ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ
โพสต์ที่ 1
วลีที่ลือลั่นของบัฟเฟตต์คือ มองหาหุ้นที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนและเข้าซื้อที่ราคาไม่แพงเกินไปแล้วก็ถือไว้อย่างยาวนานตราบเท่าที่ความได้เปรียบเชิงแข่งขันยังคงอยู่
แต่วันนี้ผมมีคำถามกับวลีนี้เสียแล้ว
ก่อนนี้ผมมองว่าเป็นหัวใจหลักของการคัดเลือกหุ้น
เพราะการซื้อหุ้นที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะรุ่ง ถ้าหุ้นของคุณเจอคู่แข่งที่เก่งกว่า
พลังงานเป็นสิ่งที่ทุกคนขาดไม่ได้ ทุกคนต้องใช้พลังงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หุ้นพลังงานนั้นไม่มีวันตาย ถ้าหาหุ้นพลังงานทดแทนที่จะรุ่งเรืองในอนาคตได้คุณก็จะรวย
แต่ผมมองว่าแค่นี้ยังไม่พอ เราจะต้องหาหุ้นพลังงานที่จะเป็นผู้ชนะในอนาคตด้วย และที่สำคัญเราจะต้องหาหุ้นพลังงานที่จะต้องมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันในอนาคตอย่างยั่งยืนด้วย
อะไรๆก็จะต้องลงเอยที่วลีเด็ดนี้เสมอ
อีกหนึ่งตัวอย่าง
ออกซิเจนเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย การทำธุรกิจผลิตออกซิเจนน่าจะสร้างความร่ำรวยได้มหาศาล แต่จริงๆแล้วกลับไม่ใช่ เพราะธุรกิจนี้มีคู่แข่งโดยธรรมชาติที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่ ธุรกิจนี้ไม่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันแม้แต่น้อย ธุรกิจนี้ไม่มีทางสู้พืชใบเขียวที่ผลิตออกซิเจนได้บริสุทธ์และมหาศาล
วลีเด็ดนี้ยังคงใช้ได้อีกเช่นเคย
แต่แล้วผมก็มีปัญหาในทางปฏิบัติ ผมเจอหุ้นที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ราคาไม่แพง แต่กลับไม่มั่นใจว่าอนาคตธุรกิจจะเป็นอย่างไร
1. ถ้าหุ้นตัวนี้อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่โตอีกแล้ว หุ้นตัวนี้จะเป็นอย่างไร มาร์ลโบโร่จะเปลี่ยนจากหุ้นเติบโตในอดีตมาเป็นหุ้นแข็งแกร่ง(ที่ไม่โตมาก)หรือไม่ ถ้าคนสูบบุหรี่ไม่เพิ่มขึ้น
2. ถ้าหุ้นตัวนี้ครองส่วนแบ่งเกือบร้อยเปอร์เซนต์แล้ว หุ้นตัวนี้จะแย่งส่วนแบ่งจากใครอีก จะมีที่ว่างตรงไหนให้เติบโตต่อไป อึ่งอ่างจะเป็นอย่างไรถ้าออกนอกกะลาที่ครอบอยู่ไม่ได้
3. บริษัทจะสามารถตั้งราคาให้สูงขึ้นเพื่อเพิ่มยอดขายและกำไรได้มากแค่ไหนแม้จะผูกขาดอยู่เจ้าเดียว(ก็ตาม)
4. ด้วยความที่ผูกขาดอยู่เจ้าเดียว จะเจอพิษกฎหมายต่อต้านการผูกขาดหรือไม่
5.ถ้ายอดขายไม่โตอีกแล้ว กำไรไม่โตอีกแล้ว แม้จะมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน บริษัทก็ตอบแทนผู้ถือหุ้นได้โดยการจ่ายปันผลไปเรื่อยๆใช่หรือไม่
