ลุงขวด,คุณปรัชญา หรือท่านอื่นที่ถือ tks ค่ะ ขอสอบถามค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 308
- ผู้ติดตาม: 0
ลุงขวด,คุณปรัชญา หรือท่านอื่นที่ถือ tks ค่ะ ขอสอบถามค่ะ
โพสต์ที่ 1
มีใครพอจะทราบมั้ยคะ ว่าตัวนี้ทำไมถึงลงจาก 9.75 มาเหลือแค่ 2 บาทกว่า ราคาจอง 3.8 ไม่ใช่เหรอคะ ดูจากผลประกอบการ ก็ดีขึ้น คืออยากทราบว่าตอนนั้นที่เข้าตลาดใหม่ๆ ทำไมถึง trade กันราคาสูงขนาดนั้นคะ และทำไมถึงลงมาได้มากขนาดนี้ มีข่าวอะไรที่มากระทบผลประกอบการเหรอคะ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ และมีใครเคยไป company visit โรงงานหรือเปล่าคะ
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะ
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
ลุงขวด,คุณปรัชญา หรือท่านอื่นที่ถือ tks ค่ะ ขอสอบถามค่ะ
โพสต์ที่ 2
ผมไม่ได้มองและไม่รู้จักเลยครับ เมื่อหุ้นเขาเคยไปถึง 9.75 บาท ผมมาสนใจเขาตอนเขายืนแถว 2.6 บาทเศษๆ ราคาผมถือไว้ แถว 2.70 บาท และได้ปันผลมารอบหนึ่งแล้ว ผมมาเห็นราคาเขาใกล้กับ book value จึงเกิดความสนใจและศึกษา และพบว่า กิจการสิ่งพิมพ์เขาใช้ได้ ส่วนบริษัทย่อย ก็ เป็นพวก ขายคอมพิวเตอร์ ซึ่งกำไรน้อยมาก ยอดขายสูงแต่กำไรนิดเดียว ... เห็นเขามีการขยายกิจการทั้งคู่เลย ทั้งโรงพิมพ์และทางโกดังเก็บคอมพิวเตอร์ ลงทุนสูงมาก เห็นว่า เก็บโดยการควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ มีสายพาน ลำเลียง เห็นว่าเก็บได้หลายชั้นบน pallet ปีนี้เขาลงทุน น่าจะดีขึ้นในปีหน้า....แถมโรงพิมพ์เขาจะเอาเข้าตลาดปีหน้า ก็คง จะเพิ่มมูลค่าให้เขาอีกหน่อย ก็ ลงทุนกับเขา ดูลักษณะการขยับของราคาหุ้นแล้วแปลกมาก มีการ กระชากขึ้น กระชากลง เล่นเป็นรอบ ๆ แบบนี้ หลายรอบแล้ว ผมได้แต่ดูพฤติกรรมของเขา ผมคงถือยาว รอปีหน้าจะดูซิว่า การลงทุนของเขาจะประสบความสำเร็จแค่ไหน ผมชอบหุ้นที่ลงทุนแบบ ค่อย ๆ ขึ้น ค่อย ๆขยับ ไม่ใช่แบบ tks ที่ทำให้นักลงทุนต้องลำบากใจ บางคนก็เก่งและชอบนะครับ แต่ผมไม่ชอบเท่าไหร่... คุณปรัชญา อาจชอบก็ได้ ลองรอคำตอบคุณปรัชญาดู ว่าคิดเห็นอย่างไร
การลงทุนมีความเสี่ยง อย่าเชื่อผมทั้งหมดนะครับ เดี๊ยวจะพลาดได้ ถ้าไม่ยอมถือยาว
การลงทุนมีความเสี่ยง อย่าเชื่อผมทั้งหมดนะครับ เดี๊ยวจะพลาดได้ ถ้าไม่ยอมถือยาว
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
ลุงขวด,คุณปรัชญา หรือท่านอื่นที่ถือ tks ค่ะ ขอสอบถามค่ะ
โพสต์ที่ 3
มาตอบคุณ peaceful ครับ
ราคาหุ้นตอน9บาท ผมไม่ได้ตามเลยครับ
การเลือกหุ้นส่วนใหญ่ เป็นเหตุผลโดยส่วนตัวผมจะดู
ผลประกอบการก่อนอันดับแรก
ต่อมาผมก็ดู โครงสร้างผู้ถือหุ้น
ต่อมาผมก็ดูเงินปันผลตอบแทนกี่% และคาดหวังว่าบริษัทจะไปทางไหน
อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องครับ
ทีเคเอส
ผมชอบตรงส่วนลดราคาจาก ไอพีโอ
หลักทรัพย์จดทะบียน เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2546
บริษัท เอส เอ็น พี คอร์ปอเรชั่น จำกัด
ราคาเสนอขาย 3.80 บาท ต่อหุ้น
ขณะนี้ราคาก็ทรงตัวแกว่งไปมาระหว่าง 2.6x-3บาท
ก็มีส่วนลดจากราคาเสนอขาย ประมาณเกือบ30%
เงินปันผล ปีนี้จ่าย วันที่ 4 เมษายน 2549 ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท
อุตสาหกรรมที่ประกอบธุรกิจ พร้อมโรงงานก็ค่อนข้างมั่นคงขณะนี้ปีนี้นะครับ
ผลประกอบการ เติบโตขึ้นเล็กน้อย
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่1(F45-3)
บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)
สอบทาน
(หน่วย : พันบาท)
สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม
ไตรมาสที่ 1
ปี 2549 2548
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 23,064 17,244
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.09000 0.07000
ผมจะมองทั้งผลประกอบการและราคา ซื้อไว้บ้างเล็กน้อยไม่เยอะ
มีกังวลเรื่อง...ESOP-W1-2
หลักทรัพย์ TKS
หัวข้อข่าว แจ้งกำหนดการใช้สิทธิ ครั้งที่ 1 ESOP-W2
วันที่/เวลา 05 มิ.ย. 2549 18:34:45
ที่ 49/13
วันที่ 1 มิถุนายน 2549
เรื่อง แจ้งกำหนดการใช้สิทธิ ครั้งที่ 1 ของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (ESOP-
W2 )
เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตามที่ บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี จำกัด(มหาชน)ได้ออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ
ที่จะซื้อหุ้นสามัญ (ESOP-W2 ) จำนวน 5,000,000 หน่วย อายุ 5 ปี
ให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย ชนิดระบุชื่อผู้ถือ
และไม่สามารถโอนเปลี่ยนมือได้ โดยมีอัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วย :1 หุ้นสามัญ ในราคา
4.00บาท โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท จำนวนสิทธิที่ใช้แปลงสภาพ ครั้งที่ 1 เป็น
500,000 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 10% ของสิทธิแปลงสภาพทั้งหมด ทั้งนี้บริษัทฯ
ได้กำหนดการใช้สิทธิ ครั้งที่ 1 ในวันที่ 30 มิถุนายน 2549
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(นายสุพันธุ์ มงคลสุธี)
ประธานกรรมการ
แต่ก็คลายกังวลเมื่อลุงขวดมาชี้แจงว่า ราคาแปลง4บาทต่อหุ้น
แล้วในกระดาน ราคา2.68ต่อหุ้นวันนี้ หากจะมีการแปลงก็ต้องราคาต่อหุ้น
เกิน4บาท หากผมถือหุ้นราคานี้ ก็น่าจะได้ส่วนต่างพอควร
แต่มันติดตรงต้องถือยาว ไม่รู้ค่ำว่ายาวนี้
จะเป็น2ปีหรือ5ปี หากเงินไม่เย็นจริงๆ ก็คงอึดอัดลำบากใจ
ยิ่งภาวะตลาดต่างชาติขาย
(หรือมอตินีของนักการเมืองที่อยู่ต่างประเทศขาย เพราะจะนำเงินมาใช้ในการเลือกตั้ง ก็เลยมองว่าเป็นหนังชีวิต หุ้นลงระยะยาวๆ)
การลงทุนมีความเสี่ยงต้องคิดพิจารณาเอานะครับ ว่าหุ้นตัวนี้เหมาะกับ อัธยาศัยเราหรือเปล่าครับ)
