Auntie Anne VS Roti Boy
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 5
ผมเดาเอาว่ามี 2 ส่วนครับwoody เขียน:อืมม พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ คิดว่าอะไรที่ทำให้สินค้าตัวหนึ่งมันเป็น trend อีกตัวหนึ่งมันกลายเป็นแค่ Fashion ครับ
1. การ Position ตัวเองในตลาด ตัวนึง Position เป็นสินค้า อีกตัว Position เป็น Fashion ...
2. เรื่องผลิตภัณฑ์ครับ โฆษณาจะดึงดูดคนมาครั้งแรก แต่คนจะมาครั้งที่ 2 หรือไม่ ก็อยู่ที่สิ่งที่เค้าได้เสพ ไปในครั้งแรก
สำหรับผม ผมก็ยังกิน RotiBoy อยู่นานๆครั้งนะครับ จะว่าไปหลังๆผมกิน Aunti Anne ไม่ได้มากกว่ากิน RotiBoy นะ
แต่ถ้าให้ผมฟันธงนะ จริงๆ ผลิตภัณฑ์ ทั้งสองตัวนี้มันมีคนกินครับ แต่ว่า RotiBoy มันเหมือนหุ้นที่ปั่นขึ้นไปจน PE 40-50 แล้ว มันก็ลงมาสู่มูลค่าที่แท้จริง ส่วน Auntie Anne เหมือนหุ้น PE 12-15 คือ มันก็อยู่ของมันแบบนี้
แล้วพอ RotiBoy ตกเข้าสู่มูลค่าที่แท้จริง คนก็บอกเฮ้ย ทำไม RotiBoy คนเลิกกินเร็วจัง จริงๆ ผมยังเห็นคนกินอยู่นะครับ เพียงแต่ มันลงมา PE 12-15 ของมันแค่นั้นเอง
ส่วนอนาคต ถ้า RotiBoy เลิกทำธุรกิจแบบปั่น หันมาออก Products เรียกลูกค้ามากขึ้น ผมว่าทั้ง RotiBoy กับ Auntie Anne ก็คงเหมือนๆกันครับ
ปล. ความเห็นส่วนตัวครับ
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 216
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 6
โค้ด: เลือกทั้งหมด
สินค้าแฟชั่น
คอลัมน์ market-think
โดย สรกล อดุลยานนท์
ครั้งหนึ่งเมื่อ "ชานมไข่มุก" กำลังมาแรง ลูกน้องหลายคนพยายามคะยั้นคะยอให้ "ตัน ภาสกรนที" หรือ "ตัน โออิชิ" ลงทุนทำ "ชานมไข่มุก"
แต่ "ตัน" ปฏิเสธ
เหตุผลก็คือ เขาเชื่อว่า "ชานมไข่มุก" เป็น "สินค้าแฟชั่น"
หลักการลงทุนของ "ตัน" คือจะไม่ลงทุนในธุรกิจที่เป็นแฟชั่น
ประเภทที่ได้รับความนิยมชั่วครั้งชั่วคราวไม่ใช่สินค้าที่ขายระยะยาวเป็นการถาวร
แบบนี้ "ตัน" ไม่สนใจ
หลักการตรวจสอบว่าสินค้าอะไรเป็นสินค้าแฟชั่นหรือสินค้าถาวร ของ "ตัน" มีอยู่ 2 อย่าง
ข้อแรก พิจารณาจาก "รสชาติ" ถ้าอร่อยมาก อร่อยสุดๆ
โอกาสที่จะเป็น "สินค้าแฟชั่น" สูงมาก
เพราะอาหารที่อร่อยมากๆ มักจะมีรสเข้มข้น
กินอะไรรสเข้มข้นมากๆ ไม่นานก็จะเบื่อ
ไม่เหมือนอาหารหรือเครื่องดื่มที่รสชาติไม่เข้มข้นมากนัก เจือหวาน เจือเค็มนิดๆ
พวกนี้กินได้นาน ไม่เบื่อง่าย
สังเกตไหมครับว่า "โออิชิ กรีนที" รสชาติจะไม่เข้มข้นมาก
"อะมิโน โอเค" หรือน้ำลำไย ตรา "ดีไทย" ก็ไม่หวานจัด
เพราะ "ตัน" ต้องการให้คนดื่มได้บ่อยๆ ไม่เบื่อง่าย
ข้อที่ 2 "ตัน" จะหาข้อมูลจากประเทศต่างๆ ใกล้บ้านเรา
ถ้าเครื่องดื่มประเภทใดได้รับความนิยมเป็นระยะเวลายาวนาน
ขายมา 5 ปี 10 ปีแล้วยังขายดีอยู่
แสดงว่าเครื่องดื่มประเภทนี้มีโอกาสที่จะเป็น "สินค้าถาวร" ไม่ใช่ "สินค้าแฟชั่น"
เหมาะสมกับการลงทุน
การลงทุนใหญ่ในธุรกิจ "ชาเขียว" ของ "ตัน" ในอดีตก็เกิดจากการหาข้อมูลจากประเทศในแถบเอเชีย
ทั้งญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์
เครื่องดื่มชาเขียวได้รับความนิยมสูงมากเป็นเวลายาวนาน
"โออิชิ กรีนที" จึงกำเนิดขึ้น
ช่วงหลังๆ ผมนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีศาลาแดง ถนนสีลมบ่อยมากทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของร้านโรตีบอยที่ผมเคยเขียนถึงมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
ตอนนั้นคนที่ยืนต่อแถวซื้อ "โรตีบอย" ยาวเหยียด
