฐกิจมันแย่อยู่ไง)
ถ้าย้อนกลับมาอ่านที่หนังสือ Beating the street จะพบว่า แม้คุณจะรวบรวมเซียนหุ้นอย่าง ปีเตอร์ ลินซ์ ไมเคิล ไพรซ์ จิม โรเจอร์ ฯลฯ
หลายครั้ง เรามักให้เหตุผลตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น
พี่มนมักพูดว่า "เรามักหาเหตุ มาใส่ผลที่เกิด หลายครั้งเราไม่ทราบหรอกว่า เหตุจริงๆคืออะไร แต่เราก็หาเหตุมาใส่"
ผมคิดว่า จริงๆ คนเก่งๆในโลกการลงทุนมีมากมายครับ หลายคนคำนวนนู่นนี่แม่นยำ รู้จักบริษัทดีมากๆ
ผมเคยคุยกับ CEO บริษัทใหญ่บางคนโดยบังเอิญ เค้ารู้ทุกอย่างของบริษัท
แต่เค้ายังกลัวว่า มันจะไม่เป็นอย่างที่เค้ารู้
จริงๆธุรกิจ กับความไม่แน่นอน เป็นสิ่งคู่กันครับ(ลองอ่านจากหนังสือ เริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว ของพี่โจ๊กดูนะครับ ^^)
แต่ความไม่แน่นอน เป็นเพื่อนกับนักลงทุนเสมอครับ
หลายครั้งกว่าเราจะรู้ว่า ผลของการกระทำของเราจะเป็นอย่างไร ก็ต่อเมื่อ เวลามันผ่านไปแล้ว
แต่ถ้าเราสนุกกับการเรียนรู้ และนำสิ่งที่ได้มาปรับปรุง นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ผมว่า มันเป็นสิ่งดีมากๆนะครับ
โดยส่วนตัว ผมมี core idea อยู่ในใจ
ผมเริ่มใช้ ทดลอง และพิสูจน์ดู
ไปๆมาๆ ผมว่า มันโอเคนะครับ core idea ของผมก็คือการลงทุนแบบ fundamental แหละครับ
เพื่อนๆคงอ่านกันจนเบื่อแล้ว(เวปนี้มีข้อเขียนเหล่านี้เต็มไปหมด)
เพียงแต่ว่า การลงทุนเป็นศิลปะครับ
คนที่เรียนศิลปะร่วมกันมา ถ้าให้เค้าทำงานศิลปะสิ่งเดียวกัน
เช่นวาดรูปบ้านๆเดียวกัน
คนหลายๆคนก็วาดไม่เหมือนกันครับ
การลงทุนก็เช่นเดียวกันครับ
เลือกลงทุนในสิ่งที่ตนเองถนัด และอย่าลืมแบ่งเวลาไปกับสิ่งอื่นๆที่มีประโยชน์บ้าง
ให้เวลากับคนอื่นๆในครอบครัว กับคนรอบข้าง และสังคมบ้าง
ขอบคุณพี่มน และพื่ๆเพื่อนๆ น้องๆทุกๆท่านที่ร่วมกันสร้างเวปนี้ขึ้นมาครับ
สังคมจะดีได้ เราต้องช่วยสร้างสรรค์สิ่งดีๆขึ้นมา โดยเริ่มที่ตัวเราเองก่อนครับ
มีความสุขกับการลงทุนนะครับ
ปล.สิ่งหนึ่งที่ทำให้สติของเราเสียได้ นั่นคือการจ้องตัวเลขที่วิ่งๆกัน
หลายครั้ง ปรมาจารย์จึงบอกว่า หยุดดูราคาหุ้น real time ซะบ้างก็ดีนะ
หลายครั้งมันทำยาก แต่ต้องทำ
เพราะไม่เช่นนั้น เซียนหุ้น ก็คงทำผลตอบแทนได้แพ้เด็กประถม หรือ ซื้อหุ้นตามการปาเป้าของลิงครับ
ผมได้รับบทเรียนนี้มาแล้วหลายครั้งครับ ^^
ปล.2 ประโยคเด็ดในหน้า 145 ของหนังสือ ลงทุนสวนกระแสอย่าง....แอนโทนี่ โบลตัน แปลโดยพี่ WEB
คือ
เมื่อคุณมองไปในสถานการณ์อันเลวร้าย
และคุณรู้สึกว่า ระบบการเงินกำลังจะล่มสลาย
และคงไม่มีใครต้องการซื้หุ้นอีกแล้ว
นั่นแหละคือจุดที่ตลาดจะกลับตัว
ปล.3 สุดท้ายล่ะค้าบบบ ><
จากหนังสือ วัดมูลค่าหุ้นฯ ของพี่สุมาอี้(พี่โจ๊ก นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์)
ข้อที่3 ....
เรือทุกลำต้องเผชิญพายุเหมือนกันหมด
จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุด แทนที่จะพยายามคาดเดาว่าพายุจะมาเมื่อไหร่
ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนเรื่องการลงทุน และคติที่ได้จากการลงทุนไว้เมื่อ กค. 2552 ครับ
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... 29&gblog=1
วันนี้ตื่นขึ้นมา หลังจากทำงานบ้านได้สักพัก ผมกลับมาอ่านหนังสือ Beating the street แล้วก็มาอ่านบทที่เขียนเกี่ยวกับ ความกังวลในช่วงสุดสัปดาห์
เมื่อคืนผมพึ่งเห็นข่าว Dow Jones ตก มากที่สุดตั้งแต่ต้นปี(พึ่งผ่านปีใหม่มาได้ 2 เดือนนิดๆ )
มีคนบอกว่า เค้ากังวลเรื่อง วิกฤติหนี้ยุโรป และกรีซ อีกแล้ว
ตกลงเมื่อไหร่จะจบเสียที
คำตอบที่ผมคิดได้ก็คือ
... จริงๆเราไม่ทราบหรอกครับ ว่าเมื่อไหร่ปัญหานี้มันจะจบ
และเมื่อปัญหานี้จบแล้ว จะมีปัญหาอื่นๆตามมาหรือไม่ และจะเกิดเมื่อไหร่
อาจารย์ของผม(พี่มนตรี นิพิฐวิทยา) เคยสอนผมไว้ว่า ให้บริหารความโลภ ให้พอๆกับ ความรู้ที่เรามี
มันเป็นความจริงอย่างหนึ่งเลยนะครับ
เพราะเวลา ตลาดร่วงลงมา เวลามีความกลัวเกิดขึ้น สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ดี กลับหายไป
ความมั่นใจในตัวเองมันจืดจาง
เช่นกันพอตลาดกลับมาดูดี หุ้นกลับมาขึ้นมากๆแล้ว เรามักจะบอกว่า รู้งี้ฯ(รู้อพไรไม่สู้เท่า รู้งี้ )
แล้วนักลงทุนธรรมดาๆอย่างเราจะทำอย่างไรล่ะ
เวลาแบบนี้ ผมมักย้อนกลับมาที่ หลักการลงทุนที่ผมใช้
ผมรู้สึกได้ถึง ความความรู้สึกไม่มั่นใจในหลักการลงทุนที่ตนเองเคยใช้
ยิ่งฟัง ยิ่งอ่าน Big name ยิ่งเค้าบอกว่า หุ้นตัวนี้ไม่รีบขาย ระวังจะเสียจายยยย
(ไม่รีบล้าง port ตอน 380 จุด ระวังจะแย่น้า 555 ลงมา 2 ทีแล้ว .... ผมโดนแบบนี้อ่ะ ไม่ได้อยากขอความเห็นเล้ย)
ผมไม่เคยดูถูกตลาดเลยครับ เพราะจริงๆตลาดก็คือ การรวมกันของการกระทำของคนเป็นหลายๆล้านคน
แค่เราเดาความคิดของคนข้างๆเพียงไม่กี่คน เรายังเดาเค้าไม่ออกเลยครับ
แล้วเราจะเดา Mr Market ได้อย่างไร
บางคนใช้กราฟ(Technical Investment)
บางคนใช้ Fundamental Investmant
ผมว่า ใช้อะไรก็ได้ที่เหมาะสมกับเรา ที่เราถนัด
ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ผมพบคือ เรามักนำหลักการลงทุนของคนอื่น มาใช้กับตัวเรา
และมักเปลี่ยนกระทันหัน ตอนที่เรารู้สึกว่า ไม่ไหวแล้วเฟ้ยยยย
(หมายถึงตอนที่ อยู่ดีๆหุ้นลงหนัก หรืแ อยู่ดีๆหุ้นขึ้นเยอะๆ ก็ไหนเค้าบอกว่า เศรษฐกิจมันแย่อยู่ไง)
ถ้าย้อนกลับมาอ่านที่หนังสือ Beating the street จะพบว่า แม้คุณจะรวบรวมเซียนหุ้นอย่าง ปีเตอร์ ลินซ์ ไมเคิล ไพรซ์ จิม โรเจอร์ ฯลฯ
หลายครั้ง เรามักให้เหตุผลตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น
พี่มนมักพูดว่า "เรามักหาเหตุ มาใส่ผลที่เกิด หลายครั้งเราไม่ทราบหรอกว่า เหตุจริงๆคืออะไร แต่เราก็หาเหตุมาใส่"
ผมคิดว่า จริงๆ คนเก่งๆในโลกการลงทุนมีมากมายครับ หลายคนคำนวนนู่นนี่แม่นยำ รู้จักบริษัทดีมากๆ
ผมเคยคุยกับ CEO บริษัทใหญ่บางคนโดยบังเอิญ เค้ารู้ทุกอย่างของบริษัท
แต่เค้ายังกลัวว่า มันจะไม่เป็นอย่างที่เค้ารู้
จริงๆธุรกิจ กับความไม่แน่นอน เป็นสิ่งคู่กันครับ(ลองอ่านจากหนังสือ เริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว ของพี่โจ๊กดูนะครับ ^^)