ขอให้โชคดีครับ
ราคาหุ้นตอน9บาท ผมไม่ได้ตามเลยครับ
การเลือกหุ้นส่วนใหญ่ เป็นเหตุผลโดยส่วนตัวผมจะดู
ผลประกอบการก่อนอันดับแรก
ต่อมาผมก็ดู โครงสร้างผู้ถือหุ้น
ต่อมาผมก็ดูเงินปันผลตอบแทนกี่% และคาดหวังว่าบริษัทจะไปทางไหน
อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องครับ
ทีเคเอส
ผมชอบตรงส่วนลดราคาจาก ไอพีโอ
หลักทรัพย์จดทะบียน เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2546
บริษัท เอส เอ็น พี คอร์ปอเรชั่น จำกัด
ราคาเสนอขาย 3.80 บาท ต่อหุ้น
ขณะนี้ราคาก็ทรงตัวแกว่งไปมาระหว่าง 2.6x-3บาท
ก็มีส่วนลดจากราคาเสนอขาย ประมาณเกือบ30%
เงินปันผล ปีนี้จ่าย วันที่ 4 เมษายน 2549 ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท
อุตสาหกรรมที่ประกอบธุรกิจ พร้อมโรงงานก็ค่อนข้างมั่นคงขณะนี้ปีนี้นะครับ
ผลประกอบการ เติบโตขึ้นเล็กน้อย
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่1(F45-3)
บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)
สอบทาน
(หน่วย : พันบาท)
สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม
ไตรมาสที่ 1
ปี 2549 2548
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 23,064 17,244
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.09000 0.07000
ผมจะมองทั้งผลประกอบการและราคา ซื้อไว้บ้างเล็กน้อยไม่เยอะ
มีกังวลเรื่อง...ESOP-W1-2
หลักทรัพย์ TKS
หัวข้อข่าว แจ้งกำหนดการใช้สิทธิ ครั้งที่ 1 ESOP-W2
วันที่/เวลา 05 มิ.ย. 2549 18:34:45
ที่ 49/13
วันที่ 1 มิถุนายน 2549
เรื่อง แจ้งกำหนดการใช้สิทธิ ครั้งที่ 1 ของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (ESOP-
W2 )
เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตามที่ บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี จำกัด(มหาชน)ได้ออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ
ที่จะซื้อหุ้นสามัญ (ESOP-W2 ) จำนวน 5,000,000 หน่วย อายุ 5 ปี
ให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย ชนิดระบุชื่อผู้ถือ
และไม่สามารถโอนเปลี่ยนมือได้ โดยมีอัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วย :1 หุ้นสามัญ ในราคา
4.00บาท โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท จำนวนสิทธิที่ใช้แปลงสภาพ ครั้งที่ 1 เป็น
500,000 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 10% ของสิทธิแปลงสภาพทั้งหมด ทั้งนี้บริษัทฯ
ได้กำหนดการใช้สิทธิ ครั้งที่ 1 ในวันที่ 30 มิถุนายน 2549
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(นายสุพันธุ์ มงคลสุธี)
ประธานกรรมการ
แต่ก็คลายกังวลเมื่อลุงขวดมาชี้แจงว่า ราคาแปลง4บาทต่อหุ้น
แล้วในกระดาน ราคา2.68ต่อหุ้นวันนี้ หากจะมีการแปลงก็ต้องราคาต่อหุ้น
เกิน4บาท หากผมถือหุ้นราคานี้ ก็น่าจะได้ส่วนต่างพอควร
แต่มันติดตรงต้องถือยาว ไม่รู้ค่ำว่ายาวนี้
จะเป็น2ปีหรือ5ปี หากเงินไม่เย็นจริงๆ ก็คงอึดอัดลำบากใจ
ยิ่งภาวะตลาดต่างชาติขาย
(หรือมอตินีของนักการเมืองที่อยู่ต่างประเทศขาย เพราะจะนำเงินมาใช้ในการเลือกตั้ง ก็เลยมองว่าเป็นหนังชีวิต หุ้นลงระยะยาวๆ)
การลงทุนมีความเสี่ยงต้องคิดพิจารณาเอานะครับ ว่าหุ้นตัวนี้เหมาะกับ อัธยาศัยเราหรือเปล่าครับ)
ขอให้โชคดีครับ
- Raphin Phraiwal
- Verified User
- โพสต์: 1342
- ผู้ติดตาม: 0
ลุงขวด,คุณปรัชญา หรือท่านอื่นที่ถือ tks ค่ะ ขอสอบถามค่ะ
โพสต์ที่ 4
[quote="ปรัชญา"]ต่อมาผมก็ดู
รักในหลวงครับ
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
ลุงขวด,คุณปรัชญา หรือท่านอื่นที่ถือ tks ค่ะ ขอสอบถามค่ะ
โพสต์ที่ 5
ผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ วันที่ 31/03/2548Raphin Phraiwal เขียน:
พี่ปรัชญาช่วยอธิบายหน่อยครับ ว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นบอกอะไรได้บ้างครับ
จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free float) 1,153 % การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (% Free float) 32.46
ภาพรวมข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 04/04/2549 ประเภทการปิดสมุด : XM
จำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด 1,517 % การถือหุ้นแบบไร้ใบหุ้น 84.75
ลำดับ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จำนวนหุ้น (หุ้น) % หุ้น
1 บริษัท มงคลสุธีโฮลดิ้ง จำกัด 45,806,555 18.46
2 บริษัท มงคลสุธีโฮลดิ้ง จำกัด 40,000,000 16.12
3 DBS VICKERS SECURITIES (SINGAPORE) PTE LTD 21,000,000 8.47
4 บริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด 10,500,000 4.23
5 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี 9,000,000 3.63
6 นางสุชาดา มงคลสุธี 8,850,000 3.57
7 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) 8,000,000 3.22
8 น.ส.สุธิดา มงคลสุธี 7,650,000 3.08
9 นายพุฒิพันธ์ เตยะราชกุล 6,900,000 2.78
10 POWERMATIC DATA SYSTEMS LTD. 6,664,837 2.69
11 น.ส.นพวรรณ วุฑฒยากร 4,200,000 1.69
12 CREDIT SUISSE SINGAPORE TRUST ACCOUNT CLIENTS 3,794,995 1.53
13 LASER COMPUTER LIMITED 3,589,950 1.45
14 บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 3,319,800 1.34
15 น.ส.สุวรรณี แซ่ลี่ 2,551,488 1.03
16 OCBC SECURITIES PRIVATE LIMITED. 2,221,613 0.90
17 พันตรีพฤษภะ สุวรรณทัต 1,290,000 0.52
โครงสร้างผู้ถือหุ้นปีที่ผ่านมาครับ
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
ลุงขวด,คุณปรัชญา หรือท่านอื่นที่ถือ tks ค่ะ ขอสอบถามค่ะ
โพสต์ที่ 6
วิธีดูส่วนตัวนะครับ อาจไม่ใช่มาตรฐานสากลที่ทั่วไปใช้ครับ
ผู้ถือเกิน5% เมื่อขายต้องรายงานตลาด
