....2 คน ที่เราควรคิดถึงมากที่สุดในโลก....
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
....2 คน ที่เราควรคิดถึงมากที่สุดในโลก....
โพสต์ที่ 1
....2 คน ที่เราควรคิดถึงมากที่สุดในโลก....
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 72069.html
2 คน ที่เราควรคิดถึงมากที่สุดในโลก
Date: Wed, 11 May 2005 17:55:58 +0700
เวลาไม่มีเงิน
คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่
แต่พอมีเงิน
คนแรกที่คิดถึงคือแฟนและเพื่อน
อยากได้รถ
คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่
แต่พอมีรถ
คนแรกที่จะไปรับคือแฟนและเพื่อน
ร้านอาหารหรู ๆ บรรยากาศคลาสสิค
มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน
อาหารบนโต๊ะที่บ้าน
มีสำหรับพ่อและแม่
พ่อและแม่ คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน
เพื่อความอยู่รอด
ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเนตก่อนนอน
เพื่อให้หลับฝันดี
เวลาเรามีความสุข
มักจะมองหาแฟนและเพื่อน
เวลาเรามีความทุกข์
คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจ คือพ่อและแม่
เวลาประสบความสำเร็จ
เรามักมองหาแฟนและเพื่อน เพื่อนัดฉลองและสังสรรค์
แต่คนที่ดีใจที่สุดคือพ่อและแม่
แต่พ่อและแม่ กลับกลายเป็นคนที่เรามองข้ามไป
โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า
มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน
ทีวี และสวนหน้าบ้าน
มีไว้สำหรับพ่อและแม่
ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง เธค ผับ โต๊ะสนุ๊ก ฯลฯ
พ่อและแม่กับทำงาน หรือ นอนหลับเก็บแรงไว้ทำงานหาเงินในวันรุ่งขึ้น
เพื่อแลกความสุขของลูก อยากให้ลูกเรียนสูง ๆ
เวลาแต่งงาน
คนที่เป็นธุระหาสินสอดทองหมั้นคือพ่อและแม่
คนที่มีความสุขคือลูก
พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้ง
เต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย
เพื่อให้ลูกได้ดี
แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่ พ่อและแม่พูดเป็นแค่เรื่องไร้สาระ
พ่อและแม่
คือผู้ฝ่าฟันปัญหาเป็นร้อยพันประการเพื่อลูก
แต่พอลูกมีปัญหา
มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่หรืออยากตาย
พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้อง
และยืนเคียงข้างลูกจวบจน=A
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 72069.html
2 คน ที่เราควรคิดถึงมากที่สุดในโลก
Date: Wed, 11 May 2005 17:55:58 +0700
เวลาไม่มีเงิน
คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่
แต่พอมีเงิน
คนแรกที่คิดถึงคือแฟนและเพื่อน
อยากได้รถ
คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่
แต่พอมีรถ
คนแรกที่จะไปรับคือแฟนและเพื่อน
ร้านอาหารหรู ๆ บรรยากาศคลาสสิค
มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน
อาหารบนโต๊ะที่บ้าน
มีสำหรับพ่อและแม่
พ่อและแม่ คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน
เพื่อความอยู่รอด
ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเนตก่อนนอน
เพื่อให้หลับฝันดี
เวลาเรามีความสุข
มักจะมองหาแฟนและเพื่อน
เวลาเรามีความทุกข์
คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจ คือพ่อและแม่
เวลาประสบความสำเร็จ
เรามักมองหาแฟนและเพื่อน เพื่อนัดฉลองและสังสรรค์
แต่คนที่ดีใจที่สุดคือพ่อและแม่
แต่พ่อและแม่ กลับกลายเป็นคนที่เรามองข้ามไป
โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า
มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน
ทีวี และสวนหน้าบ้าน
มีไว้สำหรับพ่อและแม่
ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง เธค ผับ โต๊ะสนุ๊ก ฯลฯ
พ่อและแม่กับทำงาน หรือ นอนหลับเก็บแรงไว้ทำงานหาเงินในวันรุ่งขึ้น
เพื่อแลกความสุขของลูก อยากให้ลูกเรียนสูง ๆ
เวลาแต่งงาน
คนที่เป็นธุระหาสินสอดทองหมั้นคือพ่อและแม่
คนที่มีความสุขคือลูก
พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้ง
เต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย
เพื่อให้ลูกได้ดี
แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่ พ่อและแม่พูดเป็นแค่เรื่องไร้สาระ
พ่อและแม่
คือผู้ฝ่าฟันปัญหาเป็นร้อยพันประการเพื่อลูก
แต่พอลูกมีปัญหา
มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่หรืออยากตาย
พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้อง
และยืนเคียงข้างลูกจวบจน=A
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
....2 คน ที่เราควรคิดถึงมากที่สุดในโลก....
