Return Of T I T A N I C ????????

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
LOSO
Verified User
โพสต์: 2512
ผู้ติดตาม: 0

Return Of T I T A N I C ????????

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สายเรือแข่งเดือดชิงสินค้า >ระวางเรือล้น/เมอส์ก,เอพีแอล ขอขึ้น-ลงราคาอิสระ  
 
สถานการณ์ขนส่งสินค้าทางเรือแข่งเดือด หลังแห่ต่อเรือกันเพลินจนระวางโอเวอร์ซัพพลาย สายเรือใหญ่ MAERSK ,APL โบกมืออำลา TSA เพื่อความสะดวกตัดสินใจขึ้น-ลงค่าระวางไม่ต้องรายงานที่ประชุม TSAวงการเรือชี้แนวโน้มสูงสายเรือใหญ่ลดค่าระวางหวังชิงสินค้า กลุ่มส่งออกC.I.F.ดี๊ด๊าได้ลดค่าขนส่ง


นายไพบูลย์ พลสุวรรณา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงสถานการณ์การขนส่งสินค้าทางเรือปี 2549 ว่าแนวโน้มค่าระวางเรือปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับทรงตัว หากจะมีการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนมีการขยายตัวค่อนข้างมาก ทำให้มีการนำเข้าส่งออกและใช้ระวางเรือมาก สายเรือต่างๆ จึงมีการต่อเรือกันเพิ่มขึ้น และมาแล้วเสร็จในปีนี้ จึงทำให้มีปริมาณเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ขณะที่เศรษฐกิจโลกปีนี้คาดว่าจะขยายตัวไม่มาก การขนส่งสินค้าเพื่อส่งออกและนำเข้าคาดว่าจะน้อยกว่าปริมาณระวางเรือ


"เมื่อปริมาณสินค้าส่งออกนำเข้าน้อย แต่ระวางเรือมีมาก เป็นธรรมดาของหลักเศรษฐศาสตร์สายเดินเรือจะขึ้นราคาได้ลำบาก เพราะต้องมีการแข่งขันกันสูง ซึ่งไม่เพียงจะแข่งขันกันด้านราคาเท่านั้น หากแต่ด้านบริการต่างๆ เป็นกลยุทธ์ที่สายเรือจะต้องนำมาแข่งขันเช่นเดียวกัน เพราะเวลานี้การส่งออกและนำเข้าเปลี่ยนไปมาก ผู้นำเข้าจะซื้อสินค้าเฉพาะเพียงพอการจำหน่ายจะไม่มีสต๊อกสินค้า เรือจึงเปรียบเสมือนโกดังเก็บสินค้าเมื่อถึงปลายทางต้องรีบออกของทันที"


แหล่งข่าวในวงการสายเรือ กล่าวว่าจำนวนเรือขนส่งสินค้าทั่วโลกปี 2549 เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ถึง 150 ลำ ขณะที่ปี 2548 จำนวนเรือเพิ่มจากปี 2547 เพียง 60 ลำเท่านั้น จะเห็นได้ว่าอัตราเพิ่มจำนวนเรือปีนี้สูงมาก ซึ่งส่งผลให้ระวางเรือเพิ่มตามไปด้วย โดยเฉพาะเส้นทางสหรัฐฯจำนวนเรือออกมามากกว่าเส้นทางอื่น ดังนั้นแนวโน้มค่าระวางเรือปีนี้หากจะขึ้นก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยขณะนี้ค่าระวางเรือจากไทยไปสหรัฐ สำหรับสินค้าทั่วไปอยู่ที่ 1,650 ดอลลาร์สหรัฐ/ตู้ขนาด 20 ฟุต สินค้าอาหารค่าระวางเรืออยู่ที่ 1,575 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าระวางเรือจากไทยไปญี่ปุ่นอยู่ที่ 600 ดอลลาร์สหรัฐ ไปตะวันออกกลาง 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ


"สายเรือต่างๆ เตรียมงัดกลยุทธ์ช่วงชิงสินค้ากันมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ดังจะเห็นได้จากสายเรือใหญ่ๆ ที่เป็นเจ้าตลาดอาทิเมอส์ก,เอพีแอล ได้ตัดสินใจลาออกจาก Trans- Pacific Stabilization Agreement :TSA (ชมรมเรือเส้นทางเอเชีย-สหรัฐ) เนื่องจากกติกาของชมรมฯได้กำหนดไว้ว่า หากสายเรือใดจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าระวางเรือจะต้องนำเสนอให้ที่ประชุมชมรมเรือพิจารณา ทำให้สายเรือใหญ่ดังกล่าว ซึ่งมีกองเรือจำนวนมากสามารถควบคุมต้นทุนได้ ตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกชมรมกันตั้งแต่กลางปี 2548 หลังจากเห็นสัญญาณแล้วว่าสายเรือต้องแข่งขันกันอย่างแน่นอน ทั้งนี้การลาออกจากสมาชิกชมรมทำให้สายเรือตัดสินใจที่จะขึ้นหรือลดราคาค่าระวางได้รวดเร็วตามสถานการณ์ของตลาด ไม่ต้องรอเข้าที่ประชุม และมีแนวโน้มสูงว่าสายเรือใหญ่ๆ จะมีการลดราคาเพื่อดึงลูกค้า"แหล่งข่าวกล่าว


อย่างไรก็ดีการขนส่งสินค้าทางเรือนอกจากมีค่าระวาง สายเรือต่างๆ ได้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมน้ำมันจากผู้ใช้บริการ (BUNKER SURCHARGE) โดยจะมีการปรับขึ้นลงตามภาวะราคาน้ำมัน จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ค่าธรรมเนียมน้ำมันสำหรับการขนส่งสินค้าทางเรือยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิเส้นทางยุโรป จากช่วงปลายปีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 250 ดอลลาร์สหรัฐ/ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต ปัจจุบันอยู่ที่ 270 ดอลลาร์สหรัฐ เส้นทางสหรัฐได้ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ ตามภาวะราคาน้ำมันตั้งแต่ 75 ดอลลาร์สหรัฐปรับขึ้นมาเป็น 105 ดอลลาร์สหรัฐ 120 ดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันอยู่ที่ 125 ดอลลาร์สหรัฐ


แหล่งข่าวในวงการผู้ส่งออก กล่าวว่า หากบริษัทเรือไม่มีการปรับค่าระวางเรือ หรือปรับขึ้นเล็กน้อย กลุ่มผู้ส่งออกที่ขายสินค้าในราคาC.I.F. (ราคาสินค้ารวมค่าขนส่ง ค่าประกัน) จะได้รับประโยชน์ เพราะจะได้ช่วยลดภาระค่าขนส่งลง และอาจเสนอขายสินค้าราคาที่ต่ำลงได้ ทำให้มีขีดแข่งขันที่ดีขึ้น ส่วนกลุ่มผู้ส่งออกที่ขายราคาF.O.B. ไม่ได้รับอานิสงส์มาก เนื่องจากผู้นำเข้าเป็นผู้รับภาระ และส่วนใหญ่จะทำสัญญากับบริษัทเรือเป็นรายปี
ภาพประจำตัวสมาชิก
LOSO
Verified User
โพสต์: 2512
ผู้ติดตาม: 0

Return Of T I T A N I C ????????

โพสต์ที่ 2

โพสต์

โพสต์โพสต์