ทุกเช้า เราต้องเปิดดูผู้บริหาร กรรมการผู้เกี่ยวข้อง ผู้ถือหุ้นเกิน5%
ทางเวป http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin/daily59.php
ผู้เฝ้าดูราคานักเก็งเรียกเจ้า ก็บรรดากอง
พอท์ตการลงทุนของบริษัทต่างๆ
เหล่านี้ จะเป็นผู้ดูแลราคา คอยตั้งยันรับราคา มีวอลุ่ม
คอยกดราคาเมื่อตลาดเป็นขาลง
และไล่ราคาเมื่อตลาดเป็นขาขึ้น
และผลประกอบการออกมาในทิศทางนั้นๆ
คงเป็นความเห็นส่วนบุคคลครับ
ผู้ถือเกิน5% เมื่อขายต้องรายงานตลาด
ทุกเช้า เราต้องเปิดดูผู้บริหาร กรรมการผู้เกี่ยวข้อง ผู้ถือหุ้นเกิน5%
ทางเวป http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin/daily59.php
ผู้เฝ้าดูราคานักเก็งเรียกเจ้า ก็บรรดากอง
พอท์ตการลงทุนของบริษัทต่างๆ
เหล่านี้ จะเป็นผู้ดูแลราคา คอยตั้งยันรับราคา มีวอลุ่ม
คอยกดราคาเมื่อตลาดเป็นขาลง
และไล่ราคาเมื่อตลาดเป็นขาขึ้น
และผลประกอบการออกมาในทิศทางนั้นๆ
คงเป็นความเห็นส่วนบุคคลครับ
- Raphin Phraiwal
- Verified User
- โพสต์: 1342
- ผู้ติดตาม: 0
ลุงขวด,คุณปรัชญา หรือท่านอื่นที่ถือ tks ค่ะ ขอสอบถามค่ะ
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณครับ
รักในหลวงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ลุงขวด,คุณปรัชญา หรือท่านอื่นที่ถือ tks ค่ะ ขอสอบถามค่ะ
โพสต์ที่ 8
เสริมจากพี่ปรัชญาRaphin Phraiwal เขียน:พี่ปรัชญาช่วยอธิบายหน่อยครับ ว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นบอกอะไรได้บ้างครับ
นอกจากดูการซื้อขายของผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้ว
การดูโครงสร้างผู้ถือหุ้น
ถือว่าเป็นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพอย่างหนึ่ง
บริษัทที่ถูกถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั้น
คิดเป็นมูลค่ามากน้อยแค่ไหนเทียบกับความมั่งคั่งของผู้ถือ
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท A หรือ นาย A ถือหุ้นบริษัท B อยู่ 30%
เมื่อเราดูโครงสร้างผู้ถือหุ้น
เราอาจจะมองลึกลงไปต่อว่า
บริษัท B ดังกล่ว คิดเป็นกี่ % ของทรัพย์สินของนาย A หรือ บริษัท A
เช่นหาก 30% ในการถือหุ้น B ดังกล่าว คิดเป็น 80% ของทรัพย์สินทั้งหมด
แสดงว่า นาย A หรือ บริษัท A ก็ยอมสู้ตายเพื่อไม่ให้บริษัท B เจ๊ง ไม่งั้นเขาก็เจ๊งด้วย
แต่ถ้า บริษัท B ดังกล่าว คิดเป็นเพียงแค่ 5% ของ นาย A หรือ บริษัท A
เขาอาจจะขาย B ทิ้งง่ายๆ หรือ ไม่สนใจแก้ปัญหาอย่างจริงจังหากบริษัท B มีปัญหา
เนื่องจาก มันไม่ใช่สินทรัพย์หลักเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทั้งหมดที่เขามี
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 51
- ผู้ติดตาม: 0
Bizweek @ 20-Jan-06
โพสต์ที่ 10
เปิดพอร์ตลงทุน.."ที.เค.เอส.เทคโนโลยี"
สำรวจพอร์ตหุ้น "ที.เค.เอส.เทคโนโลยี" พบขาดทุนหุ้นระนาว ผู้บริหาร ชี้แจง เป็นการลงทุนระยะยาวไม่ได้มุ่งเก็งกำไร เผยแผนปี 2549 เน้นเพิ่มมาร์จินในธุรกิจงานพิมพ์ และไอที ตั้งเป้า "ยอดขาย" เติบโต 15% ขณะที่ปัญหาหนี้เสีย ตั้งสำรองหมดแล้ว
"บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี"(TKS) เป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่มีพอร์ตเงินลงทุนอยู่ในตลาดหุ้น และที่ผ่านมาการลงทุนของบริษัทไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ขณะที่ธุรกิจงานพิมพ์ และไอที ก็อยู่ในภาวะการแข่งขันที่สูง
ที.เค.เอส. เริ่มมีนโยบายเข้าลงทุนในตลาดหุ้น ตั้งแต่หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปี 2546 โดยปัจจุบันมีหุ้นที่อยู่ในพอร์ตลงทุนของบริษัทรวม 7 บริษัท ประกอบด้วย หุ้นเอสวีโอเอ (SVOA), เมโทรซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น (MSC), ทีพีไอ โพลีน (TPIPL), ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY), เอ็ม ลิ้งค์ คอร์ปอเรชั่น (MLINK) และ โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA)
จากการสำรวจพอร์ตลงทุนของบริษัท ณ วันที่ 17 มกราคม 2549 พบว่า หุ้นในพอร์ตเกือบทุกตัวให้ผลตอบแทน "ติดลบ" หรือ "ขาดทุน" ทางบัญชี (บริษัทยังไม่ได้ขายหุ้นออก) ถึง 25.5 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทน -36.75%
โดยเฉพะ "หุ้น SVOA" ที่สร้างผลขาดทุนให้แก่บริษัทมากที่สุดถึง 69% จากจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด 10 ล้านหุ้น ที่ต้นทุนเฉลี่ย 3.37 บาท แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงเหลือเพียง 1.04 บาท จึงทำให้พอร์ตของ ที.เค.เอส. มีมูลค่าเงินลงทุนเหลือเพียง 10.4 ล้านบาท จาก 33.7 ล้านบาท เมื่อสิ้น ก.ย. 2548 คิดเป็นเม็ดเงินขาดทุน 23.3 ล้านบาท
รองลงมา "หุ้น MLINK" ปัจจุบันบริษัทถือหุ้นอยู่จำนวนประมาณ 2,210,000 หุ้น มีต้นทุนเฉลี่ยที่ 3.58 บาท แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงเหลือเพียง 2.40 บาท หรือมีมูลค่าลงทุนรวม 5.3 ล้านบาท ทำให้เกิดผลขาดทุน 2.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น -32.96%
นอกจากนั้น บริษัทยังมีผลขาดทุนใน "หุ้น TPIPL" เป็นเม็ดเงิน 1.053 ล้านบาท หรือคิดเป็น -21.16% จากที่ถือหุ้นอยู่จำนวนประมาณ 161,000 หุ้น ราคาเฉลี่ย 30.82 บาท ล่าสุดราคาหุ้นเหลือ 24.30 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 3.92 ล้านบาท
รวมถึงมีผลขาดทุนใน "หุ้น TTA" ซึ่งราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาโดยตลอด ที.เค.เอส. ถือหุ้นตัวนี้ในพอร์ตจำนวนประมาณ 128,000 หุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 29.93 บาท แต่ราคาหุ้นล่าสุดได้ปรับลงมาอยู่ที่ 26 บาท จึงทำให้เกิดผลขาดทุน 5 แสนบาท หรือมีมูลค่าลงทุน 3.35 ล้านบาท จากสิ้นกันยายน 2548 มูลค่าลงทุนอยู่ที่ 3.85 ล้านบาท ขาดทุน -13.13%
