<< มรดกลูก >>
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 1
:lol: :lol: :lol: :lol:
1. เมื่อก่อนผมซื้อหุ้นโดยหวังผลเพื่อที่จะทำกำไรในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งสั้นมากยิ่งดี เพราะมันหมายถึงความเร่งในการเติบโตของพอร์ทยิ่งสูงมหาศาล
ต่อมาผมพบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำได้จริงตามนั้น หรือถึงมีเหตุการณ์อย่างว่าเกิดขึ้นจริง ก็เป็นเพียงความบังเอิญ จะทำซ้ำเพื่อให้ได้ผลเหมือนเดิมเป็นครั้งที่สองก็ทำอีกไม่ได้ แทบไม่ต้องหวังครั้งที่สิบหรือยี่สิบเลย
2. ผมจึงเปลี่ยนแนวคิด หันมาลงทุนในหุ้นที่มั่นใจว่าราคาจะขึ้นแน่ๆในช่วงเวลาหนึ่งไตรมาส วิธีการก็คือ ผมติดตามผลประกอบการอย่างใกล้ชิด งบการเงินออกเมื่อไหร่ผมจะต้องรู้ก่อนให้เร็วที่สุด
แล้วมาดูว่าตัวที่ได้กำไรเยอะๆเป็นกำไรที่ค่อนข้างยั่งยืนหรือไม่ บริษัทมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันหรือไม่ วิเคราะห์ด้วยพลังทั้งห้า ดูงบการเงินว่าสะอาดหรือไม่ เป็นกำไรที่บริษัททำได้จากฝีมือหรือไม่ และอื่นๆอีกมากเหมือนอย่างที่ชาว VI ชอบทำ
สุดท้ายก็ดูว่าราคาที่ซื้อขายปัจจุบันแพงหรือถูก ถ้าไม่แพงมากหรือถูกมากก็ยิ่งดี keywordของข้อ2. นี้ก็คือ ผมไม่เดาผลประกอบการไตรมาสหน้าแต่เอาผลประกอบการไตรมาสนี้ที่เห็นๆว่ามันได้กำไรมากแล้ว (ทำนองกำขี้ดีกว่ากำตด) ประกอบกับเลือกตัวที่มีแนวโน้มดีและราคายังถูก ราคาหุ้นจะตกก็ให้มันรู้ไป แล้วก็จะจัดการขายเมื่อได้ราคาดี และจะไม่ถือไว้ให้ถึงช่วงที่ผลประกอบการงวดใหม่จะออกมา
ผลงานของข้อ2.ส่วนใหญ่ก็ได้กำไรดีและเป็นกำไรที่อยู่ในเปอร์เซนต์ที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นอีก ผลการดำเนินงานของผมก็ไม่ได้ได้กำไรมากๆเสมอไปบ่อยครั้งที่ขาดทุนยับเยินด้วยซ้ำ ผมสามารถใช้วิธีนี้ทำซ้ำได้หลายๆไตรมาสติดต่อกัน แต่หลายๆไตรมาสเช่นเดียวกันก็ขาดทุนรุนแรงพอสมควร
3. ผมจึงมาทบทวนวิธีการใหม่ คราวนี้ผมจะไม่มองสั้นๆแค่ไตรมาสเดียวแล้ว แต่จะมองยาวให้ถึงสองสามปีเลยทีเดียว เลือกตัวที่มั่นใจว่าในระยะเวลาข้างหน้าสองสามปี บริษัทได้กำไรแน่ๆ ผลของแนวคิดข้อ3.นี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ให้ชัดเจนเพราะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยก็สองถึงสามปี ซึ่งผมเดาว่า คงจะดีกว่าข้อสอง แต่ก็คงจะยังมีโอกาสขาดทุนอยู่ดี ประกอบกับผมได้แนวคิดใหม่ ผมจึงไม่รอพิสูจน์
4.เป็นแนวคิดใหม่สดๆร้อนๆช่วงเดือนสองเดือนนี่เอง คือ ผมจะเลือกหุ้นที่ดีในอนาคตระยะยาวเป็นสิบๆปี สามารถที่จะเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกในยี่สิบสามสิบปีข้างหน้าเลยทีเดียว (แต่ไม่ใช่จะไม่มีการซื้อขายในระยะเวลาปีสองปีนะครับ ถ้าราคาขึ้นมาเกินที่หวังไว้ก็คงขายไปเลือกตัวใหม่ที่ดีกว่าอีก)โดยจะไม่สนใจหุ้นที่มีแนวโน้มจะดีในสองสามปีข้างหน้าเลย
พี่ๆน้องๆคิดว่ายังไงบ้างครับ
