อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 เป็นไปได้ไหม
-
- Verified User
- โพสต์: 171
- ผู้ติดตาม: 0
อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 เป็นไปได้ไหม
โพสต์ที่ 1
มีคนบอกว่าจะมีวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 ในอีก2-3 ปีข้างหน้า
พี่ๆคิดว่าเป็นไปได้ไหมครับ ช่วยกันวิเคราะห์หาปัจจัยที่จะทำให้เกิดวิกฤติครับ
พี่ๆคิดว่าเป็นไปได้ไหมครับ ช่วยกันวิเคราะห์หาปัจจัยที่จะทำให้เกิดวิกฤติครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 เป็นไปได้ไหม
โพสต์ที่ 3
คิดว่า อาจจะหนักกว่านะครับ
อืม
แต่อาจจะรับได้เพราะเคยเจอมาแล้ว
เหมือนคนไม่เคยเป็นหนี้ พอเป็นหนี้ สักหมื่น ช่วงแรกๆก็อาจจะปรับตัวไม่ค่อยทัน
ต่อมา เป็นหนี้สองหมื่น อาจจะรู้สึกเฉยๆก็ได้
ผมคิดว่าวิกฤตคราวที่แล้วเหมือน เศรษฐกิจแถบนี้ กำลังโดนทุบเพื่อเทคโอเวอร์
แต่ปัจจุบัน ผมว่าแย่กว่าสมัยก่อน เนื่องจาก น้ำมัน ดอกเบี้ย และจีน
แต่ตลาดหุ้นไทย ถ้าประเทศไทยแย่จริง อย่างนี้ต้องเป่าลูกโป่งให้ดัชนี ไปซัก 1500 เพื่อต่างชาติจะได้ขายให้หมด เพราะถือหุ้นเมืองไทยเยอะพอควร
อืม
แต่อาจจะรับได้เพราะเคยเจอมาแล้ว
เหมือนคนไม่เคยเป็นหนี้ พอเป็นหนี้ สักหมื่น ช่วงแรกๆก็อาจจะปรับตัวไม่ค่อยทัน
ต่อมา เป็นหนี้สองหมื่น อาจจะรู้สึกเฉยๆก็ได้
ผมคิดว่าวิกฤตคราวที่แล้วเหมือน เศรษฐกิจแถบนี้ กำลังโดนทุบเพื่อเทคโอเวอร์
แต่ปัจจุบัน ผมว่าแย่กว่าสมัยก่อน เนื่องจาก น้ำมัน ดอกเบี้ย และจีน
แต่ตลาดหุ้นไทย ถ้าประเทศไทยแย่จริง อย่างนี้ต้องเป่าลูกโป่งให้ดัชนี ไปซัก 1500 เพื่อต่างชาติจะได้ขายให้หมด เพราะถือหุ้นเมืองไทยเยอะพอควร
- soytee
- Verified User
- โพสต์: 164
- ผู้ติดตาม: 0
อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 เป็นไปได้ไหม
โพสต์ที่ 9
ถ้านายกชื่อคุณทักษิณ นะครับชาววีไอ ก็ลุยกันต่อ เพราะเขาเกิดมาจากธุระกิจที่หลายร้อยล้าน จนกลายเป็นหมื่นและแสนล้าน ความคิดที่พัฒนาได้ขนาดนี้ไม่ธรรมดา แต่เกรงใจพวกแขนซ้ายและขวาทั้งหลายแหละ จะอยู่ในกรอบแค่ไหนเพราะมีข่าวปัญหาเรื่องการโกงกินมากมายนัก
ถ้านายกเป็นคนอื่นนะ สงสัยได้เก็บของยาวเลย เพราะดูแล้ว หายยากเหมือนหุ้นขี้บุหรี่เลย :lovl: :lovl: :lovl:
ถ้านายกเป็นคนอื่นนะ สงสัยได้เก็บของยาวเลย เพราะดูแล้ว หายยากเหมือนหุ้นขี้บุหรี่เลย :lovl: :lovl: :lovl:
