ความโลภ VS ความกลัว
-
- Verified User
- โพสต์: 56
- ผู้ติดตาม: 0
ความโลภ VS ความกลัว
โพสต์ที่ 1
หุ้นลง --->> หุ้นหยุดลงก็ต่อเมื่อผู้ขายหยุดขาย (เจ้ามือหรือต่างชาติ) ไม่ใช่ผู้ซื้อพยายามซื้อให้ชนะผู้ขาย(ติดดอย)
เพราะผมยังไม่เคยเห็นผู้ซื้อจะเคยซื้อชนะผู้ขายซักที
หุ้นขึ้น--->>หุ้นหยุดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ซื้อหยุดซื้อ(ที่มิใช่รายย่อย(ยับ)) ไม่ใช่ผู้ขายพยายามขายให้ชนะผู้ซื้อ(ขายหมู)
เช่นกัน ผมก็ยังไม่เคยเห็นผู้ขายชนะผู้ที่มาไล่ราคาซักที
อยากให้ชาว VI บริหารความโลภ & ความกลัวกันมั่งครับ ในอนาคตถ้าเจอช่วง Panic แรงๆจะได้ปรับตัวได้
1. ราคาหุ้นขึ้นมาแพงมากกว่า สินทรัพย์หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด
จากที่อ่านหนังสือของพี่เว็บแปลมา ส่วนใหญ่ลุงบัฟซื้อแต่หุ้นที่ราคาต่ำกว่ากำไรสะสมและมีการเติบโตของกำไรดี แต่บริษัทในไทยไม่เหมือน USA จะให้เติบโตได้นานๆ(10 ปีขึ้น)หาและคาดเดายากมากยิ่งกว่าดูเทคนิคคอล อย่าคิดว่าบริษัทกิจการยังดีอยู่ พื้นฐานยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้ารายได้ กำไร มีแนวโน้มหดตัวซึ่งจะมีผลต่อราคาหุ้นลดต่ำลง ถ้ามัวแต่รอดูผลประกอบการรายไตรมาสผมว่าเป็นการไม่ฉลาดนัก แน่นอนครับส่วนใหญ่จะลืมดูว่าราคามันขึ้นมาขนาดไหนแล้ว(Overvalue) หุ้นตอนราคาสูงถ้าไม่มีผู้ซื้อต่อ(ไม่มี new high) ราคามันจะไปต่อได้ยังไง มันก็ต้องร่วงสิครับ ซื้อคืนตอนร่วงไม่ดีกว่าหรือครับ?
2.จากข้อ 1. พอร์ตหุ้นเราใหญ่ขนาดจำเป็นต้องถือยาวแบบลุงบัฟด้วยหรือครับ(แต่ยกเว้นถ้าถือหุ้นบริษัทละหลักสิบล้านบาทขึ้นไปครับ เช่น Pb S&P บวกกับสภาพคล่องต่ำ) หุ้น VI หลายตัวขึ้นไปพีคตอนต้นปี 2547 ณ ตอนนี้ราคายังต่ำกว่าตอนนั้นหลาย %
3.ขอบข่ายของความรอบรู้ แน่นอนในแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เมื่อเวลาผ่านไปก็ย่อมได้เรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มขึ้น จนมีการตกผลึกทางความคิดออกมาเป็นแนวทางวิธีการและกลยุทธ์ในการลงทุนของตนเองออกมาได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ตกผลึกทางความคิดอย่างแท้จริงก็ต้องเรียนรู้ต่อไป อย่าติเตียนความคิด วิธีการกลยุทธ์ของผู้อื่นเพราะว่าตนเลียนแบบแล้วไม่ได้ผล (ก็เราเลียนแบบ ไม่ใช่เจ้าของความคิด) แต่ผมยังไม่ถึงขั้นตกผลึกต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ผมมีความฝันอยากตั้งบริษัทเพื่อการลงทุนกับญาติพี่น้องหรือคนในท้องที่จังหวัดผมแบบลุงบัฟถ้าผมไม่ตายซะก่อน