ไม่ต่ำกว่า 30 คน
เห็นความยาวของขบวน "โรตีบอย" แล้วได้แต่ถอดใจทุกครั้งไป
แต่วันนี้ขบวน "โรตีบอย" หดสั้นลงเหลือเพียงแค่ 4-5 คน
แถมในซอยใกล้ๆ กันมีร้านมาเปิดใหม่
ชื่อว่า "ปาป้า โรตี"
ขนมแบบเดียวกันเลยครับ
ถ้ามี "มาม่า โรตี-ซิสเตอร์โรตี-อังเคิล โรตี ฯลฯ" ก็ครบถ้วนวงศาคณาญาติ "โรตี" พอดี
เห็นคิวที่หดสั้นลงของ "โรตีบอย" แล้วนึกถึงคำพูดของ "ตัน"
ผมเคยคุยกับเขาเรื่องกระแสความนิยมใน "โรตีบอย"
"ตัน" ให้ความเห็นว่า "โรตีบอย" น่าจะเป็นสินค้าแฟชั่น
ด้วย 2 เหตุผล
1.รสชาติอร่อยเกินไป กินไม่นานก็เบื่อ
สินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ดีในมุมมองของ "ตัน" ลูกค้าต้องบริโภคซ้ำๆ ได้โดยไม่เบื่อ
2.ประวัติศาสตร์ "โรตีบอย" ในประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย สิงคโปร์ หรืออินโดนีเซีย จะบูมอยู่พักหนึ่งแล้วยอดขายก็จะตกลง
ถึงวันนี้ผมยอมรับว่า "ตัน" มองถูก
เพราะคิวที่หดสั้นลงนั้นทำให้ยอดขายต่อคนลดลงด้วย
มันเป็นเรื่อง "จิตวิทยา" ครับ
นึกดูสิครับตอนที่เราเห็นคนต่อคิวยาวเหยียด เราจะเกิดความสนใจว่าขนมอะไรทำไมคนถึงต่อคิวเยอะขนาดนี้
และอยากชิมว่าอร่อยจริงหรือเปล่า
นอกจากนั้น ด้วยความยากของการเข้าถึงทำ ให้ "โรตีบอย" มีสถานะเป็น "ของฝาก" ที่มีมูลค่าทางใจ
แม้จะมีราคาแค่ 20-25 บาทก็ตาม แต่คนที่ได้รับส่วนใหญ่จะชอบ
"ความยาก" มี "ราคา"
เมื่อต้องต่อคิวนานกว่าจะได้กิน และยังสามารถซื้อไปฝากเพื่อนๆ ได้
แต่ละคนที่ซื้อจึงซื้อกันคนละ 10-20 ชิ้น
อัตราการซื้อต่อคนของ "โรตีบอย" เมื่อ 4-5 เดือนก่อนจึงสูงมาก
แต่พอถึงวันนี้คนต่อคิวน้อยลง และคนส่วนใหญ่ได้ทดลองลิ้มรสชาติ "โรตีบอย" ไปแล้ว
ไม่ใช่ของแปลกเหมือนในอดีต
คนที่ซื้อก็รู้สึกว่าอยากกินเมื่อไรก็ซื้อได้ ไม่ต้องสต๊อกและไม่ต้องฝากใคร
อัตราการซื้อต่อคนก็ย่อมลดลง
ทำให้ยอดขายของ "โรตีบอย" ช่วงนี้คงเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรคงต้องติดตามกันต่อไป
ติดตามทั้งอนาคตของตัว "โรตีบอย" เอง
และติดตามว่าจะมีญาติฝ่ายไหนของ "โรตี" พาเหรดเข้ามาในเมืองไทยบ้าง
ปรากฏการณ์ "โรตีบอย" ครั้งนี้มีคนถามว่า "ใครเจ็บตัวที่สุด" รู้ไหมครับว่าใคร
"บอย" ครับ
เพราะเขาเป็นคนถูก "โร" ตี
[code]
-
- Verified User
- โพสต์: 412
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 7
เรื่องนึงผมว่ากระแสนะ
ขนมอย่างอย่าง Rotiboy คนน่าจะรู้จักเยอะกว่า
กลุ่มลูกค้ามากกว่า ดึงดูดให้คนซื้อได้ง่ายกว่า
แต่ brand จะไม่โดดเด่นเพราะมีที่ทำเหมือนกันเยอะ
ส่วน auntie ลูกค้าจะเฉพาะกลุ่มกว่านะ
ถ้า auntie สร้างกระแสได้คนน่าจะกินเยอะๆได้เช่นกัน
จะบอกว่าเป็นแค่ Fashion หรือไม่ ผมคิดว่ายังตัดสินไม่ได้
แข่งกันเยอะๆ เดี๋ยวก็คงเหลืออยู่ไม่กี่เจ้าครับ
ขนมอย่างอย่าง Rotiboy คนน่าจะรู้จักเยอะกว่า
กลุ่มลูกค้ามากกว่า ดึงดูดให้คนซื้อได้ง่ายกว่า
แต่ brand จะไม่โดดเด่นเพราะมีที่ทำเหมือนกันเยอะ
ส่วน auntie ลูกค้าจะเฉพาะกลุ่มกว่านะ
ถ้า auntie สร้างกระแสได้คนน่าจะกินเยอะๆได้เช่นกัน
จะบอกว่าเป็นแค่ Fashion หรือไม่ ผมคิดว่ายังตัดสินไม่ได้
แข่งกันเยอะๆ เดี๋ยวก็คงเหลืออยู่ไม่กี่เจ้าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 8
KrispyKreme อร่อยจริงๆ ขอยืนยัน
ต้องรสธรรมดานั่นแหละสุดยอด ยิ่งไปยืนดูมันไหลมาตามเครื่องทำโดนัทที่หน้าร้านแล้วได้อารมณ์สุดๆ
ต้องรสธรรมดานั่นแหละสุดยอด ยิ่งไปยืนดูมันไหลมาตามเครื่องทำโดนัทที่หน้าร้านแล้วได้อารมณ์สุดๆ