:lol: :lol: :lol: :lol:
1. เมื่อก่อนผมซื้อหุ้นโดยหวังผลเพื่อที่จะทำกำไรในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งสั้นมากยิ่งดี เพราะมันหมายถึงความเร่งในการเติบโตของพอร์ทยิ่งสูงมหาศาล
ต่อมาผมพบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำได้จริงตามนั้น หรือถึงมีเหตุการณ์อย่างว่าเกิดขึ้นจริง ก็เป็นเพียงความบังเอิญ จะทำซ้ำเพื่อให้ได้ผลเหมือนเดิมเป็นครั้งที่สองก็ทำอีกไม่ได้ แทบไม่ต้องหวังครั้งที่สิบหรือยี่สิบเลย
2. ผมจึงเปลี่ยนแนวคิด หันมาลงทุนในหุ้นที่มั่นใจว่าราคาจะขึ้นแน่ๆในช่วงเวลาหนึ่งไตรมาส วิธีการก็คือ ผมติดตามผลประกอบการอย่างใกล้ชิด งบการเงินออกเมื่อไหร่ผมจะต้องรู้ก่อนให้เร็วที่สุด
แล้วมาดูว่าตัวที่ได้กำไรเยอะๆเป็นกำไรที่ค่อนข้างยั่งยืนหรือไม่ บริษัทมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันหรือไม่ วิเคราะห์ด้วยพลังทั้งห้า ดูงบการเงินว่าสะอาดหรือไม่ เป็นกำไรที่บริษัททำได้จากฝีมือหรือไม่ และอื่นๆอีกมากเหมือนอย่างที่ชาว VI ชอบทำ
สุดท้ายก็ดูว่าราคาที่ซื้อขายปัจจุบันแพงหรือถูก ถ้าไม่แพงมากหรือถูกมากก็ยิ่งดี keywordของข้อ2. นี้ก็คือ ผมไม่เดาผลประกอบการไตรมาสหน้าแต่เอาผลประกอบการไตรมาสนี้ที่เห็นๆว่ามันได้กำไรมากแล้ว (ทำนองกำขี้ดีกว่ากำตด) ประกอบกับเลือกตัวที่มีแนวโน้มดีและราคายังถูก ราคาหุ้นจะตกก็ให้มันรู้ไป แล้วก็จะจัดการขายเมื่อได้ราคาดี และจะไม่ถือไว้ให้ถึงช่วงที่ผลประกอบการงวดใหม่จะออกมา
ผลงานของข้อ2.ส่วนใหญ่ก็ได้กำไรดีและเป็นกำไรที่อยู่ในเปอร์เซนต์ที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นอีก ผลการดำเนินงานของผมก็ไม่ได้ได้กำไรมากๆเสมอไปบ่อยครั้งที่ขาดทุนยับเยินด้วยซ้ำ ผมสามารถใช้วิธีนี้ทำซ้ำได้หลายๆไตรมาสติดต่อกัน แต่หลายๆไตรมาสเช่นเดียวกันก็ขาดทุนรุนแรงพอสมควร
3. ผมจึงมาทบทวนวิธีการใหม่ คราวนี้ผมจะไม่มองสั้นๆแค่ไตรมาสเดียวแล้ว แต่จะมองยาวให้ถึงสองสามปีเลยทีเดียว เลือกตัวที่มั่นใจว่าในระยะเวลาข้างหน้าสองสามปี บริษัทได้กำไรแน่ๆ ผลของแนวคิดข้อ3.นี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ให้ชัดเจนเพราะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยก็สองถึงสามปี ซึ่งผมเดาว่า คงจะดีกว่าข้อสอง แต่ก็คงจะยังมีโอกาสขาดทุนอยู่ดี ประกอบกับผมได้แนวคิดใหม่ ผมจึงไม่รอพิสูจน์
4.เป็นแนวคิดใหม่สดๆร้อนๆช่วงเดือนสองเดือนนี่เอง คือ ผมจะเลือกหุ้นที่ดีในอนาคตระยะยาวเป็นสิบๆปี สามารถที่จะเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกในยี่สิบสามสิบปีข้างหน้าเลยทีเดียว (แต่ไม่ใช่จะไม่มีการซื้อขายในระยะเวลาปีสองปีนะครับ ถ้าราคาขึ้นมาเกินที่หวังไว้ก็คงขายไปเลือกตัวใหม่ที่ดีกว่าอีก)โดยจะไม่สนใจหุ้นที่มีแนวโน้มจะดีในสองสามปีข้างหน้าเลย
พี่ๆน้องๆคิดว่ายังไงบ้างครับ
:lol: :lol: :lol: :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณพี่ศรรามที่ให้ข้อคิดครับ เหมือนกับที่ ท่าน ดร.นิเวศน์พูดไว้ในวันงานเลย