ดูท่าว่าวลีนี้จะมีปัญหาเสียแล้ว
ต้องเพิ่มเงื่อนไขว่า อุตสาหกรรมจะต้องโตไปเรื่อยๆในอัตราที่น่าพอใจ ด้วยหรือไม่ครับ
แต่วันนี้ผมมีคำถามกับวลีนี้เสียแล้ว
ก่อนนี้ผมมองว่าเป็นหัวใจหลักของการคัดเลือกหุ้น
เพราะการซื้อหุ้นที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะรุ่ง ถ้าหุ้นของคุณเจอคู่แข่งที่เก่งกว่า
พลังงานเป็นสิ่งที่ทุกคนขาดไม่ได้ ทุกคนต้องใช้พลังงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หุ้นพลังงานนั้นไม่มีวันตาย ถ้าหาหุ้นพลังงานทดแทนที่จะรุ่งเรืองในอนาคตได้คุณก็จะรวย
แต่ผมมองว่าแค่นี้ยังไม่พอ เราจะต้องหาหุ้นพลังงานที่จะเป็นผู้ชนะในอนาคตด้วย และที่สำคัญเราจะต้องหาหุ้นพลังงานที่จะต้องมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันในอนาคตอย่างยั่งยืนด้วย
อะไรๆก็จะต้องลงเอยที่วลีเด็ดนี้เสมอ
อีกหนึ่งตัวอย่าง
ออกซิเจนเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย การทำธุรกิจผลิตออกซิเจนน่าจะสร้างความร่ำรวยได้มหาศาล แต่จริงๆแล้วกลับไม่ใช่ เพราะธุรกิจนี้มีคู่แข่งโดยธรรมชาติที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่ ธุรกิจนี้ไม่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันแม้แต่น้อย ธุรกิจนี้ไม่มีทางสู้พืชใบเขียวที่ผลิตออกซิเจนได้บริสุทธ์และมหาศาล
วลีเด็ดนี้ยังคงใช้ได้อีกเช่นเคย
แต่แล้วผมก็มีปัญหาในทางปฏิบัติ ผมเจอหุ้นที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ราคาไม่แพง แต่กลับไม่มั่นใจว่าอนาคตธุรกิจจะเป็นอย่างไร
1. ถ้าหุ้นตัวนี้อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่โตอีกแล้ว หุ้นตัวนี้จะเป็นอย่างไร มาร์ลโบโร่จะเปลี่ยนจากหุ้นเติบโตในอดีตมาเป็นหุ้นแข็งแกร่ง(ที่ไม่โตมาก)หรือไม่ ถ้าคนสูบบุหรี่ไม่เพิ่มขึ้น
2. ถ้าหุ้นตัวนี้ครองส่วนแบ่งเกือบร้อยเปอร์เซนต์แล้ว หุ้นตัวนี้จะแย่งส่วนแบ่งจากใครอีก จะมีที่ว่างตรงไหนให้เติบโตต่อไป อึ่งอ่างจะเป็นอย่างไรถ้าออกนอกกะลาที่ครอบอยู่ไม่ได้
3. บริษัทจะสามารถตั้งราคาให้สูงขึ้นเพื่อเพิ่มยอดขายและกำไรได้มากแค่ไหนแม้จะผูกขาดอยู่เจ้าเดียว(ก็ตาม)
4. ด้วยความที่ผูกขาดอยู่เจ้าเดียว จะเจอพิษกฎหมายต่อต้านการผูกขาดหรือไม่
5.ถ้ายอดขายไม่โตอีกแล้ว กำไรไม่โตอีกแล้ว แม้จะมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน บริษัทก็ตอบแทนผู้ถือหุ้นได้โดยการจ่ายปันผลไปเรื่อยๆใช่หรือไม่
ดูท่าว่าวลีนี้จะมีปัญหาเสียแล้ว
ต้องเพิ่มเงื่อนไขว่า อุตสาหกรรมจะต้องโตไปเรื่อยๆในอัตราที่น่าพอใจ ด้วยหรือไม่ครับ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ
โพสต์ที่ 2
ถ้าหุ้นมีความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจที่ไม่โตแล้ว แต่ราคาหุ้นยังต่ำเกินไปอยู่ ผมก็ยังซื้อครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- วัวแดง
- Verified User
- โพสต์: 1429
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ
โพสต์ที่ 4
ผมชอบนะครับ เพราะผมชอบซื้อเมื่อราคาหุ้นยังต่ำเกินไปอยู่ครับ ถึงแม้ทุกคนส่ายหน้าสุมาอี้ เขียน:ถ้าหุ้นมีความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจที่ไม่โตแล้ว แต่ราคาหุ้นยังต่ำเกินไปอยู่ ผมก็ยังซื้อครับ
ถ้าผมคิดเหมือนคนทั่วๆไป ผลตอบแทนผมก็เหมือนคนทั่วๆไป
ใจผมคงละลาย ถ้าผมคิดตามคนอื่น
ผู้ชนะไม่แน่ว่าจะต้องเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุด...แต่เป็นผู้ที่อดทนที่สุดต่างหาก
ใจผมคงละลาย ถ้าผมคิดตามคนอื่น
ผู้ชนะไม่แน่ว่าจะต้องเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุด...แต่เป็นผู้ที่อดทนที่สุดต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ
โพสต์ที่ 5
สงสัยคุณวัวแดง จะชอบซื้อหุ้นที่เป็นดาวเด่นในอุตสาหกรรมที่ตกต่ำ เพราะคู่แข่งขันซึ่งเป็นผู้อยู่ในอุตสาหกรรมตายไปหมดแล้ว เหลือแต่หุ้นที่เราลงทุนอยู่ที่มีความได้เปรียบการแข่งขันอยู่ เพราะอาจมีต้นทุนต่ำกว่าอุตสาหกรรมและมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมาก จึงอยู่มาได้นานเหนือคู่แข่งขันครับ :lol:ผมชอบนะครับ เพราะผมชอบซื้อเมื่อราคาหุ้นยังต่ำเกินไปอยู่ครับ ถึงแม้ทุกคนส่ายหน้า
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ
โพสต์ที่ 6
สิ่งที่มักจะตามมาเมื่อมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน คือการมี mk.sh.ที่สูงลิบลับ
หุ้น A มี 1.ความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน 2. มี mk. sh. สูงมากถึง80-90%(ก็เพราะเขาเก่งมากนั่นเอง) 3. อุตสาหกรรมไม่โตแล้ว
หุ้น B (อยู่คนละกลุ่มกับ A)มี 1. ความได้เปรียบเชิงแข่งขันพอสมควร(ไม่มากเท่าA แต่ก็เป็นที่หนึ่งในกลุ่มตัวเอง) 2. มี mk. sh. น้อย ประมาณสัก 10-15% ส่วนอันดับสองอยู่ที่ 5-10% 3.อุตสาหกรรมไม่โตแล้ว
ถ้ามีข้อมูลแค่นี้ ผมคิดว่าหุ้น B น่าสนใจกว่าเพราะว่าเขาโตได้อีกเพราะยังสามารถแย่ง mk.sh. จากคู่แข่งได้ แต่ A ต้องแข่งกับตัวเองอย่างเดียว
และดังนั้นสุดยอดหุ้นน่าจะเป็น
หุ้นแบบ B แต่อยู่ในอุตสาหกรรมที่โตได้ปีละ10-15% และก็น่าจะดีกว่าหุ้นแบบ A ที่แม้จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่โตได้ปีละ10-15% เช่นเดียวกัน
ผมคิดถูกไหมครับ.......