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 9
ผมว่า Roti Boy อร่อยกว่า ป้าแอนหลายเท่าเลย ส่วนเรื่องอ้วนผมว่าไม่หนีกันเท่าไหร่ แป้งล้วนพอกันทั้งคู่
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 10
พูดแล้วน้ำลายไหล ... ตอนที่ KrispyKreme มาเปิดร้านแรกที่ Boston เหมือนตอนที่ Rotiboy มาเปิดสาขาแรกที่สยามเลยครับ .. ฝรั่งเองก็ยังไปต่อคิวกันยาวเหยียด รอกินโดนัทร้อนๆadi เขียน:KrispyKreme อร่อยจริงๆ ขอยืนยัน
ต้องรสธรรมดานั่นแหละสุดยอด ยิ่งไปยืนดูมันไหลมาตามเครื่องทำโดนัทที่หน้าร้านแล้วได้อารมณ์สุดๆ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 11
ตรงใจกับที่คิดไว้ตอนแรกเลยครับพี่คัดท้าย :Pคัดท้าย เขียน: ผมเดาเอาว่ามี 2 ส่วนครับ
1. การ Position ตัวเองในตลาด ตัวนึง Position เป็นสินค้า อีกตัว Position เป็น Fashion ...
2. เรื่องผลิตภัณฑ์ครับ โฆษณาจะดึงดูดคนมาครั้งแรก แต่คนจะมาครั้งที่ 2 หรือไม่ ก็อยู่ที่สิ่งที่เค้าได้เสพ ไปในครั้งแรก
สำหรับผม ผมก็ยังกิน RotiBoy อยู่นานๆครั้งนะครับ จะว่าไปหลังๆผมกิน Aunti Anne ไม่ได้มากกว่ากิน RotiBoy นะ
แต่ถ้าให้ผมฟันธงนะ จริงๆ ผลิตภัณฑ์ ทั้งสองตัวนี้มันมีคนกินครับ แต่ว่า RotiBoy มันเหมือนหุ้นที่ปั่นขึ้นไปจน PE 40-50 แล้ว มันก็ลงมาสู่มูลค่าที่แท้จริง ส่วน Auntie Anne เหมือนหุ้น PE 12-15 คือ มันก็อยู่ของมันแบบนี้
แล้วพอ RotiBoy ตกเข้าสู่มูลค่าที่แท้จริง คนก็บอกเฮ้ย ทำไม RotiBoy คนเลิกกินเร็วจัง จริงๆ ผมยังเห็นคนกินอยู่นะครับ เพียงแต่ มันลงมา PE 12-15 ของมันแค่นั้นเอง
ส่วนอนาคต ถ้า RotiBoy เลิกทำธุรกิจแบบปั่น หันมาออก Products เรียกลูกค้ามากขึ้น ผมว่าทั้ง RotiBoy กับ Auntie Anne ก็คงเหมือนๆกันครับ
ปล. ความเห็นส่วนตัวครับ
Impossible is Nothing
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 12
คุณตัน สมเป็นนักการตลาดชั้นยอดจริงๆ เข้าใจ เข้าถึง ประเภทแยกย่อย ของ ลักษณะของสินค้า ได้อย่างละเอียดละออ
มิน่าล่ะ เวลาเจ้านายถามนักการตลาดว่า 1+1 เท่ากะเท่าไหร่
นักการตลาดจะตอบว่า....แล้วเจ้านายจะเอาเท่าไหร่ละคับ
มิน่าล่ะ เวลาเจ้านายถามนักการตลาดว่า 1+1 เท่ากะเท่าไหร่
นักการตลาดจะตอบว่า....แล้วเจ้านายจะเอาเท่าไหร่ละคับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 13
ครั้งหนึ่งเมื่อ "ชานมไข่มุก" กำลังมาแรง ลูกน้องหลายคนพยายามคะยั้นคะยอให้ "ตัน ภาสกรนที" หรือ "ตัน โออิชิ" ลงทุนทำ "ชานมไข่มุก"
แต่ "ตัน" ปฏิเสธ
เหตุผลก็คือ เขาเชื่อว่า "ชานมไข่มุก" เป็น "สินค้าแฟชั่น"
หลักการลงทุนของ "ตัน" คือจะไม่ลงทุนในธุรกิจที่เป็นแฟชั่น
ประเภทที่ได้รับความนิยมชั่วครั้งชั่วคราวไม่ใช่สินค้าที่ขายระยะยาวเป็นการถาวร
แบบนี้ "ตัน" ไม่สนใจ
หลักการตรวจสอบว่าสินค้าอะไรเป็นสินค้าแฟชั่นหรือสินค้าถาวร ของ "ตัน" มีอยู่ 2 อย่าง
ข้อแรก พิจารณาจาก "รสชาติ" ถ้าอร่อยมาก อร่อยสุดๆ
โอกาสที่จะเป็น "สินค้าแฟชั่น" สูงมาก
เพราะอาหารที่อร่อยมากๆ มักจะมีรสเข้มข้น
กินอะไรรสเข้มข้นมากๆ ไม่นานก็จะเบื่อ
ไม่เหมือนอาหารหรือเครื่องดื่มที่รสชาติไม่เข้มข้นมากนัก เจือหวาน เจือเค็มนิดๆ
พวกนี้กินได้นาน ไม่เบื่อง่าย
สังเกตไหมครับว่า "โออิชิ กรีนที" รสชาติจะไม่เข้มข้นมาก
"อะมิโน โอเค" หรือน้ำลำไย ตรา "ดีไทย" ก็ไม่หวานจัด
เพราะ "ตัน" ต้องการให้คนดื่มได้บ่อยๆ ไม่เบื่อง่าย
ข้อที่ 2 "ตัน" จะหาข้อมูลจากประเทศต่างๆ ใกล้บ้านเรา
ถ้าเครื่องดื่มประเภทใดได้รับความนิยมเป็นระยะเวลายาวนาน