4.อดทนรออย่างใจเย็น เพื่อรอหุ้นกิจการดีในราคาที่เหมาะสม เวลาจบคลื่น 5 ของหุ้นตัวนั้นลง Panic ทุกครั้ง ยกเว้นหุ้น VI ที่ขาดสภาพคล่องมากๆ จะลงไม่มาก (ราคา Retrace แค่ 23%หรือ...)กลยุทธ์สำคัญคือ รอ...รอ...รอ... (ช่วงนี้หุ้นลงหนักอากู๋ผมชอบมาถามให้ดูเทคนิคคอลหน่อยว่า หุ้นตัวนี้เข้าได้ยัง ผมบอกแค่ว่ารอก่อน รอก่อน อย่าลืมดู!ผู้ขายหยุดขายหรือยัง เอิ๊กๆ)
5.หุ้นลงแรง ไม่ต้องกลัวว่าจะซื้อไม่ได้ อย่าลืมครับ หุ้นหยุดลงก็ต่อเมื่อผู้ขายหยุดขายครับ ลึกกว่านี้ขออุ๊บไว้
6.ควรรู้เทคนิคคอลไว้บ้างครับ อันนี้ก็แล้วแต่ถนัด สำหรับคนที่เคยเรียนสายวิทย์และวิศวะวิชาแคลคูลัสยากกว่าเทคนิคอลเยอะยังเรียนกันรู้เรื่อง ที่ไม่เกตเรื่องเทคนิคอลเพราะจับทางไม่ถูก ดู indicator แยกเป็นตัวๆแบบดูงบการเงินแยกส่วนไม่ดูความสัมพันธ์ของทั้งสามงบและหมายเหตุประกอบงบการเงิน(ถามจริงอันนี้มีกี่คนที่อ่านกัน)
7.ไม่มีความคิด วิธีการ กลยุทธ์ใดดีที่สุด เพราะเราเลือกลงทุนในตัวหุ้นที่ต่างกัน ถึงเหมือนกันก็ซื้อในราคาที่ต่างกันและจำนวนหุ้นต่างกันอยู่ดี อีกอย่างก็ขายในราคาที่ต่างกันอีก แต่มันอยู่ที่เราจะสามารถหยิบฉวยสิ่งต่างๆที่ได้เรียนรู้ในแต่ละวันไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองกี่มากน้อยต่างหากนะผมว่า
ไว้ว่างๆจะมาโพสอีก ขี้เกียจพิมพ์กับมานั่งเรียบเรียงความคิดครับ
เพราะผมยังไม่เคยเห็นผู้ซื้อจะเคยซื้อชนะผู้ขายซักที
หุ้นขึ้น--->>หุ้นหยุดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ซื้อหยุดซื้อ(ที่มิใช่รายย่อย(ยับ)) ไม่ใช่ผู้ขายพยายามขายให้ชนะผู้ซื้อ(ขายหมู)
เช่นกัน ผมก็ยังไม่เคยเห็นผู้ขายชนะผู้ที่มาไล่ราคาซักที
อยากให้ชาว VI บริหารความโลภ & ความกลัวกันมั่งครับ ในอนาคตถ้าเจอช่วง Panic แรงๆจะได้ปรับตัวได้
1. ราคาหุ้นขึ้นมาแพงมากกว่า สินทรัพย์หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด
จากที่อ่านหนังสือของพี่เว็บแปลมา ส่วนใหญ่ลุงบัฟซื้อแต่หุ้นที่ราคาต่ำกว่ากำไรสะสมและมีการเติบโตของกำไรดี แต่บริษัทในไทยไม่เหมือน USA จะให้เติบโตได้นานๆ(10 ปีขึ้น)หาและคาดเดายากมากยิ่งกว่าดูเทคนิคคอล อย่าคิดว่าบริษัทกิจการยังดีอยู่ พื้นฐานยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้ารายได้ กำไร มีแนวโน้มหดตัวซึ่งจะมีผลต่อราคาหุ้นลดต่ำลง ถ้ามัวแต่รอดูผลประกอบการรายไตรมาสผมว่าเป็นการไม่ฉลาดนัก แน่นอนครับส่วนใหญ่จะลืมดูว่าราคามันขึ้นมาขนาดไหนแล้ว(Overvalue) หุ้นตอนราคาสูงถ้าไม่มีผู้ซื้อต่อ(ไม่มี new high) ราคามันจะไปต่อได้ยังไง มันก็ต้องร่วงสิครับ ซื้อคืนตอนร่วงไม่ดีกว่าหรือครับ?