หุ้น A มี 1.ความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน 2. มี mk. sh. สูงมากถึง80-90%(ก็เพราะเขาเก่งมากนั่นเอง) 3. อุตสาหกรรมไม่โตแล้ว
หุ้น B (อยู่คนละกลุ่มกับ A)มี 1. ความได้เปรียบเชิงแข่งขันพอสมควร(ไม่มากเท่าA แต่ก็เป็นที่หนึ่งในกลุ่มตัวเอง) 2. มี mk. sh. น้อย ประมาณสัก 10-15% ส่วนอันดับสองอยู่ที่ 5-10% 3.อุตสาหกรรมไม่โตแล้ว
ถ้ามีข้อมูลแค่นี้ ผมคิดว่าหุ้น B น่าสนใจกว่าเพราะว่าเขาโตได้อีกเพราะยังสามารถแย่ง mk.sh. จากคู่แข่งได้ แต่ A ต้องแข่งกับตัวเองอย่างเดียว
และดังนั้นสุดยอดหุ้นน่าจะเป็น
หุ้นแบบ B แต่อยู่ในอุตสาหกรรมที่โตได้ปีละ10-15% และก็น่าจะดีกว่าหุ้นแบบ A ที่แม้จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่โตได้ปีละ10-15% เช่นเดียวกัน
ผมคิดถูกไหมครับ.......
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ
โพสต์ที่ 7
มาคิดดูอีกที่ ถ้าอุตสาหกรรมโดยรวมโตถึง 10-15% หุ้นแบบ A อาจจะดีกว่าก็ได้ เพราะมีปราการแข็งแกร่ง ขาใหม่คงไม่อยากมาแย่ง แต่แบบ B เก่งในกลุ่มเดิมก็จริง แต่ถ้ามีเจ้าใหม่และใหญ่กว่าเดิมเข้ามาลุย Bก็อาจจะแพ้เขาได้ เพราะกำแพงยังไม่แข็งแรงพอ......
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ
โพสต์ที่ 8
ถ้าให้พิจารณาตัวธุรกิจอย่างเดียวโดยไม่ดูราคาหุ้นด้วย สำหรับผมแล้ว ผมจะไม่สามารถบอกได้เลยว่าหุ้นน่าซื้อหรือไม่
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ
โพสต์ที่ 12
ปูนซีเมนต์ไทยหุ้นละล้านซื้อมั้ยครับ ถ้าซื้อเด๋วผมจะรีบไปซื้อมาขายต่อให้nanchan เขียน:เอะ แต่ความเข้าใจผมกับคิดว่า
ถ้าหุ้นดี ราคาแพงก็ซื้อ แฮะ
ถ้าราคาแพงไม่ซื้อ ก็แสดงว่ายังดีไม่จริงซิ
ฮิ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ
โพสต์ที่ 13
อะฮิ เจอแซวหนักจริงๆ หุ้นละล้าน
ถ้าปูนซิเมนต์ไทย ทำกำไรได้หุ้นละ2แสนต่อปี
และน่าจะมีgrowthอย่างต่ำ15%ต่อปี
ก็ซื้อ
ฮิ
แต่ถ้ายังกำไรแค่20กว่าบาทต่อหุ้นต่อปี ก็ไม่ซื้อ ฮิ
เพราะฉนั้น ถ้ายังกำไรแค่นี้ ก็ยังดีไม่จริงมั้ง ฮิ
ถ้าปูนซิเมนต์ไทย ทำกำไรได้หุ้นละ2แสนต่อปี
และน่าจะมีgrowthอย่างต่ำ15%ต่อปี
ก็ซื้อ
ฮิ
แต่ถ้ายังกำไรแค่20กว่าบาทต่อหุ้นต่อปี ก็ไม่ซื้อ ฮิ
เพราะฉนั้น ถ้ายังกำไรแค่นี้ ก็ยังดีไม่จริงมั้ง ฮิ
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ
โพสต์ที่ 14
แปลกจังnanchan เขียน:อะฮิ เจอแซวหนักจริงๆ หุ้นละล้าน
ถ้าปูนซิเมนต์ไทย ทำกำไรได้หุ้นละ2แสนต่อปี
และน่าจะมีgrowthอย่างต่ำ15%ต่อปี
ก็ซื้อ
ฮิ
แต่ถ้ายังกำไรแค่20กว่าบาทต่อหุ้นต่อปี ก็ไม่ซื้อ ฮิ
เพราะฉนั้น ถ้ายังกำไรแค่นี้ ก็ยังดีไม่จริงมั้ง ฮิ
ฮิ ... :lol:
"Winners never quit, and quitters never win."