ขายมา 5 ปี 10 ปีแล้วยังขายดีอยู่
แสดงว่าเครื่องดื่มประเภทนี้มีโอกาสที่จะเป็น "สินค้าถาวร" ไม่ใช่ "สินค้าแฟชั่น"
เหมาะสมกับการลงทุน
การลงทุนใหญ่ในธุรกิจ "ชาเขียว" ของ "ตัน" ในอดีตก็เกิดจากการหาข้อมูลจากประเทศในแถบเอเชีย
ทั้งญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์
เครื่องดื่มชาเขียวได้รับความนิยมสูงมากเป็นเวลายาวนาน
"โออิชิ กรีนที" จึงกำเนิดขึ้น
คุณตันบอกว่า ชาเขียวจะเป็น trend วันนี้ก็พิสูจน์แล้วครับว่าเป็นแค่แฟชั่น หลังจากเลิกแจกเงินสามสิบล้านก็ทำให้รู้ว่า ยอดขายที่ผ่านมาซึ่งสูงมากๆนั้น ไม่ได้ยั่งยืนและพร้อมที่จะหล่นฮวบลงมาอยู่ที่ตำแหน่งต่ำๆเดิม และแม้จะกลับมาแจกเงินเหมือนเดิมก็ปลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว เพราะมันเป็นแฟชั่น ไม่ใช่ trend ตั้งแต่ต้น เพียงแต่สร้างภาพให้ดูเป็น trend เท่านนั้นเอง
ในความเห็นผมนั้น สินค้าที่จะเป็น trend ได้นั้น จะต้องมีคุณค่าในตัวเองและต้องคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย เพราะพฤติกรรมมนุษย์เป็นเช่นนั้นเอง คุณค่าตัวนี้จะคอยหล่อเลี้ยงให้สินค้าโตขึ้นได้เรื่อยๆอย่างยาวนาน ไม่ใช่วูบวาบแดดเดียวจบ
คุณค่าที่ว่านี้ประกอบไปด้วยหลายแง่หลายมุมขึ้นอยู่กับความชอบของมนุษย์ ถ้าเป็นอาหารก็ไม่ได้หมายถึงคุณค่าในแง่โภชนาการอย่างเดียวหมายถึงด้านอื่นด้วย เพราะพฤติกรรมมนุษย์ไม่ได้เน้นคุณค่าทางอาหารอย่างเดียว และชั่งน้ำหนักแล้วคุณค่าต้องมากกว่าราคาที่จ่าย
โทรศัพท์มือถือเป็นแฟชั่นแต่ก็เป็น trend ด้วย เพราะมันมีคุณค่ากว่าโทรศัพท์บ้านในเรื่องความสะดวกในการพกพา และปัจจุบันราคาก็ลดลงมาจนต่ำกว่าคุณค่ามากๆ ดังนั้นในอนาคตสิบปีร้อยปีข้างหน้า โทรศัพทืมือถือก็ยังมีอยู่หรือเพียงแต่พัฒนาไปเป็นรูปแบบอื่น
คอมพิวเตอร์ก็เป็นทั้งแฟชั่นและ trend เพราะมันมีคุณค่าอยู่ในตัวเองจริงคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย อีกพันปีคนก็ยังใช้คอมพิวเตอร์เพียงแต่หน้าตารูปแบบอาจจะเปลี่ยนแปลงไป
คล้ายๆกับตลาดหุ้น
หุ้นบางตัวเป็นแฟชั่นและโดนปั่นขึ้นไป ถ้ามันไม่มีคุณค่าเพียงพอ มันก็จะร่วงลงมาคืน แต่หุ้นที่มีคุณค่าจะยืนอยู่ได้นานกว่า
แม้วันดีคืนดีมีคนไม่เห็นคุณค่าของมันพยายามกดราคามันลง และมันก็ลงจริงๆตามอารมณ์ mr.market แต่วันข้างหน้ามันก็จะกลับมาใหม่
คุณค่าไม่มีวันตาย
ดังนั้นสินค้าใดจะเป็น fasion หรือ trend ก็ขึ้นอยู่กับว่ามันเป็นสินค้า VI หรือเปล่า
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 14
ผมว่าคุณตันเขาก็รู้ว่าชาเขียวไม่ใช่ trend แต่แกไม่บอกใคร
สิ่งที่คุณตันทำก็คือ ขายหุ้นชาเขียวในขณะที่หุ้นกำลังอยู่ในช่วงแฟชั่นที่ร้อนแรงสุดๆ
สิ่งที่คุณตันทำก็คือ ขายหุ้นชาเขียวในขณะที่หุ้นกำลังอยู่ในช่วงแฟชั่นที่ร้อนแรงสุดๆ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 15
นึกถึงตอนซื้อหุ้น oishi ผมก็คิดว่าชาเขียวจะเป็น trend จริงๆ สนิทใจ
อูย...คิดแล้วยังเจ็บลึกๆ ประมาณว่า ego สูงไม่ค่อยเชื่อคนรอบข้างเท่าไหร่
แต่ก็นับเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่านิ อย่างน้อย ก็หนีทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปด 555
อูย...คิดแล้วยังเจ็บลึกๆ ประมาณว่า ego สูงไม่ค่อยเชื่อคนรอบข้างเท่าไหร่
แต่ก็นับเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่านิ อย่างน้อย ก็หนีทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปด 555
I do not sleep. I dream.