ด้าน "หุ้น MSC" พอร์ตลงทุนมีผลขาดทุนเพียงเล็กน้อย -5.69% จากที่ถือหุ้นอยู่จำนวนประมาณ 2,410,000 หุ้น ที่ราคา 2.99 บาท ล่าสุดราคาลดลงเหลือ 2.82 บาท ขาดทุน 4 แสนบาท มูลค่าหุ้นลดลงเหลือ 6.8 ล้านบาท
ส่วนหุ้นแบงก์ในพอร์ต อาทิ "หุ้น BAY" มีผลขาดทุน -2.47% บริษัทถือหุ้นตัวนี้อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 574,000 หุ้น ต้นทุน 15.79 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 8.84 ล้านบาท
ขณะที่หุ้นที่สร้างผลตอบแทนให้แก่พอร์ตลงทุนโดดเด่น และเป็นหุ้นเพียงตัวเดียวที่ "ทำกำไร" คือ "หุ้น SCIB" ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 98% ในจำนวนหุ้นที่ถือหุ้นอยู่ประมาณ 210,000 หุ้น มีต้นทุนที่ 12.58 บาท ล่าสุดราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นที่ 24.90 บาท ทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 5.26 ล้านบาท จาก 2.66 ล้านบาท เมื่อสิ้น กันยายน 2548
"วีระชัย ศรีขจร" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ว่า หลังจากที่บริษัทมีนโยบายเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อปี 2546 จนถึงปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของบริษัทก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวหุ้น เพื่อการเก็งกำไร หรือมีการซื้อเพิ่มเข้ามาแต่อย่างไร เนื่องจากบริษัทมีนโยบายลงทุนในระยะยาว
"หุ้นหลายตัวอย่าง SVOA หรือ MSC เราลงทุนหลังเข้าตลาดหุ้นราว 2 ปีมาแล้ว ยกเว้นหุ้นนอกตลาดอย่าง "ไทยบริติช ซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง" (ถือหุ้น 19.97%) ที่ลงทุนมา 3-4 ปี ซึ่งหุ้นดังกล่าวเป็นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจไอที ที่เราทำอยู่ ส่วนการที่ราคาหุ้นในพอร์ต มีการปรับตัวลดลง และมีผลขาดทุน ก็เป็นการรับรู้ตามราคาตลาดเท่านั้น"
นอกจากนี้ "วีระชัย ศรีขจร" ยังเปิดเผยถึง แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2549 ว่า คงไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมเนื่องจากในปี 2548 ที่ผ่านมา ได้ลงทุนในส่วนของเครื่องจักรไปแล้ว แต่นโยบายของปีนี้ จะเน้นการเพิ่มมาร์จิน หรือมูลค่าเพิ่มในส่วนธุรกิจงานพิมพ์ และไอที มากกว่าการเน้นเพิ่มยอดขายอย่างเดียว
"ทั้งธุรกิจงานพิมพ์และไอที เราจะเน้นการเพิ่มมาร์จินในตัวสินค้าที่มีความแตกต่างและไม่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะงานพิมพ์ดิจิทัลสีระบบ Security หรือระบบปลอดภัยสูง เช่น เช็ค, สมุดบัญชี, ป้ายทะเบียน รวมถึงงานพิมพ์ที่มีรายละเอียด ซึ่งผู้ผลิตไม่มากราย และผลิตได้ยาก เราจะเน้นตรงนี้ ส่วนธุรกิจไอทีก็เช่นกัน สินค้าบางตัวที่แข่งขันมาก เราจะไม่ให้ความสำคัญ สินค้าหลักที่จะเน้นเช่น จอ LCD, CPU, ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น"
ขณะเดียวกัน ก็จะทำสินค้าประเภทสั่งผลิตตามแบรนด์ลูกค้ามากขึ้น (Build to Order) เช่น โน้ตบุ๊ค เป็นต้น แม้กำไรขั้นต้นจะต่ำลงเหลือเพียง 6-7% แต่จะมียอดขายที่สูงขึ้น ขณะที่งานพิมพ์แม้จะมียอดขายน้อย แต่กำไรขั้นต้นยังสูงอยู่ถึง 15-20%
"เราคาดว่าอุตสาหกรรมไอทีในปีนี้จะเติบโต 10-15% ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการได้แม้การแข่งขันจะสูง แต่ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ก็จะเข้ามายาก จึงคิดว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ยังมีอยู่"
ปัจจุบันโครงสร้างรายได้หลักของ ที.เค.เอส. มาจากธุรกิจไอที ราว 90% และธุรกิจงานพิมพ์ 10%
"เราตั้งเป้าปี 2549 ว่า จะมียอดขายรวมมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยจะมาจากธุรกิจไอทีราว 1 หมื่นล้านบาท และธุรกิจงานพิมพ์ราว 1 พันล้านบาท หรือเติบโต 15% จากปี 2548 จะมีรายได้รวม 1 หมื่นล้าน ซึ่งเติบโตจากปี 2547 ประมาณ 15% เช่นกัน"
วีระชัย ยังกล่าวถึงปัญหาที่บริษัทต้องตั้งสำรองหนี้เสียสูงมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาว่า ได้แก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว ซึ่งน่าจะทำให้บริษัทสามารถทำกำไรได้ดีขึ้น เพราะไม่มีหนี้เสียมาเป็นภาระอีกต่อไป แต่ก็จำเป็นต้องระมัดระวังในการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเต็มที่
"ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินต่อทุนมากกว่า 1 เท่า ซึ่งเราจะต้องพยายามดูแลไม่ให้สูงไปกว่านี้" วีระชัย ศรีขจร กล่าวปิดท้าย
สำรวจพอร์ตหุ้น "ที.เค.เอส.เทคโนโลยี" พบขาดทุนหุ้นระนาว ผู้บริหาร ชี้แจง เป็นการลงทุนระยะยาวไม่ได้มุ่งเก็งกำไร เผยแผนปี 2549 เน้นเพิ่มมาร์จินในธุรกิจงานพิมพ์ และไอที ตั้งเป้า "ยอดขาย" เติบโต 15% ขณะที่ปัญหาหนี้เสีย ตั้งสำรองหมดแล้ว
"บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี"(TKS) เป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่มีพอร์ตเงินลงทุนอยู่ในตลาดหุ้น และที่ผ่านมาการลงทุนของบริษัทไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ขณะที่ธุรกิจงานพิมพ์ และไอที ก็อยู่ในภาวะการแข่งขันที่สูง
ที.เค.เอส. เริ่มมีนโยบายเข้าลงทุนในตลาดหุ้น ตั้งแต่หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปี 2546 โดยปัจจุบันมีหุ้นที่อยู่ในพอร์ตลงทุนของบริษัทรวม 7 บริษัท ประกอบด้วย หุ้นเอสวีโอเอ (SVOA), เมโทรซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น (MSC), ทีพีไอ โพลีน (TPIPL), ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY), เอ็ม ลิ้งค์ คอร์ปอเรชั่น (MLINK) และ โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA)