โพสต์ที่ 2
ด้านมืดของนมวัว
Date: Wed, 11 May 2005 18:25:53 +0700
ปัจจุบันหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ มาเลเซีย สิงคโปร์รณรงค์ให้คนเลิกดื่มนมอย่างจริงจัง
การวิจัยพบว่านมทำให้เกิดโรคภูมิแพ้
โรคเบาหวาน กระดูกผุ สมาธิสั้น เด็กปวดท้อง เด็กหูอักเสบ หอบหืด ฉี่รดที่นอน เลือดกำเดา ปวดหัว ไซนัสอักเสบ ฯลฯ
นม ทำให้ร่างกายสูงใหญ่จริง แต่ไม่ได้เป็นเพราะแคลเซียม
สิ่งที่ทำให้ร่างกายสูงใหญ่คือ Growth Hormoneของสัตว์
หรือฮอร์โมนที่เกิดจากการกระตุ้นการเจริญเติบโตของวัว
คนจะมี น้ำหนักเพิ่ม 3 กิโลกรัมโดยเฉลี่ย ในเวลา 3 เดือนหลังคลอด
แต่ลูกวัวนั้น น้ำหนักจะเพิ่ม 30 กิโลกรัม ในเวลาเท่ากัน
เพราะฉะนั้นสรีระโครงสร้างทั้งหมด
และความต้องการอาหารนั้นไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
วัวเมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักรวม 500 กิโลกรัมขึ้นไป
ในขณะที่คนจะมีน้ำหนักประมาณ 50-60 กิโลกรัม
การให้เด็กดื่มนมวัวก็คือการให้สารอาหารที่มีไว้กระตุ้นสัตว์ที่มีการเจริญเติบโตมากมายแกเด็ก
ผลคือเด็กมีโครงสร้างที่ผิดปกติไปจากที่เด็กควรจะเป็น และโดยปกติแล้ว
ลูกวัวรับประทานนมแค่ 1 ปี แต่ลูกคนรับประทานนมวัวต่อเนื่องเป็นสิบปี
ฉะนั้น Growth Hormone จะกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็กอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ร่างกายสูงใหญ่ผิดไปจากเผ่าพันธุ์เดิมของตน และในที่สุด
โรคต่างๆที่กล่าวข้างต้นก็จะเกิดขึ้น แต่อันตรายนี้จะเห็นได้ช้า
ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จะไม่ตระหนักและคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี
อันตรายจากนมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ออทิสติก หรือ
โรคสมาธิสั้น
เด็กจะไม่อยู่เฉย เพราะถูกกระตุ้นในตื่นตัวเสมอจากสารกระตุ้นที่มีอยู่ในนมวัว
เพราะลูกวัวนั้นโดยธรรมชาติแล้ว คลอดออกมามันจะต้องวิ่งได้
เพื่อที่จะวิ่งหนีศัตรู เช่น หมาป่า เสือ สิงโต
ฉะนั้นในนมวัวจึงมีสารที่จะทำให้ลูกวัวตื่นตัวตลอดเวลา
เด็กที่ดื่มนมวัวจึงมีอาการตื่นตัว อยู่เฉยไม่ได้ เหมือนอยู่ในป่า
การถูกกระตุ้นเกินกว่าเหตุเป็นอันตรายต่อสมองและพัฒนาการของเด็กและผู้ใหญ่
ประโยชน์ที่คนส่วนใหญ่คาดว่าจะได้จากนมวัว คือโปรตีนและแคลเซียม
ความจริงที่ควรทราบก็คือโปรตีนจากสัตว์เป็นอันตรายต่อร่างกายมาก
และแคลเซียมในนมก็ไม่ได้มีมากอย่างที่หลายคนเชื่อ นมวัว 3แก้วให้ปริมาณแคลเซียมเท่ากับหัวปลาทูเพียง 1 หัวเท่านั้น
นมวัวมีไว้ให้วัวกิน นมคนมีไว้ให้คนกิน
คนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่กินนมข้ามสายพันธุ์ และกินอย่างต่อเนื่องจึงก่อให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย
ปัจจุบันพบว่าสาเหตุของโรคภูมิแพ้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ คือนมวัว
สาเหตุของโรคกระดูกผุ เวียนศีรษะในผู้สูงอายุ คือนมวัว
แพทย์พบว่าคนไข้ที่มีอาการดังกล่าว ถ้ามีประวัติดื่มนมอย่างต่อเนื่อง
หลังจากให้หยุดดื่มนมแล้ว อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับผู้หญิงนั้น นมถั่วเหลือง เหมาะที่สุด
เพราะในนมถั่วเหลืองนอกจากจะได้โปรตีนจากพืชซึ่งเป็นโปรตีนที่ถูกต้องแล้ว
ในนมถั่วเหลืองก็มีแคลเซียม และที่สำคัญมีฮอร์โมนเอสโตรเจน
ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง จะทำให้ผู้หญิงมีผิวพรรณดี
โดยเฉพาะผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน
ซึ่งปริมาณเอสโตรเจนในร่างกายจะลดลงนั้น
การดื่มนมถั่วเหลืองจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน
ทำให้โอกาสที่จะเกิดอาการผิดปกติต่างๆ ในวัยใกล้หมดประจำเดือนลดน้อยลง
ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการดื่มนมถั่วเหลืองคือ วันละหนึ่งแก้ว
และหากจะให้ได้ประโยชน์สูงสุดควรดื่มในเวลาที่ท้องว่าง
คือก่อนหรือหลังอาหาร2 ชั่วโมง
ควรดื่มในเวลาท้องว่าง
เพราะในนมถั่วเหลือจะมีไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่แข็งแรงมาก
ฉะนั้นถ้ากินพร้อมมื้ออาหารจะทำให้การย่อยและการดูดซึมสารอาหารในมื้อนั้นๆ ตกลง
อย่างไรก็ตามนมถั่วเหลืองอาจไม่เหมาะที่จะให้ผู้ชายดื่มทุกๆ วัน
เนื่องจะการเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงให้กับผู้ชายในปริมาณมากเกินไป
จะส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนเพศชายทำให้ผลิตสเปิร์มน้อยลงและมีลูกยาก
ปล.ให้ระวังกันด้วยหล่ะเป็นห่วงทุกคนนะ..ช่วยส่งต่อด้วยละกันนะ
_____
(ปล.เป็นเมล์ FWD บทความนี้นำมาให้อ่านๆแล้วก็มีข้อคิดหลายอย่างเหมือนกัน
เมื่อก่อนไม่ได้ดื่มนมวัว พี่น้องรุ่นเดียวกันก็ตัวเล็กๆไม่สูง พอรุ่นหลานๆทุกคนจะตัวสูงๆกัน
อ่านแล้วก็ไม่รู้จะทำไงดี ทุกอย่างอยู่ที่การวิจัยขององค์กรผู้ดูแล รักและห่วงใยประชาชนมากน้อยแค่ไหน
ทุกอย่างดื่มมากทานมากก็ให้โทษทั้งนั้น ต้องทานพอดีๆคละๆกันไป ค่อยๆโตค่อยๆแก่ ก็ดีเหมือนกัน..)
