ผมเห็นว่าน่าสนใจ...ยิ่งดูราคาหุ้น Picni ในปัจจุบันที่ 0.42 บาท
ยิ่งน่าสนใจใหญ่!!! เอาไว้เป็นอุทาหรณ์ครับ 8)
เนชั่น
ปีที่ 14 ฉบับที่ 726 วันที่ วันศุกร์ที่ 04 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548
สุนันท์ ศรีจันทรา
โศกนาฏกรรมคนอยากรวยหุ้น
อดีตผู้บริหารบริษัท ปิคนิค คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด พี่น้องตระกูล 'ลาภวิสุทธิสิน'
อาจอยู่ระหว่างรอชดใช้ชะตากรรมในสิ่งที่กระทำไว้ แต่สำหรับนักลงทุนราย
ย่อย ซึ่งตกเป็นเหยื่อของการสร้างภาพลวงตา และต้องเสียหายจากหุ้นตัวนี้
คงไม่ได้รับการชดใช้ การส่งฟ้องอดีตผู้บริหารและพวกรวม 22 คน ในข้อหา
แต่งบัญชีและยักยอกทรัพย์ อาจเป็นการปิดฉาก บริษัท ปิคนิคฯ หุ้นที่ฉาวโฉ่
มากที่สุดตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์รอบ 2 ปี
แต่ปิคนิคฯ เป็นเพียงหุ้นตัวหนึ่งในจำนวนอีกหลายร้อยตัวที่สร้างความเสีย
หายให้นักลงทุนรายย่อย โดยพี่น้องตระกูลลาภวิสุทธิสิน เป็นเพียงผู้บริหาร
บริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่ง ในจำนวนผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนอีกหลายร้อย
แห่งที่มีพฤติกรรมไม่แตกต่างจากกลุ่มลาภวิสุทธิสิน
การดำเนินคดีกับกลุ่มผู้บริหารบริษัท ปิคนิคฯ และผู้ร่วมขบวนการ แม้จะทำให้
ความรู้สึกของคนในสังคมดีขึ้น เพราะผู้กระทำความผิดได้รับการลงโทษ แต่
ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการลงทุนในตลาดหุ้นให้ดีขึ้น ไม่ได้ช่วยให้พฤติกรรมโกง
ในตลาดหุ้นหมดไปและไม่ได้ช่วยยกระดับธรรมาภิบาลบริษัทจดทะเบียนใน
ตลาดหลักทรัพย์
พฤติกรรมการสร้างภาพลวงตา แต่งบัญชี ไซ่ฟ่อนเงิน ปั่นราคาหุ้น โดยอาศัย
ตลาดหุ้นเป็นแหล่งกอบโกยผลประโยชน์ ยังคงดำเนินต่อไป
ไม่มีตัวเลขชัดเจนว่า นักลงทุนรายย่อย ต้องสูญเสียเงินจากขบวนการโกงใน
ตลาดหุ้นปีละเท่าไร แต่ถ้าประเมินจากหุ้นบริษัท ปิคนิคฯ ประเมินจากหุ้นที่มี
พฤติกรรมใกล้เคียงกันอีกนับร้อยบริษัท ยอดความสูญเสียของนักลงทุนราย
ย่อยที่เกิดจากพฤติกรรมโกงของผู้บริหาร อาจมีตัวเลขเฉียด 100,000 ล้าน
บาทต่อปีก็ได้
ความเสียหายจากการแต่งงบบัญชี และการยักยอกทรัพย์ ตามข้อหาที่อัยการ
ส่งฟ้องอดีตผู้บริหารบริษัท ปิคนิคฯ วงเงินรวมแล้วไม่ถึง 1,000 ล้านบาท ซึ่ง
ถือว่าไม่มากมายนัก แต่ความเสียหายจากการแต่งบัญชี เพื่อปั่นราคาหุ้น อาจ
จะสูงกว่านับสิบเท่าตัว
เพราะตลอด 2 ปีที่ผ่านมา หุ้นปิคนิคเคลื่อนไหวอย่างหวือหวา ราคาทะยาน
ขึ้นต่อเนื่องหลายสิบบาท และมีนักลงทุนรายย่อยแห่เข้ามาซื้อขายนับหมื่นๆ
คน แต่สุดท้ายราคาทรุดตัวลงมาเหลือเพียง 1 บาทเศษ
ส่วนต่างราคาหุ้นปิคนิค ระหว่างหลายสิบบาทกับเหลือไม่ถึง 2 บาท จะต้องมี
คนได้คนเสีย แต่คนที่ได้มากสุดคือ นักลงทุนรายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการปั่น
ผู้ร่วมขบวนการสร้างภาพลวงตา ส่วนคนที่เสียมากที่สุดคือ นักลงทุนรายย่อย
คนที่ร่ำรวยขึ้นจากหุ้นปิคนิค กลุ่มที่เห็นชัดคือ 'ลาภวิสุทธิสิน' โดยสามารถ
ก้าวขึ้นเป็นผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย พนักงานโบรกเกอร์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษา
ทางการเงิน คอยวางแผนและให้คำแนะนำ ขั้นผู้บริหารปิคนิค ก็มีข่าวว่า
กลายเป็นเศรษฐีขี่รถยุโรปราคาแพงลิบไปแล้ว และไม่รวมกลุ่มคนที่ร่วมขบวน
การอื่นๆ