จากการสำรวจพอร์ตลงทุนของบริษัท ณ วันที่ 17 มกราคม 2549 พบว่า หุ้นในพอร์ตเกือบทุกตัวให้ผลตอบแทน "ติดลบ" หรือ "ขาดทุน" ทางบัญชี (บริษัทยังไม่ได้ขายหุ้นออก) ถึง 25.5 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทน -36.75%
โดยเฉพะ "หุ้น SVOA" ที่สร้างผลขาดทุนให้แก่บริษัทมากที่สุดถึง 69% จากจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด 10 ล้านหุ้น ที่ต้นทุนเฉลี่ย 3.37 บาท แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงเหลือเพียง 1.04 บาท จึงทำให้พอร์ตของ ที.เค.เอส. มีมูลค่าเงินลงทุนเหลือเพียง 10.4 ล้านบาท จาก 33.7 ล้านบาท เมื่อสิ้น ก.ย. 2548 คิดเป็นเม็ดเงินขาดทุน 23.3 ล้านบาท
รองลงมา "หุ้น MLINK" ปัจจุบันบริษัทถือหุ้นอยู่จำนวนประมาณ 2,210,000 หุ้น มีต้นทุนเฉลี่ยที่ 3.58 บาท แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงเหลือเพียง 2.40 บาท หรือมีมูลค่าลงทุนรวม 5.3 ล้านบาท ทำให้เกิดผลขาดทุน 2.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น -32.96%
นอกจากนั้น บริษัทยังมีผลขาดทุนใน "หุ้น TPIPL" เป็นเม็ดเงิน 1.053 ล้านบาท หรือคิดเป็น -21.16% จากที่ถือหุ้นอยู่จำนวนประมาณ 161,000 หุ้น ราคาเฉลี่ย 30.82 บาท ล่าสุดราคาหุ้นเหลือ 24.30 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 3.92 ล้านบาท
รวมถึงมีผลขาดทุนใน "หุ้น TTA" ซึ่งราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาโดยตลอด ที.เค.เอส. ถือหุ้นตัวนี้ในพอร์ตจำนวนประมาณ 128,000 หุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 29.93 บาท แต่ราคาหุ้นล่าสุดได้ปรับลงมาอยู่ที่ 26 บาท จึงทำให้เกิดผลขาดทุน 5 แสนบาท หรือมีมูลค่าลงทุน 3.35 ล้านบาท จากสิ้นกันยายน 2548 มูลค่าลงทุนอยู่ที่ 3.85 ล้านบาท ขาดทุน -13.13%
ด้าน "หุ้น MSC" พอร์ตลงทุนมีผลขาดทุนเพียงเล็กน้อย -5.69% จากที่ถือหุ้นอยู่จำนวนประมาณ 2,410,000 หุ้น ที่ราคา 2.99 บาท ล่าสุดราคาลดลงเหลือ 2.82 บาท ขาดทุน 4 แสนบาท มูลค่าหุ้นลดลงเหลือ 6.8 ล้านบาท
ส่วนหุ้นแบงก์ในพอร์ต อาทิ "หุ้น BAY" มีผลขาดทุน -2.47% บริษัทถือหุ้นตัวนี้อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 574,000 หุ้น ต้นทุน 15.79 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 8.84 ล้านบาท
ขณะที่หุ้นที่สร้างผลตอบแทนให้แก่พอร์ตลงทุนโดดเด่น และเป็นหุ้นเพียงตัวเดียวที่ "ทำกำไร" คือ "หุ้น SCIB" ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 98% ในจำนวนหุ้นที่ถือหุ้นอยู่ประมาณ 210,000 หุ้น มีต้นทุนที่ 12.58 บาท ล่าสุดราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นที่ 24.90 บาท ทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 5.26 ล้านบาท จาก 2.66 ล้านบาท เมื่อสิ้น กันยายน 2548
"วีระชัย ศรีขจร" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ว่า หลังจากที่บริษัทมีนโยบายเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อปี 2546 จนถึงปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของบริษัทก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวหุ้น เพื่อการเก็งกำไร หรือมีการซื้อเพิ่มเข้ามาแต่อย่างไร เนื่องจากบริษัทมีนโยบายลงทุนในระยะยาว
"หุ้นหลายตัวอย่าง SVOA หรือ MSC เราลงทุนหลังเข้าตลาดหุ้นราว 2 ปีมาแล้ว ยกเว้นหุ้นนอกตลาดอย่าง "ไทยบริติช ซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง" (ถือหุ้น 19.97%) ที่ลงทุนมา 3-4 ปี ซึ่งหุ้นดังกล่าวเป็นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจไอที ที่เราทำอยู่ ส่วนการที่ราคาหุ้นในพอร์ต มีการปรับตัวลดลง และมีผลขาดทุน ก็เป็นการรับรู้ตามราคาตลาดเท่านั้น"
นอกจากนี้ "วีระชัย ศรีขจร" ยังเปิดเผยถึง แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2549 ว่า คงไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมเนื่องจากในปี 2548 ที่ผ่านมา ได้ลงทุนในส่วนของเครื่องจักรไปแล้ว แต่นโยบายของปีนี้ จะเน้นการเพิ่มมาร์จิน หรือมูลค่าเพิ่มในส่วนธุรกิจงานพิมพ์ และไอที มากกว่าการเน้นเพิ่มยอดขายอย่างเดียว
"ทั้งธุรกิจงานพิมพ์และไอที เราจะเน้นการเพิ่มมาร์จินในตัวสินค้าที่มีความแตกต่างและไม่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะงานพิมพ์ดิจิทัลสีระบบ Security หรือระบบปลอดภัยสูง เช่น เช็ค, สมุดบัญชี, ป้ายทะเบียน รวมถึงงานพิมพ์ที่มีรายละเอียด ซึ่งผู้ผลิตไม่มากราย และผลิตได้ยาก เราจะเน้นตรงนี้ ส่วนธุรกิจไอทีก็เช่นกัน สินค้าบางตัวที่แข่งขันมาก เราจะไม่ให้ความสำคัญ สินค้าหลักที่จะเน้นเช่น จอ LCD, CPU, ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น"
ขณะเดียวกัน ก็จะทำสินค้าประเภทสั่งผลิตตามแบรนด์ลูกค้ามากขึ้น (Build to Order) เช่น โน้ตบุ๊ค เป็นต้น แม้กำไรขั้นต้นจะต่ำลงเหลือเพียง 6-7% แต่จะมียอดขายที่สูงขึ้น ขณะที่งานพิมพ์แม้จะมียอดขายน้อย แต่กำไรขั้นต้นยังสูงอยู่ถึง 15-20%
"เราคาดว่าอุตสาหกรรมไอทีในปีนี้จะเติบโต 10-15% ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการได้แม้การแข่งขันจะสูง แต่ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ก็จะเข้ามายาก จึงคิดว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ยังมีอยู่"
ปัจจุบันโครงสร้างรายได้หลักของ ที.เค.เอส. มาจากธุรกิจไอที ราว 90% และธุรกิจงานพิมพ์ 10%
"เราตั้งเป้าปี 2549 ว่า จะมียอดขายรวมมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยจะมาจากธุรกิจไอทีราว 1 หมื่นล้านบาท และธุรกิจงานพิมพ์ราว 1 พันล้านบาท หรือเติบโต 15% จากปี 2548 จะมีรายได้รวม 1 หมื่นล้าน ซึ่งเติบโตจากปี 2547 ประมาณ 15% เช่นกัน"
