R34: ควรซื้อหุ้น P/E 30 ไหม

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
randomwalk
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 728
ผู้ติดตาม: 0

R34: ควรซื้อหุ้น P/E 30 ไหม

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ในช่วงเวลาที่ผมเขียนบทความนี้ SET INDEX อยู่ที่ประมาณ 1,200 จุด หรือเป็นจุดสูงสุดในรอบ 16 ปี ซึ่งสถานการณ์นี้น่าจะบ่งบอกถึงความมั่นใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่มองว่าสภาพเศรษฐกิจไทยจะเจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ แต่เมื่อเรามองเจาะลึกลงไปในหุ้นรายตัวแล้ว จะพบว่ามีหุ้นบางกลุ่มที่ปรับตัวมากขึ้นเป็นพิเศษ บางกลุ่มปรับตัวมากขึ้นธรรมดาตามสภาพตลาด และมีหุ้นบางตัวที่ไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเลยนับตั้งแต่หลังน้ำท่วมเป็นต้นมา ทำให้เมื่อเราดูค่า P/E ตัววัดมูลค่าหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่ทั่วไปใช้ เราจะพบหุ้นต่างๆมีค่า P/E แตกต่างกันมาก ตั้งแต่ไม่ถึง 10 เท่า ไปจนถึง 40 เท่า อะไรที่เป็นสาเหตุทำให้นักลงทุนยอมซื้อขายกันในช่วง P/E ต่างกันมากถึงขนาดนี้

โดยทั่วไปแล้วสินค้าที่ดีมีคุณภาพนั้นจะตามมาด้วยการกำหนดราคาสินค้าจากผู้ขายในระดับที่ “แพง” เสมอ ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรจากราคาหุ้น ถ้าหุ้นตัวนั้นมีธุรกิจที่ดีก็อาจจะทำให้ซื้อขายกันในค่า P/E ที่แพง และสมัยปัจจุบันนักลงทุนมีความคิดที่ฉลาดมากขึ้นกว่าสมัยก่อน ทำให้ตลาดรู้ว่าอะไรคือ “ของดี” และอะไรคือ “ของเน่า” จึงทำให้เกิดความแตกต่างกันอย่างมากของระดับ P/E ในตลาด ผมพอจะสรุปสาเหตุที่เป็นไปได้ที่นักลงทุนจะยอมซื้อขายหุ้นในค่า P/E ที่แพงดังนี้ครับ

1.ลักษณะธุรกิจของบริษัทนั้นมีรายได้ที่ความแน่นอนสูง ไม่พึ่งพาลูกค้ารายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และราคาขายสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ตามต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกำไรของบริษัทมีความสม่ำเสมอต่อเนื่อง ไม่ผันผวน ไม่เป็นวัฎจักร ลักษณะธุรกิจประเภทนี้ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก โรงพยาบาล กลุ่มสื่อสาร หรือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ด้วยเหตุผลหลักคือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจ คนทั่วไปก็คงจำเป็นต้องกินต้องใช้ในสินค้าเหล่านี้เป็นอันดับแรก

2.บริษัทนั้นเป็นบริษัทที่นักลงทุนคาดหวังว่าจะมีอัตราการเติบโตสูง เพราะเมื่อในอนาคตกำไรสูงขึ้น ย่อมทำให้นักลงทุนยอมจ่ายเงินในราคาที่แพงขึ้นกว่าเดิมจากปกติ และถ้าบริษัทเหล่านั้นอยู่ในเทรนด์ที่มีความน่าจะเป็นสูงในการเติบโต หรือเรียกได้ว่าไม่ต้องลุ้น ตลาดก็จะยอมให้ P/E กับบริษัทในค่าที่สูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ

3.บริษัทนั้นเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ เพราะกองทุนรวมขนาดใหญ่นั้นจะมีกฎระเบียบการลงทุนให้ลงทุนในบริษัทที่มีขนาดใหญ่เท่านั้น และถึงไม่มีกฎระเบียบเหล่านั้นผมคิดว่ากองทุนเหล่านั้นก็จะไม่ลงทุนในบริษัทขนาดเล็กอยู่ดี เพราะแม้ว่าบริษัทขนาดเล็กจะมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง ถึงจะลงทุนซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทขนาดเล็ก มูลค่าของมันก็จะเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดใหญ่มากของกองทุน กองทุนจึงคุ้มค่ากว่าที่จะใช้เวลาไปวิเคราะห์ติดตามบริษัทขนาดใหญ่ จึงเป็นผลทำให้เม็ดเงินที่จะลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่จะมากกว่าในบริษัทขนาดเล็ก

4.การซื้อขายหุ้นของบริษัทนั้นมีสภาพคล่องที่ดี กล่าวคือเมื่อเราซื้อหุ้นเหล่านั้นมาแล้วเราสามารถมั่นใจได้ว่าจะขายหุ้นนั้นต่อให้นักลงทุนผู้อื่นได้ เรื่องนี้เป็นข้อจำกัดในกฎระเบียบการลงทุนของกองทุนขนาดใหญ่เช่นกัน และนักลงทุนทั่วไปก็คงจะไม่ค่อยชอบนักกับการซื้อหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่อง แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าถ้าเรามั่นใจว่าการซื้อบริษัทเหล่านี้จะเป็นการลงทุนในระยะยาวมาก ประเด็นนี้ก็คงไม่สำคัญเท่าไหร่ เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะขายให้กับผู้อื่นอยู่แล้ว เพียงแต่เราต้องทำใจว่าในอนาคต P/E ก็คงต้องต่ำอย่างนี้ไปตลอด เพราะตลาดมักจะให้ P/E น้อยเสมอกับหุ้นที่ไม่ค่อยมีสภาพคล่อง

5.หุ้นเหล่านั้นเป็นที่นิยมของตลาดด้วยปัจจัยอื่นๆ ถึงแม้ว่าบริษัทเหล่านั้นไม่ได้มีความแน่นอนของรายได้ หรือมีขนาดเล็ก ก็สามารถซื้อขายกันที่ P/E สูงได้ถ้าหุ้นเหล่านั้นเป็นที่นิยมของตลาดในเวลานั้น แต่ผมคิดว่าข้อนี้เป็นข้อที่อันตรายและต้องระวังมากที่สุดในการซื้อหุ้นที่มี P/E สูง เพราะเราไม่รู้ว่าหุ้นนั้นจะคงความนิยมต่อไปอีกนานเท่าไร

ทั้งนี้ผมไม่แนะนำให้ใช้ค่า P/E จากตลาดหลักทรัพย์ หรือผู้ให้บริการข้อมูลต่างๆมาใช้โดยตรง E ที่ใช้คำนวณในค่า P/E นั้นควรจะเป็นกำไรที่ได้ดัดแปลงค่าหลังจากคำนึงถึงกำไรหรือขาดทุนพิเศษแล้ว เช่นถ้าปีนั้นบริษัทมีกำไรพิเศษ ซึ่งปีก่อนๆไม่มีก็ควรจะหักกำไรเหล่านั้นออก และถ้าปีนั้นเป็นปีที่ขาดทุนจากเหตุการณ์พิเศษก็ควรจะบวกกลับการขาดทุนเหล่านั้นด้วย

ถ้าถามว่าเราควรจะซื้อหุ้นที่มีกำไรสม่ำเสมอและคาดว่าจะเติบสูงในค่า P/E สูงไหม ผมคงต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยดังนี้ครับ