Date: Wed, 11 May 2005 18:25:53 +0700
ปัจจุบันหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ มาเลเซีย สิงคโปร์รณรงค์ให้คนเลิกดื่มนมอย่างจริงจัง
การวิจัยพบว่านมทำให้เกิดโรคภูมิแพ้
โรคเบาหวาน กระดูกผุ สมาธิสั้น เด็กปวดท้อง เด็กหูอักเสบ หอบหืด ฉี่รดที่นอน เลือดกำเดา ปวดหัว ไซนัสอักเสบ ฯลฯ
นม ทำให้ร่างกายสูงใหญ่จริง แต่ไม่ได้เป็นเพราะแคลเซียม
สิ่งที่ทำให้ร่างกายสูงใหญ่คือ Growth Hormoneของสัตว์
หรือฮอร์โมนที่เกิดจากการกระตุ้นการเจริญเติบโตของวัว
คนจะมี น้ำหนักเพิ่ม 3 กิโลกรัมโดยเฉลี่ย ในเวลา 3 เดือนหลังคลอด
แต่ลูกวัวนั้น น้ำหนักจะเพิ่ม 30 กิโลกรัม ในเวลาเท่ากัน
เพราะฉะนั้นสรีระโครงสร้างทั้งหมด
และความต้องการอาหารนั้นไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
วัวเมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักรวม 500 กิโลกรัมขึ้นไป
ในขณะที่คนจะมีน้ำหนักประมาณ 50-60 กิโลกรัม
การให้เด็กดื่มนมวัวก็คือการให้สารอาหารที่มีไว้กระตุ้นสัตว์ที่มีการเจริญเติบโตมากมายแกเด็ก
ผลคือเด็กมีโครงสร้างที่ผิดปกติไปจากที่เด็กควรจะเป็น และโดยปกติแล้ว
ลูกวัวรับประทานนมแค่ 1 ปี แต่ลูกคนรับประทานนมวัวต่อเนื่องเป็นสิบปี
ฉะนั้น Growth Hormone จะกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็กอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ร่างกายสูงใหญ่ผิดไปจากเผ่าพันธุ์เดิมของตน และในที่สุด
โรคต่างๆที่กล่าวข้างต้นก็จะเกิดขึ้น แต่อันตรายนี้จะเห็นได้ช้า
ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จะไม่ตระหนักและคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี
อันตรายจากนมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ออทิสติก หรือ
โรคสมาธิสั้น
เด็กจะไม่อยู่เฉย เพราะถูกกระตุ้นในตื่นตัวเสมอจากสารกระตุ้นที่มีอยู่ในนมวัว
เพราะลูกวัวนั้นโดยธรรมชาติแล้ว คลอดออกมามันจะต้องวิ่งได้
เพื่อที่จะวิ่งหนีศัตรู เช่น หมาป่า เสือ สิงโต
ฉะนั้นในนมวัวจึงมีสารที่จะทำให้ลูกวัวตื่นตัวตลอดเวลา
เด็กที่ดื่มนมวัวจึงมีอาการตื่นตัว อยู่เฉยไม่ได้ เหมือนอยู่ในป่า
การถูกกระตุ้นเกินกว่าเหตุเป็นอันตรายต่อสมองและพัฒนาการของเด็กและผู้ใหญ่
ประโยชน์ที่คนส่วนใหญ่คาดว่าจะได้จากนมวัว คือโปรตีนและแคลเซียม
ความจริงที่ควรทราบก็คือโปรตีนจากสัตว์เป็นอันตรายต่อร่างกายมาก
และแคลเซียมในนมก็ไม่ได้มีมากอย่างที่หลายคนเชื่อ นมวัว 3แก้วให้ปริมาณแคลเซียมเท่ากับหัวปลาทูเพียง 1 หัวเท่านั้น
นมวัวมีไว้ให้วัวกิน นมคนมีไว้ให้คนกิน
คนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่กินนมข้ามสายพันธุ์ และกินอย่างต่อเนื่องจึงก่อให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย
ปัจจุบันพบว่าสาเหตุของโรคภูมิแพ้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ คือนมวัว
สาเหตุของโรคกระดูกผุ เวียนศีรษะในผู้สูงอายุ คือนมวัว
แพทย์พบว่าคนไข้ที่มีอาการดังกล่าว ถ้ามีประวัติดื่มนมอย่างต่อเนื่อง
หลังจากให้หยุดดื่มนมแล้ว อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับผู้หญิงนั้น นมถั่วเหลือง เหมาะที่สุด
เพราะในนมถั่วเหลืองนอกจากจะได้โปรตีนจากพืชซึ่งเป็นโปรตีนที่ถูกต้องแล้ว
ในนมถั่วเหลืองก็มีแคลเซียม และที่สำคัญมีฮอร์โมนเอสโตรเจน
ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง จะทำให้ผู้หญิงมีผิวพรรณดี
โดยเฉพาะผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน
ซึ่งปริมาณเอสโตรเจนในร่างกายจะลดลงนั้น
การดื่มนมถั่วเหลืองจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน
ทำให้โอกาสที่จะเกิดอาการผิดปกติต่างๆ ในวัยใกล้หมดประจำเดือนลดน้อยลง
ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการดื่มนมถั่วเหลืองคือ วันละหนึ่งแก้ว
และหากจะให้ได้ประโยชน์สูงสุดควรดื่มในเวลาที่ท้องว่าง
คือก่อนหรือหลังอาหาร2 ชั่วโมง
ควรดื่มในเวลาท้องว่าง
เพราะในนมถั่วเหลือจะมีไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่แข็งแรงมาก
ฉะนั้นถ้ากินพร้อมมื้ออาหารจะทำให้การย่อยและการดูดซึมสารอาหารในมื้อนั้นๆ ตกลง
อย่างไรก็ตามนมถั่วเหลืองอาจไม่เหมาะที่จะให้ผู้ชายดื่มทุกๆ วัน
เนื่องจะการเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงให้กับผู้ชายในปริมาณมากเกินไป
จะส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนเพศชายทำให้ผลิตสเปิร์มน้อยลงและมีลูกยาก
ปล.ให้ระวังกันด้วยหล่ะเป็นห่วงทุกคนนะ..ช่วยส่งต่อด้วยละกันนะ
_____
(ปล.เป็นเมล์ FWD บทความนี้นำมาให้อ่านๆแล้วก็มีข้อคิดหลายอย่างเหมือนกัน
เมื่อก่อนไม่ได้ดื่มนมวัว พี่น้องรุ่นเดียวกันก็ตัวเล็กๆไม่สูง พอรุ่นหลานๆทุกคนจะตัวสูงๆกัน
อ่านแล้วก็ไม่รู้จะทำไงดี ทุกอย่างอยู่ที่การวิจัยขององค์กรผู้ดูแล รักและห่วงใยประชาชนมากน้อยแค่ไหน
ทุกอย่างดื่มมากทานมากก็ให้โทษทั้งนั้น ต้องทานพอดีๆคละๆกันไป ค่อยๆโตค่อยๆแก่ ก็ดีเหมือนกัน..)