วีระชัย ยังกล่าวถึงปัญหาที่บริษัทต้องตั้งสำรองหนี้เสียสูงมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาว่า ได้แก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว ซึ่งน่าจะทำให้บริษัทสามารถทำกำไรได้ดีขึ้น เพราะไม่มีหนี้เสียมาเป็นภาระอีกต่อไป แต่ก็จำเป็นต้องระมัดระวังในการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเต็มที่
"ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินต่อทุนมากกว่า 1 เท่า ซึ่งเราจะต้องพยายามดูแลไม่ให้สูงไปกว่านี้" วีระชัย ศรีขจร กล่าวปิดท้าย
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
ลุงขวด,คุณปรัชญา หรือท่านอื่นที่ถือ tks ค่ะ ขอสอบถามค่ะ
โพสต์ที่ 11
ข่าว วันที่เท่าไหร่ครับ
คนโพท์ส เอามาแป่ะ ลงวันที่ ตรวจสอบความถูกต้องของราคาก่อนข่าวออกด้วย
เจตนาอยากทุบหุ้นหรือเปล่าครับ
รับผิดชอบต่อการกระทำของท่านบ้าง
ไม่ใช่เป็นคนจิตไม่ปกติ เอามัน เอาสนุก บนความทุกข์คนอื่น
ข่าวเดือน 20มกราคม49
วันนี้ 9 พค 49
คนโพท์ส เอามาแป่ะ ลงวันที่ ตรวจสอบความถูกต้องของราคาก่อนข่าวออกด้วย
เจตนาอยากทุบหุ้นหรือเปล่าครับ
รับผิดชอบต่อการกระทำของท่านบ้าง
ไม่ใช่เป็นคนจิตไม่ปกติ เอามัน เอาสนุก บนความทุกข์คนอื่น
ข่าวเดือน 20มกราคม49
วันนี้ 9 พค 49
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Bizweek @ 20-Jan-06
โพสต์ที่ 12
[quote="Uncle Bob"]เปิดพอร์ตลงทุน.."ที.เค.เอส.เทคโนโลยี"
สำรวจพอร์ตหุ้น "ที.เค.เอส.เทคโนโลยี" พบขาดทุนหุ้นระนาว ผู้บริหาร ชี้แจง เป็นการลงทุนระยะยาวไม่ได้มุ่งเก็งกำไร เผยแผนปี 2549 เน้นเพิ่มมาร์จินในธุรกิจงานพิมพ์ และไอที ตั้งเป้า "ยอดขาย" เติบโต 15% ขณะที่ปัญหาหนี้เสีย ตั้งสำรองหมดแล้ว
"บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี"(TKS) เป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่มีพอร์ตเงินลงทุนอยู่ในตลาดหุ้น และที่ผ่านมาการลงทุนของบริษัทไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ขณะที่ธุรกิจงานพิมพ์ และไอที ก็อยู่ในภาวะการแข่งขันที่สูง
ที.เค.เอส. เริ่มมีนโยบายเข้าลงทุนในตลาดหุ้น ตั้งแต่หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปี 2546 โดยปัจจุบันมีหุ้นที่อยู่ในพอร์ตลงทุนของบริษัทรวม 7 บริษัท ประกอบด้วย หุ้นเอสวีโอเอ (SVOA), เมโทรซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น (MSC), ทีพีไอ โพลีน (TPIPL), ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY), เอ็ม ลิ้งค์ คอร์ปอเรชั่น (MLINK) และ โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA)
จากการสำรวจพอร์ตลงทุนของบริษัท ณ วันที่ 17 มกราคม 2549 พบว่า หุ้นในพอร์ตเกือบทุกตัวให้ผลตอบแทน "ติดลบ" หรือ "ขาดทุน" ทางบัญชี (บริษัทยังไม่ได้ขายหุ้นออก) ถึง 25.5 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทน -36.75%
โดยเฉพะ "หุ้น SVOA" ที่สร้างผลขาดทุนให้แก่บริษัทมากที่สุดถึง 69% จากจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด 10 ล้านหุ้น ที่ต้นทุนเฉลี่ย 3.37 บาท แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงเหลือเพียง 1.04 บาท จึงทำให้พอร์ตของ ที.เค.เอส. มีมูลค่าเงินลงทุนเหลือเพียง 10.4 ล้านบาท จาก 33.7 ล้านบาท เมื่อสิ้น ก.ย. 2548 คิดเป็นเม็ดเงินขาดทุน 23.3 ล้านบาท
รองลงมา "หุ้น MLINK" ปัจจุบันบริษัทถือหุ้นอยู่จำนวนประมาณ 2,210,000 หุ้น มีต้นทุนเฉลี่ยที่ 3.58 บาท แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงเหลือเพียง 2.40 บาท หรือมีมูลค่าลงทุนรวม 5.3 ล้านบาท ทำให้เกิดผลขาดทุน 2.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น -32.96%
นอกจากนั้น บริษัทยังมีผลขาดทุนใน "หุ้น TPIPL" เป็นเม็ดเงิน 1.053 ล้านบาท หรือคิดเป็น -21.16% จากที่ถือหุ้นอยู่จำนวนประมาณ 161,000 หุ้น ราคาเฉลี่ย 30.82 บาท ล่าสุดราคาหุ้นเหลือ 24.30 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 3.92 ล้านบาท
รวมถึงมีผลขาดทุนใน "หุ้น TTA" ซึ่งราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาโดยตลอด ที.เค.เอส. ถือหุ้นตัวนี้ในพอร์ตจำนวนประมาณ 128,000 หุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 29.93 บาท แต่ราคาหุ้นล่าสุดได้ปรับลงมาอยู่ที่ 26 บาท จึงทำให้เกิดผลขาดทุน 5 แสนบาท หรือมีมูลค่าลงทุน 3.35 ล้านบาท จากสิ้นกันยายน 2548 มูลค่าลงทุนอยู่ที่ 3.85 ล้านบาท ขาดทุน -13.13%
ด้าน "หุ้น MSC" พอร์ตลงทุนมีผลขาดทุนเพียงเล็กน้อย -5.69% จากที่ถือหุ้นอยู่จำนวนประมาณ 2,410,000 หุ้น ที่ราคา 2.99 บาท ล่าสุดราคาลดลงเหลือ 2.82 บาท ขาดทุน 4 แสนบาท มูลค่าหุ้นลดลงเหลือ 6.8 ล้านบาท
ส่วนหุ้นแบงก์ในพอร์ต อาทิ "หุ้น BAY" มีผลขาดทุน -2.47% บริษัทถือหุ้นตัวนี้อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 574,000 หุ้น ต้นทุน 15.79 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 8.84 ล้านบาท
ขณะที่หุ้นที่สร้างผลตอบแทนให้แก่พอร์ตลงทุนโดดเด่น และเป็นหุ้นเพียงตัวเดียวที่ "ทำกำไร" คือ "หุ้น SCIB" ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 98% ในจำนวนหุ้นที่ถือหุ้นอยู่ประมาณ 210,000 หุ้น มีต้นทุนที่ 12.58 บาท ล่าสุดราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นที่ 24.90 บาท ทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 5.26 ล้านบาท จาก 2.66 ล้านบาท เมื่อสิ้น กันยายน 2548
"วีระชัย ศรีขจร" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ว่า หลังจากที่บริษัทมีนโยบายเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อปี 2546 จนถึงปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของบริษัทก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวหุ้น เพื่อการเก็งกำไร หรือมีการซื้อเพิ่มเข้ามาแต่อย่างไร เนื่องจากบริษัทมีนโยบายลงทุนในระยะยาว