1.การคาดหวังในอนาคต
โดยสมมติฐานที่ว่ากำไรในอนาคตเติบโตเป็นไปอย่างที่นักลงทุนคาดและตลาดในอนาคตยังให้ค่า P/E ที่สูงเช่นนี้อยู่ นักลงทุนย่อมจะได้ผลตอบแทนเท่ากับอัตราการเติบโตของกำไรแบบทบต้นไปเรื่อยๆ เช่น ถ้าปัจจุบันหุ้นมี P/E 30 และมีอัตราการเติบโตของกำไร 30% ต่อปี ถ้า 3 ปีข้างหน้าหุ้นยังซื้อขายกันที่ P/E 30 ในเวลานั้นเราย่อมจะได้ผลตอบแทนประมาณ 120% (1.3x1.3x1.3 – 1)
แต่ถ้าในอนาคตตลาดเห็นความจำกัดของการเติบโต หรือเริ่มรู้สึกที่จะไม่ชอบหุ้นดังกล่าว ตลาดในอนาคตอาจจะให้ค่า P/E ที่ลดลงกว่าปัจจุบัน อย่างไรก็ตามถ้าหุ้นยังคงมีอัตราการเติบโตของกำไรที่มากพอ ก็อาจจะทำให้ชดเชยกับการลดลงของค่า P/E ในอนาคตได้ ตัวอย่างคือถ้าปัจจุบันหุ้น P/E 30 มีอัตราการเติบโตของกำไร 30% ต่อปี สมมติว่าถ้า 3 ปีข้างหน้าตลาดได้ให้ P/E น้อยลงเป็น 20 เท่า เราก็ยังคงได้ผลตอบแทน 46% (1.3x1.3x1.3 x 20/30 – 1) ซึ่งก็ยังคงดีกว่าการลงทุนในหุ้นที่ไม่มีการเติบโตของกำไรเพราะจะได้เพียงเงินปันผลปีละไม่กี่ % แต่ไม่มีการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าในอนาคตหุ้นเติบโตเหล่านี้ไม่ได้มีอัตราการเติบโตเป็นไปตามคาด และตลาดให้ P/E น้อยลง เราก็คงเหมือนโดน 2 เด้ง และอาจทำให้ขาดทุนจากการลงทุนดังกล่าวได้

2.ระยะเวลาที่ลงทุน
กรอบเวลาในการลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับนักลงทุน ถ้านักลงทุนมองในระยะเวลาสั้น ก็มีโอกาสที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดีในการซื้อหุ้น P/E สูง เพราะการเติบโตของกำไรนั้นต้องอาศัยระยะเวลาเป็นปีปีถึงจะเห็นผล ไม่ต่างอะไรจากการที่เราเห็นเด็กค่อยๆเติบโตเป็นวัยรุ่นและเป็นผู้ใหญ่ซึ่งใช้เวลาหลายปี ถ้านักลงทุนมองภาพในระยะยาวเป็นสิบปี ย่อมจะได้เห็น “การเติบโตของกำไรแบบทบต้น” ซึ่งถึงในเวลานั้นถึงแม้ตลาดจะซื้อขายกันในราคา P/E ที่ต่ำมาก แต่ด้วยการเพิ่มขึ้นของ E จะทำให้ราคาในตอนนั้นย่อมมากกว่าราคาในปัจจุบันหลายเท่าตัว

3.ทางเลือกอื่นที่ดีกว่า
สิ่งหนึ่งที่จะตัดสินใจในการเลือกหุ้นที่จะลงทุน ก็คือการเปรียบเทียบหุ้นหลายๆตัว และเลือกหุ้นที่ดีในราคาที่ต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่น ตัวอย่างเช่นถ้านักลงทุนพบหุ้นที่มีลักษณะธุรกิจชั้นเลิศที่มีกำไรสม่ำเสมอและเติบโตสูงที่ P/E 30 และเมื่อค้นหาต่อไปเจอหุ้นอีกตัวหนึ่งที่มีการดำเนินธุรกิจและมีการเติบโตที่ไม่แพ้กันแต่ซื้อขายกันที่ P/E 15 ผมคิดว่าหุ้นตัวที่ 2 ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการลงทุน ทั้งนี้อาจจะเป็นสาเหตุมาจากหุ้นตัวแรกเป็นหุ้นชั้นเลิศที่นักลงทุนหลายคนรู้จักเป็นอย่างดีทำให้กลายเป็น “หุ้นยอดนิยม” ไปในคราวเดียวกัน แต่หุ้นตัวที่ 2 อาจจะเป็นหุ้นที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักลงทุนทั่วไปจึงได้รับความสนใจน้อยกว่า ซึ่งเราก็ไม่จำเป็นจะต้องตามกระแสนิยมเสมอไป