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
....2 คน ที่เราควรคิดถึงมากที่สุดในโลก....
โพสต์ที่ 3
ควรอ่านเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ (เป็นห่วง)
Date:Tue,10May200513:52:20+0700
ถึงพี่ๆเพื่อนๆที่รักทุกคนคะ
มีเรื่องจริงที่ประสบกับตัวเองมาเล่าให้ฟัง.เป็นอุทาหรณ์ให้
คุณผู้หญิงทั้งหลายที่มีเหตุจำเป็นต้องใช้บริการรถแท็กซี่
เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2548 เวลาประมาณ 19.20น. ที่ร้าน13เหรียญ
พระรามเก้าพอดีว่าเย็นวันที่เกิดเหตุ เรากับพี่ที่บริษัทจะไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นที่ร้านนั้น
ก็ไปถึงประมาณ 19.00น.แล้วเราก็ขอตัวกลับก่อน
เพราะมีนัดจะไปดูหนังก็เลยเดินออกมาหาแท็กซี่ด้านหน้าร้านพี่ที่บริษัทที่ไปด้วยกันก็ออกมาส่ง
ก็เห็นว่ามีแท้กซี่จอดอยู่ 2คัน คันแรกคนขับเป็นผู้ชายอายุประมาณ 35-40ปี
ส่วนอีกคันดูหนุ่มกว่า พี่เค้าก็เลยเรียกคันแรกไปส่งให้ก็ถามคนขับว่าไปสยามไหม
เค้าก็บอกว่าแถวมาบุญครองใช่มั้ยเราก็พยักหน้าแล้วก็ขึ้นรถไป
พอนั่งบนรถก็โทรหาแฟนบอกว่าอยู่บนรถแท็กซี่แล้วนะ
แล้วก็เลยคุยกันว่าไปลงที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินดีกว่าก็เลยถามคนขับว่ารถไฟฟ้าใต้ดินที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน
คนขับก็บอกว่าที่สถานีอโศกเราก็บอกแฟนไปอย่างนั้น
แล้วก็เลยวางโทรศัพท์แล้วก็คิดว่าเอะเราอยู่พระรามเก้า
แล้วไปอโศกมันใช่หรือเปล่าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปสักพักก็รู้สึกว่าแอร์มันเย็นขึ้น
ก็เลยหันไปจะบอกให้คนขับเค้าปรับแอร์ไห้แต่ก็เห็นพอดี
ว่าเค้ากำลังเอาน้ำหอมที่ใช้ปรับอากาศในรถยนต์มาแตะๆที่ช่องแอร์ที่น่าสงสัยคือเค้าแตะทุกช่องที่แอร์
หันมาทางเราแต่ด้านตัวเองเค้าไม่ทำก็เอะเริมคิดแล้วว่าเหมือนเหตุการณ์ที่เคยอ่านในอีเมล์
แล้วระหว่างนั้นเราเริ่มรู้สึกหายใจไม่ค่อยออกก็ยังมีสติอยู่นะเลยบอกคนขับว่าขอเปิดกระจกแล้วกัน
คนขับเค้าก็หันมาแต่ว่าไม่หันเต็มหน้าเหมือนกับว่ากลัวเราจะจำหน้าได้แล้วก็พูดเสียงดุนิดนึงว่าทำไมล่ะ
เราก็เลยบอกว่า เป็นภูมิแพ้ ไม่ค่อยชอบแอร์แล้วเราก็กดเปิดกระจกด้านที่เรานั่ง
เค้าก็ยอมเปิดกระจกด้านหน้าให้ แต่เปิดลงมาแค่3/4ส่วน
เราก็รีบโทรศัพท์หาพี่สาวเพราะระหว่างที่รถขับอยู่เราคุ้นๆ
ว่ามันอยู่แถวหน้ารามก็ระหว่างที่รอสายก็ทำเป็นว่าเราคุยกับพี่อยู่ ทั้งๆที่พี่เรายังไม่ได้รับนะ
แล้วก็เห็นว่าข้างหน้ามันเป็น บิ๊กซีก็เลยทำเป็นพูดว่าอยู่ตรงไหนแล้วหน้าบิ๊กซีใช่มั้ยงั้นเดี๋ยวไปกินข้าวกัน
แต่ระหว่างที่เราคุยอยู่คนขับเค้าก็ปรับแอร์อยู่ตลอดเลยนะ
เราก็บอกว่าขอลงหน้าบิ๊กซีตอนแรกเค้าก็ท้วงนะว่าเราจะไปรถไฟฟ้าไม่ใช่หรอ
เราก็ยืนยันว่าขอลงแล้วกันแล้วแถวนั้นมันก็เป็นตลาดคนก็เลยพลุกพล่านประกอบกับที่เราเปิดกระจกอยู่ด้วย
ก็คงกลัวว่าเราจะตะโกนมั้งถ้าไม่ยอมจอดสุดท้ายเค้าก็ยอม
พอลงมาได้ เราก็รีบเดินไปที่ร้านขายของที่คนเยอะๆแล้วก็หันไปดูเห็นแท็กซี่เค้ายังจอดดูอยู่เลยนะ
เราก็เลยถามแม่ค้าว่าไปอนุเสาวรีย์ไปรถเมล์สายใหน
แล้วก็ขึ้นรถเมล์กลับบ้านพอถึงบ้านก็สลบเลยแขนขาไม่มีแรง
แต่ยังรู้ตัวนะแต่ว่าไม่มีแรงก็คิดว่ายาที่เราโดนคงเป็นยาสลบแต่ว่าเราไม่โดนตรงๆ
เพราะระหว่างทางเราหันหน้าออกไปข้างนอกตลอดก็อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์
ให้คนที่ใช้บริการรถแท็กซี่แล้วก็ที่สำคัญคอยสังเกตุดูด้วยนะคะว่าเค้าทำอะไรผิดปกติหรือเปล่า
ส่วนเลขทะเบียนรถเราจดใส่โทรศัพท์มาแต่ว่าสงสัยจะมึนเลยไม่ได้เซพไว้แต่จำได้ว่าเป็นแท็กซี่ ****
ทะเบียน ******คนขับวัยกลางคนหัวเถิกนิดหน่อยรูปร่างท้วมก็ระวังตัวย
(ปล.เมล์ FWD ส่งมาให้อ่าน ไม่ค่อยกล้าลง แต่ก็ต้องลงเพราะเพื่อนๆจะได้ระวังตัวไว้ปลอดภัยไว้ก่อนค่ะ)