แต่ความไม่แน่นอน เป็นเพื่อนกับนักลงทุนเสมอครับ
หลายครั้งกว่าเราจะรู้ว่า ผลของการกระทำของเราจะเป็นอย่างไร ก็ต่อเมื่อ เวลามันผ่านไปแล้ว
แต่ถ้าเราสนุกกับการเรียนรู้ และนำสิ่งที่ได้มาปรับปรุง นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ผมว่า มันเป็นสิ่งดีมากๆนะครับ
โดยส่วนตัว ผมมี core idea อยู่ในใจ
ผมเริ่มใช้ ทดลอง และพิสูจน์ดู
ไปๆมาๆ ผมว่า มันโอเคนะครับ core idea ของผมก็คือการลงทุนแบบ fundamental แหละครับ
เพื่อนๆคงอ่านกันจนเบื่อแล้ว(เวปนี้มีข้อเขียนเหล่านี้เต็มไปหมด)
เพียงแต่ว่า การลงทุนเป็นศิลปะครับ
คนที่เรียนศิลปะร่วมกันมา ถ้าให้เค้าทำงานศิลปะสิ่งเดียวกัน
เช่นวาดรูปบ้านๆเดียวกัน
คนหลายๆคนก็วาดไม่เหมือนกันครับ
การลงทุนก็เช่นเดียวกันครับ
เลือกลงทุนในสิ่งที่ตนเองถนัด และอย่าลืมแบ่งเวลาไปกับสิ่งอื่นๆที่มีประโยชน์บ้าง
ให้เวลากับคนอื่นๆในครอบครัว กับคนรอบข้าง และสังคมบ้าง
ขอบคุณพี่มน และพื่ๆเพื่อนๆ น้องๆทุกๆท่านที่ร่วมกันสร้างเวปนี้ขึ้นมาครับ
สังคมจะดีได้ เราต้องช่วยสร้างสรรค์สิ่งดีๆขึ้นมา โดยเริ่มที่ตัวเราเองก่อนครับ
มีความสุขกับการลงทุนนะครับ
ปล.สิ่งหนึ่งที่ทำให้สติของเราเสียได้ นั่นคือการจ้องตัวเลขที่วิ่งๆกัน
หลายครั้ง ปรมาจารย์จึงบอกว่า หยุดดูราคาหุ้น real time ซะบ้างก็ดีนะ
หลายครั้งมันทำยาก แต่ต้องทำ
เพราะไม่เช่นนั้น เซียนหุ้น ก็คงทำผลตอบแทนได้แพ้เด็กประถม หรือ ซื้อหุ้นตามการปาเป้าของลิงครับ
ผมได้รับบทเรียนนี้มาแล้วหลายครั้งครับ ^^
ปล.2 ประโยคเด็ดในหน้า 145 ของหนังสือ ลงทุนสวนกระแสอย่าง....แอนโทนี่ โบลตัน แปลโดยพี่ WEB
คือ
เมื่อคุณมองไปในสถานการณ์อันเลวร้าย
และคุณรู้สึกว่า ระบบการเงินกำลังจะล่มสลาย
และคงไม่มีใครต้องการซื้หุ้นอีกแล้ว
นั่นแหละคือจุดที่ตลาดจะกลับตัว
ปล.3 สุดท้ายล่ะค้าบบบ ><
จากหนังสือ วัดมูลค่าหุ้นฯ ของพี่สุมาอี้(พี่โจ๊ก นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์)
ข้อที่3 ....
เรือทุกลำต้องเผชิญพายุเหมือนกันหมด
จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุด แทนที่จะพยายามคาดเดาว่าพายุจะมาเมื่อไหร่
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 2
ข้อเขียนของพี่มน ที่ผมอยากแนะนำให้เพื่อนๆอ่านครับ ^^
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... 17&gblog=4
อย่าจับจังหวะตลาด : พี่มนตรี นิพิฐวิทยา
แนว คิดง่ายๆที่นักลงทุนหลายๆท่านต่างก็เข้าใจ และพยายามทำให้ได้ในทุกครั้งที่ซื้อขายหุ้นคือ “ซื้อหุ้นตอนที่ยังถูกและขายตอนแพง” แต่พอเอาเข้าจริงทำกันไม่ค่อยได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำพูดว่า “ติดดอย และขายหมู” แน่นอน
ดังนั้น ผมขอบอกไว้ก่อนว่า ยุทธศาสตร์ข้อนี้ “เป็นแนวคิดง่ายๆ แต่ยากในการปฏิบัติ” !!
คง มีไม่กี่ครั้งที่เราสามารถซื้อขายได้ถูกเวลา เราอาจซื้อได้ถูกในบางครั้งแต่นั้นไม่ใช่เพราะเราประเมินราคาได้อย่างถูก ต้อง แต่เป็นเพราะเราโชคดี และตอนขายนี่ยากกว่าตอนซื้อมากนัก และมักจะขายแล้วราคายังขึ้นต่อ นำความเจ็บช้ำน้ำใจมาสู่เราได้ตลอดเวลา
จาก การศึกษาแล้ว การจับจังหวะเข้าซื้อหรือขายนั้นหากทำได้จะสร้างผลตอบแทนได้อย่างมหาศาล และมากกว่าเทคนิคการลงทุนใดๆทั้งปวง แต่ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ ฉะนั้น ที่หลายต่อหลายท่านมักถามผมว่า “ตอนนี้ตอนนั้น ตลาดจะเป็นอย่างไร? ซื้อได้ไหม?” ผมตอบเหมือนเดิมเหมือนเมื่อสิบปีที่แล้วครับ คือ “รู้ก็ดีซิ ไม่มาบอกฟรีๆหรอก ทำเป็นข้อมูลขายดีกว่า”
ไม่ได้กวนจริงๆ ที่ตอบอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้ ถ้ารู้ผมคงรวยโดยไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ขายคำทำนายก็รวยแล้ว สรุปก็คือ การจับจังหวะตลาดนั้นทำได้ยากมาก และโอกาสถูกต้องนั้นก็น้อยมากๆเช่นกัน
แล้วถ้าเป็นอย่างนี้จะทำ อย่างไร? กำปั้นทุบดินครับ ก็ไม่ได้ไปใส่ใจกับตลาด เพราะเราไม่ได้ซื้อหุ้นทั้งตลาด เราซื้อหุ้นรายบริษัทที่เราวิเคราะห์แล้วว่าดี และใช้วิธีรอราคาถูกๆ หรือเฉลี่ยซื้อไปเรื่อยๆ ขายก็เช่นกัน เกินราคาที่ประเมินไว้แล้วก็ทยอยขาย
ที่ ทำอย่างนี้เพราะธรรมชาติของตลาดสินทรัพย์ทางการเงินทุกชนิดมีลักษณะตามแห่ ครับ สังเกตให้ดี เมื่อราคาหุ้นขึ้นจะมีคนมาแย่งกันซื้อ แต่ถ้าราคาลงก็แย่งกันขาย และถ้าความมั่นใจของนักลงทุนในตลาดปรับสูงขึ้นพร้อมๆกันเมื่อไร สังเกตให้ดีครับ ไม่นานตลาดจะปรับลง และต่อให้หุ้นมีพื้นฐานดีอย่างไร ราคาหุ้นนั้นก็ลงตามตลาดด้วย เป็นอย่างนี้มาตลอด กฎข้อนี้ถือว่าตายตัว เพราะเป็นนิสัยถาวรของมนุษย์ทุกคน คือ “โลภ และ กลัว”
และขอให้ สังเกตอีกครั้งว่า เมื่อตลาดหุ้นอยู่ในสภาพที่ไม่ดี เราจะเห็นว่ามีการซื้อขายน้อยมาก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม นักลงทุนต่างก็นั่งทับเงินเอาไว้ก่อน
แน่นอนทุกคนมักจะพูดว่า “ฉันใช้วิธีซื้อถูกๆและขายตอนแพง” ด้วยกันทั้งนั้น แต่พอหุ้นลงต่างก็นั่งนิ่งๆรอให้ตลาดดูดีก่อนแล้วค่อยซื้อหุ้น ซึ่งนั้นก็คือตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว ราคาหุ้นตัวที่น่าสนใจก็ปรับขึ้นแล้วเช่นกัน และนักลงทุนหลายๆคนก็มักจะสนใจหุ้นที่ปรับตัวดีขึ้นกันทั้งนั้น ผลตอบแทนที่เรามักจะได้คือ ผลตอบแทนค่าเฉลี่ยเหมือนกันกับทุกๆคนที่ซื้อหุ้นตอนตลาดดีๆ
หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “เราจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด หากเราคอยจับจังหวะตลาด” และถ้าหากเราคอยซื้อเมื่อตลาดดีแล้ว นั่นหมายถึงมีคนซื้อมาก่อนหน้าเรามากแล้ว ราคาหุ้นนั้นอาจจะกำลังแพงเกินไปแล้วก็ได้ กรณีนี้มีความเสี่ยงสูงที่หุ้นนั้นกำลังถูกขายทำกำไรในอีกไม่นานนี้
เบน จามิน เกรแฮม บิดาแห่งการวิเคราะห์หลักทรัพย์ ผู้แต่งตำราคลาสสิคเรื่อง นักลงทุนผู้ชาญฉลาด หรือ Intelligent Investor และ การวิเคราะห์หลักทรัพย์ หรือ Security Analysis ได้กล่าวไว้ว่า
“ให้ซื้อหุ้นเมื่อหลายๆ คน…รวมถึงผู้เชี่ยวชาญต่างๆ…มีความคิดในแง่ร้ายต่อตลาด และขายเมื่อพวกเขาเหล่านั้นมีความคิดต่อตลาดในเชิงบวกมากๆ”
