หุ้นกลุ่มประกัน TVI กำไรต่อหุ้นเติบโตสูงสุด
Source - ข่าวหุ้น
Tuesday, 20 December 2005 04:07
หุ้นในกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต เป็นหุ้นที่นักลงทุน "เน้นคุณค่า"ให้ความสำคัญและเลือกเก็บไว้ในพอร์ตอย่างน้อยหนึ่งตัว แม้ราคาหุ้นไม่หวือหวา แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลตอบแทนจากเงินปันผลค่อนข้างสูง
"ข่าวหุ้นธุรกิจ" ทำการสำรวจผลประกอบการงวด 9 เดือน สิ้นสุด 30 กันยายน 2548 และจัดอันดับหุ้นกลุ่มธุรกิจ "ประกันชีวิตและประกันภัย" โดยใช้ "อัตรากำไรสุทธิต่อหุ้นเปลี่ยนแปลง" เป็นเกณฑ์ในการจัดอันดับครั้งนี้ พบว่า จากทั้งหมด 19 บริษัท บริษัทที่กำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 12 บริษัท ได้แก่ TVI, NSI, SCNYL, TCI, INSURE, NKI, PHA,BKI, CHARAN, SMK, SAFE และ THRE อีก 7 บริษัท มีผลการดำเนินงานปรับตัวลดลงคือ AYUD, SMG, BUI, DVS, TIP, TIC, และ TSI
โดยบริษัทที่มีกำไรต่อหุ้นปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดคือ TVI หรือ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์จำกัด (มหาชน) กำไรสุทธิต่อหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 560% จาก 0.05 บาทต่อหุ้น ปรับเพิ่มมาที่ระดับ 0.33 บาทต่อหุ้น เกิดจากบริษัทฯ มีรายได้จากการรับประกันภัยเพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ตามมาด้วยหุ้น NSI หรือ บริษัทนำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน) กำไรต่อหน่วยปรับเพิ่มขึ้น 267% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนประสบผลขาดทุน 1.85 บาทต่อหุ้นมาปีนี้ มีกำไรสุทธิ 3.10 บาทต่อหุ้น เนื่องจากบริษัทฯ ได้ปรับเบี้ยประกันภัยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับความเสี่ยง ประกอบรายได้จากการลงทุนเพิ่มขึ้น 78% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อันดับ 3 คือ SCNYL หรือ บริษัทไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)กำไรสุทธิต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 234% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ประสบผลขาดทุน 2.56 บาทต่อหุ้น มาปีนี้สามารถพลิกกลับมาทำกำไรสุทธิ 3.45 บาทต่อหุ้น เนื่องมาจากรายได้จากเบี้ยประกันชีวิตเพิ่มขึ้น 55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัท ไทยพาณิชย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TCI มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 685%จาก 1.82 บาทต่อหุ้น ปรับมาที่ 4.76 บาทต่อหุ้น แม้รายได้จากเบี้ยประกันภัยจะลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็มีกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 685% เป็นตัวช่วยทำให้กำไรสุทธิปรับตัวขึ้นได้อย่างสวยงามอันดับ 5 เป็นของ INSURE หรือ บริษัทอินทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) แม้มีกำไรสุทธิต่อหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 39% แต่ก็ยังเป็นบริษัทที่ขาดทุนสุทธิอย่างต่อเนื่องจากระดับ 2.29 ล้านบาท ขาดทุนลดลงเหลือเพียง 1.37 ล้านบาท
ส่วนหุ้นที่มีกำไรสุงสุดในกลุ่มนี้คือ BKI หรือ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิสูงสุดอยู่ที่ 518 ล้านบาท หรือ 13.30 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ระดับ 417 ล้านบาทต่อหุ้น หรือ 10.72 บาทต่อหุ้น
BKI เป็นหุ้นจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ทุกไตรมาส โดยในไตรมาส 3 จ่ายปันผลระหว่างกาลไปในอัตราหุ้นละ 2.75 บาทต่อหุ้น ด้านฐานะทางการเงินมีความแข็งแกร่ง ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นที่ระดับ 264 บาท ถือว่าราคาค่อนข้างแพงทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้าไปเล่นมากนัก
ส่วนหุ้นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีคือ PHA หรือ บริษัท ภัทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ 220 ล้านบาท หรือ 11.04 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 171 ล้านบาท หรือ 8.56 บาทต่อหุ้น
ด้าน SMK หรือ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 62 ล้านบาท หรือ 3.68 บาทต่อหุ้น คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 17% เป็นผลมาจากยอดรายได้รวม 2,396 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2,089 บาท
หุ้น SAFE หรือ บริษัท ประกันคุ้มภัย จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 116 ล้านบาท หรือ 3.50 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 109 ล้านบาทหรือ 3.07 บาทต่อหุ้น
ส่วนหุ้นที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุน และมีกำไรต่อหุ้นปรับตัวลดลง นำโดย TIPหรือ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิปรับลดลงมาอยู่ที่ 385 ล้านบาทหรือ 1.28 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 582 ล้านบาท หรือ 1.94 บาทต่อหุ้น คิดเป็นกำไรต่อหุ้นปรับลด 34%
ด้าน AYUD หรือ บริษัท ศรีอยุธยาประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิลดลงมาที่ 205 ล้านบาท จาก 0.82 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 216 ล้านบาทหรือ 0.87 บาทต่อหุ้น คิดเป็นกำไรต่อหุ้นปรับลดลง 5.75%
หุ้น DVS หรือ บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิสูงถึง 137 ล้านบาทหรือ 11.42 บาทต่อหุ้น ในงวดครึ่งปีเหลือเพียง 78 ล้านบาท หรือ 6.55 บาทต่อหุ้น คิดเป็นกำไรต่อหุ้นปรับลดลง 42% เป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่จ่ายปันผลในอัตราสูง
ปิดหน้าต่างนี้