Date:Tue,10May200513:52:20+0700
ถึงพี่ๆเพื่อนๆที่รักทุกคนคะ
มีเรื่องจริงที่ประสบกับตัวเองมาเล่าให้ฟัง.เป็นอุทาหรณ์ให้
คุณผู้หญิงทั้งหลายที่มีเหตุจำเป็นต้องใช้บริการรถแท็กซี่
เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2548 เวลาประมาณ 19.20น. ที่ร้าน13เหรียญ
พระรามเก้าพอดีว่าเย็นวันที่เกิดเหตุ เรากับพี่ที่บริษัทจะไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นที่ร้านนั้น
ก็ไปถึงประมาณ 19.00น.แล้วเราก็ขอตัวกลับก่อน
เพราะมีนัดจะไปดูหนังก็เลยเดินออกมาหาแท็กซี่ด้านหน้าร้านพี่ที่บริษัทที่ไปด้วยกันก็ออกมาส่ง
ก็เห็นว่ามีแท้กซี่จอดอยู่ 2คัน คันแรกคนขับเป็นผู้ชายอายุประมาณ 35-40ปี
ส่วนอีกคันดูหนุ่มกว่า พี่เค้าก็เลยเรียกคันแรกไปส่งให้ก็ถามคนขับว่าไปสยามไหม
เค้าก็บอกว่าแถวมาบุญครองใช่มั้ยเราก็พยักหน้าแล้วก็ขึ้นรถไป
พอนั่งบนรถก็โทรหาแฟนบอกว่าอยู่บนรถแท็กซี่แล้วนะ
แล้วก็เลยคุยกันว่าไปลงที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินดีกว่าก็เลยถามคนขับว่ารถไฟฟ้าใต้ดินที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน
คนขับก็บอกว่าที่สถานีอโศกเราก็บอกแฟนไปอย่างนั้น
แล้วก็เลยวางโทรศัพท์แล้วก็คิดว่าเอะเราอยู่พระรามเก้า
แล้วไปอโศกมันใช่หรือเปล่าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปสักพักก็รู้สึกว่าแอร์มันเย็นขึ้น
ก็เลยหันไปจะบอกให้คนขับเค้าปรับแอร์ไห้แต่ก็เห็นพอดี
ว่าเค้ากำลังเอาน้ำหอมที่ใช้ปรับอากาศในรถยนต์มาแตะๆที่ช่องแอร์ที่น่าสงสัยคือเค้าแตะทุกช่องที่แอร์
หันมาทางเราแต่ด้านตัวเองเค้าไม่ทำก็เอะเริมคิดแล้วว่าเหมือนเหตุการณ์ที่เคยอ่านในอีเมล์
แล้วระหว่างนั้นเราเริ่มรู้สึกหายใจไม่ค่อยออกก็ยังมีสติอยู่นะเลยบอกคนขับว่าขอเปิดกระจกแล้วกัน
คนขับเค้าก็หันมาแต่ว่าไม่หันเต็มหน้าเหมือนกับว่ากลัวเราจะจำหน้าได้แล้วก็พูดเสียงดุนิดนึงว่าทำไมล่ะ
เราก็เลยบอกว่า เป็นภูมิแพ้ ไม่ค่อยชอบแอร์แล้วเราก็กดเปิดกระจกด้านที่เรานั่ง
เค้าก็ยอมเปิดกระจกด้านหน้าให้ แต่เปิดลงมาแค่3/4ส่วน
เราก็รีบโทรศัพท์หาพี่สาวเพราะระหว่างที่รถขับอยู่เราคุ้นๆ
ว่ามันอยู่แถวหน้ารามก็ระหว่างที่รอสายก็ทำเป็นว่าเราคุยกับพี่อยู่ ทั้งๆที่พี่เรายังไม่ได้รับนะ
แล้วก็เห็นว่าข้างหน้ามันเป็น บิ๊กซีก็เลยทำเป็นพูดว่าอยู่ตรงไหนแล้วหน้าบิ๊กซีใช่มั้ยงั้นเดี๋ยวไปกินข้าวกัน
แต่ระหว่างที่เราคุยอยู่คนขับเค้าก็ปรับแอร์อยู่ตลอดเลยนะ
เราก็บอกว่าขอลงหน้าบิ๊กซีตอนแรกเค้าก็ท้วงนะว่าเราจะไปรถไฟฟ้าไม่ใช่หรอ
เราก็ยืนยันว่าขอลงแล้วกันแล้วแถวนั้นมันก็เป็นตลาดคนก็เลยพลุกพล่านประกอบกับที่เราเปิดกระจกอยู่ด้วย
ก็คงกลัวว่าเราจะตะโกนมั้งถ้าไม่ยอมจอดสุดท้ายเค้าก็ยอม
พอลงมาได้ เราก็รีบเดินไปที่ร้านขายของที่คนเยอะๆแล้วก็หันไปดูเห็นแท็กซี่เค้ายังจอดดูอยู่เลยนะ
เราก็เลยถามแม่ค้าว่าไปอนุเสาวรีย์ไปรถเมล์สายใหน
แล้วก็ขึ้นรถเมล์กลับบ้านพอถึงบ้านก็สลบเลยแขนขาไม่มีแรง
แต่ยังรู้ตัวนะแต่ว่าไม่มีแรงก็คิดว่ายาที่เราโดนคงเป็นยาสลบแต่ว่าเราไม่โดนตรงๆ
เพราะระหว่างทางเราหันหน้าออกไปข้างนอกตลอดก็อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์
ให้คนที่ใช้บริการรถแท็กซี่แล้วก็ที่สำคัญคอยสังเกตุดูด้วยนะคะว่าเค้าทำอะไรผิดปกติหรือเปล่า
ส่วนเลขทะเบียนรถเราจดใส่โทรศัพท์มาแต่ว่าสงสัยจะมึนเลยไม่ได้เซพไว้แต่จำได้ว่าเป็นแท็กซี่ ****
ทะเบียน ******คนขับวัยกลางคนหัวเถิกนิดหน่อยรูปร่างท้วมก็ระวังตัวย
(ปล.เมล์ FWD ส่งมาให้อ่าน ไม่ค่อยกล้าลง แต่ก็ต้องลงเพราะเพื่อนๆจะได้ระวังตัวไว้ปลอดภัยไว้ก่อนค่ะ)
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
....2 คน ที่เราควรคิดถึงมากที่สุดในโลก....