-
- Verified User
- โพสต์: 94
- ผู้ติดตาม: 0
อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 เป็นไปได้ไหม
โพสต์ที่ 10
ผมว่าคงจะยาก เพราะเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศยังมีมาก ดุลบัญชีเดินสะพ้ด และดุลการชำระเงินยังไม่ขาดดุลแบบมโหฬารและกินเวลานาน ธนาคารพาณิชย์ยังมีสภาพคล่องเหลืออยู่มาก ดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งเงินเฟ้อ ยังไม่สูง ครับ
- ch_army
- Verified User
- โพสต์: 1352
- ผู้ติดตาม: 0
อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 เป็นไปได้ไหม
โพสต์ที่ 11
ผมอะไรๆก็เป็นไปได้ครับ แต่หากนโยบายเกี่ยวกับเงินตราสำรองของประเทศเรายังรักษาไว้ที่ระดับสูงๆ และเราไม่ขาดดุลการค้า ดุลอะไรๆ สารพัดนั้นติดต่อกันนานๆแล้วล่ะก็ เราก็คงจะไปได้เรื่อยๆครับ แต่หากเกิดขึ้นจริงๆ ก็เป็นโอกาสที่คนไทยจะกลับไปดำเนินชีวิต ตามแนวพระราขดำริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงวางแนวทาง เศรษฐกิจพอเพียงเอาไว้ครับ ปู่ย่าตายาย ของเราอยู่มาได้เราก็คงอยู่ได้ครับ เพราะชีวิตอยู่ได้เพราะปัจจัย 4 ครับ ลองคิดดูดีๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 เป็นไปได้ไหม
โพสต์ที่ 12
ทุกสิ่งที่อย่าง
มันมีขึ้นมีลง
แต่ยอมรับมันให้ได้
ถ้ายอมรับมันไม่ได้ ปัญหามันเกิดตามมาแน่นอน
ที่เป็นห่วงตอนนี้คือ Mega Project ทั้งหลายที่จะก่อหนี้
รถไฟฟ้าใต้ดิน บนดิน พวกนี้ล่ะที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก
เพราะดูแล้วลายตามากไป
ตอนนี้ประเทศอยู่ในช่วงที่ต้องลงทุนเผื่ออนาคต กู้เพื่อจะอยู่หรือตายอีกรอบแล้ว
มันมีขึ้นมีลง
แต่ยอมรับมันให้ได้
ถ้ายอมรับมันไม่ได้ ปัญหามันเกิดตามมาแน่นอน
ที่เป็นห่วงตอนนี้คือ Mega Project ทั้งหลายที่จะก่อหนี้
รถไฟฟ้าใต้ดิน บนดิน พวกนี้ล่ะที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก
เพราะดูแล้วลายตามากไป
ตอนนี้ประเทศอยู่ในช่วงที่ต้องลงทุนเผื่ออนาคต กู้เพื่อจะอยู่หรือตายอีกรอบแล้ว
- sombuak
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 เป็นไปได้ไหม
โพสต์ที่ 13
คุณบัณฑูร ณ KBANK เพิ่งจะพูดเมื่อเดือนที่แล้วว่า วิกฤติเศรษฐกิจเป็นธรรมชาติของชีวิต ชั่วชีวิตหนึ่งต้องเจอหลายครั้งอยู่แล้วววววววว.....