เบอร์นา ร์ด บารัค อดีตที่ปรึกษาประธานาธิปดีสหรัฐฯที่ประสบความสำเร็จท่านหนึ่งในประวัติ ศาสตร์ กล่าวไว้ว่า “อย่าทำอะไรตามฝูงชนเป็นอันขาด”
พฤติกรรมทำอะไร ตามๆกันนั้นเป็นธรรมชาติของสัตว์หลายๆชนิด รวมถึงมนุษย์ด้วย อาจเป็นการยากสำหรับพวกเราที่จะทำอะไรสวนกระแส หลายครั้งหลายหนอาจจะถูกมองว่า “เพี้ยน” ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน เช่น การซื้อหุ้นตอนที่ชาวบ้านเขาขายหรือช่วงที่ตลาดตกต่ำย่ำแย่ และขายตอนที่ตลาดยังดูดี หรือตอนที่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหุ้นยังคงแนะนำให้ซื้อหุ้น และยังคงเชื่อว่าหุ้นจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆก็ตาม
สังเกตให้ดีครับ เมื่อทุกคน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างออกมาบอกว่า ตลาดจะขึ้นไปที่นั่นที่นี่ จากนั้นไม่นาน ตลาดจะปรับฐาน หรือไม่ก็ลงอย่างรุนแรง แต่ถ้าพวกเขายังมีความเห็นที่ระมัดระวังอยู่ หุ้นจะยังไม่ไปไหน
เห็นไหมครับ ว่าเป็นแนวคิดง่ายๆ “ซื้อตอนถูก ขายตอนแพง” แต่ปฏิบัติได้ยากจริงๆ !!!
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... 17&gblog=4
อย่าจับจังหวะตลาด : พี่มนตรี นิพิฐวิทยา
แนว คิดง่ายๆที่นักลงทุนหลายๆท่านต่างก็เข้าใจ และพยายามทำให้ได้ในทุกครั้งที่ซื้อขายหุ้นคือ “ซื้อหุ้นตอนที่ยังถูกและขายตอนแพง” แต่พอเอาเข้าจริงทำกันไม่ค่อยได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำพูดว่า “ติดดอย และขายหมู” แน่นอน
ดังนั้น ผมขอบอกไว้ก่อนว่า ยุทธศาสตร์ข้อนี้ “เป็นแนวคิดง่ายๆ แต่ยากในการปฏิบัติ” !!
คง มีไม่กี่ครั้งที่เราสามารถซื้อขายได้ถูกเวลา เราอาจซื้อได้ถูกในบางครั้งแต่นั้นไม่ใช่เพราะเราประเมินราคาได้อย่างถูก ต้อง แต่เป็นเพราะเราโชคดี และตอนขายนี่ยากกว่าตอนซื้อมากนัก และมักจะขายแล้วราคายังขึ้นต่อ นำความเจ็บช้ำน้ำใจมาสู่เราได้ตลอดเวลา
จาก การศึกษาแล้ว การจับจังหวะเข้าซื้อหรือขายนั้นหากทำได้จะสร้างผลตอบแทนได้อย่างมหาศาล และมากกว่าเทคนิคการลงทุนใดๆทั้งปวง แต่ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ ฉะนั้น ที่หลายต่อหลายท่านมักถามผมว่า “ตอนนี้ตอนนั้น ตลาดจะเป็นอย่างไร? ซื้อได้ไหม?” ผมตอบเหมือนเดิมเหมือนเมื่อสิบปีที่แล้วครับ คือ “รู้ก็ดีซิ ไม่มาบอกฟรีๆหรอก ทำเป็นข้อมูลขายดีกว่า”
ไม่ได้กวนจริงๆ ที่ตอบอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้ ถ้ารู้ผมคงรวยโดยไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ขายคำทำนายก็รวยแล้ว สรุปก็คือ การจับจังหวะตลาดนั้นทำได้ยากมาก และโอกาสถูกต้องนั้นก็น้อยมากๆเช่นกัน
แล้วถ้าเป็นอย่างนี้จะทำ อย่างไร? กำปั้นทุบดินครับ ก็ไม่ได้ไปใส่ใจกับตลาด เพราะเราไม่ได้ซื้อหุ้นทั้งตลาด เราซื้อหุ้นรายบริษัทที่เราวิเคราะห์แล้วว่าดี และใช้วิธีรอราคาถูกๆ หรือเฉลี่ยซื้อไปเรื่อยๆ ขายก็เช่นกัน เกินราคาที่ประเมินไว้แล้วก็ทยอยขาย
ที่ ทำอย่างนี้เพราะธรรมชาติของตลาดสินทรัพย์ทางการเงินทุกชนิดมีลักษณะตามแห่ ครับ สังเกตให้ดี เมื่อราคาหุ้นขึ้นจะมีคนมาแย่งกันซื้อ แต่ถ้าราคาลงก็แย่งกันขาย และถ้าความมั่นใจของนักลงทุนในตลาดปรับสูงขึ้นพร้อมๆกันเมื่อไร สังเกตให้ดีครับ ไม่นานตลาดจะปรับลง และต่อให้หุ้นมีพื้นฐานดีอย่างไร ราคาหุ้นนั้นก็ลงตามตลาดด้วย เป็นอย่างนี้มาตลอด กฎข้อนี้ถือว่าตายตัว เพราะเป็นนิสัยถาวรของมนุษย์ทุกคน คือ “โลภ และ กลัว”
และขอให้ สังเกตอีกครั้งว่า เมื่อตลาดหุ้นอยู่ในสภาพที่ไม่ดี เราจะเห็นว่ามีการซื้อขายน้อยมาก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม นักลงทุนต่างก็นั่งทับเงินเอาไว้ก่อน
แน่นอนทุกคนมักจะพูดว่า “ฉันใช้วิธีซื้อถูกๆและขายตอนแพง” ด้วยกันทั้งนั้น แต่พอหุ้นลงต่างก็นั่งนิ่งๆรอให้ตลาดดูดีก่อนแล้วค่อยซื้อหุ้น ซึ่งนั้นก็คือตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว ราคาหุ้นตัวที่น่าสนใจก็ปรับขึ้นแล้วเช่นกัน และนักลงทุนหลายๆคนก็มักจะสนใจหุ้นที่ปรับตัวดีขึ้นกันทั้งนั้น ผลตอบแทนที่เรามักจะได้คือ ผลตอบแทนค่าเฉลี่ยเหมือนกันกับทุกๆคนที่ซื้อหุ้นตอนตลาดดีๆ
หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “เราจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด หากเราคอยจับจังหวะตลาด” และถ้าหากเราคอยซื้อเมื่อตลาดดีแล้ว นั่นหมายถึงมีคนซื้อมาก่อนหน้าเรามากแล้ว ราคาหุ้นนั้นอาจจะกำลังแพงเกินไปแล้วก็ได้ กรณีนี้มีความเสี่ยงสูงที่หุ้นนั้นกำลังถูกขายทำกำไรในอีกไม่นานนี้
เบน จามิน เกรแฮม บิดาแห่งการวิเคราะห์หลักทรัพย์ ผู้แต่งตำราคลาสสิคเรื่อง นักลงทุนผู้ชาญฉลาด หรือ Intelligent Investor และ การวิเคราะห์หลักทรัพย์ หรือ Security Analysis ได้กล่าวไว้ว่า
“ให้ซื้อหุ้นเมื่อหลายๆ คน…รวมถึงผู้เชี่ยวชาญต่างๆ…มีความคิดในแง่ร้ายต่อตลาด และขายเมื่อพวกเขาเหล่านั้นมีความคิดต่อตลาดในเชิงบวกมากๆ”
เบอร์นา ร์ด บารัค อดีตที่ปรึกษาประธานาธิปดีสหรัฐฯที่ประสบความสำเร็จท่านหนึ่งในประวัติ ศาสตร์ กล่าวไว้ว่า “อย่าทำอะไรตามฝูงชนเป็นอันขาด”
พฤติกรรมทำอะไร ตามๆกันนั้นเป็นธรรมชาติของสัตว์หลายๆชนิด รวมถึงมนุษย์ด้วย อาจเป็นการยากสำหรับพวกเราที่จะทำอะไรสวนกระแส หลายครั้งหลายหนอาจจะถูกมองว่า “เพี้ยน” ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน เช่น การซื้อหุ้นตอนที่ชาวบ้านเขาขายหรือช่วงที่ตลาดตกต่ำย่ำแย่ และขายตอนที่ตลาดยังดูดี หรือตอนที่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหุ้นยังคงแนะนำให้ซื้อหุ้น และยังคงเชื่อว่าหุ้นจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆก็ตาม
สังเกตให้ดีครับ เมื่อทุกคน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างออกมาบอกว่า ตลาดจะขึ้นไปที่นั่นที่นี่ จากนั้นไม่นาน ตลาดจะปรับฐาน หรือไม่ก็ลงอย่างรุนแรง แต่ถ้าพวกเขายังมีความเห็นที่ระมัดระวังอยู่ หุ้นจะยังไม่ไปไหน
เห็นไหมครับ ว่าเป็นแนวคิดง่ายๆ “ซื้อตอนถูก ขายตอนแพง” แต่ปฏิบัติได้ยากจริงๆ !!!