โพสต์ที่ 4
เก็บตก ไปสอน Leadership ที่ระยอง
Date: Mon, 9 May 2005 18:32:29 +0700
เก็บตก ไปสอน Leadership ที่ ระยอง กลุ่มปิ โตรเคมี โดยคุณ ดร วรภัทร์ ภู่เจริญ
a few good points ja.. ขอ Show & Share
[url]http:www.agerroom.com/board/viewtopic.php?t=2428[/url]
๑) ผู้บริหาร ควรดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ใช่ คึกขึ้นมาก็ตลุยทำเราแก่แล้ว ไม่เหมือน หนุ่มๆ
๒) ทำตัวกลมกลืน กับ เด็กๆ รุ่นหลังบ้าง ฟังเพลงแนวเดียวกับเขา คบคนรุ่นเขา ฯลฯ
๓) การนั่งสมาธิ คือ การ Defrag สมอง กำจัด Segment ไม่ดี ขยะในสมอง ออกไปสมองจะได้ โล่งๆ การนั่งสมาธิ เป็น วิทยาศาสตร์
๔) หัด เจริญสติ เข้าไปทำความเข้าใจ การทำงานของจิต กับ สมอง ดูจิตบ่อยๆ
๕) การฝึก Service Mind เริ่มจากผู้บริหาร ทำให้ดูก่อน ง่าย คือ เสริฟอาหารให้ลูกน้อง ทำกับข้าวให้ลูกน้อง
๖) พาพวก ดื้อ ไม่มี จิตใจนักบริการ ไม่มีใจผู้ให้ ไป เลี้ยงเด็กพิการ คนชรา คนบ้า ฯลฯ
๗) พวกกินเหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ ให้ไปเลี้ยง คนพิการทางสมอง จะได้เห็น vision ตนเอง ใน ชาติต่อไป
๘) แนวพุทธ เป็น trend ที่ตะวันตก กำลังบูม ใครพูดจา ใครทำสมาธิ ถือว่า HighClass ในกลุ่มผู้ดี มีการศึกษา ในตะวันตก
ถ้า "ไม่อยาก ตกเทรนด์ ก็ต้องรีบ ปฏิบัติ ธรรม"
๙) การอบรมแบบ Classroom เชยมาก คิดใหม่ ทำใหม่ ได้แล้ว ใช้แบบ Classroom เท่าที่จำเป็น เช่น ชี้แจงร่วมกัน โต้วาที ฯลฯ
๑๐) อยู่กับ ลูกน้องโง่ๆ ทั้งวัน เราจะโง่ตามไปด้วย ดังนั้นต้องคบคนฉลาดเอาไว้ด้วย ดึง IQ เรา ขึ้นไป คบคนเก่งเข้า Forum
๑๑) อบรม EQ ก็คือ ฝึก มหาสติ ฯ นั่นเอง
๑๒) Learnig Org มีพื้นฐาน คือ สติ เรียนรู้ตนเองก่อน
จึงเรียนรู้ภายนอก ฝรั่ง ยังมาไม่ถึงจุดนี้
๑๓) เสียดาย ที่ฝรั่ง สอน Management จริงๆแล้ว ที่ฝรั่งสอน ก็อยู่ในพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้านั่นเอง เช่น Covey ก็ยังไม่ซึ้ง แค่ 8 habit ก็ยัง ไม่ลึกพอ
๑๔) เมีย คือ ตัวแปรสำคัญ ของลูกน้อง ต้องอบรม ลูกเมีย พวกเขาด้วย สอนธรรมะสอนวิธีเลี้ยงลูก สอนให้คิดเป็น อย่าเอาแต่สอนคนของเราเท่านั้น
๑๕) คนดื้อ คือ พวกที่มี "อคติ" (Mental model) ต้อง ย้อนไปดู จริต ดูปมด้อยดูการเลี้ยงดูตั้งแต่ เด็ก จากนั้นวางแผน แก้ปมด้อยให้
๑๖) คนไม่รักการอ่าน แก่แล้วแก้ยาก จ้างคนมาแทนง่ายกว่า ลูกน้องเราไม่รักการอ่าน ก็หา วิธีอื่นๆ มาช่วย เช่น อัดเทป แปล Show & share ฯลฯ ถ้าขุนไม่ขึ้น ก็จ้างคนมาแทนง่ายกว่า ประหยัดกว่า
๑๗) สันดานช่าง เกลียดการอ่าน จึงมาเป็นช่าง จะคาดหวังให้อ่านคงยาก manual ยังไม่อ่านเลย ภาษาอังกฤษ ก็อ่อนแอ ต้อง ใช้ วิธีใหม่ๆ มาแก้ครับ
๑๘) ผู้นำ ต้อง รู้จัก ทาน ( ทานะ คือ การให้) ปัจจัย คือ ปัดใจ ปัดออกจากใจเมื่อจะให้ก็อย่ากังวล
๑๙) ด่ามา สิบปี ลูกน้องยังไม่เปลี่ยนแปลง คนโง่ คือ คนด่า นั่นเอง ซี้ปังเท้า
๒๐) เตรียม วาจา สุภาษิต เอาไว้บ้าง เวลาสอนธรรมะลูกน้อง จะได้ มี วาจาแบบ"ผู้ดี มีชาติ ตระกูล" หน่อยครับ
๒๑) คนกินเหล้า คือ คนจิตใจ อ่อนแอ หาความสุขในใจ ไม่เป็น ไม่มี Self entertainment
๒๒) ฝึก ช่าง ให้มา บริหาร เป็นเรื่องยาก ต้องใช้การฝึกแบบ Accelerated Learning
๒๓) คนสติน้อยๆ หมอดูจะทำนายเขาได้แม่นยำ คนฝึกสติ หมอดู จะทำนายไม่ได้เลยเพราะ เขาเอา สติ ไปกำหนดชะตาตนเองได้แล้ว
