++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
-
- Verified User
- โพสต์: 689
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 1
SATTEL เฉพาะดาวเทียม ipstar ดวงเดียวมูลค่าก็กว่า 16,000 ล้านบาทแล้ว แค่ดวงนี้ดวงเดียวเอามาต่อยอดธุรกิจได้อีก 15 ปี แต่ market cap ปัจจุบันเหลือแค่ 6000ล้านบาทเศษ เอาไปซื้อดาวเทียมยังไม่ได้เรยส์ :shock: :shock: :shock:
ไหนจาธุรกิจ มือถือที่ ลาว กัมพูชา ธุรกิจ broadband...ขายอย่างกะบอสัดจะเจ๊ง...และไม่มีปัญญาใช้หนี้ชาวบ้านอย่างงั้นแหละ...ทั้งๆที่เงินสดก็มี :evil: :evil:
SC ก็เหมือนกัน...ชิน3 อาคารเดียวก็เกือบ 3 พันล้านแล้ว ไหนจา ชิน1 ชิน2 สินทรัพย์พวกนี้เก็บค่าเช่าอย่างเดียว นอนกินทั้งนั้น ยังมีพวก ที่ดิน และ โครงการ ต่างๆอีก ส่วน ใหญ่ปลอดหนี้ทั้งนั้น...
maket cap ณ วันนี้ เหลือแค่ไม่ถึง 3 พันล้าน... :shock: :shock:
...มันคิดไรกันอยู่...หรือเราเข้าใจอะไรผิดไป... :evil: :evil:
ADVANC ยังไม่ลง floor เด๋วลงเมื่อไหร่มาบ่นต่อ... :shock: :shock:
ไหนจาธุรกิจ มือถือที่ ลาว กัมพูชา ธุรกิจ broadband...ขายอย่างกะบอสัดจะเจ๊ง...และไม่มีปัญญาใช้หนี้ชาวบ้านอย่างงั้นแหละ...ทั้งๆที่เงินสดก็มี :evil: :evil:
SC ก็เหมือนกัน...ชิน3 อาคารเดียวก็เกือบ 3 พันล้านแล้ว ไหนจา ชิน1 ชิน2 สินทรัพย์พวกนี้เก็บค่าเช่าอย่างเดียว นอนกินทั้งนั้น ยังมีพวก ที่ดิน และ โครงการ ต่างๆอีก ส่วน ใหญ่ปลอดหนี้ทั้งนั้น...
maket cap ณ วันนี้ เหลือแค่ไม่ถึง 3 พันล้าน... :shock: :shock:
...มันคิดไรกันอยู่...หรือเราเข้าใจอะไรผิดไป... :evil: :evil:
ADVANC ยังไม่ลง floor เด๋วลงเมื่อไหร่มาบ่นต่อ... :shock: :shock:
-
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 2
ไม่ผิดครับลุง
แต่สินทรัพย์ทุกอย่างหากอยู่ในบริษัทก็มีโอกาสสูญไปได้ตราบใดที่มีผู้บริหารที่ไม่มีธรรมาภิบาล และคิดว่าเป็นเจ้าของมากกว่าผู้ถือหุ้น สินทรัพย์อย่างตึกเนี่ย เป็นได้ที่จะขายออกไปในราคาต่ำๆ ให้กับบริษัทอื่น (ของตน) หรือเงินสดในบริษัทก็อาจจะซื้อสินทรัพย์จากบริษัทอื่น(ของตน)ในราคาแพงได้
กรณีที่บริษัทเกี่ยวโยงกับการเมืองแบบนี้ ท่านทักษิณก็ทำท่าจะอยู่ยาวที่อังกฤษ ก็ไม่น่าแปลกใจที่หุ้นจะถูกตีราคาสุดต่ำแบบนี้ครับ
แต่สินทรัพย์ทุกอย่างหากอยู่ในบริษัทก็มีโอกาสสูญไปได้ตราบใดที่มีผู้บริหารที่ไม่มีธรรมาภิบาล และคิดว่าเป็นเจ้าของมากกว่าผู้ถือหุ้น สินทรัพย์อย่างตึกเนี่ย เป็นได้ที่จะขายออกไปในราคาต่ำๆ ให้กับบริษัทอื่น (ของตน) หรือเงินสดในบริษัทก็อาจจะซื้อสินทรัพย์จากบริษัทอื่น(ของตน)ในราคาแพงได้
กรณีที่บริษัทเกี่ยวโยงกับการเมืองแบบนี้ ท่านทักษิณก็ทำท่าจะอยู่ยาวที่อังกฤษ ก็ไม่น่าแปลกใจที่หุ้นจะถูกตีราคาสุดต่ำแบบนี้ครับ
- น้ำครึ่งแก้ว
- Verified User
- โพสต์: 1098
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 3
ดาวเทียม อาจมีการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่เคยให้ไว้ แบบกำไรสุดๆ
ส่วน sc นี่ คนคงกลัวเข้าข่าย โดยหางเลขยึดทรัพย์มั้งครับ
อนาคตเป็นไงไม่มีใครรู้ ฮิ ฮิ