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 3
วันนี้ผมพึ่งจะได้ฟังคลิปเสียง ของท่านอาจารย์นิเวศน์ ในคลิปนี้ครับ
http://www.youtube.com/watch?v=Z2dRxt6s ... ture=share
อ่านร่วมกับข้อเขียนของ อาจารย์ ในวันที่ 6 กพ. 2555 แล้วน่าจะเติมเต็มท่านผู้อ่าน ได้มากพอสมควรครับ
ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=51431
http://www.youtube.com/watch?v=Z2dRxt6s ... ture=share
อ่านร่วมกับข้อเขียนของ อาจารย์ ในวันที่ 6 กพ. 2555 แล้วน่าจะเติมเต็มท่านผู้อ่าน ได้มากพอสมควรครับ
ตามรอยบัฟเฟตต์/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=51431
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 5
หลายครั้งเราจึง
- ไม่คาดเดาตลาด แต่อย่าดูถูกตลาดจนประมาทจนเกินไป
- เราคิด ผิดได้เสมอ ถ้าเราคิดผิด เราจะทำอย่างไร ถ้าเราคิดถูกจะทำอย่างไร เราควรมี strategy ไว้คร่าวๆล่วงหน้าครับ เพราะหลายครั้ง เวลาที่เราเจอสิ่งไม่คาดฝัน เราคิดอะไรไม่ค่อยออก
(คตินี้ ผมประยุกต์มาจากชีทของพี่โจ๊ก เมื่อปี 2552ครับ)
- รักษาระยะห่างระหว่างตัวเรา กับ ตลาดหุ้นให้เหมาะสมครับ
ขอบคุณที่ร่วมแชร์ความคิดเห็นนะครับ โพสต์อยู่คนเดียว น่าเบื่อแย่เลยครับ
- ไม่คาดเดาตลาด แต่อย่าดูถูกตลาดจนประมาทจนเกินไป
- เราคิด ผิดได้เสมอ ถ้าเราคิดผิด เราจะทำอย่างไร ถ้าเราคิดถูกจะทำอย่างไร เราควรมี strategy ไว้คร่าวๆล่วงหน้าครับ เพราะหลายครั้ง เวลาที่เราเจอสิ่งไม่คาดฝัน เราคิดอะไรไม่ค่อยออก
(คตินี้ ผมประยุกต์มาจากชีทของพี่โจ๊ก เมื่อปี 2552ครับ)
- รักษาระยะห่างระหว่างตัวเรา กับ ตลาดหุ้นให้เหมาะสมครับ
ขอบคุณที่ร่วมแชร์ความคิดเห็นนะครับ โพสต์อยู่คนเดียว น่าเบื่อแย่เลยครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 601
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 6
ความรู้สึกกับการลงทุนแยกกันยาก
ผมคิดว่าอะไรที่เขียนจากประสบการณ์นี่ดีกว่าการคำนวณเป็นไหนๆครับ
ผมคิดว่าอะไรที่เขียนจากประสบการณ์นี่ดีกว่าการคำนวณเป็นไหนๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1230
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 7
นักลงทุนถือหุ้นเต็มพอร์ทอาจกลัววิกฤติ แต่คนถือเงินสดชอบวิกฤติ และรอจังหวะเข้า
มองย้อนหลังกลับไป หลายคนเสียแต่หลายคนก็ได้กำไรกันมาก ๆ จากวิกฤติ
สำหรับตลาดทุนไทย ผมว่าวิกฤติบ้านเราเองน่ากลัวกว่าวิกฤติที่อเมริกา และยุโรป วิกฤติบ้านใครก็เป็นปัญหาใหญ่ของบ้านนั้น คนบ้านอื่นอาจได้รับผลกระทบ ก็เพียงทางอ้อม ความรุนแรงย่อมน้อยกว่า
แม้วีไอ จะถือหุ้นเต็มพอร์ท คิดให้ดี ก็น่าจะชอบวิกฤตินะครับ เพราะมักให้โอกาสเราได้ปรับพอร์ท กล่าวคือเป็นช่วงที่เราได้ซื้อหุ้นที่เราหมายตาไว้ ในราคาต่ำอย่างคาดไม่ถึง สุดท้ายเมื่อกลับสู่บรรยากาศปกติ ก็จะกลับมีกำไรมากกว่าที่คิด ครับ มองย้อนหลังกลับไป ก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง
มองย้อนหลังกลับไป หลายคนเสียแต่หลายคนก็ได้กำไรกันมาก ๆ จากวิกฤติ
สำหรับตลาดทุนไทย ผมว่าวิกฤติบ้านเราเองน่ากลัวกว่าวิกฤติที่อเมริกา และยุโรป วิกฤติบ้านใครก็เป็นปัญหาใหญ่ของบ้านนั้น คนบ้านอื่นอาจได้รับผลกระทบ ก็เพียงทางอ้อม ความรุนแรงย่อมน้อยกว่า
แม้วีไอ จะถือหุ้นเต็มพอร์ท คิดให้ดี ก็น่าจะชอบวิกฤตินะครับ เพราะมักให้โอกาสเราได้ปรับพอร์ท กล่าวคือเป็นช่วงที่เราได้ซื้อหุ้นที่เราหมายตาไว้ ในราคาต่ำอย่างคาดไม่ถึง สุดท้ายเมื่อกลับสู่บรรยากาศปกติ ก็จะกลับมีกำไรมากกว่าที่คิด ครับ มองย้อนหลังกลับไป ก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 9
วินัยในการลงทุนเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก
หลายครั้งที่เราละเลย เพราะติดกับการมองภาพในมุมกว้างมากจนเกินไป
หากเราจำกัดความเสี่ยงให้น้อยลง โดยเพิ่มข้อกำหนดในการลงทุน
ให้กับตนเองและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยลดความเสี่ยง
ในภาวะที่ตลาดผันผวนได้พอสมควรครับ
ที่สำคัญอย่าไปยึดติดกับความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ที่เคยเกิดขึ้น
จนทำให้ละเลยวินัยที่สำคัญในการลงทุนที่ตั้งไว้ไป
หลายครั้งที่เราละเลย เพราะติดกับการมองภาพในมุมกว้างมากจนเกินไป
หากเราจำกัดความเสี่ยงให้น้อยลง โดยเพิ่มข้อกำหนดในการลงทุน
ให้กับตนเองและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยลดความเสี่ยง
ในภาวะที่ตลาดผันผวนได้พอสมควรครับ
ที่สำคัญอย่าไปยึดติดกับความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ที่เคยเกิดขึ้น
จนทำให้ละเลยวินัยที่สำคัญในการลงทุนที่ตั้งไว้ไป
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- ake3004
- Verified User
- โพสต์: 511
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 10
sud yod kab Mor noon.
u r 1 of great VI kab.
when we listened to P Joke at SET, u've got much more detailed summary than me eek kab55.