"หุ้นหลายตัวอย่าง SVOA หรือ MSC เราลงทุนหลังเข้าตลาดหุ้นราว 2 ปีมาแล้ว ยกเว้นหุ้นนอกตลาดอย่าง "ไทยบริติช ซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง" (ถือหุ้น 19.97%) ที่ลงทุนมา 3-4 ปี ซึ่งหุ้นดังกล่าวเป็นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจไอที ที่เราทำอยู่ ส่วนการที่ราคาหุ้นในพอร์ต มีการปรับตัวลดลง และมีผลขาดทุน ก็เป็นการรับรู้ตามราคาตลาดเท่านั้น"
สำรวจพอร์ตหุ้น "ที.เค.เอส.เทคโนโลยี" พบขาดทุนหุ้นระนาว ผู้บริหาร ชี้แจง เป็นการลงทุนระยะยาวไม่ได้มุ่งเก็งกำไร เผยแผนปี 2549 เน้นเพิ่มมาร์จินในธุรกิจงานพิมพ์ และไอที ตั้งเป้า "ยอดขาย" เติบโต 15% ขณะที่ปัญหาหนี้เสีย ตั้งสำรองหมดแล้ว
"บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี"(TKS) เป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่มีพอร์ตเงินลงทุนอยู่ในตลาดหุ้น และที่ผ่านมาการลงทุนของบริษัทไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ขณะที่ธุรกิจงานพิมพ์ และไอที ก็อยู่ในภาวะการแข่งขันที่สูง
ที.เค.เอส. เริ่มมีนโยบายเข้าลงทุนในตลาดหุ้น ตั้งแต่หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปี 2546 โดยปัจจุบันมีหุ้นที่อยู่ในพอร์ตลงทุนของบริษัทรวม 7 บริษัท ประกอบด้วย หุ้นเอสวีโอเอ (SVOA), เมโทรซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น (MSC), ทีพีไอ โพลีน (TPIPL), ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY), เอ็ม ลิ้งค์ คอร์ปอเรชั่น (MLINK) และ โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA)
จากการสำรวจพอร์ตลงทุนของบริษัท ณ วันที่ 17 มกราคม 2549 พบว่า หุ้นในพอร์ตเกือบทุกตัวให้ผลตอบแทน "ติดลบ" หรือ "ขาดทุน" ทางบัญชี (บริษัทยังไม่ได้ขายหุ้นออก) ถึง 25.5 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทน -36.75%
โดยเฉพะ "หุ้น SVOA" ที่สร้างผลขาดทุนให้แก่บริษัทมากที่สุดถึง 69% จากจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด 10 ล้านหุ้น ที่ต้นทุนเฉลี่ย 3.37 บาท แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงเหลือเพียง 1.04 บาท จึงทำให้พอร์ตของ ที.เค.เอส. มีมูลค่าเงินลงทุนเหลือเพียง 10.4 ล้านบาท จาก 33.7 ล้านบาท เมื่อสิ้น ก.ย. 2548 คิดเป็นเม็ดเงินขาดทุน 23.3 ล้านบาท
รองลงมา "หุ้น MLINK" ปัจจุบันบริษัทถือหุ้นอยู่จำนวนประมาณ 2,210,000 หุ้น มีต้นทุนเฉลี่ยที่ 3.58 บาท แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงเหลือเพียง 2.40 บาท หรือมีมูลค่าลงทุนรวม 5.3 ล้านบาท ทำให้เกิดผลขาดทุน 2.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น -32.96%
นอกจากนั้น บริษัทยังมีผลขาดทุนใน "หุ้น TPIPL" เป็นเม็ดเงิน 1.053 ล้านบาท หรือคิดเป็น -21.16% จากที่ถือหุ้นอยู่จำนวนประมาณ 161,000 หุ้น ราคาเฉลี่ย 30.82 บาท ล่าสุดราคาหุ้นเหลือ 24.30 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 3.92 ล้านบาท
รวมถึงมีผลขาดทุนใน "หุ้น TTA" ซึ่งราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาโดยตลอด ที.เค.เอส. ถือหุ้นตัวนี้ในพอร์ตจำนวนประมาณ 128,000 หุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 29.93 บาท แต่ราคาหุ้นล่าสุดได้ปรับลงมาอยู่ที่ 26 บาท จึงทำให้เกิดผลขาดทุน 5 แสนบาท หรือมีมูลค่าลงทุน 3.35 ล้านบาท จากสิ้นกันยายน 2548 มูลค่าลงทุนอยู่ที่ 3.85 ล้านบาท ขาดทุน -13.13%
ด้าน "หุ้น MSC" พอร์ตลงทุนมีผลขาดทุนเพียงเล็กน้อย -5.69% จากที่ถือหุ้นอยู่จำนวนประมาณ 2,410,000 หุ้น ที่ราคา 2.99 บาท ล่าสุดราคาลดลงเหลือ 2.82 บาท ขาดทุน 4 แสนบาท มูลค่าหุ้นลดลงเหลือ 6.8 ล้านบาท
ส่วนหุ้นแบงก์ในพอร์ต อาทิ "หุ้น BAY" มีผลขาดทุน -2.47% บริษัทถือหุ้นตัวนี้อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 574,000 หุ้น ต้นทุน 15.79 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 8.84 ล้านบาท
ขณะที่หุ้นที่สร้างผลตอบแทนให้แก่พอร์ตลงทุนโดดเด่น และเป็นหุ้นเพียงตัวเดียวที่ "ทำกำไร" คือ "หุ้น SCIB" ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 98% ในจำนวนหุ้นที่ถือหุ้นอยู่ประมาณ 210,000 หุ้น มีต้นทุนที่ 12.58 บาท ล่าสุดราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นที่ 24.90 บาท ทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 5.26 ล้านบาท จาก 2.66 ล้านบาท เมื่อสิ้น กันยายน 2548
"วีระชัย ศรีขจร" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ว่า หลังจากที่บริษัทมีนโยบายเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อปี 2546 จนถึงปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของบริษัทก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวหุ้น เพื่อการเก็งกำไร หรือมีการซื้อเพิ่มเข้ามาแต่อย่างไร เนื่องจากบริษัทมีนโยบายลงทุนในระยะยาว
"หุ้นหลายตัวอย่าง SVOA หรือ MSC เราลงทุนหลังเข้าตลาดหุ้นราว 2 ปีมาแล้ว ยกเว้นหุ้นนอกตลาดอย่าง "ไทยบริติช ซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง" (ถือหุ้น 19.97%) ที่ลงทุนมา 3-4 ปี ซึ่งหุ้นดังกล่าวเป็นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจไอที ที่เราทำอยู่ ส่วนการที่ราคาหุ้นในพอร์ต มีการปรับตัวลดลง และมีผลขาดทุน ก็เป็นการรับรู้ตามราคาตลาดเท่านั้น"
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
ลุงขวด,คุณปรัชญา หรือท่านอื่นที่ถือ tks ค่ะ ขอสอบถามค่ะ
โพสต์ที่ 14
แวะมาตอบพี่จวบครับประจวบ เขียน:ชักสงสัยซะแล้วว่า
tksเค้าทำธุรกิจหลักอะไรกันแน่
แต่ที่แน่ๆ.......