ส่วน sc นี่ คนคงกลัวเข้าข่าย โดยหางเลขยึดทรัพย์มั้งครับ
อนาคตเป็นไงไม่มีใครรู้ ฮิ ฮิ
" ชีวิตไม่เคยขาดความหวาน "
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 4
กรณีของ Sattel นั้น
เจ้าของดาวเทียม เป็นของกระทรวง ICT ครับ Sattel สร้างดาวเทียมแล้วต้องโอนไปให้กับ ICT ครับ ตอนนี้บริษัทเป็นเพียงคู่สัญญาสัมปทาน ต้องบริหารการขายให้เช่าให้ได้เท่านั้น จึงจะมีกำไรครับ ถ้าอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร ก็คงขาดทุนแน่นอน และดาวเทียมก็เอาไปขายไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นเจ้าของ
และที่ว่า กำไรมาก ๆ นั้น ก็คงไม่ใช่ครับ เพราะปีนี้ครึ่งปีแรกก็ยังมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุน เนื่องจากผู้บริหารบริษัทต้องเร่งหาลูกค้ามาเช่าสัญญาณให้มากที่สุดครับ เพราะดาวเทียมยิงขึ้นฟ้าไปแล้ว ค่าใช้จ่ายจะค่อนข้างสูง ดังนั้นต้องใช้ฝีมือออกไปหาลูกค้าต่างประเทศนอกบ้าน ในประเทศเช่าสัญญาณ IP Star เป็นส่วนน้อยประมาณ 6% เท่านั้นเอง
ที่ผ่านมาผลงานของบริษัทมีการเติบโตสูงในส่วนของรายได้ และกำไรที่สม่ำเสมอเท่านั้น ทำให้ส่วนของทุนเพิ่มขึ้น และไม่กี่ปีนี้ก็เพิ่งเพิ่มทุนเข้าไปอีก ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น และยังต้องกู้ยืมเงินมาลงทุนจ่ายดอกเบี้ยเหมือนกัน แถมปีที่ลดค่าเงินบาทก็ยังขาดทุนกว่า 6,000 ล้านบาท เพิ่งมาฟื้นคืนในตอนหลัง
โดยค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไปแล้วกว่า 16000 ล้านบาท ก็ต้องตัดเป็นค่าเสื่อมราคาของดาวเทียมนะครับ ปีละกว่า 2,000 ล้านบาท
ตั้งแต่ที่บริษัทเข้ามาตลาด เพิ่งจ่ายปันผลเพียงครั้งเดียว หุ้นละ 25 สต.
คนลงทุนหุ้นตัวนี้ เขาหวังว่าในอนาคตเงินลงทุนที่ลงไปหลาย ๆ ปีนั้น จะทำให้บริษัทมีการเจริญเติบโตที่สูง จน Breakeven Point ในปีหน้า จึงจะมีลุ้นจ่ายปันผล ซึ่งไม่ได้จ่ายมานานมากแล้ว ดังนั้นที่บอกว่ากำไรมาก ๆ ในอดีตนั้นจึงไม่ใช่ แต่อนาคตต้องดูฝีมือของผู้บริหารในการหาตลาด นี่ก็เกือบปีแล้ว กำลังเร่งหาลูกค้าอยู่ ถ้าหาได้น้อยก็ยังขาดทุนครับ เหมือนเช่นปีนี้ครับ
จึงเป็นกำลังใจให้กับคนถือหุ้นตัวนี้ ซึ่งเป็นหุ้นดาวเทียมของประเทศไทย เป็นหน้าตาของประเทศด้วยซ้ำไปครับ ที่มีดาวเทียมที่สามารถขายการเช่าใช้บริการได้เงินตราต่างประเทศเข้าประเทศ
ตอนนี้มีแค่ปัญหาเรื่องผู้ถือหุ้นใหญ่จึงกระทบกับความเชื่อมั่นในการลงทุนของบริษัท แต่ผู้บริหารของบริษัท เขาก็พยายามเร่งสร้างผลตอบแทนการลงทุนให้กับผู้ถือหุ้น และก็มีการเปิดเผยข้อมูลที่ครบถ้วนมาก ๆ ย้อนหลังไปดูได้หลายปี และแต่ละไตรมาสก็มีการให้ข้อมูลกับนักลงทุนให้มีการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอครับ
ก็เป็นข้อมูลมาแลกเปลี่ยนกันครับ :lol:
เจ้าของดาวเทียม เป็นของกระทรวง ICT ครับ Sattel สร้างดาวเทียมแล้วต้องโอนไปให้กับ ICT ครับ ตอนนี้บริษัทเป็นเพียงคู่สัญญาสัมปทาน ต้องบริหารการขายให้เช่าให้ได้เท่านั้น จึงจะมีกำไรครับ ถ้าอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร ก็คงขาดทุนแน่นอน และดาวเทียมก็เอาไปขายไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นเจ้าของ