๒๔) มีคนมากมาย ที่ไม่ได้ฝึกสติ ดังนั้น จงเรียนการดูดวงทายนิสัย(ไม่ทายอนาคต) ทำให้เรา อ่านคนออก เร็วขึ้น ดีกว่า สังเกตเอง มันช้าไป
๒๕) ผมสอนลูก ให้ดู นิสัยหมาพันธุ์ต่างๆ นี่คือ จุดเริ่มต้น ให้สังเกตอีกหน่อย ก็ให้ดูนิสัยของคน
๒๖) การไฟฟ้า ฯ เคยมีเอกสาร ๓๖ เหตุผล ที่ไม่ควรมีผัวเป็นวิศวกร ควรเอามาอ่านจะได้รู้ว่า พวกเรา ดื้อ เชย ไร้รสนิยม นกกระจอกกินน้ำ เห็นแก่ตัว ขี้โม้ ฯลฯ ในมุมมองของ สตรี ที่ทำงานร่วมกับเรา
๒๗) ควรมี เวที วิชาการ บีบให้ ปริญญาตรีในองค์กร ทำงาน วิชาการบ่อยๆเอามานำเสนอกัน เขียนส่งวารสาร ตีพิมพ์ เพราะ งานวิจัยไทย น้อยมากๆ
๒๘) การเล่นละคร สำคัญมาก เพราะ ชีวิต ค่อ ละคร พวกดื้อๆ ต้องให้เล่นละครเวทีบ่อยๆ แสดง บ่อยๆ เด็กๆลูกเรา ก็ควรให้เล่นละครบ่อยๆ
๒๙) เล่มเกม คอม ฯ ทำให้ฝึกทักษะ strategy อย่าเล่นเกมโง่ๆ ไล่ยิงกัน หรือขับรถแข่ง
๓๐) Teamwork คือ เก่งคนละอย่าง มาทำงานร่วมกัน อย่าเอา เก่งเหมือนกันมาอยู่ด้วยกัน
๓๑) หาโอกาส เข้าค่าย บ่อยๆ เป็น Slumber party ค่ายผู้บริหาร ฝึกใจ เปิดใจ
๓๓) เมื่อ ก่อนใครๆ ก็บอกว่า สิงคโปร์ เล็ก ๆ บริหารง่าย มาสมัยนี้ ประเทศไทยก็เล็ก ๆ จะ บริหารง่ายเช่นกัน
แต่สิงคโปร์จะแพ้ไทย เพราะ คนมีไม่พอใช้ประเทศไทยจะเป็นแบบสิงค์โปร์ ในอนาคต
๓๔) เราเรียน เทคโนโลยี ทำโรงงานอุต ฯ เราโดนฝรั่งหลอกแล้ว
ทำลายจุดเด่นของเรา ควรมาเน้น เป็นแบบ สวิส ฯ ดีกว่าเน้น การธนาคาร รับฝากกู้เงิน เน้นท่องเที่ยว ป่าเขา วัฒนธรรม ศาสนา ฯลฯ นั่งสมาธิ
๓๕) คนไทย หลงวิทยาศาสตร์มากไป ยังไม่เข้าถึง วิทยาศตร์เลย ดันมา บอกว่า พุทธเป็นเรื่อง งมงาย
Date: Mon, 9 May 2005 18:32:29 +0700
เก็บตก ไปสอน Leadership ที่ ระยอง กลุ่มปิ โตรเคมี โดยคุณ ดร วรภัทร์ ภู่เจริญ
a few good points ja.. ขอ Show & Share
[url]http:www.agerroom.com/board/viewtopic.php?t=2428[/url]
๑) ผู้บริหาร ควรดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ใช่ คึกขึ้นมาก็ตลุยทำเราแก่แล้ว ไม่เหมือน หนุ่มๆ
๒) ทำตัวกลมกลืน กับ เด็กๆ รุ่นหลังบ้าง ฟังเพลงแนวเดียวกับเขา คบคนรุ่นเขา ฯลฯ
๓) การนั่งสมาธิ คือ การ Defrag สมอง กำจัด Segment ไม่ดี ขยะในสมอง ออกไปสมองจะได้ โล่งๆ การนั่งสมาธิ เป็น วิทยาศาสตร์
๔) หัด เจริญสติ เข้าไปทำความเข้าใจ การทำงานของจิต กับ สมอง ดูจิตบ่อยๆ
๕) การฝึก Service Mind เริ่มจากผู้บริหาร ทำให้ดูก่อน ง่าย คือ เสริฟอาหารให้ลูกน้อง ทำกับข้าวให้ลูกน้อง
๖) พาพวก ดื้อ ไม่มี จิตใจนักบริการ ไม่มีใจผู้ให้ ไป เลี้ยงเด็กพิการ คนชรา คนบ้า ฯลฯ
๗) พวกกินเหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ ให้ไปเลี้ยง คนพิการทางสมอง จะได้เห็น vision ตนเอง ใน ชาติต่อไป
๘) แนวพุทธ เป็น trend ที่ตะวันตก กำลังบูม ใครพูดจา ใครทำสมาธิ ถือว่า HighClass ในกลุ่มผู้ดี มีการศึกษา ในตะวันตก
ถ้า "ไม่อยาก ตกเทรนด์ ก็ต้องรีบ ปฏิบัติ ธรรม"
๙) การอบรมแบบ Classroom เชยมาก คิดใหม่ ทำใหม่ ได้แล้ว ใช้แบบ Classroom เท่าที่จำเป็น เช่น ชี้แจงร่วมกัน โต้วาที ฯลฯ
๑๐) อยู่กับ ลูกน้องโง่ๆ ทั้งวัน เราจะโง่ตามไปด้วย ดังนั้นต้องคบคนฉลาดเอาไว้ด้วย ดึง IQ เรา ขึ้นไป คบคนเก่งเข้า Forum
๑๑) อบรม EQ ก็คือ ฝึก มหาสติ ฯ นั่นเอง