2.จากข้อ 1. พอร์ตหุ้นเราใหญ่ขนาดจำเป็นต้องถือยาวแบบลุงบัฟด้วยหรือครับ(แต่ยกเว้นถ้าถือหุ้นบริษัทละหลักสิบล้านบาทขึ้นไปครับ เช่น Pb S&P บวกกับสภาพคล่องต่ำ) หุ้น VI หลายตัวขึ้นไปพีคตอนต้นปี 2547 ณ ตอนนี้ราคายังต่ำกว่าตอนนั้นหลาย %
3.ขอบข่ายของความรอบรู้ แน่นอนในแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เมื่อเวลาผ่านไปก็ย่อมได้เรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มขึ้น จนมีการตกผลึกทางความคิดออกมาเป็นแนวทางวิธีการและกลยุทธ์ในการลงทุนของตนเองออกมาได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ตกผลึกทางความคิดอย่างแท้จริงก็ต้องเรียนรู้ต่อไป อย่าติเตียนความคิด วิธีการกลยุทธ์ของผู้อื่นเพราะว่าตนเลียนแบบแล้วไม่ได้ผล (ก็เราเลียนแบบ ไม่ใช่เจ้าของความคิด) แต่ผมยังไม่ถึงขั้นตกผลึกต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ผมมีความฝันอยากตั้งบริษัทเพื่อการลงทุนกับญาติพี่น้องหรือคนในท้องที่จังหวัดผมแบบลุงบัฟถ้าผมไม่ตายซะก่อน
4.อดทนรออย่างใจเย็น เพื่อรอหุ้นกิจการดีในราคาที่เหมาะสม เวลาจบคลื่น 5 ของหุ้นตัวนั้นลง Panic ทุกครั้ง ยกเว้นหุ้น VI ที่ขาดสภาพคล่องมากๆ จะลงไม่มาก (ราคา Retrace แค่ 23%หรือ...)กลยุทธ์สำคัญคือ รอ...รอ...รอ... (ช่วงนี้หุ้นลงหนักอากู๋ผมชอบมาถามให้ดูเทคนิคคอลหน่อยว่า หุ้นตัวนี้เข้าได้ยัง ผมบอกแค่ว่ารอก่อน รอก่อน อย่าลืมดู!ผู้ขายหยุดขายหรือยัง เอิ๊กๆ)
5.หุ้นลงแรง ไม่ต้องกลัวว่าจะซื้อไม่ได้ อย่าลืมครับ หุ้นหยุดลงก็ต่อเมื่อผู้ขายหยุดขายครับ ลึกกว่านี้ขออุ๊บไว้
6.ควรรู้เทคนิคคอลไว้บ้างครับ อันนี้ก็แล้วแต่ถนัด สำหรับคนที่เคยเรียนสายวิทย์และวิศวะวิชาแคลคูลัสยากกว่าเทคนิคอลเยอะยังเรียนกันรู้เรื่อง ที่ไม่เกตเรื่องเทคนิคอลเพราะจับทางไม่ถูก ดู indicator แยกเป็นตัวๆแบบดูงบการเงินแยกส่วนไม่ดูความสัมพันธ์ของทั้งสามงบและหมายเหตุประกอบงบการเงิน(ถามจริงอันนี้มีกี่คนที่อ่านกัน)
7.ไม่มีความคิด วิธีการ กลยุทธ์ใดดีที่สุด เพราะเราเลือกลงทุนในตัวหุ้นที่ต่างกัน ถึงเหมือนกันก็ซื้อในราคาที่ต่างกันและจำนวนหุ้นต่างกันอยู่ดี อีกอย่างก็ขายในราคาที่ต่างกันอีก แต่มันอยู่ที่เราจะสามารถหยิบฉวยสิ่งต่างๆที่ได้เรียนรู้ในแต่ละวันไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองกี่มากน้อยต่างหากนะผมว่า
ไว้ว่างๆจะมาโพสอีก ขี้เกียจพิมพ์กับมานั่งเรียบเรียงความคิดครับ
- BOONPARUEY
- Verified User
- โพสต์: 184
- ผู้ติดตาม: 0
ความโลภ VS ความกลัว
โพสต์ที่ 6
... :cheers: ...
... " บุญ คือ เสบียงของคนไม่ประมาท " พุทธตรัส ...