มีความสุขกับการลงทุนนะครับ this is what i try to do.
u r 1 of great VI kab.
when we listened to P Joke at SET, u've got much more detailed summary than me eek kab55.
มีความสุขกับการลงทุนนะครับ this is what i try to do.
One up on SET
-
- Verified User
- โพสต์: 423
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 12
อย่างน้อยก็มีผมคนนึงแหละครับ ที่ชอบอ่านบทความแบบนี้ ผมว่านี่คือเสน่ห์ของที่นี่เลยครับ น้อยนักที่จะมีบอร์ดที่โพสน์ประสบการณ์และความรู้ ที่กลั่นกรองจากชีวิตจริงของนักลงทุน บทความแบบนี้มีค่ามากๆสำหรับนักลงทุนมือใหม่ โพสน์อีกเยอะๆเลยครับ ผมชอบมากครับมันแฝงด้วยข้อคิดดีๆและช่วยเตือนสติผมได้มากทีเดียว ขอบคุณมากครับnoooon010 เขียน: ....
เพื่อนๆคงอ่านกันจนเบื่อแล้ว(เวปนี้มีข้อเขียนเหล่านี้เต็มไปหมด)
....
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทางสายนี้คือ จิตใจที่มั่นคงและแน่วแน่.....ส่วนความรู้เป็นสิ่งที่สามารถไขว่คว้าเพื่อตามให้ทันผู้อื่นได้ สู้ต่อไป...
- n_milkka
- Verified User
- โพสต์: 43
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 13
ส่วนใหญ่พี่หมอนุ่น โพสต์ใน VI Know How ค่ะ
(เป็นเวปปิด)
นานๆจะมาเข้าเวปไทยวีไอสักที
(เป็นเวปปิด)
นานๆจะมาเข้าเวปไทยวีไอสักที
ทำสิ่งดีๆเถิด อย่าทำสิ่งที่ไม่ดีเลย
เพราะ....ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก
หลายคนใช้ชีวิตอย่างประมาท
หลายคนหาอะไรมาฆ่าเวลา
จนลืมไปว่า "ค่าของเวลาเป็นเช่นไร" คติของพี่ที่เคารพ ^^
เพราะ....ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก
หลายคนใช้ชีวิตอย่างประมาท
หลายคนหาอะไรมาฆ่าเวลา
จนลืมไปว่า "ค่าของเวลาเป็นเช่นไร" คติของพี่ที่เคารพ ^^
-
- Verified User
- โพสต์: 1455
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 15
สวยงามที่สุดnoooon010 เขียน:หลายครั้งเราจึง
- ไม่คาดเดาตลาด แต่อย่าดูถูกตลาดจนประมาทจนเกินไป
- เราคิด ผิดได้เสมอ ถ้าเราคิดผิด เราจะทำอย่างไร ถ้าเราคิดถูกจะทำอย่างไร เราควรมี strategy ไว้คร่าวๆล่วงหน้าครับ เพราะหลายครั้ง เวลาที่เราเจอสิ่งไม่คาดฝัน เราคิดอะไรไม่ค่อยออก
(คตินี้ ผมประยุกต์มาจากชีทของพี่โจ๊ก เมื่อปี 2552ครับ)
- รักษาระยะห่างระหว่างตัวเรา กับ ตลาดหุ้นให้เหมาะสมครับ
ขอบคุณที่ร่วมแชร์ความคิดเห็นนะครับ โพสต์อยู่คนเดียว น่าเบื่อแย่เลยครับ
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่าน เข้ามาแชร์ประสบการณ์นะครับผม
ขอบคุณพี่มานพมากๆ สำหรับคำแนะนำดีๆไม่กี่ประโยคที่ทำให้ คนเขลาๆอย่างผมไม่สนใจคำทำนานยตลาดหุ้นของเซียนหลายๆท่าน
ขอบคุณพี่มนที่สอนให้ผม รู้จักคิดเอง ครับ
ขอบคุณพี่มานพมากๆ สำหรับคำแนะนำดีๆไม่กี่ประโยคที่ทำให้ คนเขลาๆอย่างผมไม่สนใจคำทำนานยตลาดหุ้นของเซียนหลายๆท่าน
ขอบคุณพี่มนที่สอนให้ผม รู้จักคิดเอง ครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 19
หลายวันก่่อนได้มีโอกาสพูดคุยกับนักลงทุนคนหนึ่งครับ เค้ามาถามว่า น้องลงทุนด้วยเหรอ เคยฟังนักวิเคราะห์ คนไหนมาบ้างไหม
ชอบนักวิเคราะห์คนไหนเป็นการพิเศษ
วันจันทร์ ตัวไหนดี ฯลฯ
ผมคุยกับเค้า แล้วผมลองสอบถามเค้าดู พบว่า
- เค้าไม่ชอบอ่านหนังสือเลย ไม่ชอบมากๆ
ต้องการแค่ คนที่เข้ามาพูดให้ฟัง
จากที่ผ่านมา เค้าเสียค่า broker เป็นหลัก 7 - 8 หลัก เพราะบางครั้ง เทรด ไม่เกิน 2 นาที ดูไม่ดีก็ขายเกือบหมด port ล่ะ
พอขายปั๊บ ทำไมมันวิ่งกลับขึ้นมา
..... พอคุยกับเค้า ผมทราบอีกว่า เค้าทนไม่ได้ เวลาเห็น "ราคาหุ้น" วิ่ง ขึ้นลง
จริงๆเค้าเป็นอดีตพนักงาน และเป็นผู้ถือหุ้นตั้งแต่บริษัทใหญ่มว้ากกกแห่งหนึ่งของประเทศก่อตั้งขึ้น
เค้ารอบรู้เรื่อง ธุรกิจมากพอสมควร แม้จะอ่านงบการเงินไม่เป็น
เค้าบอกว่า ไม่ใช่นักบัญชี ไม่เคยเรียน finance จะอ่านเป็นได้อย่างไร
******************************************************************
จริงๆการที่เราจะเป็นนักลงทุน คนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญมากๆ คือ การอ่านครับ
พี่ขาว เคยเขียนบทความของคุณ Invisible Hand ไว้ ในกระทู้นี้ครับ
คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็น VI ครับ (โดยคุณ Invisible hand)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=20&t=24502
ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง ไม่เป็นไรครับ
เพียงเราลองพยายามทำตาม
เราจะรู้จักตัวเราเองว่า เราทำข้อนี้ได้ เพราะอะไร ทำไม่ได้เพราะอะไร
แล้วมาปรับเปลี่ยน มาประยุกต์ให้เหมาะกับตัวเราเองครับ
หลายครั้ง เราไม่ทราบว่า หนังสือที่เค้าแนะนำกันตาม web board จะดี จะเหมาะกับเราไหม
เราจะอ่านเข้าใจไหม
ผมมีคำแนะนำของพี่โจ๊ก ในการเลือกหนังสือมาฝากครับ
วิธีการเลือกหนังสือที่จะอ่านอย่างง่ายๆ จากการคุยกับพี่โจ๊ก
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 75#p976475
จากกรณีศึกษาข้างต้น
หากลองไปคิดดู เราจะทราบว่า ราคาหุ้น หรือที่ Warren Buffett เรียกว่า Mr.Market ทำให้ การตัดสินใจในการลงทุนของเรารวนได้ครับ
เวลาว่างๆ เราลองมาคิดดูว่า เราจะทำอย่างไรเมื่อเราเจอ Mr.market ที่เค้าจะมาเคาะประตูบ้านเราทุกวัน
ลงทุนให้สนุก และสบายใจ ไม่ใช่เพียงการปล่อยวาง
แต่มันคือการ คิด วางแผนล่วงหน้า ว่าถ้าเกิดเหุึตการณ์นั้นๆขึ้น เราจะทำอย่างไร
หากอาชีพของเราไม่สามารถตามราคาหุ้น หรือแม้แต่ตามพื้นฐานกิจการได้ใกล้ชิด เราจะทำอย่างไร
และจริงๆ การตามอย่างพอเหมาะ พอควร สำหรับเราคืออะไร