- เจก
- Verified User
- โพสต์: 331
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 16
พูดไปพูดมา น่าเอา KrispyKreme ไปเปิดเมืองไทยจัง แล้วโปรโมททำให้ Brand Image เหมือน Starbucks ท่าทางจะขายได้ และอาจขายดีด้วย เสียอย่างเดียว ตอนนี้ไม่มีตังงะ เศร้าเลย
เรื่องโรตีบอยก็ไม่รู้นะคับ ตอนที่กลับไปก็ได้ชิมเหมือนกัน มันรสชาติโอเคนะ แต่ส่วนตัวผมไม่ชอบ กลับไปไทยผมกินขนมเบื้องปากซอยดีกว่า
เจก
ปล. ถ้า KrispyKreme ไปเปิดเมืองไทย ผมว่ายังไงก็ไม่เจ๊ง แค่แม่ผมคนเดียวเนี่ย เวลาซื้อกลับไปทีละ 4 โหล ไม่เกิน 2 วันหมด (แฮ แฮ่ แอบนินทาแม่)
เรื่องโรตีบอยก็ไม่รู้นะคับ ตอนที่กลับไปก็ได้ชิมเหมือนกัน มันรสชาติโอเคนะ แต่ส่วนตัวผมไม่ชอบ กลับไปไทยผมกินขนมเบื้องปากซอยดีกว่า
เจก
ปล. ถ้า KrispyKreme ไปเปิดเมืองไทย ผมว่ายังไงก็ไม่เจ๊ง แค่แม่ผมคนเดียวเนี่ย เวลาซื้อกลับไปทีละ 4 โหล ไม่เกิน 2 วันหมด (แฮ แฮ่ แอบนินทาแม่)
-
- Verified User
- โพสต์: 412
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 17
หลายคนก็คงนึกว่ามันจะเป็น trend จริงคุณตันบอกว่า ชาเขียวจะเป็น trend วันนี้ก็พิสูจน์แล้วครับว่าเป็นแค่แฟชั่น หลังจากเลิกแจกเงินสามสิบล้านก็ทำให้รู้ว่า ยอดขายที่ผ่านมาซึ่งสูงมากๆนั้น ไม่ได้ยั่งยืนและพร้อมที่จะหล่นฮวบลงมาอยู่ที่ตำแหน่งต่ำๆเดิม และแม้จะกลับมาแจกเงินเหมือนเดิมก็ปลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว เพราะมันเป็นแฟชั่น ไม่ใช่ trend ตั้งแต่ต้น เพียงแต่สร้างภาพให้ดูเป็น trend เท่านนั้นเอง
คุณสามัญชนพูดถึงจุดนี้ทำให้ผมคิดได้อีกเยอะเลยครับ
แต่สินค้าประเภทแฟชั่นโดยเฉพาะอาหารเครื่องดื่มก็สามารถทำให้เป็นสิ่งที่อยู่ได้นานเหมือนกันนะครับ
ต้องใช้ทั้งเวลา การโฆษณาอย่างต่อเนื่อง และวัฒนธรรมการบริโภค
การวางจุดยืนของสินค้าก็สำคัญเหมือนกัน
ถ้าเราไปจุดพลุให้เกิดความต้องการเยอะๆ เวลามันลงย่อมลงแรงเหมือนกัน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 216
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 18
อ่านๆ ชักงงกับคำว่า Trend กับ แฟชั่นแล้วสิ ผมเห็นด้วยกับกับพี่สามัญชนว่า คุณตันแกรู้ แต่ผมว่า แม้ว่าปัจจุบันคนจะดื่มชาเขียวน้อยลง แต่ยังไงก็ตามมันก็ทำให้คนที่จะดื่มเครื่องดื่ม เกิดทางเลือกใหม่ขึ้นมานะครับ คือผมหมายถึงว่า อาจจะต้องใช้เพื่อพิสูจน์ว่า ชาเขียวจะหายไปจากตลาดเลยหรือไม่ แต่ยังไงตอนนี้มันก็ยังอยู่ แต่ก็ o.k นะครับว่าคนอาจจะดื่มลดลง แต่ก็ยังดื่มอยู่ เหมือน โค้ก นะครับ ที่อย่างตอนเราเด็กๆ เราอาจจะไม่ค่อยสนใจสุขภาพ แต่เมื่อตอนโตขึ้นเราก็ดื่มมันน้อยลงนะครับ มันก็อาจจะทำให้ยอดขายโค้กลดลง แต่มันก็ยังอยู่นะครับ ยังไม่หายไปจากตลาด
- oo
- Verified User
- โพสต์: 125
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 19
Auntie Anne กินครั้งแรกก็อร่อยเหมือนกันนะครับ ผมแปลกใจว่าทำไมไม่ยักโดนเลียนแบบเหมือนโรตีบอย หรือเขามีลิขสิทธิ์ป้องกัน แต่ราคาแพงเหลือหลาย ได้แต่เชียร์ให้คนอื่นกิน แต่ตัวเองนานๆกินทีครับ :lol:
โรตีบอยกินตอนนี้ก็อร่อยสุดยอดเหมือนกัน แต่กินมากๆแล้วเลี่ยนน่าดู ข้อดีอีกอย่างผมว่าราคาถูกกว่า Auntie Anne พอสมควร
Crispy cream เป็นสุดยอดโดนัททีเดียวไม่รู้เมื่อไหร่จะมีคนนำเข้ามา น่าจะทำให้ Mister Donut กับ Dunkin สั่นสะเทือนได้ทีเดียวครับ
โรตีบอยกินตอนนี้ก็อร่อยสุดยอดเหมือนกัน แต่กินมากๆแล้วเลี่ยนน่าดู ข้อดีอีกอย่างผมว่าราคาถูกกว่า Auntie Anne พอสมควร
Crispy cream เป็นสุดยอดโดนัททีเดียวไม่รู้เมื่อไหร่จะมีคนนำเข้ามา น่าจะทำให้ Mister Donut กับ Dunkin สั่นสะเทือนได้ทีเดียวครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 20
ตามที่ผมเข้าใจ เจ้าของกระทู้น่าจะหมายถึงอ่านๆ ชักงงกับคำว่า Trend กับ แฟชั่นแล้วสิ
แฟชั่นคือ เป็นแค่กระแสบูมระยะสั้นๆ ในระยะยาวก็ไม่บูม หรืออาจจะลดลงด้วยซ้ำ
ส่วน trend ถือเป็นแนวโน้มเติบโตมากขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าหยุดเติบโตก็แปลว่าหมด trend แล้ว
ส่วนความหมายจริงๆ ไม่ทราบเหมือนกันครับ แฟชั่นแปลว่าสมัยนิยมมั้งครับ ส่วน trend ก็ แนวโน้ม ทิศทาง
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 21
ดิฉันเข้าใจว่า "ชาเขียว" นั้นเป็นเทรนด์จริงๆค่ะ
เราจะเห็นว่า กระแสชาเขียวมาจริงๆ นั่นเป็นเพราะ เทรนด์ ญี่ปุ่นเกาหลีมา ชาเขียวก้เลยมา ด้วย (มะก่อนบริโภคหนังฮ่องกง ก้เสพชาแดงกัน หลังๆ เอเชียนซีรี่ ญี่ปุ่นนำก่อนตามด้วยเกาหลี ชาเขียวก้เลยแซงมาเด่นได้)
เชื่อว่า เทรนด์ของ "ชาเขียว" ยังไปได้ต่อ อีกระยะนึงเลยนะ
ดิฉันก็เลยว่า ...คุณตัน ตีโจทย์แตกแล้ว ว่า ชาเขียว คือเทรนด์
แต่สิ่งที่คุณตันกระทำก็คือ ...แกไป ปั่นกระแส ให้ "โออิชิ" ....เป็นแฟชั่น ไปซะเลย
จากนั้น พอพีคก็ hit head in house ซะ :lol:
ก้อนี่อ่ะ นักการตลาดชั้นยอด หนึ่งบวกหนึ่ง สามารถเป็นเท่าไหร่ก็ได้
งานนี้ยอมรับเขาเก่ง แต่จะเก่งได้เท่าเดิมตลอดไปหรือไม่ สุดจะคาดเดา จริงๆ
เราจะเห็นว่า กระแสชาเขียวมาจริงๆ นั่นเป็นเพราะ เทรนด์ ญี่ปุ่นเกาหลีมา ชาเขียวก้เลยมา ด้วย (มะก่อนบริโภคหนังฮ่องกง ก้เสพชาแดงกัน หลังๆ เอเชียนซีรี่ ญี่ปุ่นนำก่อนตามด้วยเกาหลี ชาเขียวก้เลยแซงมาเด่นได้)
เชื่อว่า เทรนด์ของ "ชาเขียว" ยังไปได้ต่อ อีกระยะนึงเลยนะ
ดิฉันก็เลยว่า ...คุณตัน ตีโจทย์แตกแล้ว ว่า ชาเขียว คือเทรนด์
แต่สิ่งที่คุณตันกระทำก็คือ ...แกไป ปั่นกระแส ให้ "โออิชิ" ....เป็นแฟชั่น ไปซะเลย
จากนั้น พอพีคก็ hit head in house ซะ :lol:
ก้อนี่อ่ะ นักการตลาดชั้นยอด หนึ่งบวกหนึ่ง สามารถเป็นเท่าไหร่ก็ได้
งานนี้ยอมรับเขาเก่ง แต่จะเก่งได้เท่าเดิมตลอดไปหรือไม่ สุดจะคาดเดา จริงๆ
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 23
ลองอธิบายตามที่เรียนการตลาดเท่าที่จำได้นะครับ แบบลึกๆต้องให้มือการตลาดที่พอใจมาบรรยายให้ฟังดีกว่าอ่านๆ ชักงงกับคำว่า Trend กับ แฟชั่นแล้วสิ
ปกติจะแบ่งคำศัพท์พวกนี้ได้เป็น 4 คำคือ
Fad - คือมาเร็วไปเร็ว อย่างพวกตู้ sticker