จากเหตุผลข้างต้นทำให้น่าจะสรุปได้ว่าการซื้อหุ้นที่มีกำไรสม่ำเสมอและคาดว่าจะเติบสูงในค่า P/E สูง อาจจะไม่ได้แย่นักถ้าการเติบโตนั้นมีความน่าจะเป็นสูงที่สามารถคาดการณ์ได้และเราสามารถลงทุนได้ในระยะยาว ซึ่งก็ยังดีกว่าการซื้อหุ้นที่กำไรไม่แน่นอนแต่ P/E ต่ำ เพราะถ้าเราไม่มีข้อมูลอันน่าเชื่อถือมาคาดการณ์กำไรในอนาคตได้อย่างมีเหตุผล มันก็คงไม่ต่างจากการเล่นพนันประเภทอื่นๆที่ไม่รู้ว่าในท้ายที่สุดเมื่อผ่านไปหลายปีเงินเราจะเป็นเท่าไร
randomwalk
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 728
ผู้ติดตาม: 0

Re: R34: ควรซื้อหุ้น P/E 30 ไหม

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ผมจะ post รวมบทความทั้งหมดลงกระทู้เดียวนะครับ
จะได้ไม่เปลืองกระทู้ และง่ายต่อการติดตาม

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 47#p985347
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 1

Re: R34: ควรซื้อหุ้น P/E 30 ไหม

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ผมไม่สนใจซื้อหุ้น P/E 30 เท่า Market Cap/CFO 20 เท่า เพราะว่า
1. ราคาแบบนี้มีความคาดหวังอนาคตว่าจะเติบโตอยู่มากแค่เติบโตลดลง นักลงทุนไม้แรกๆ ที่มองหุ้นตัวนั้นเป็น Growth Stock พอเห็น growth เริ่ม drop ก็พร้อมที่จะขายแล้ว ดังนั้นประเด็นการลงทุนไม่ได้อยู่ที่กิจการแข็งแกร่ง กระแสเงินสดดี แต่ประเด็นอยู่ที่กิจการยังเติบโตเหมือนในอดีตหรือไม่ ตลาดอิ่มตัวแล้วหรือยัง?
2. P/E 30 เท่าที่มาพร้อมๆ กับความเชื่อมั่นของทุกคนที่อยู่ในตลาด เป็นหุ้นกระแสหลัก และตลาดอยู่ในภาวะกระทิงนี่ ผมคิดไม่ออกว่ามันจะเป็นหุ้นที่ undervalue ได้อย่างไร แต่การที่ไม่เป็นหุ้น undervalue ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะขึ้นไม่ได้ แต่ผมไม่คิดว่าเป็นหุ้นที่ซื้อแล้วไม่ต้องห่วงหากตลาดจะปิดทำการไปซัก 5 ปี
3. การเติบโตสูงๆ ยังไงก็มีขีดจำกัด ปกติการเติบโตสูงๆ จะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งการเติบโตแบบมากกว่าปกติสักวันหนึ่งก็จะถึงจุดสิ้นสุด กลายเป็นการเติบโตปกติ ธรรมดาๆ ของธุรกิจแข็งแกร่ง หรืออิ่มตัว ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้น ตลาดจะกด P/E ให้ต่ำลง ซึ่งถึงแม้ downside ของกิจการจะมีไม่มาก แต่ downside ของราคาหุ้นอาจจะมากเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้