หลังจากอ่านแล้ว ผมก็ได้ข้อคิดว่า.....
ผมต้องรีบมีลูกครับ
(แต่ก่อนมีลูกต้องรีบหาแม่ของลูกดีๆ ก่อน)
พอมีลูกแล้วก็จะคิดอะไรในระยะยาวมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น
ทั้งเรื่องการลงทุน
...... และการใช้ชีวิต
หลังจากอ่านแล้ว ผมก็ได้ข้อคิดว่า.....
ผมต้องรีบมีลูกครับ
(แต่ก่อนมีลูกต้องรีบหาแม่ของลูกดีๆ ก่อน)
พอมีลูกแล้วก็จะคิดอะไรในระยะยาวมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น
ทั้งเรื่องการลงทุน
...... และการใช้ชีวิต
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 4
ของผมได้วิเคราะห์และคิดแบบข้อที่4อยู่ในทางทฤษฎีคัดเลือกหุ้น
และในทางปฎิบัติต้องวิเคราะห์และคิดเปลี่ยนตัวทุกไตรมาท คัดบริษัทที่ปัจจัยที่เราคิดว่าใช่มันเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ใช่ หรือขายบางตัวเมื่อเราคิดว่าเจอตัวที่ปิ๊งกว่ามาเป็นกิ๊กเพิ่มเติม
และในทางปฎิบัติต้องวิเคราะห์และคิดเปลี่ยนตัวทุกไตรมาท คัดบริษัทที่ปัจจัยที่เราคิดว่าใช่มันเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ใช่ หรือขายบางตัวเมื่อเราคิดว่าเจอตัวที่ปิ๊งกว่ามาเป็นกิ๊กเพิ่มเติม
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 40
- ผู้ติดตาม: 0
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 5
ผมกำลังทำอยู่เลยครับ แต่ไม่รู้ว่ากลุ่มไหนจะดีคงทนยาวนาน ว่าจะซื้อกลุ่มประกันกับอาหาร (bki + s&p) แต่ผบทบ.บอกว่าไม่น่าซื้อเพราะ upside มีไม่มาก
ผลก็เลยออกมาดังนี้
1. SCC ~199
2. Ratch ~34
3. BH ~15
4. Hmpro ~4
และตั้งใจจะไม่ขายออกทุกกรณี ถ้า PE ตลาดยังไม่เกิน 20
คุณสามัญชนคิดว่าไงครับ
ผลก็เลยออกมาดังนี้
1. SCC ~199
2. Ratch ~34
3. BH ~15
4. Hmpro ~4
และตั้งใจจะไม่ขายออกทุกกรณี ถ้า PE ตลาดยังไม่เกิน 20
คุณสามัญชนคิดว่าไงครับ
Cartoon
-
- Verified User
- โพสต์: 674
- ผู้ติดตาม: 0
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 6
สูตรข้อสองนี้ เมื่อประมาณช่วงประมาณ 4-5 ปีก่อนทำกำไรให้กับผมได้ดี
เลยครับ ประกาศงบเมื่อไรถ้ากำไรดีซื้อราคาเปิดเลย ถ้าขาดทุนขายทันที
แต่เดี๋ยวนี้พวก inside เยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะยอมแพ้อยู่แล้ว
เลยต้องค่อย ๆ ปรับมาเป็นข้อสามบ้าง
เลยครับ ประกาศงบเมื่อไรถ้ากำไรดีซื้อราคาเปิดเลย ถ้าขาดทุนขายทันที
แต่เดี๋ยวนี้พวก inside เยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะยอมแพ้อยู่แล้ว
เลยต้องค่อย ๆ ปรับมาเป็นข้อสามบ้าง
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 9
สโลแกนท่านคัดท้าย
น่าสนใจมากครับท่านคัดท้าย ขยายความได้ไหมครับว่าตอนนี้อยากปลูกอะไร"If you want 1 year of prosperity, grow grain."
"If you want 10 years of prosperity, grow trees."