ตัวเราเองจะเป็นผู้ให้คำตอบของตัวเราครับ
มีความสุขกับการลงทุนครับ
ชอบนักวิเคราะห์คนไหนเป็นการพิเศษ
วันจันทร์ ตัวไหนดี ฯลฯ
ผมคุยกับเค้า แล้วผมลองสอบถามเค้าดู พบว่า
- เค้าไม่ชอบอ่านหนังสือเลย ไม่ชอบมากๆ
ต้องการแค่ คนที่เข้ามาพูดให้ฟัง
จากที่ผ่านมา เค้าเสียค่า broker เป็นหลัก 7 - 8 หลัก เพราะบางครั้ง เทรด ไม่เกิน 2 นาที ดูไม่ดีก็ขายเกือบหมด port ล่ะ
พอขายปั๊บ ทำไมมันวิ่งกลับขึ้นมา
..... พอคุยกับเค้า ผมทราบอีกว่า เค้าทนไม่ได้ เวลาเห็น "ราคาหุ้น" วิ่ง ขึ้นลง
จริงๆเค้าเป็นอดีตพนักงาน และเป็นผู้ถือหุ้นตั้งแต่บริษัทใหญ่มว้ากกกแห่งหนึ่งของประเทศก่อตั้งขึ้น
เค้ารอบรู้เรื่อง ธุรกิจมากพอสมควร แม้จะอ่านงบการเงินไม่เป็น
เค้าบอกว่า ไม่ใช่นักบัญชี ไม่เคยเรียน finance จะอ่านเป็นได้อย่างไร
******************************************************************
จริงๆการที่เราจะเป็นนักลงทุน คนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญมากๆ คือ การอ่านครับ
พี่ขาว เคยเขียนบทความของคุณ Invisible Hand ไว้ ในกระทู้นี้ครับ
คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็น VI ครับ (โดยคุณ Invisible hand)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=20&t=24502
ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง ไม่เป็นไรครับ
เพียงเราลองพยายามทำตาม
เราจะรู้จักตัวเราเองว่า เราทำข้อนี้ได้ เพราะอะไร ทำไม่ได้เพราะอะไร
แล้วมาปรับเปลี่ยน มาประยุกต์ให้เหมาะกับตัวเราเองครับ
หลายครั้ง เราไม่ทราบว่า หนังสือที่เค้าแนะนำกันตาม web board จะดี จะเหมาะกับเราไหม
เราจะอ่านเข้าใจไหม
ผมมีคำแนะนำของพี่โจ๊ก ในการเลือกหนังสือมาฝากครับ
วิธีการเลือกหนังสือที่จะอ่านอย่างง่ายๆ จากการคุยกับพี่โจ๊ก
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 75#p976475
จากกรณีศึกษาข้างต้น
หากลองไปคิดดู เราจะทราบว่า ราคาหุ้น หรือที่ Warren Buffett เรียกว่า Mr.Market ทำให้ การตัดสินใจในการลงทุนของเรารวนได้ครับ
เวลาว่างๆ เราลองมาคิดดูว่า เราจะทำอย่างไรเมื่อเราเจอ Mr.market ที่เค้าจะมาเคาะประตูบ้านเราทุกวัน
ลงทุนให้สนุก และสบายใจ ไม่ใช่เพียงการปล่อยวาง
แต่มันคือการ คิด วางแผนล่วงหน้า ว่าถ้าเกิดเหุึตการณ์นั้นๆขึ้น เราจะทำอย่างไร
หากอาชีพของเราไม่สามารถตามราคาหุ้น หรือแม้แต่ตามพื้นฐานกิจการได้ใกล้ชิด เราจะทำอย่างไร
และจริงๆ การตามอย่างพอเหมาะ พอควร สำหรับเราคืออะไร
ตัวเราเองจะเป็นผู้ให้คำตอบของตัวเราครับ
มีความสุขกับการลงทุนครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 20
นักลงทุนบางคนก็แปลกครับ เรียนหนังสือตั้งแต่อนุบาลจนจบปริญญา ใช้เวลาเรียนหนังสือรวม ๆ เกือบ 20 ปี บางคนอาจจะมากกว่า ทำงานหาเงินจากความรู้ที่เรียนมาเกือบ 20 ปี ได้เงินมา จะหลักหมื่นหลักแสนก็แล้วแต่ความรู้ของแต่ละคนnoooon010 เขียน:หลายวันก่่อนได้มีโอกาสพูดคุยกับนักลงทุนคนหนึ่งครับ เค้ามาถามว่า น้องลงทุนด้วยเหรอ เคยฟังนักวิเคราะห์ คนไหนมาบ้างไหม
ชอบนักวิเคราะห์คนไหนเป็นการพิเศษ
วันจันทร์ ตัวไหนดี ฯลฯ
ผมคุยกับเค้า แล้วผมลองสอบถามเค้าดู พบว่า
- เค้าไม่ชอบอ่านหนังสือเลย ไม่ชอบมากๆ
ต้องการแค่ คนที่เข้ามาพูดให้ฟัง
แต่พอจะเอาเงินที่ตัวเองทำงานหลักมาต่อยอดเพื่อลงทุน ความรู้สำหรับการลงทุนกลับไม่ค่อยศึกษา ตำหรับตำราซักเล่มก็ไม่อยากอ่าน
ผมกลับมองว่าถ้าเราอยากเป็นนักลงทุนที่เก่ง ถึงเราจะไม่ต้องใช้เวลามาเรียนรู้เป็น 20 ปี แต่ความมุ่งมั่นก็ควรจะมีครับ
เราเรียนหนังสือมา 20 ปี ผ่านการอ่านหนังสือมากี่ร้อยกี่พันเล่มครับ แล้วที่เราเข้ามาลงทุนกันเราอ่านกันกี่เล่มครับ
บางคนชอบทางลัด ขอเข้ามาลุยก่อนพร้อมกับเข้ามาศึกษาด้วย ซึ่งผมว่าไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเท่าไหร่
ผมเองก็เคยผิดพลาดเพราะสมัยที่ผมเริ่มรู้จักคำว่าหุ้น ไม่มีคำว่าวีไอ หนังสือดี ๆ แบบสมัยนี้แทบจะไม่มี
มีเพื่อนผมคนหนึ่งอยากซื้อหุ้น ผมบอกเค้าว่าสามารถอ่านหนังสือ 50-60 เล่มก่อนเข้าตลาดได้หรือไม่ ถ้าได้ผมยินดีให้ยืม ให้อ่านมันไปเรื่อย ๆ แรก ๆ อาจจะไม่เข้าใจว่าคำแต่ละคำคืออะไร เช่น PE PB แต่สุดท้ายทุกเล่มก็จะพูดคล้าย ๆ กันเดี๋ยวก็เข้าใจเอง
หลายคนก็แปลก ชอบถามว่าซื้อหุ้นตัวไหนดี จริงอยู่ครับว่าถ้าเค้าใจดีบอกเรา เราอาจจะได้กำไร แต่สุดท้ายเท่าที่ผมเห็นมาก็ยากที่จะทำได้ดีกว่าคนบอกข้อสอบครับ
หลายครัังเราวิเคราะห์เอง รู้จุดดีจุดด้อยของหุ้นตัวนั้น ถ้ามีอะไรที่ผิดปกติเราจะรับรู้ได้ เหมือนคนที่เข้าไปสำรวจถ้ำเอง รู้ทุกซอกทุกมุมของถ้ำว่าเป็นอย่างไร รู้ว่าทางออกอยู่ตรงไหน ถ้าวันหนึ่งเกิดเข้าไปแล้วเจอเหตุการณ์อะไรบางอย่างก็รู้ว่าจะไปหลบตรงไหน
ในทางตรงกันข้ามคนที่ไม่ยอมเข้าไปสำรวจถ้ำเอง คอยแต่จะถามว่า "ถ้ำนี้เดินแล้วมีทางออกอีกด้านใช่หรือไม่" เมื่อเดินเข้าไปเกิดเจอสัตว์ร้าย เจอน้ำท่วม สุดท้ายก็ตายอยู่ในถ้ำ เพราะรู้แต่ทางออกแต่ไม่รู้ทางที่จะหลบอันตราย
หลายคนชอบถามหุ้นเด็ด แต่ไม่ถามว่า "ทำไมถึงเด็ด" สุดท้ายต่อให้ได้กำไรก็ได้ "กำไรไม่สุด" อันตรายมาก็ "หนีไม่ทัน" ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 21
ส่วนหนึ่งที่ผมคิดว่า ที่พี่เค้าไม่กล้าคิดลงทุนเอง
อาจเพราะ เค้าเคยเจอกับการไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนเท่าที่เค้าคาดหวัง
ผมเคยฟัง อ.ธันยวัชร์ กล่าวไว้ว่า ฝรั่งชอบเรียนรู้จากความล้มเหลว เรียนรู้จากข้อผิดพลาด
คนเราไม่มีใครไม่ผิดพลาดหรอกครับ