อันนี้ชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม เพราะได้ยินมาเอง ไม่ได้ผ่านปากใครมา
อันนี้ชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม เพราะได้ยินมาเอง ไม่ได้ผ่านปากใครมา
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
-
- Verified User
- โพสต์: 46
- ผู้ติดตาม: 0
อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 เป็นไปได้ไหม
โพสต์ที่ 14
เศรษฐศาสตร์จานร้อน : การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยhttp://www.bangkokbiznews.com/2005/05/0 ... =col1.html
โดยดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของไทย ที่เพิ่งประกาศออกมาโดยธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ทำให้หลายคนรู้สึกเป็นห่วงภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งหากไม่สามารถฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้ ก็จะมีความเป็นไปได้สูง ว่าเศรษฐกิจจะไม่สามารถขยายตัวในระดับ 4.5 - 5.0%ได้
ตัวเลขที่ทำให้เกิดความกังวลอีกตัวหนึ่ง คือการขาดดุลการค้า 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐพร้อมกับการ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญซึ่งเป็นการขาดดุลที่สูงใกล้เคียงกับสภาวะที่ประเทศไทยเผชิญในไตรมาส 2 ของปี 1997 คือก่อนการลดค่าเงินบาทและวิกฤติเศรษฐกิจนั่นเอง
การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้บางคนตั้งคำถามกับผมว่า ประเทศไทยจะมีโอกาสประสบปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุนแรง เช่นปี 1997 หรือไม่ ซึ่งผมก็สามารถตอบยืนยันไปได้ว่า ประเทศไทยจะไม่เผชิญกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจเช่นเมื่อ 8 ปีก่อนอีก แต่ก็ต้องยอมรับว่า การชะลอตัวกำลังเกิดขึ้น และการชะลอตัวลงนั้นหนักหน่วงมากกว่าที่ผมได้เคยคาดการณ์เอาไว้
นอกจากนั้นความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก กล่าวคือ การที่เศรษฐกิจโลกพึ่งพาการใช้จ่ายเกินตัวของสหรัฐมากเกินไป ทำให้เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง
การจะเผชิญกับการชะลอตัวเศรษฐกิจนั้น สิ่งแรกคือจะต้องยอมรับความจริงเสียก่อนว่า มีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ หากไม่ยอมรับตรงนี้การแก้ปัญหาก็จะไม่กล้าทำอย่างจริงจังและเป็นระบบ
หากถามว่า ขณะนี้มีปัญหาหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ผู้เชี่ยวชาญยังไม่ได้มีฉันทามติกัน เพราะบางฝ่ายก็เชื่อว่าการชะลอตัวที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเรื่องชั่วคราวโดยทุกสิ่งทุกอย่างจะคลี่คลายไปได้เองในครึ่งหลังของปีนี้ เช่นเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงบ้าง และปริมาณการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียงพอต่อความต้องการสต็อกน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันปรับลดลงมาเหลือ 40 เหรียญต่อบาร์เรลได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับไทยอย่างมาก
เพราะหากราคาน้ำมันลดลง 20% จะทำให้รายจ่ายนำเข้าน้ำมันของไทยลดลง 3 พันล้านเหรียญ ซึ่งจะประกันได้ว่า ไทยจะไม่ต้องขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้ และทำให้กองทุนน้ำมันไม่ต้องเสียเงินเดือนละ 5 พันล้านบาท เพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซล
การลดลงของราคาน้ำมันในครึ่งหลังของปี 2005 ก็จะทำให้จีดีพีของไทยเพิ่มขึ้นได้ 0.8% หมายความว่า เราจะรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เอาไว้ได้ประมาณ 5% ในปีนี้ นอกจากนั้นการที่ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงก็จะทำให้ธนาคารกลางไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยมากนัก (เพราะไม่ต้องปรามแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เป็นผลมาจากน้ำมันราคาสูง) ดังนั้นจึงต้องตั้งความหวังกันว่าในครึ่งหลังของปีนี้ ราคาน้ำมันจะลดลงและดอกเบี้ยจะไม่ปรับตัวขึ้นมาก เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
เดิมทีนั้น ผมประเมินว่า เศรษฐกิจของไทยในปีนี้และปีต่อไปจะขับเคลื่อนโดยการลงทุนของภาครัฐและเอกชนเป็นหลัก ซึ่งการลงทุนของเอกชนนั้นต้องยอมรับว่า ประเมินได้ยากเพราะมองในด้านหนึ่งก็จะสรุปว่า เอกชนต้องการลงทุนอีกมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะใช้กำลังการผลิตใกล้เต็มที่แล้วและมีกำไรเหลืออยู่
อัตราดอกเบี้ยก็ยังอยู่ในระดับต่ำจึงน่าจะถือโอกาสรีบลงทุนใน 2-3 ปีข้างหน้า แต่เราสามารถมองอีกด้านหนึ่งได้ว่า ภาคธุรกิจเอกชนก็ต้องระมัดระวังตัวเองเนื่องจากเพิ่งได้รับบทเรียนที่แสนสาหัส จากการลงทุนเกินตัวและลงทุนผิดประเภทมาไม่ถึง 10 ปี ดังนั้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยและความไม่แน่นอนของราคาน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยน การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จึงเป็นปัจจัยที่จะทำให้ภาคเอกชนรีรอออกไปอีก
เมื่อต้นปีนี้หลายฝ่ายมีความมั่นใจว่า ภาครัฐจะเป็นผู้นำการลงทุน ทั้งในเชิงของการชี้นำและในการระดมทุนลงในโปรเจคใหญ่ต่างๆ ในโครงการการขนส่ง พลังงาน และอื่นๆ ที่พูดกันจนติดปากว่าจะมีมูลค่า 1.5-2 ล้านล้านบาท
แต่ในขณะนี้ เริ่มจะมีความมั่นใจน้อยลงว่า โครงการดังกล่าวรัฐบาลจะรีบเร่งดำเนินการมากน้อยเพียงใด จึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ว่า การเร่งออกโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมหาศาลในช่วงที่ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และกำลังเผชิญกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นนั้น ทำให้มีความเสี่ยงต่อความสมดุลของเศรษฐกิจอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน การไม่เร่งทำโปรเจคใหญ่ดังกล่าวก็มีความเสี่ยงว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างเชื่องช้า เพราะขาดปัจจัยสนับสนุน ดังนั้นพอสรุปได้ว่า การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในปีนี้ไม่ง่ายเลย ผมจึงคิดว่า หากเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ในระดับ 4-5% โดยเงินเฟ้ออยู่ที่ 3.0-3.5% ก็น่าจะพึงพอใจแล้ว
เราจะทราบได้อย่างไรว่าแนวโน้มจะไปในทางบวกหรือลบ ผมคิดว่า รัฐบาลได้บอกแล้วว่า จะต้องพึ่งพาการขยายตัวของการส่งออกที่จะต้องอยู่ที่ระดับ 20% หรืออีกนัยหนึ่งคือ ไทยจะต้องส่งออกเดือนละ 1 หมื่นล้านเหรียญนั่นเอง หากเราสามารถผลักดันส่งออกในระดับนี้ได้ ก็จะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสบายใจ ไม่ต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นมาก และรัฐบาลสบายใจกล้าที่จะเร่งทำโครงการยักษ์ได้