"If you want 100 years of properity, grow "people."
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 10
เกินความรู้ผมมากเลยครับผลก็เลยออกมาดังนี้
1. SCC ~199
2. Ratch ~34
3. BH ~15
4. Hmpro ~4
และตั้งใจจะไม่ขายออกทุกกรณี ถ้า PE ตลาดยังไม่เกิน 20
คุณสามัญชนคิดว่าไงครับ
scc ผมไม่เคยอ่าน56-1จบเลยครับ เยอะมากและซับซ้อน อ่านทีไร สมองบวมทุกที ptt pttep ratchก็เช่นเดียวกัน เลยไม่กล้าวิจารณ์ครับ
bh hmpro ได้ราคาดีมากๆเลยนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 14
กระดาษนี่น่าจะใช้พลังงานมากนะครับ สังเกตุจากบทความด้านล่าง
SPP ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 4-5% จาก 3.8 หมื่นลบ.ในปีก่อน
Source - IQ Biz (Th)
Thursday, August 04, 2005 16:18
นายเชาวลิต เอกบุตร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เยื่อกระดาษสยาม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการในไตรมาส 3 ว่า คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสนี้ ส่วนทั้งปีบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายโต 4-5% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2.8 หมื่นล้านบาท โดยมียอดขายสุทธิครึ่งปีแรก 19,882 ล้านบาท เป็นรายได้จากบรรจุภัณฑ์ 60% ที่เหลือ 40%การเยื่อกระดาษพิมพ์เขียน ขณะที่กำไรขั้นต้น 55% จะมาจากบรรจุภัณฑ์ ส่วน 45% จะมาจากเยื่อกระดาษพิมพ์เขียน
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังไม่มีแผนที่จะปรับราคาเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าต้นทุนด้านพลังงานและด้านขนส่งได้ปรับเพิ่มขึ้นไปแล้ว ประกอบกับมีการแข่งขันทางด้านราคา จึงทำให้ไม่สามารถปรับราคาได้ แต่อย่างไรก็ตามหากต้นทุนการผลิตยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป บริษัทฯ ก็อาจจะต้องมีการพิจารณาปรับขึ้นบ้าง
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการลดต้นทุนการผลิตด้านพลังงานลง โดยการใช้ถ่านหินแทน และยังมีการนำของเสียจากระบวนการผลิตมาใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยต้นทุนด้านพลังงานคิดเป็น 15 16% ของต้นทุนรวมซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงนัก
สำหรับราคากระดาษ ปัจจุบันราคากระดาษคราฟท์อยู่ที่ตันละ 1.8 หมื่นบาท กระดาษพิมพ์เขียนตันละ 3.5 หมื่นบาท โดยราคากระดาษคราฟท์ ไม่ได้ปรับขึ้นมา 2 - 3 ปีแล้ว แต่ในส่วนของกระดาษพิมพ์เขียนได้ปรับขึ้นมาปีที่แล้ว ทำให้ราคาขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตลาดโลกมากขึ้น โดยราคาตลาดโลกอยู่ที่ 4.5 หมื่นบาท ซึ่งเป็นผลให้บริษัทลดปริมาณการส่งออกกระดาษพิมพ์เขียนลง เพื่อนำมาขายในประเทศมากขึ้น
"กระดาษเป็นสินค้าควบคุมเหมือนปูนซิเมนต์ ทำให้หากจะมีการปรับราคาต้องมีการแจ้งไปที่กรมการค้าภายใน และต้องชี้แจงเหตุผลด้วยถ้าเหตุผลสมควรถึงจะปรับราคาได้" นายเชาวลิต กล่าว