เพียงแต่เราต้องไม่ท้อ คนเราลุกขึ้นมายืนได้ใหม่เสมอครับ
ขนาดคนที่ว่าแน่ๆยังท้อ ยังเขวได้เลย
อย่างน้อยต้องอย่าลืมให้กำลังใจตนเองครับ ^__^
อาจเพราะ เค้าเคยเจอกับการไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนเท่าที่เค้าคาดหวัง
ผมเคยฟัง อ.ธันยวัชร์ กล่าวไว้ว่า ฝรั่งชอบเรียนรู้จากความล้มเหลว เรียนรู้จากข้อผิดพลาด
คนเราไม่มีใครไม่ผิดพลาดหรอกครับ
เพียงแต่เราต้องไม่ท้อ คนเราลุกขึ้นมายืนได้ใหม่เสมอครับ
ขนาดคนที่ว่าแน่ๆยังท้อ ยังเขวได้เลย
อย่างน้อยต้องอย่าลืมให้กำลังใจตนเองครับ ^__^
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 24
วันนี้มีคนบอกว่า เค้าให้เป็น trader จะได้ซื้อขายไว
ผมคุยกับเค้าดู พบว่า งานของเค้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
เค้าไม่สามารถจ้องดูราคาได้
จริงๆ การลงทุนที่ใช้หลัก Value investment ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปรกติได้มากที่สุดครับ
ถ้าเทียบกับ การเกร็งกำไร หรือการดู กระแสเงิน ค่าเงิน แล้วคุณใจแป้วกับค่าที่เปลี่ยนแปลง
บางคนดู dow Jones Future ตลอด 24 ชั่วโมง
ถึงทำอย่างนั้น การลงทุนก็ไม่ได้ประสลความสำเร็จเท่าที่เค้าต้องการ
บางครั้งก็ผันตัว กลายเป็นนักเก็งกำไร หรือผันตัวเป็นรายใหญ่เองก็มี
ผมว่า คนเราเลือกได้นะครับ
ว่าเราจะลงทุนแบบไหน
ลองพิจารณา life style ของตัวเราเอง
หากเราไม่สามารถดำรงค์ชีวิตได้เหมือนคน ปรกติ
...สำหรับผม ผมว่า ผมอยากใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาคนหนึ่งก็มีความสุขมากๆแล้วครับ
หากจะต้องจ้องดูราคาหุ้น ต้องตาม"ข่าว"
ตามคำพูดเซียน(หรือที่ผมชอบเรียกว่า เสี้ยนหมาก เพราะเซียนจริงๆมีไม่มากนัก และเค้ามักใช้ชีวิตเหมือนคนปรกติ)
ผมขอเป็นคนธรรมดาดีกว่าครับ
มีความสุขกว่ามากๆเลยครับ
ขออนุญาติฝากคติที่ผมคิดได้เมื่อลงทุนมาสักพักนะครับ
คนที่เก่งที่สุดในตลาดหุ้นมิใช่คนที่ซื้อ หรือ ขาย ได้เร็วที่สุด
แต่คือคนที่ ดึงสติ กลับมาได้เร็วที่สุดครับ
มีสติ มีความสุข และสนุกกับการลงทุนนะครับผม
ผมคุยกับเค้าดู พบว่า งานของเค้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
เค้าไม่สามารถจ้องดูราคาได้
จริงๆ การลงทุนที่ใช้หลัก Value investment ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปรกติได้มากที่สุดครับ
ถ้าเทียบกับ การเกร็งกำไร หรือการดู กระแสเงิน ค่าเงิน แล้วคุณใจแป้วกับค่าที่เปลี่ยนแปลง
บางคนดู dow Jones Future ตลอด 24 ชั่วโมง
ถึงทำอย่างนั้น การลงทุนก็ไม่ได้ประสลความสำเร็จเท่าที่เค้าต้องการ
บางครั้งก็ผันตัว กลายเป็นนักเก็งกำไร หรือผันตัวเป็นรายใหญ่เองก็มี
ผมว่า คนเราเลือกได้นะครับ
ว่าเราจะลงทุนแบบไหน
ลองพิจารณา life style ของตัวเราเอง
หากเราไม่สามารถดำรงค์ชีวิตได้เหมือนคน ปรกติ
...สำหรับผม ผมว่า ผมอยากใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาคนหนึ่งก็มีความสุขมากๆแล้วครับ
หากจะต้องจ้องดูราคาหุ้น ต้องตาม"ข่าว"
ตามคำพูดเซียน(หรือที่ผมชอบเรียกว่า เสี้ยนหมาก เพราะเซียนจริงๆมีไม่มากนัก และเค้ามักใช้ชีวิตเหมือนคนปรกติ)
ผมขอเป็นคนธรรมดาดีกว่าครับ
มีความสุขกว่ามากๆเลยครับ
ขออนุญาติฝากคติที่ผมคิดได้เมื่อลงทุนมาสักพักนะครับ
คนที่เก่งที่สุดในตลาดหุ้นมิใช่คนที่ซื้อ หรือ ขาย ได้เร็วที่สุด
แต่คือคนที่ ดึงสติ กลับมาได้เร็วที่สุดครับ
มีสติ มีความสุข และสนุกกับการลงทุนนะครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 26
ผมว่ามีจำนวนไม่น้อย ที่เป็นอย่างนี้ในช่วงที่เข้ามาตลาดครั้งแรก ซึ่งก็รวมทั้งผมด้วยleky เขียน: มีเพื่อนผมคนหนึ่งอยากซื้อหุ้น ผมบอกเค้าว่าสามารถอ่านหนังสือ 50-60 เล่มก่อนเข้าตลาดได้หรือไม่ ถ้าได้ผมยินดีให้ยืม ให้อ่านมันไปเรื่อย ๆ แรก ๆ อาจจะไม่เข้าใจว่าคำแต่ละคำคืออะไร เช่น PE PB แต่สุดท้ายทุกเล่มก็จะพูดคล้าย ๆ กันเดี๋ยวก็เข้าใจเอง
เพราะทุกคนล้วนต้องการที่จะได้กำไรเยอะและรวยเร็วๆ
และในสถานการณ์ขณะนั้นก็มักจะเป็นใจไปเสียทุกอย่าง อย่างเช่น ตลาดขาขึ้น หุ้นที่ซื้อมีข่าวดี
ลงทุนตัวไหนก็กำไรหมด สร้างความมั่นใจให้เราไปเสียทุกเรื่อง(รู้งี้ น่าจะซื้อหุ้นมาตั้งนานแล้ว)
แต่พอถึงตอนตลาดวาย ทุกอย่างก็จบ หุ้นที่เราถือก็ค้างเติ่ง หาทางลงจากดอยไม่เจอ
เหมือนตอนที่ซื้อ ก็ไม่รู้ว่าซื้อมาได้ไง พอหุ้นตกถึงรู้ผลประกอบการ(เพราะเครียดจัดจึง
จำเป็นต้องเข้าไปอ่าน เพื่อหากำลังใจ)
ผมว่าหากมองในแง่ดี ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีค่า เพราะการได้เรียนรู้ความผิดพลาด
ที่เกิดจากตัวเอง มักจะทำให้เราแกร่งขึ้นครับ
ยืมคำเจ้าของกระทู้มาใช้หน่อย ชอบจริงๆ มีความสุขกับการลงทุนนะครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 27
เท่าที่เคยถามหลาย ๆ คน บางคนเค้าก็รู้นะว่าสิ่งที่เค้าทำอยู่อาจจะเรียกว่า "แมงเม่า" แต่พอแนะนำอะไรบางอย่างไป บางครั้งเค้าก็จะตอบว่า "เค้าชอบอะไรที่เห็นผลเร็ว" เหมือนใจมันไม่อยากจะรับอะไรที่ช้าไม่ทันใจ ทั้ง ๆ ที่ถ้าดูที่ผลมันอาจจะดีกว่าอะไรที่ดูเหมือนจะได้เร็ว ๆ มันอาจจะเป็นเพราะว่ามนุษย์อาจจะชอบอะไรที่หวือหวาตื่นเต้นครับ เหมือนกับที่ผู้ชายชอบสงสัยว่าผู้หญิงส่วนหนึ่งทำไมชอบผู้ชายแบบแบดบอยnoooon010 เขียน:วันนี้มีคนบอกว่า เค้าให้เป็น trader จะได้ซื้อขายไว
ผมคุยกับเค้าดู พบว่า งานของเค้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
เค้าไม่สามารถจ้องดูราคาได้
จริงๆ การลงทุนที่ใช้หลัก Value investment ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปรกติได้มากที่สุดครับ