Fashion - มาเป็นพักๆ คือฮิตอยู่ช่วงนึงแล้วหายไป .. เวลาผ่านไปนานๆแล้วกลับมาใหม่ อย่างกางเกงขาบายขากระดิ่งเป็นต้น
Trend - อันนี้จะอยู่นานหน่อย
Megatrend - ระดับสูงสุดของกระแส คืออยู่นานมากหลายๆปีขึ้นไป ส่วนใหญ่มีผลจากการเปลี่ยนแปลงตาม Generation อย่างเช่น กระแสสุขภาพเกิดจากการที่คนอายุมากมีสัดส่วนมากขึ้น
รอพี่พอใจมาช่วยตอบครับ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- pongo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1075
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 24
เหอๆๆ rotti boy ผมเคยกินทีเดียวครับ ลองดูว่าเป็นไง
ส่วนป้าแอน เคยกินไม่กี่ครั้ง เพราะทั้งสองอย่างนี้ มันอ้วนครับ ไม่ค่อยมีประโยนช์กับร่างกาย
ปล. มันฝรั่งเลย์กะพริงเกิ้ล ผมก็เลิกกินมานานมากแล้วครับ น้ำอัดลมนี่เลี่ยงได้ก็ไม่ดื่มครับ
ส่วนป้าแอน เคยกินไม่กี่ครั้ง เพราะทั้งสองอย่างนี้ มันอ้วนครับ ไม่ค่อยมีประโยนช์กับร่างกาย
ปล. มันฝรั่งเลย์กะพริงเกิ้ล ผมก็เลิกกินมานานมากแล้วครับ น้ำอัดลมนี่เลี่ยงได้ก็ไม่ดื่มครับ
- วัวแดง
- Verified User
- โพสต์: 1429
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 25
ชาเขียวเป็นแฟชั่น ครับ
- เห็นเค้าดื่ม ก็ดื่มกัน ตอนนี้ไม่ค่อยได้ดื่มแล้ว(ผมว่าขายแพงนะ)
แต่ทุกวันนี้ผมดื่มเป็ปซี่เกือบทุกวัน และน้ำปล่าวผมก็ซื้อทุกวัน
- เห็นเค้าดื่ม ก็ดื่มกัน ตอนนี้ไม่ค่อยได้ดื่มแล้ว(ผมว่าขายแพงนะ)
แต่ทุกวันนี้ผมดื่มเป็ปซี่เกือบทุกวัน และน้ำปล่าวผมก็ซื้อทุกวัน
ถ้าผมคิดเหมือนคนทั่วๆไป ผลตอบแทนผมก็เหมือนคนทั่วๆไป
ใจผมคงละลาย ถ้าผมคิดตามคนอื่น
ผู้ชนะไม่แน่ว่าจะต้องเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุด...แต่เป็นผู้ที่อดทนที่สุดต่างหาก
ใจผมคงละลาย ถ้าผมคิดตามคนอื่น
ผู้ชนะไม่แน่ว่าจะต้องเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุด...แต่เป็นผู้ที่อดทนที่สุดต่างหาก
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 26
จำได้คับคล้ายคับคราว่าในแมนฮัตตันหรือไม่ก็ DC นี่แหละที่ตามข้างถนนจะมีรถเข็นโทรมๆ ที่ขายไอ้ขนมหน้าตาแบบเนี่ย ประมาณว่าเหมือนลูกชิ้นขาวแดงบ้านเรา
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 29
8) น้องโย พี่ก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกันyoyo เขียน: ลองอธิบายตามที่เรียนการตลาดเท่าที่จำได้นะครับ แบบลึกๆต้องให้มือการตลาดพี่พอใจมาบรรยายให้ฟังดีกว่า
ปกติจะแบ่งคำศัพท์พวกนี้ได้เป็น 4 คำคือ
Fad - คือมาเร็วไปเร็ว อย่างพวกตู้ sticker
Fashion - มาเป็นพักๆ คือฮิตอยู่ช่วงนึงแล้วหายไป .. เวลาผ่านไปนานๆแล้วกลับมาใหม่ อย่างกางเกงขาบายขากระดิ่งเป็นต้น
Trend - อันนี้จะอยู่นานหน่อย
Megatrend - ระดับสูงสุดของกระแส คืออยู่นานมากหลายๆปีขึ้นไป ส่วนใหญ่มีผลจากการเปลี่ยนแปลงตาม Generation อย่างเช่น กระแสสุขภาพเกิดจากการที่คนอายุมากมีสัดส่วนมากขึ้น
รอพี่พอใจมาช่วยตอบครับ
ว่ามันมีการจัดเป็นcategoryกันด้วย