ส่วนแนวโน้มธุรกิจกระดาษในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าอุตสาหกรรมกระดาษจะเติบโตตามการขยายตัวตามเศรษฐกิจของประเทศ หรือจะโตประมาณ 6 7 % จากที่คาดการณ์ว่าจีดีพีจะโตขึ้น 4 5%
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าไปร่วมทุนหรือเข้าไปซื้อกิจการในแถบเอเชีย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยจะเป็นการเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 50% ขึ้นไป เพื่อให้ได้สิทธิในการบริหารงานด้วย
นายเชาวลิตกล่าวว่า บริษัทมีความสนใจในตลาดภูมิภาคนี้ เนื่องจากขนาดของตลาดยังมีอัตราการเติบโตที่สูง และการแข่งขันด้านราคายังไม่รุนแรงนัก โดยประเทศเวียดนาม มีอัตราการเติบโตของการใช้กระดาษสูงถึง 12% ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ มีช่องทางขยายการลงทุนได้เพิ่ม สำหรับโรงงานผลิตกระดาษคราฟที่อยู่ในประเทศฟิลลิปินส์นั้น เชื่อว่าจะมีกำไรได้ในปีนี้ ถึงแม้จะมีต้นทุนน้ำมันเตาที่เพิ่มขึ้น
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา คงขุนเทียน โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]--
SPP ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 4-5% จาก 3.8 หมื่นลบ.ในปีก่อน
Source - IQ Biz (Th)
Thursday, August 04, 2005 16:18
นายเชาวลิต เอกบุตร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เยื่อกระดาษสยาม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการในไตรมาส 3 ว่า คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสนี้ ส่วนทั้งปีบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายโต 4-5% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2.8 หมื่นล้านบาท โดยมียอดขายสุทธิครึ่งปีแรก 19,882 ล้านบาท เป็นรายได้จากบรรจุภัณฑ์ 60% ที่เหลือ 40%การเยื่อกระดาษพิมพ์เขียน ขณะที่กำไรขั้นต้น 55% จะมาจากบรรจุภัณฑ์ ส่วน 45% จะมาจากเยื่อกระดาษพิมพ์เขียน
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังไม่มีแผนที่จะปรับราคาเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าต้นทุนด้านพลังงานและด้านขนส่งได้ปรับเพิ่มขึ้นไปแล้ว ประกอบกับมีการแข่งขันทางด้านราคา จึงทำให้ไม่สามารถปรับราคาได้ แต่อย่างไรก็ตามหากต้นทุนการผลิตยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป บริษัทฯ ก็อาจจะต้องมีการพิจารณาปรับขึ้นบ้าง
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการลดต้นทุนการผลิตด้านพลังงานลง โดยการใช้ถ่านหินแทน และยังมีการนำของเสียจากระบวนการผลิตมาใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยต้นทุนด้านพลังงานคิดเป็น 15 16% ของต้นทุนรวมซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงนัก
สำหรับราคากระดาษ ปัจจุบันราคากระดาษคราฟท์อยู่ที่ตันละ 1.8 หมื่นบาท กระดาษพิมพ์เขียนตันละ 3.5 หมื่นบาท โดยราคากระดาษคราฟท์ ไม่ได้ปรับขึ้นมา 2 - 3 ปีแล้ว แต่ในส่วนของกระดาษพิมพ์เขียนได้ปรับขึ้นมาปีที่แล้ว ทำให้ราคาขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตลาดโลกมากขึ้น โดยราคาตลาดโลกอยู่ที่ 4.5 หมื่นบาท ซึ่งเป็นผลให้บริษัทลดปริมาณการส่งออกกระดาษพิมพ์เขียนลง เพื่อนำมาขายในประเทศมากขึ้น
"กระดาษเป็นสินค้าควบคุมเหมือนปูนซิเมนต์ ทำให้หากจะมีการปรับราคาต้องมีการแจ้งไปที่กรมการค้าภายใน และต้องชี้แจงเหตุผลด้วยถ้าเหตุผลสมควรถึงจะปรับราคาได้" นายเชาวลิต กล่าว
ส่วนแนวโน้มธุรกิจกระดาษในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าอุตสาหกรรมกระดาษจะเติบโตตามการขยายตัวตามเศรษฐกิจของประเทศ หรือจะโตประมาณ 6 7 % จากที่คาดการณ์ว่าจีดีพีจะโตขึ้น 4 5%
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าไปร่วมทุนหรือเข้าไปซื้อกิจการในแถบเอเชีย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยจะเป็นการเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 50% ขึ้นไป เพื่อให้ได้สิทธิในการบริหารงานด้วย
นายเชาวลิตกล่าวว่า บริษัทมีความสนใจในตลาดภูมิภาคนี้ เนื่องจากขนาดของตลาดยังมีอัตราการเติบโตที่สูง และการแข่งขันด้านราคายังไม่รุนแรงนัก โดยประเทศเวียดนาม มีอัตราการเติบโตของการใช้กระดาษสูงถึง 12% ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ มีช่องทางขยายการลงทุนได้เพิ่ม สำหรับโรงงานผลิตกระดาษคราฟที่อยู่ในประเทศฟิลลิปินส์นั้น เชื่อว่าจะมีกำไรได้ในปีนี้ ถึงแม้จะมีต้นทุนน้ำมันเตาที่เพิ่มขึ้น
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา คงขุนเทียน โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]--
Impossible is Nothing
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 18
มีหลายอย่างที่ทำให้ผมประหลาดใจพอควรwpong เขียน:พี่สามัญชนครับ
มีหนังสือชื่อ Good to Great ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์ถึงบ.ในตลาดหลักทรัพย์อเมริกาที่สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด มากกว่า 3 เท่า เป็นเวลาต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 15 ปี
อาจมีข้อมูลช่วยพี่ได้บ้างครับ
Impossible is Nothing
-
- Verified User
- โพสต์: 232
- ผู้ติดตาม: 0
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 20
มีครับ สำนักพิมพ์ผู้จัดการแปลมา จำชื่อไม่ได้แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อ จากบริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ยอดเยี่ยม หรืออะไรทำนองนี้น่ะครับ หน้าปกสีแดง ตัวอักษรสีขาว ผมเองอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งครับ
"Much success can be attributed to inactivity. Most investors cannot resist the temptation to constantly buy and sell."