ยอดเงินของกลุ่มคนที่ร่ำรวยจากการปั่นหุ้นปิคนิค คงหามายืนยันกันไม่ได้ แต่
ขั้นต่ำๆ รวมแล้วน่าจะอยู่ระดับหลายพันล้านบาท
เงินของกลุ่มที่เล่นเกมโกงหุ้นปิคนิคได้ไป หมายถึงเงินจากกระเป๋านักลงทุน
รายย่อยนับหมื่นคน ซึ่งถูกผันไปสร้างความมั่งคั่งให้คนเพียงกลุ่มเดียว
แต่ปัญหาคือ หุ้นที่เล่นเกมโกงไม่ได้มีเพียงตัวเดียวในตลาดหลักทรัพย์ ผู้
บริหารบริษัทจดทะเบียนที่อาศัยตลาดหุ้น เป็นช่องทางสร้างรวยรัด ไม่ได้มี
เพียงกลุ่มลาภวิสุทธิสิน แต่มีนับร้อยกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริหารบริษัทจด
ทะเบียนใหม่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และกลุ่มผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่
กำลังแต่งตัวเข้าตลาดหุ้น ส่วนใหญ่มีเป้าหมายเข้ามาดูดเงินจากนักลงทุน
รายย่อยทั้งสิ้น
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันมีเกือบ 500 บริษัท และประเมิน
กันว่า เกินครึ่งที่ผู้บริหารบริษัทมีการดูแลหุ้นตัวเอง หรือจ้องจะหากำไรจาก
ส่วนต่างราคาหุ้น โดยบางบริษัท ผู้บริหารบริษัทเกือบทั้งหมด สั่งซื้อขายหุ้น
ตัวเองอย่างโจ๋งครึ่ม หรือเป็นนักลงทุนเสียเอง เช่น กลุ่มโบว์เสรีวงศ์ เจ้าของ
หุ้นบริษัท สิงห์พาราเทค จำกัด
สมมติว่า ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนเพียง 10% หรือประมาณ 50 บริษัท มี
พฤติกรรมเหมือนผู้บริหารหุ้นปิคนิคหรือใกล้เคียง และสามารถเก็บเกี่ยวกำไร
จากพฤติกรรมสร้างราคาหุ้นเพียงปีละ 100 ล้านบาท รวมแล้วนักลงทุนราย
ย่อยจะถูกเจ้าของหุ้นกินไปปีละประมาณ 5,000 ล้านบาท
ถ้าอัตราส่วนการเล่นเกมโกงของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้นเป็น 20%
ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด หรือประมาณ 100 บริษัท และแต่ละ
บริษัทสามารถดูดเงินจากกระเป๋านักลงทุนรายย่อยได้เฉลี่ย 200 ล้านบาท
ปีๆ หนึ่ง นักลงทุนรายย่อยจะถูกโกงไปประมาณ 20,000 ล้านบาท
ถ้าหักบัญชีรายชื่อที่ซ้ำซ้อนกัน นักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์จะมี
ประมาณ 300,000 ราย เมื่อต้องเสียเงินจากการเล่นหุ้นปั่นปีละประมาณ
20,000 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วแต่ละคนเงินจะหายจากกระเป๋าไปปีละประมาณ
65,000 บาท
และการจนลงของนักลงทุนรายย่อย จะทำให้คนเพียงไม่กี่กลุ่ม หรือไม่กี่ร้อย
ตระกูลรวยขึ้น โดยเงินที่ร่ำรวยไปจากตลาดหุ้น อาจมีบางส่วนที่นำไปใช้เป็น
ทุนการเมือง หรือนำไปใช้สร้างเสริมบารมี ประเคนความสุขให้ตัวเอง
บ้านราคาหลายสิบล้านที่ขายดิบขายดี รถยนต์หรูราคานับสิบๆ ล้านที่ขายกัน
บางทีกลุ่มผู้ซื้อส่วนหนึ่งหรือส่วนใหญ่ อาจเป็นกลุ่มเศรษฐีใหม่ที่ร่ำรวยจาก
การปั่นหุ้นก็ได้
มีคำถามเสมอว่า นักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ มีใครรวยกันบ้าง คำ
ตอบคือ มีคนที่รวยน้อย แต่ส่วนใหญ่เสียหมด ส่วนใหญ่ตกเป็นเหยื่อของ
ขบวนการสร้างภาพลวงตา เหยื่อโฆษณาชวนเชื่อฐานะบริษัท เหยื่อเจ้าของ
หุ้น
ตลาดหุ้นวันนี้ แปรสภาพเป็นแหล่งผ่องถ่ายเงินจากกระเป๋าชนชั้นกลาง ไปสู่
กลุ่มทุนเก่า และกลุ่มทุนหน้าใหม่ๆ แทบจะสมบูรณ์แบบแล้ว นักลงทุนรายย่อย
หลายแสนคนที่หวังรวยจากตลาดหุ้น จึงมักเผชิญโศกนาฏกรรมซ้ำซาก ถูก
กินถูกโกงทั้งปีทั้งชาติ
ส่วนหุ้นปิคนิค คอร์ปอเรชั่น เป็นเพียงโศกนาฏกรรมหนึ่งของนักลงทุนราย
ย่อยในตลาดหุ้นยุคนี้เท่านั้น