แต่การพึ่งพาให้ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงถึง 20%นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวลงและจีนที่ได้เร่งขยายการลงทุนใน 7-8 ปีที่ผ่านมาก็เริ่มผลิตสินค้าส่งออกมาขายในตลาดโลกจำนวนมาก
หากพิจารณาสถิติส่งออกของไทย จะพบว่า เราใช้การส่งออกนำการขยายตัวของเศรษฐกิจมาโดยตลอด เช่นเมื่อ 10 ปีที่แล้วการส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 35% ของจีดีพี แต่เมื่อส่งออกขยายตัวสูงกว่าจีดีพีมาโดยตลอด ดังนั้นสัดส่วนของส่งออกต่อจีดีพีจึงจะสูงถึง 65% แล้วในปีนี้
คำถามคือการจะผลักดันให้ส่งออกขยายตัวมากกว่าจีดีพีกว่าเท่าตัวต่อไปอีกก็จะทำได้ยากขึ้นและทำให้ไทยเสี่ยงต่อการพึ่งพาตลาดต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้นจึงอาจต้องมาพิจารณาการตรึงสัดส่วนส่งออกต่อจีดีพีไม่ให้สูงกว่านี้มากนัก แต่ลดนำเข้าชิ้นส่วนและวัตถุดิบจากต่างประเทศเพื่อเพิ่มมูลค่าในประเทศและลดขาดดุลการค้าครับ
โดยดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของไทย ที่เพิ่งประกาศออกมาโดยธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ทำให้หลายคนรู้สึกเป็นห่วงภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งหากไม่สามารถฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้ ก็จะมีความเป็นไปได้สูง ว่าเศรษฐกิจจะไม่สามารถขยายตัวในระดับ 4.5 - 5.0%ได้
ตัวเลขที่ทำให้เกิดความกังวลอีกตัวหนึ่ง คือการขาดดุลการค้า 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐพร้อมกับการ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญซึ่งเป็นการขาดดุลที่สูงใกล้เคียงกับสภาวะที่ประเทศไทยเผชิญในไตรมาส 2 ของปี 1997 คือก่อนการลดค่าเงินบาทและวิกฤติเศรษฐกิจนั่นเอง
การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้บางคนตั้งคำถามกับผมว่า ประเทศไทยจะมีโอกาสประสบปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุนแรง เช่นปี 1997 หรือไม่ ซึ่งผมก็สามารถตอบยืนยันไปได้ว่า ประเทศไทยจะไม่เผชิญกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจเช่นเมื่อ 8 ปีก่อนอีก แต่ก็ต้องยอมรับว่า การชะลอตัวกำลังเกิดขึ้น และการชะลอตัวลงนั้นหนักหน่วงมากกว่าที่ผมได้เคยคาดการณ์เอาไว้
นอกจากนั้นความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก กล่าวคือ การที่เศรษฐกิจโลกพึ่งพาการใช้จ่ายเกินตัวของสหรัฐมากเกินไป ทำให้เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง
การจะเผชิญกับการชะลอตัวเศรษฐกิจนั้น สิ่งแรกคือจะต้องยอมรับความจริงเสียก่อนว่า มีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ หากไม่ยอมรับตรงนี้การแก้ปัญหาก็จะไม่กล้าทำอย่างจริงจังและเป็นระบบ
หากถามว่า ขณะนี้มีปัญหาหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ผู้เชี่ยวชาญยังไม่ได้มีฉันทามติกัน เพราะบางฝ่ายก็เชื่อว่าการชะลอตัวที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเรื่องชั่วคราวโดยทุกสิ่งทุกอย่างจะคลี่คลายไปได้เองในครึ่งหลังของปีนี้ เช่นเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงบ้าง และปริมาณการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียงพอต่อความต้องการสต็อกน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันปรับลดลงมาเหลือ 40 เหรียญต่อบาร์เรลได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับไทยอย่างมาก