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 21
พี่ knott ได้อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรที่เค้ากล่าวถึงเรื่องของหัวหน้าครับ ...ในหนังสือเค้าบอกว่าคนที่มี charismatic สูงนี่แทนที่จะดีบางทีก็อันตรายKnott เขียน:มีครับ สำนักพิมพ์ผู้จัดการแปลมา จำชื่อไม่ได้แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อ จากบริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ยอดเยี่ยม หรืออะไรทำนองนี้น่ะครับ หน้าปกสีแดง ตัวอักษรสีขาว ผมเองอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งครับ
Impossible is Nothing
- wpong
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 22
มีภาษาไทยอย่างที่คุณ Knott บอกไว้นะครับ
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็น ข้อมูลที่ได้รวบรวมและทำการวิเคราะห์ ไม่ได้แต่งจากจินตนาการ
ผู้แต่งจะเปรียบเทียบ บ.Good to Great กับ บ.เปรียบเทียบ และจะหาสิ่งที่เหมือนกันของ บ. Good to Great ครับ
บ. Good to Great หลายๆ บ. อยู่ในฐานะใกล้ล้มละลาย แต่ก็สามารถฟื้น และยิ่งใหญ่ได้ โดยมีผู้นำระดับที่ 5
อ่านแล้วสนุกดีครับ
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็น ข้อมูลที่ได้รวบรวมและทำการวิเคราะห์ ไม่ได้แต่งจากจินตนาการ
ผู้แต่งจะเปรียบเทียบ บ.Good to Great กับ บ.เปรียบเทียบ และจะหาสิ่งที่เหมือนกันของ บ. Good to Great ครับ
บ. Good to Great หลายๆ บ. อยู่ในฐานะใกล้ล้มละลาย แต่ก็สามารถฟื้น และยิ่งใหญ่ได้ โดยมีผู้นำระดับที่ 5
อ่านแล้วสนุกดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 23
พี่ ck ผมว่าในข่าวร้ายย่อมมีข่าวดีนะครับ .....
ท่านหวูด wrote:
ส่วนธุรกิจด้านกระเบื้อง หรืออะไรทำนองนี้นี่ หลังจากได้มีโอกาสถามเพื่อนที่ทำงานอยู่ใน SCC เค้าบอกว่าปีนี้ต้องปรับเป้าใหม่ทั้งหมด
เอ แล้วอย่างนี้ dcc ผมจะรอดไหมนี่
ว่าไหมครับ :mrgreen: แม้คงไม่ใช่ลูกค้าของพี่ก็เถอะ แต่ก็คงพอบอกแนวโน้มได้บ้างขนาดยักษ์ยังทนไม่ค่อยไหวเลยทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการลดต้นทุนการผลิตด้านพลังงานลง โดยการใช้ถ่านหินแทน และยังมีการนำของเสียจากระบวนการผลิตมาใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยต้นทุนด้านพลังงานคิดเป็น 15 16% ของต้นทุนรวมซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงนัก
Impossible is Nothing
-
- Verified User
- โพสต์: 30
- ผู้ติดตาม: 0
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 24
เท่าที่คุยกับเพื่อนที่ทำรับเหมาก่อสร้างเห็นบอกเงินเริ่มฝืดๆกันเป็นลูกโซ่บ้างแล้ว บางคนบอกสงสัยเศรษฐกิจไม่ค่อยดี งานไม่เยอะเหมือนสองปีที่แล้ว ก็เล่นสร้างกันซะโอ้โหไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาซื้อ รอเอื้ออาทรดีกว่า เห็นครม.ใหม่แล้วก็ เอี้ยเก่าๆในคอกเดิม (ขอหยาบนิดเถอะ) ลองจับตาดูก็แล้วกันนะครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 26