ถ้าเทียบกับ การเกร็งกำไร หรือการดู กระแสเงิน ค่าเงิน แล้วคุณใจแป้วกับค่าที่เปลี่ยนแปลง
บางคนดู dow Jones Future ตลอด 24 ชั่วโมง
ถึงทำอย่างนั้น การลงทุนก็ไม่ได้ประสลความสำเร็จเท่าที่เค้าต้องการ
บางครั้งก็ผันตัว กลายเป็นนักเก็งกำไร หรือผันตัวเป็นรายใหญ่เองก็มี
ผมว่า คนเราเลือกได้นะครับ
ว่าเราจะลงทุนแบบไหน
ลองพิจารณา life style ของตัวเราเอง
หากเราไม่สามารถดำรงค์ชีวิตได้เหมือนคน ปรกติ
...สำหรับผม ผมว่า ผมอยากใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาคนหนึ่งก็มีความสุขมากๆแล้วครับ
จริงครับ เซียนตัวจริงมีไม่มาก ส่วนใหญ่อาจจะเป็นแค่ "เกือบจะเซียน" แต่ถูกยกเป็น "เซียน" แต่ที่ผมคิดว่าหายากกว่าแทบจะต้องงมเข็มในมหาสมุทร คือ เซียนประเภทที่เอาความผิดพลาดของตัวเองมาเล่าครับ เพราะการเอาความผิดพลาดของตัวเองมาเล่า อาจจะทำให้คนฟังไม่คิดว่าคน ๆ นั้นยังเป็นเซียน เราจึงมักจะเห็นเซียนหรือ "เกือบจะเซียน" ชอบเล่าแต่เรื่องความสำเร็จ กำไรหุ้นตัวนั้นตัวนี้เท่าไหร่ แต่ตัวที่ขาดทุนเก็บเงียบเอาไว้noooon010 เขียน:หากจะต้องจ้องดูราคาหุ้น ต้องตาม"ข่าว"
ตามคำพูดเซียน(หรือที่ผมชอบเรียกว่า เสี้ยนหมาก เพราะเซียนจริงๆมีไม่มากนัก และเค้ามักใช้ชีวิตเหมือนคนปรกติ)
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์ที่ 28
ผมเคยคุยกับพี่มน เรื่อง วิธีคิดในการลงทุนของพี่เค้า
พี่เค้าบอกว่า แต่ก่อนเค้าลงทุนหุ้นอะไร มีแต่คนต่อว่า เค้าว่า ลงทุนไปได้อย่างไร หุ้รฃนไม่ดังบ้างล่ะ หุ้นนิ่ง ไม่มี volume บ้างละ
เจ้าไม่เข้า ฯลฯ
หลายครั้งโดนว่า ว่าแปลก ฯลฯ
แต่ ผมขอยืมคำพูด ของน้องพลอยนภัส กูรู ความรัก เจ้าของหนังสือ love seen (มองเห็นความรัก) มาเสริมนะครับ
น้องพลอยบอกผมว่า เวลา คือคำตอบของทุกๆสิ่งนะพี่นุ่น
ในที่สุด ผมว่า ความคิดต่างๆของพี่มน ก็ทำให้ผม และหลายๆท่านเห็นว่า จริงๆแล้ว ที่พี่เค้าคิด เค้าทำแบบนั้น
ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร
วันนี้ผมคุยกับคนที่"เล่นหุ้น"มาสักพักใหญ่
เค้าบอกว่า หลายครั้งเค้าใจไม่ดี นอกจากเวลาที่ตลาดแย่ๆแล้ว
เค้าใจไม่ดีเวลาตลาดมันขึ้น และขึ้น ไม่ยอมลง
เค้ารู้สึกไม่ดีเวลา เปรียบเทียบผลตอบแทน และความเท่ห์ กับคนอื่นๆ
ผมเลยบอกว่า จะดีกว่าไหม ถ้าเราไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร
แค่เราเรียนรู้ และรู้จักตนเองในแต่ละวัน
มันเหมือนการวิ่งน่ะครับ
เราก็วิ่งไป
ไม่ต้องไปสนใจว่า ใครจะแซง
หรือเราจะแซงใคร
แค่วิ่งไปแล้วก็ตั้งใจทำสิ่งที่เรากำลังทำอยู่(นั่นคือการวิ่ง) ให้ดีที่สุด
บางครั้งเราอาจสะดุดขาตัวเองล้ม วิ่งไปเตะขอบปูนที่ข้างทางแล้วเกิดแผล
บางครั้งคนอื่นก็บอกว่า จะวิ่งทำมายอ่ะ ผอมแล้ว ไม่ต้องวิ่งก็ได้
เราแค่สนใจสิ่งที่เราทำ
ไม่ทราบสินะครับ หลายครั้ง เวลาผมอ่านกระทู้เทียบผลตอบแทนการลงทุน ผมไม่ทราบว่ามันจะมีประโยชน์อะไรกับผม
(เป็นความเห็นส่วนตัวของคนเขลาอย่างผมนะครับ ><)
โดยส่วนใหญ่ คนที่ผลตอบแทน ดีมว้ากกก หรือแย่ มว้ากกก ในปีนั้นๆ
ก็ไม่จำเป็นต้องได้ผลตอบแทนเดิมๆในปีต่อๆไป
แต่หลักการ และบทเรียนจากการลงทุนสำคัญมากกว่ามากๆครับ
เพราะหลักการที่เรามี หากเราคิดไว้ให้เรานำมาใช้ง่ายๆ
ให้เหมาะกับตัวเรา
ในที่สุดหลักการนั้นๆจะอยู่คู่กับเราเสมอ
และเรานำหลักหดังกล่าวมาใช้กับการดำรงค์ชีวิตประจำวันได้ครับ
มีความสุขกับการลงทุนที่เหมาะกับตัวเราเองนะครับผม ^_____^
พี่เค้าบอกว่า แต่ก่อนเค้าลงทุนหุ้นอะไร มีแต่คนต่อว่า เค้าว่า ลงทุนไปได้อย่างไร หุ้รฃนไม่ดังบ้างล่ะ หุ้นนิ่ง ไม่มี volume บ้างละ
เจ้าไม่เข้า ฯลฯ
หลายครั้งโดนว่า ว่าแปลก ฯลฯ
แต่ ผมขอยืมคำพูด ของน้องพลอยนภัส กูรู ความรัก เจ้าของหนังสือ love seen (มองเห็นความรัก) มาเสริมนะครับ
น้องพลอยบอกผมว่า เวลา คือคำตอบของทุกๆสิ่งนะพี่นุ่น
ในที่สุด ผมว่า ความคิดต่างๆของพี่มน ก็ทำให้ผม และหลายๆท่านเห็นว่า จริงๆแล้ว ที่พี่เค้าคิด เค้าทำแบบนั้น
ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร
วันนี้ผมคุยกับคนที่"เล่นหุ้น"มาสักพักใหญ่
เค้าบอกว่า หลายครั้งเค้าใจไม่ดี นอกจากเวลาที่ตลาดแย่ๆแล้ว
เค้าใจไม่ดีเวลาตลาดมันขึ้น และขึ้น ไม่ยอมลง
เค้ารู้สึกไม่ดีเวลา เปรียบเทียบผลตอบแทน และความเท่ห์ กับคนอื่นๆ
ผมเลยบอกว่า จะดีกว่าไหม ถ้าเราไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร
แค่เราเรียนรู้ และรู้จักตนเองในแต่ละวัน
มันเหมือนการวิ่งน่ะครับ
เราก็วิ่งไป
ไม่ต้องไปสนใจว่า ใครจะแซง
หรือเราจะแซงใคร
แค่วิ่งไปแล้วก็ตั้งใจทำสิ่งที่เรากำลังทำอยู่(นั่นคือการวิ่ง) ให้ดีที่สุด
บางครั้งเราอาจสะดุดขาตัวเองล้ม วิ่งไปเตะขอบปูนที่ข้างทางแล้วเกิดแผล
บางครั้งคนอื่นก็บอกว่า จะวิ่งทำมายอ่ะ ผอมแล้ว ไม่ต้องวิ่งก็ได้
เราแค่สนใจสิ่งที่เราทำ
ไม่ทราบสินะครับ หลายครั้ง เวลาผมอ่านกระทู้เทียบผลตอบแทนการลงทุน ผมไม่ทราบว่ามันจะมีประโยชน์อะไรกับผม
(เป็นความเห็นส่วนตัวของคนเขลาอย่างผมนะครับ ><)
โดยส่วนใหญ่ คนที่ผลตอบแทน ดีมว้ากกก หรือแย่ มว้ากกก ในปีนั้นๆ
ก็ไม่จำเป็นต้องได้ผลตอบแทนเดิมๆในปีต่อๆไป
แต่หลักการ และบทเรียนจากการลงทุนสำคัญมากกว่ามากๆครับ
เพราะหลักการที่เรามี หากเราคิดไว้ให้เรานำมาใช้ง่ายๆ
ให้เหมาะกับตัวเรา
ในที่สุดหลักการนั้นๆจะอยู่คู่กับเราเสมอ
และเรานำหลักหดังกล่าวมาใช้กับการดำรงค์ชีวิตประจำวันได้ครับ
มีความสุขกับการลงทุนที่เหมาะกับตัวเราเองนะครับผม ^_____^
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0