สรุป ผมคงไม่ซื้อลงทุน แต่ถ้ามีอยู่ในพอร์ตก็จะถือโดยตามตัวเลขการเติบโตของรายได้และกำไรให้ดี พร้อมที่จะขายเมื่อการเติบโตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือถ้าจะซื้อก็ซื้อเก็งกำไรได้เท่านั้น
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
koon007
Verified User
โพสต์: 84
ผู้ติดตาม: 0

Re: R34: ควรซื้อหุ้น P/E 30 ไหม

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ผมก็ไม่สนใจครับ นอกเสียจากทำสินค้าโดยผูกขาดหรือความสามารถในการผลิตสินค้าที่เหนือ ทุกบริษัทอื่นอื่นมากมาย และต้องตั้งราคาได้โดยลูกค้าต้องมาง้อซื้อ
ซึ่งผมว่ามีน้อยนะครับ เสี่ยงไปหากซื้อที่ราคาขนาดนี้ คงต้องมาลุ้นในผลประกอบการโตเป็นเท่าตัวถึงจะกำไรเยอะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
luangrit
Verified User
โพสต์: 376
ผู้ติดตาม: 0

Re: R34: ควรซื้อหุ้น P/E 30 ไหม

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ถ้า E ตามไม่ทัน P ก็แย่เลยนะครับ
เพราะหุ้นลักษณะนี้แบกความหวังของนักลงทุนไว้เยอะ

ถ้าเราให้ความสำคัญของ E เมื่อเทียบกับ P
ผมคิดว่าเราจะเครียดน้อยลงมาก

ยิ่งถ้ามองไปถึง D (dividend) เมื่อเทียบกับ P
แล้วยิ่งลดความกังวลไปได้มาก

เช่น E = 1 บาท
D = .8 บาท
P = 10 บาท

ดังนั้นหุ้นนี้ P/E = 10, yield = 8%

ถ้าเราโฟกัสไปที่ E เราจะสนใจตัวกิจการมากขึ้น
สนใจคุณภาพของกำไรมากขึ้น
สนใจเรื่องของการปันผลมากขึ้น

และเมื่อสนใจปันผล
ก็หนีไม่พ้นต้องมาตรวจสอบในเรื่องของธรรมภิบาล

เห็นมั้ยครับว่าเราจะมีความละเอียดรอบคอบในเรื่องการลงทุนดีมากยิ่งขึ้น

ผมมองว่าถ้าสนใจ Capital Gained ก็เท่ากับเราสนใจเอาเงินของนักลงทุนด้วยกันเอง
แต่ถ้าสนใจ Earning หรือ Dividend ก็เท่ากับเราสนใจเงินของกิจการ

คำถามคือ สองสิ่งนี้ สิ่งไหนเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ง่ายกว่ากันครับ?
yoko
Verified User
โพสต์: 4395
ผู้ติดตาม: 0

Re: R34: ควรซื้อหุ้น P/E 30 ไหม

โพสต์ที่ 6

โพสต์

p/e=30 ผมไม่กล้าซื้อครับ
เสียดายดีกว่าเสียใจครับ
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

Re: R34: ควรซื้อหุ้น P/E 30 ไหม

โพสต์ที่ 7

โพสต์

อาจจะไม่เกี่ยวกับใจความหรอกคับ
แต่แค่คิดว่าเงินมันไม่มีที่ลง
จากสภาพคล่องที่ถูก unlock
มันก็วิ่งเข้าสินทรัพย์เสี่ยง
โดยที่อาจจะไม่ได้สนใจ pe
เหมือนตอนก่อนต้ทยำกุ้งป่าวคับ
คล้ายๆกับว่า ยังไงขอหนีเงินเฟ้อก่อน
show me money.
โพสต์โพสต์