เพราะหากราคาน้ำมันลดลง 20% จะทำให้รายจ่ายนำเข้าน้ำมันของไทยลดลง 3 พันล้านเหรียญ ซึ่งจะประกันได้ว่า ไทยจะไม่ต้องขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้ และทำให้กองทุนน้ำมันไม่ต้องเสียเงินเดือนละ 5 พันล้านบาท เพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซล
การลดลงของราคาน้ำมันในครึ่งหลังของปี 2005 ก็จะทำให้จีดีพีของไทยเพิ่มขึ้นได้ 0.8% หมายความว่า เราจะรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เอาไว้ได้ประมาณ 5% ในปีนี้ นอกจากนั้นการที่ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงก็จะทำให้ธนาคารกลางไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยมากนัก (เพราะไม่ต้องปรามแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เป็นผลมาจากน้ำมันราคาสูง) ดังนั้นจึงต้องตั้งความหวังกันว่าในครึ่งหลังของปีนี้ ราคาน้ำมันจะลดลงและดอกเบี้ยจะไม่ปรับตัวขึ้นมาก เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
เดิมทีนั้น ผมประเมินว่า เศรษฐกิจของไทยในปีนี้และปีต่อไปจะขับเคลื่อนโดยการลงทุนของภาครัฐและเอกชนเป็นหลัก ซึ่งการลงทุนของเอกชนนั้นต้องยอมรับว่า ประเมินได้ยากเพราะมองในด้านหนึ่งก็จะสรุปว่า เอกชนต้องการลงทุนอีกมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะใช้กำลังการผลิตใกล้เต็มที่แล้วและมีกำไรเหลืออยู่
อัตราดอกเบี้ยก็ยังอยู่ในระดับต่ำจึงน่าจะถือโอกาสรีบลงทุนใน 2-3 ปีข้างหน้า แต่เราสามารถมองอีกด้านหนึ่งได้ว่า ภาคธุรกิจเอกชนก็ต้องระมัดระวังตัวเองเนื่องจากเพิ่งได้รับบทเรียนที่แสนสาหัส จากการลงทุนเกินตัวและลงทุนผิดประเภทมาไม่ถึง 10 ปี ดังนั้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยและความไม่แน่นอนของราคาน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยน การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จึงเป็นปัจจัยที่จะทำให้ภาคเอกชนรีรอออกไปอีก
เมื่อต้นปีนี้หลายฝ่ายมีความมั่นใจว่า ภาครัฐจะเป็นผู้นำการลงทุน ทั้งในเชิงของการชี้นำและในการระดมทุนลงในโปรเจคใหญ่ต่างๆ ในโครงการการขนส่ง พลังงาน และอื่นๆ ที่พูดกันจนติดปากว่าจะมีมูลค่า 1.5-2 ล้านล้านบาท
แต่ในขณะนี้ เริ่มจะมีความมั่นใจน้อยลงว่า โครงการดังกล่าวรัฐบาลจะรีบเร่งดำเนินการมากน้อยเพียงใด จึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ว่า การเร่งออกโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมหาศาลในช่วงที่ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และกำลังเผชิญกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นนั้น ทำให้มีความเสี่ยงต่อความสมดุลของเศรษฐกิจอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน การไม่เร่งทำโปรเจคใหญ่ดังกล่าวก็มีความเสี่ยงว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างเชื่องช้า เพราะขาดปัจจัยสนับสนุน ดังนั้นพอสรุปได้ว่า การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในปีนี้ไม่ง่ายเลย ผมจึงคิดว่า หากเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ในระดับ 4-5% โดยเงินเฟ้ออยู่ที่ 3.0-3.5% ก็น่าจะพึงพอใจแล้ว
เราจะทราบได้อย่างไรว่าแนวโน้มจะไปในทางบวกหรือลบ ผมคิดว่า รัฐบาลได้บอกแล้วว่า จะต้องพึ่งพาการขยายตัวของการส่งออกที่จะต้องอยู่ที่ระดับ 20% หรืออีกนัยหนึ่งคือ ไทยจะต้องส่งออกเดือนละ 1 หมื่นล้านเหรียญนั่นเอง หากเราสามารถผลักดันส่งออกในระดับนี้ได้ ก็จะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสบายใจ ไม่ต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นมาก และรัฐบาลสบายใจกล้าที่จะเร่งทำโครงการยักษ์ได้