มันก็คงเป็นอย่างที่คุณว่ามานั่นแหละ
เรื่องวิธีการทำการตลาดสินค้าตัวนึง
เป็นเรื่องสองคนยลตามช่องครับ
คนนึงเห็นดาวพราวแพรว
อีกคนเห็นเป็นโคลนตม ไปซะได้
จะว่าง่ายก็ง่ายนะ
แต่จะว่ายากก็ยาก
ผมมองการตลาดเป็นศาสตร์มากกว่าเป็นศิลป
และไม่พยายามอาศัยโชคมาช่วย
คงเป็นเพราะผมยุ่งๆอยู่กับ
ตลาดสินค้าอุตสาหกรรมหรือกึ่งๆเป็นหลัก
คนที่อยู่ในสินค้าconsumer อาจมองต่างไปก็ได้
เรื่องชาเขียวผมก็ยังเห็นเด็กๆที่มหาลัยกินกันเยอะนะ
ทำให้ผมมองว่าเป็นอะไรที่ยังอยู่ได้อีกนาน
ไม่fade ไปง่ายๆหรอก
ใครที่คิดว่า20บาทแพง
สมัยนี้แค่นั่งแมงกะไซค์เข้าบ้านก็20บาทแล้วครับ
ก๋วยเตี๋ยวสตาร์ตที่30แล้วนะครับ
(ชามเดียวไม่ค่อยอิ่มด้วย)
แล้วพูดถึงคุณตัน ที่ไม่เคยจะตัน
ผมยอมรับเลยว่าถ้าแกเปิดสำนักสอนวิชาฝีมือ
ผมคงเป็นได้แค่หลานศิษย์แกเท่านั้นเอง
ต้องเรียกยิ่งกว่าซือแป๋อีกนะครับ ต้องเรียกซือโจ้ว เชียว
แกยังมีอีกหลายมุขครับ คอยๆดูไป
แล้วโดนัทที่ว่าอร่อยๆมาจากออสซี่เนี่ย
ถ้ามองแล้วก็แค่ productดีตัวเดียวเท่านั้นเอง
องค์ประกอบอีกเยอะ ที่จะทำให้เกิดได้
แต่ถ้าเซ็นทรัลได้มาเอง
แหมมันแทบจะการันตีได้เลยนะครับ
ในอีก3-4 p ที่เหลือเนี่ย
เซ็นทรัลเนี่ยเขาไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
แล้วในสินค้าพวกนี้เขามีโมเดล ในการทำการตลาด
ที่แทบจะเรียกว่าสำเร็จรูปแล้ว
เซ็นทรัลนี่ไม่ได้เขี้ยวเฉพาะเจ้าของนะครับ
ลูกน้องโดยเฉพาะจัดซื้อเนี่ย
ลองถามคนในวงการดูได้
ผมเคยไปช่วยเพื่อนกันที่ซื้อมาสเตอร์แฟรนไชส์ของ
อาหารเม็กซิกัน(ขออนุญาติไม่เอ่ยชื่อ)ที่ว่าดังๆอร่อยๆมั่กๆ
หนึ่งในสองของประเภทนี้ ที่มะริกา
เคยคุยกันหลักๆหลายๆเรื่อง
ก็มาถึงเรื่องสถานที่
ผมเชียร์department store
เพื่อนผมเขาก็ไปดูที่มาบุญครอง
แต่ตกลงกันไม่ได้หลายอย่าง
มาทราบทีหลังว่าเขาชอบสยามสแควร์มากกว่า
ก็ไปเซ้งสิทธิที่สมัยก่อนเป็นร้านเครื่องเขียนใหญ่ๆ
รุ่นท่านCKนี่ก็น่าจะทันไปอุดหนุนร้านที่ว่า
อยู่ตรงข้ามกับแบ๊งก์กสิกรไทยในปัจจุบัน
ผมจำเงินได้รางๆว่า20กว่าล้าน
(เฉพาะค่าเซ้งสิทธิกับจุฬา ไม่ได้ซื้อขาย )
ทำเลก็ไม่เลว
แต่ใจผมว่ามันก็ยังสู้ในห้างไม่ได้อยู่ดี
ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร
เรื่องโปรโมทก็จะทำเองเป็นส่วนใหญ่
ผมคิดในใจว่าแล้วเค้าจะมีมืออาชีพไว้ทำไรวะ
และผมก็ไปช่วยเฉยๆไม่ได้กินเงินเดือนเงินดาวน์อะไร
ผมก็เลยห่างๆไป เพราะตอนหลังๆน้องๆเขาก็มาช่วยเยอะ
ผมก็เกรงใจ มันไม่ใช่เพื่อนนี่ครับมีอะไรก็พูดกันได้
ก็เลยถอยฉากออกมา
เค้าโทรมาตามก็ว่าไม่ว่าง สักพักมันก็รู้ ไม่โทรมาอีก
ผมก็ไปตอนเปิดร้านนะ
แต่ระยะยาวแล้วมันก็ไปไม่ได้ดังที่คิด
จริงๆแล้วเขารวยมากนะ
แค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก
แต่ผมว่าที่เขาเสียคือความมั่นใจ
เพราะผมเห็นหลังจากนั้นเขาก็ไม่ค่อยได้ทำไรอีก
ผมออกจะเสียดาย
ล้มได้ก็ลุกได้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
Auntie Anne VS Roti Boy
โพสต์ที่ 30
[quote="por_jai"]