ผมใช้ข้อเท็จจริงอีกสองข้อประกอบเข้าไปด้วยหนะครับพี่ปรัชญา ซึ่งในทางปฏิบัติหาหุ้นที่ว่ายากมากจริงๆ เลยมองตัวที่ใกล้ๆ คล้ายๆ ครับ สองข้อที่ว่าคือ
1. จากคำพูดของน้องเจย์โชว์ ที่ว่า บริษัทที่อีกสิบปีไม่เจ๊ง คือตัวบริษัทไม่เจ๊งแต่ผู้ถือหุ้นอาจจะเจ๊งได้สบายๆ ข้อนี้เป็นจริงมากๆเลยครับ เลยต้องเพิ่มเงื่อนไขว่าบริษัทไม่เจ๊งและสามารถทำกำไรได้งามๆติดๆกันไปอีกสิบๆปีครับเพื่อผู้ถือหุ้นจะได้ไม่เจ๊ง โฮะๆๆๆ
2. คำพูดผมเอง(หรืออาจจะมีใครพูดมาก่อน ไม่แน่ใจ) ว่าทุกธุรกิจย่อมอยู่ในวัฏฏสงสาร มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น บางธุรกิจวงจรอาจจะสั้น เช่น 1 ปี ก็ครบวงจร 5 ปีครบวงจรคือได้เวลาขาดทุนและถึงเวลาขาลง แต่ธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน หรือสอดคล้องกับพฤติกรรมมนุษย์ในอนาคต วงจรที่ว่าน่าจะยาวถึง 20 ปีก็เป็นไปได้หนะครับ
แต่ก็อย่างที่ว่าแหละครับ หาตัวแบบนี้ไม่ยากเท่าไหร่ แต่มีเงื่อนไขโดยที่ราคายังถูกอยู่นี่ หายากจริงๆครับ
1. จากคำพูดของน้องเจย์โชว์ ที่ว่า บริษัทที่อีกสิบปีไม่เจ๊ง คือตัวบริษัทไม่เจ๊งแต่ผู้ถือหุ้นอาจจะเจ๊งได้สบายๆ ข้อนี้เป็นจริงมากๆเลยครับ เลยต้องเพิ่มเงื่อนไขว่าบริษัทไม่เจ๊งและสามารถทำกำไรได้งามๆติดๆกันไปอีกสิบๆปีครับเพื่อผู้ถือหุ้นจะได้ไม่เจ๊ง โฮะๆๆๆ
2. คำพูดผมเอง(หรืออาจจะมีใครพูดมาก่อน ไม่แน่ใจ) ว่าทุกธุรกิจย่อมอยู่ในวัฏฏสงสาร มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น บางธุรกิจวงจรอาจจะสั้น เช่น 1 ปี ก็ครบวงจร 5 ปีครบวงจรคือได้เวลาขาดทุนและถึงเวลาขาลง แต่ธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน หรือสอดคล้องกับพฤติกรรมมนุษย์ในอนาคต วงจรที่ว่าน่าจะยาวถึง 20 ปีก็เป็นไปได้หนะครับ
แต่ก็อย่างที่ว่าแหละครับ หาตัวแบบนี้ไม่ยากเท่าไหร่ แต่มีเงื่อนไขโดยที่ราคายังถูกอยู่นี่ หายากจริงๆครับ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
<< มรดกลูก >>
โพสต์ที่ 28
8) เรื่องกระเบื้องCK เขียน: เอ แล้วอย่างนี้ dcc ผมจะรอดไหมนี่
ผมว่าผมพอมีพรรคพวกอยู่นะ ถามข้อมูลให้ได้บ้าง
จะได้ไม่เสียเปรียบเขามาก
กระเบื้องคอตโต้ล็อตแรกเลยที่ผลิตออกมา
ผมกะเพื่อนๆที่ปูนตอนนั้น เป็นคนดูแลอยู่
ตอนแรกใช้ชื่อว่า คอตโต้ ฟอร์เต้
เป็นกระเบื้องเผา2ครั้ง เหมาะทำผนัง แต่ดันเอามาปูพื้น ยุ่งตายเลย
ตอนหลังมาเพิ่มเป็นโมโนไฟร์ เหมาะกะการปูพื้น ปัญหาค่อยหมดไป
คุณคัทลียา น้องสาวคุณรุ่งโรจน์(เจ้าของDCC)
เมื่อก่อนก็อยู่ที่ปูน นะครับ
คุมทางด้านบัญชี/การเงิน มีระดับที่เดียวครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า