ขออยู่ห่างไกลๆ
TKS ก็นำเงินสะสมของบริษัทมาลงทุนในหุ้นเหมือนหลายบริาัทในตลาด
TKS ก็ผลิตกระดาษ ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ผลิตแสตมป์เป็นธุรกิจต้นน้ำกับปลายน้ำ
พี่จวบก็ถือหุนบริษัทแสตมป์นี่ครับ
FE
เป็นบริษัทโฆษณา ก็เป็นต้นน้ำถือบริษัทปลายน้ำเหมือนกัน
คือถือหุ้นของเนชั่น เพราะไปซื้อช่วงเวลาโฆษณาทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์
ถือหุ้นมีสทิน ICC SPC SPI และอื่นๆ
ไว้รับทำโฆษณา
ที่ผมมองข้อมูลข้างบนที่มาแป่ะเพราะเหตุผลว่า...
ถ้าคนอ่านแล้วเข้าใจผิด จะเป็นการปล่อยข่าว
เกิดคนถือหุ้นTKS มาอ่านแล้วขายหุ้นทิ้ง
แล้วมาทราบตอนหลังว่าเป็นข่าวเมื่อ6เดือนก่อน
ทางเวป เป็นแหล่งที่ถูกปล่อยข่าว มันจะเสียกันหมด
เรื่องจะซื้อหรืออยู่ห่างๆก็แล้วแต่จะพิจารณาของแต่ละคนกันล่ะครับ
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
ลุงขวด,คุณปรัชญา หรือท่านอื่นที่ถือ tks ค่ะ ขอสอบถามค่ะ
โพสต์ที่ 15
ข้อมูล
ที.เค.เอส. เริ่มมีนโยบายเข้าลงทุนในตลาดหุ้น ตั้งแต่หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปี 2546 โดยปัจจุบันมีหุ้นที่อยู่ในพอร์ตลงทุนของบริษัทรวม 7 บริษัท ประกอบด้วย
หุ้นเอสวีโอเอ (SVOA), ราคาทุน 3.37บาท/หุ้น(ปันผล 0.06บาท/หุ้น)
เมโทรซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น (MSC), ราคาทุน 2.99บาท/หุ้น(ปันผล0.24บาท/หุ้น)
ทีพีไอ โพลีน (TPIPL), ราคาทุน 30.42บาท/หุ้น
ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB), ราคาทุน 12.58บาท/หุ้น(ปันผล1.40บาท/หุ้น)
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY), ราคาทุน15.79บาท/หุ้น(ปันผล2รอบครั้งละ0.40บาท/หุ้น)
เอ็ม ลิ้งค์ คอร์ปอเรชั่น (MLINK) ราคาทุน3.58บาท/หุ้น(ปันผล0.05บาท/หุ้น)
และ โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) ราคาทุน 29.93บาท/หุ้น
(ปันผลระหว่างกาล หุ้นละ 0.65 บาท ที่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 เวลา 12.00 น. และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2549)
ราคาปิดของหุ้น
SVOA ราคาปิด 1.16บาท/หุ้น
MSC ราคาปิด 3.80บาท/หุ้น
TPIPL ราคาปิด 13.50บาท/หุ้น
SCIB ราคาปิด 19.30บาท/หุ้น
BAY ราคาปิด 16.70บาท/หุ้น
MLINK ราคาปิด 2.80บาทต่อหุ้น
TTA ราคาปิด 17.30บาท/หุ้น
ส่วนเงินปันผลรับเดือน พค.นี้ คงจะลงผลประกอบการไตรมาส2
กี่บาทผมคงไม่ได้รวบรวมมาให้ดู ขาดทุนทางบัญชี กำไรเงินปันผลทางบัญชี
คงยกให้ผู้ถือหุ้นคิดกันเอาเองแล้วกันครับ
เพียงแต่เกรงว่าคสอ่านจะเข้าใจผิดเท่านั้น
ไม่ได้ถือหุ้นTKS ก็เลยมีข้อมูลน้อยครับไม่ค่อยได้ตาม
ที.เค.เอส. เริ่มมีนโยบายเข้าลงทุนในตลาดหุ้น ตั้งแต่หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปี 2546 โดยปัจจุบันมีหุ้นที่อยู่ในพอร์ตลงทุนของบริษัทรวม 7 บริษัท ประกอบด้วย
หุ้นเอสวีโอเอ (SVOA), ราคาทุน 3.37บาท/หุ้น(ปันผล 0.06บาท/หุ้น)
เมโทรซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น (MSC), ราคาทุน 2.99บาท/หุ้น(ปันผล0.24บาท/หุ้น)
ทีพีไอ โพลีน (TPIPL), ราคาทุน 30.42บาท/หุ้น
ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB), ราคาทุน 12.58บาท/หุ้น(ปันผล1.40บาท/หุ้น)
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY), ราคาทุน15.79บาท/หุ้น(ปันผล2รอบครั้งละ0.40บาท/หุ้น)
เอ็ม ลิ้งค์ คอร์ปอเรชั่น (MLINK) ราคาทุน3.58บาท/หุ้น(ปันผล0.05บาท/หุ้น)
และ โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) ราคาทุน 29.93บาท/หุ้น
(ปันผลระหว่างกาล หุ้นละ 0.65 บาท ที่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 เวลา 12.00 น. และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2549)
ราคาปิดของหุ้น
SVOA ราคาปิด 1.16บาท/หุ้น
MSC ราคาปิด 3.80บาท/หุ้น
TPIPL ราคาปิด 13.50บาท/หุ้น
SCIB ราคาปิด 19.30บาท/หุ้น
BAY ราคาปิด 16.70บาท/หุ้น
MLINK ราคาปิด 2.80บาทต่อหุ้น
TTA ราคาปิด 17.30บาท/หุ้น
ส่วนเงินปันผลรับเดือน พค.นี้ คงจะลงผลประกอบการไตรมาส2
กี่บาทผมคงไม่ได้รวบรวมมาให้ดู ขาดทุนทางบัญชี กำไรเงินปันผลทางบัญชี
คงยกให้ผู้ถือหุ้นคิดกันเอาเองแล้วกันครับ
เพียงแต่เกรงว่าคสอ่านจะเข้าใจผิดเท่านั้น
ไม่ได้ถือหุ้นTKS ก็เลยมีข้อมูลน้อยครับไม่ค่อยได้ตาม
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
ลุงขวด,คุณปรัชญา หรือท่านอื่นที่ถือ tks ค่ะ ขอสอบถามค่ะ
โพสต์ที่ 16
ในการประชุมใหญ่คราวที่ผ่านมา ผมเป็นผู้ถามเรื่องการลงทุนในหุ้นต่าง ๆ ซึ่งประธานบอกว่าเป็นการลงทุนนานแล้วส่วนใหญ่จะลงทุนในหุ้นที่มีธุรกิจเกี่ยวพันธ์ กัน....ตอนนี้ไม่ลงทุนในหุ้นแล้ว รอแต่จะขายอย่างเดียว เน้น ธุรกิจหลักเป็นเกณฑ์อยู่แล้ว.... ส่วนการรับรู้ผลการขาดทุนน่าจะไปปรับอยู่ในส่วนของผู้ถือหุ้นหมดแล้ว.....จึงน่าจะสบายใจไปส่วนหนึ่ง ลองตามกันดูนะครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่