๑๒) Learnig Org มีพื้นฐาน คือ สติ เรียนรู้ตนเองก่อน
จึงเรียนรู้ภายนอก ฝรั่ง ยังมาไม่ถึงจุดนี้
๑๓) เสียดาย ที่ฝรั่ง สอน Management จริงๆแล้ว ที่ฝรั่งสอน ก็อยู่ในพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้านั่นเอง เช่น Covey ก็ยังไม่ซึ้ง แค่ 8 habit ก็ยัง ไม่ลึกพอ
๑๔) เมีย คือ ตัวแปรสำคัญ ของลูกน้อง ต้องอบรม ลูกเมีย พวกเขาด้วย สอนธรรมะสอนวิธีเลี้ยงลูก สอนให้คิดเป็น อย่าเอาแต่สอนคนของเราเท่านั้น
๑๕) คนดื้อ คือ พวกที่มี "อคติ" (Mental model) ต้อง ย้อนไปดู จริต ดูปมด้อยดูการเลี้ยงดูตั้งแต่ เด็ก จากนั้นวางแผน แก้ปมด้อยให้
๑๖) คนไม่รักการอ่าน แก่แล้วแก้ยาก จ้างคนมาแทนง่ายกว่า ลูกน้องเราไม่รักการอ่าน ก็หา วิธีอื่นๆ มาช่วย เช่น อัดเทป แปล Show & share ฯลฯ ถ้าขุนไม่ขึ้น ก็จ้างคนมาแทนง่ายกว่า ประหยัดกว่า
๑๗) สันดานช่าง เกลียดการอ่าน จึงมาเป็นช่าง จะคาดหวังให้อ่านคงยาก manual ยังไม่อ่านเลย ภาษาอังกฤษ ก็อ่อนแอ ต้อง ใช้ วิธีใหม่ๆ มาแก้ครับ
๑๘) ผู้นำ ต้อง รู้จัก ทาน ( ทานะ คือ การให้) ปัจจัย คือ ปัดใจ ปัดออกจากใจเมื่อจะให้ก็อย่ากังวล
๑๙) ด่ามา สิบปี ลูกน้องยังไม่เปลี่ยนแปลง คนโง่ คือ คนด่า นั่นเอง ซี้ปังเท้า
๒๐) เตรียม วาจา สุภาษิต เอาไว้บ้าง เวลาสอนธรรมะลูกน้อง จะได้ มี วาจาแบบ"ผู้ดี มีชาติ ตระกูล" หน่อยครับ
๒๑) คนกินเหล้า คือ คนจิตใจ อ่อนแอ หาความสุขในใจ ไม่เป็น ไม่มี Self entertainment
๒๒) ฝึก ช่าง ให้มา บริหาร เป็นเรื่องยาก ต้องใช้การฝึกแบบ Accelerated Learning
๒๓) คนสติน้อยๆ หมอดูจะทำนายเขาได้แม่นยำ คนฝึกสติ หมอดู จะทำนายไม่ได้เลยเพราะ เขาเอา สติ ไปกำหนดชะตาตนเองได้แล้ว
๒๔) มีคนมากมาย ที่ไม่ได้ฝึกสติ ดังนั้น จงเรียนการดูดวงทายนิสัย(ไม่ทายอนาคต) ทำให้เรา อ่านคนออก เร็วขึ้น ดีกว่า สังเกตเอง มันช้าไป
๒๕) ผมสอนลูก ให้ดู นิสัยหมาพันธุ์ต่างๆ นี่คือ จุดเริ่มต้น ให้สังเกตอีกหน่อย ก็ให้ดูนิสัยของคน
๒๖) การไฟฟ้า ฯ เคยมีเอกสาร ๓๖ เหตุผล ที่ไม่ควรมีผัวเป็นวิศวกร ควรเอามาอ่านจะได้รู้ว่า พวกเรา ดื้อ เชย ไร้รสนิยม นกกระจอกกินน้ำ เห็นแก่ตัว ขี้โม้ ฯลฯ ในมุมมองของ สตรี ที่ทำงานร่วมกับเรา
๒๗) ควรมี เวที วิชาการ บีบให้ ปริญญาตรีในองค์กร ทำงาน วิชาการบ่อยๆเอามานำเสนอกัน เขียนส่งวารสาร ตีพิมพ์ เพราะ งานวิจัยไทย น้อยมากๆ
๒๘) การเล่นละคร สำคัญมาก เพราะ ชีวิต ค่อ ละคร พวกดื้อๆ ต้องให้เล่นละครเวทีบ่อยๆ แสดง บ่อยๆ เด็กๆลูกเรา ก็ควรให้เล่นละครบ่อยๆ
๒๙) เล่มเกม คอม ฯ ทำให้ฝึกทักษะ strategy อย่าเล่นเกมโง่ๆ ไล่ยิงกัน หรือขับรถแข่ง
๓๐) Teamwork คือ เก่งคนละอย่าง มาทำงานร่วมกัน อย่าเอา เก่งเหมือนกันมาอยู่ด้วยกัน
๓๑) หาโอกาส เข้าค่าย บ่อยๆ เป็น Slumber party ค่ายผู้บริหาร ฝึกใจ เปิดใจ
๓๓) เมื่อ ก่อนใครๆ ก็บอกว่า สิงคโปร์ เล็ก ๆ บริหารง่าย มาสมัยนี้ ประเทศไทยก็เล็ก ๆ จะ บริหารง่ายเช่นกัน
แต่สิงคโปร์จะแพ้ไทย เพราะ คนมีไม่พอใช้ประเทศไทยจะเป็นแบบสิงค์โปร์ ในอนาคต
๓๔) เราเรียน เทคโนโลยี ทำโรงงานอุต ฯ เราโดนฝรั่งหลอกแล้ว
ทำลายจุดเด่นของเรา ควรมาเน้น เป็นแบบ สวิส ฯ ดีกว่าเน้น การธนาคาร รับฝากกู้เงิน เน้นท่องเที่ยว ป่าเขา วัฒนธรรม ศาสนา ฯลฯ นั่งสมาธิ
๓๕) คนไทย หลงวิทยาศาสตร์มากไป ยังไม่เข้าถึง วิทยาศตร์เลย ดันมา บอกว่า พุทธเป็นเรื่อง งมงาย