แต่การพึ่งพาให้ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงถึง 20%นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวลงและจีนที่ได้เร่งขยายการลงทุนใน 7-8 ปีที่ผ่านมาก็เริ่มผลิตสินค้าส่งออกมาขายในตลาดโลกจำนวนมาก
หากพิจารณาสถิติส่งออกของไทย จะพบว่า เราใช้การส่งออกนำการขยายตัวของเศรษฐกิจมาโดยตลอด เช่นเมื่อ 10 ปีที่แล้วการส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 35% ของจีดีพี แต่เมื่อส่งออกขยายตัวสูงกว่าจีดีพีมาโดยตลอด ดังนั้นสัดส่วนของส่งออกต่อจีดีพีจึงจะสูงถึง 65% แล้วในปีนี้
คำถามคือการจะผลักดันให้ส่งออกขยายตัวมากกว่าจีดีพีกว่าเท่าตัวต่อไปอีกก็จะทำได้ยากขึ้นและทำให้ไทยเสี่ยงต่อการพึ่งพาตลาดต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้นจึงอาจต้องมาพิจารณาการตรึงสัดส่วนส่งออกต่อจีดีพีไม่ให้สูงกว่านี้มากนัก แต่ลดนำเข้าชิ้นส่วนและวัตถุดิบจากต่างประเทศเพื่อเพิ่มมูลค่าในประเทศและลดขาดดุลการค้าครับ
- lekapuk
- Verified User
- โพสต์: 82
- ผู้ติดตาม: 0
อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 เป็นไปได้ไหม
โพสต์ที่ 15
วิกฤตเศรษฐกิจไม่น่าจะเกิดนะค่ะ เพราะว่าเดี่ยวนี้มีการควบคุมมากกว่าเดิม แต่ถ้าเป็นตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่แน่ เพราะมันมีวัฏจักรของตลาดหุ้นเหมือนกันว่าทุกๆ7-8ปี จะมีการตกต่ำอย่างมากของตลาดหุ้นเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง
ถ้างานนี้เกิดก็ตัวใครตัวมันหล่ะ :lovl: :lovl: :lovl:
ถ้างานนี้เกิดก็ตัวใครตัวมันหล่ะ :lovl: :lovl: :lovl:
lek
-
- Verified User
- โพสต์: 185
- ผู้ติดตาม: 0
อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 เป็นไปได้ไหม
โพสต์ที่ 16
ผมมองว่าวัฏจักรมันมีแน่ แต่คงไม่ใช่ 2-3 ปีนี้หล่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 232
- ผู้ติดตาม: 0
อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 เป็นไปได้ไหม
โพสต์ที่ 17
ถ้าตลาดหุ้นตกต่ำมากๆ โดยไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจจริงๆ สงสัยคนใน webboard นี้คงเริงร่า มีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นอีกหลายคนแน่ๆครับlekapuk เขียน:วิกฤตเศรษฐกิจไม่น่าจะเกิดนะค่ะ เพราะว่าเดี่ยวนี้มีการควบคุมมากกว่าเดิม แต่ถ้าเป็นตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่แน่ เพราะมันมีวัฏจักรของตลาดหุ้นเหมือนกันว่าทุกๆ7-8ปี จะมีการตกต่ำอย่างมากของตลาดหุ้นเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง
ถ้างานนี้เกิดก็ตัวใครตัวมันหล่ะ :lovl: :lovl: :lovl:
"Much success can be attributed to inactivity. Most investors cannot resist the temptation to constantly buy and sell."
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 เป็นไปได
โพสต์ที่ 18
ภายใน2ปีนี้คงไม่มีปัญหาVI พันธุ์ทาง เขียน:มีคนบอกว่าจะมีวิกฤติเศรษฐกิจแบบปี2540 ในอีก2-3 ปีข้างหน้า
พี่ๆคิดว่าเป็นไปได้ไหมครับ ช่วยกันวิเคราะห์หาปัจจัยที่จะทำให้เกิดวิกฤติครับ
เงินคงคลังยังมีเยอะ
ดุลการค้าดูไม่ค่อยดีเพราะขาดกระลุ่งกระลิ้ง
คาดว่าพอแก้ไขได้จากการส่งออก
นายก ยังไม่เป็นอัลซายเมอร์
แต่รัฐบาลหน้าหลัง4ปีนี้ค่อยว่ากันอีกที