และที่ว่า กำไรมาก ๆ นั้น ก็คงไม่ใช่ครับ เพราะปีนี้ครึ่งปีแรกก็ยังมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุน เนื่องจากผู้บริหารบริษัทต้องเร่งหาลูกค้ามาเช่าสัญญาณให้มากที่สุดครับ เพราะดาวเทียมยิงขึ้นฟ้าไปแล้ว ค่าใช้จ่ายจะค่อนข้างสูง ดังนั้นต้องใช้ฝีมือออกไปหาลูกค้าต่างประเทศนอกบ้าน ในประเทศเช่าสัญญาณ IP Star เป็นส่วนน้อยประมาณ 6% เท่านั้นเอง
ที่ผ่านมาผลงานของบริษัทมีการเติบโตสูงในส่วนของรายได้ และกำไรที่สม่ำเสมอเท่านั้น ทำให้ส่วนของทุนเพิ่มขึ้น และไม่กี่ปีนี้ก็เพิ่งเพิ่มทุนเข้าไปอีก ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น และยังต้องกู้ยืมเงินมาลงทุนจ่ายดอกเบี้ยเหมือนกัน แถมปีที่ลดค่าเงินบาทก็ยังขาดทุนกว่า 6,000 ล้านบาท เพิ่งมาฟื้นคืนในตอนหลัง
โดยค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไปแล้วกว่า 16000 ล้านบาท ก็ต้องตัดเป็นค่าเสื่อมราคาของดาวเทียมนะครับ ปีละกว่า 2,000 ล้านบาท
ตั้งแต่ที่บริษัทเข้ามาตลาด เพิ่งจ่ายปันผลเพียงครั้งเดียว หุ้นละ 25 สต.
คนลงทุนหุ้นตัวนี้ เขาหวังว่าในอนาคตเงินลงทุนที่ลงไปหลาย ๆ ปีนั้น จะทำให้บริษัทมีการเจริญเติบโตที่สูง จน Breakeven Point ในปีหน้า จึงจะมีลุ้นจ่ายปันผล ซึ่งไม่ได้จ่ายมานานมากแล้ว ดังนั้นที่บอกว่ากำไรมาก ๆ ในอดีตนั้นจึงไม่ใช่ แต่อนาคตต้องดูฝีมือของผู้บริหารในการหาตลาด นี่ก็เกือบปีแล้ว กำลังเร่งหาลูกค้าอยู่ ถ้าหาได้น้อยก็ยังขาดทุนครับ เหมือนเช่นปีนี้ครับ
จึงเป็นกำลังใจให้กับคนถือหุ้นตัวนี้ ซึ่งเป็นหุ้นดาวเทียมของประเทศไทย เป็นหน้าตาของประเทศด้วยซ้ำไปครับ ที่มีดาวเทียมที่สามารถขายการเช่าใช้บริการได้เงินตราต่างประเทศเข้าประเทศ
ตอนนี้มีแค่ปัญหาเรื่องผู้ถือหุ้นใหญ่จึงกระทบกับความเชื่อมั่นในการลงทุนของบริษัท แต่ผู้บริหารของบริษัท เขาก็พยายามเร่งสร้างผลตอบแทนการลงทุนให้กับผู้ถือหุ้น และก็มีการเปิดเผยข้อมูลที่ครบถ้วนมาก ๆ ย้อนหลังไปดูได้หลายปี และแต่ละไตรมาสก็มีการให้ข้อมูลกับนักลงทุนให้มีการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอครับ
ก็เป็นข้อมูลมาแลกเปลี่ยนกันครับ :lol:
- น้ำครึ่งแก้ว
- Verified User
- โพสต์: 1098
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 6
อันนี้ทีบอกกำไร ไม่ใช่ทำการค้าได้กำไรนะครับ แต่กำไรจากสิทธิภาษีบางดาวเทียม อาจมีการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่เคยให้ไว้ แบบกำไรสุดๆ
อย่างที่เคยให้ไว้จาก รัฐบาลชุดก่อนครับ ส่วนกำไรจากการค้า ดูท่าทาง
ว่าจะ.................................................
แล้วที่ว่า ดวงละเป็นหมื่นล้านนี่ ถ้าบริษัทจะเจ๊งแล้ว เราจะสอยเอาลงมาขาย
แล้วเอาเงินมาคืนผู้ถือหุ้นได้มั้ยครับ พี่ๆ
อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม น่าคิด
" ชีวิตไม่เคยขาดความหวาน "
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 7
เอ แล้วที่ดินผืนใหญ่ที่อังกฤษjaychou เขียน:กรณีที่บริษัทเกี่ยวโยงกับการเมืองแบบนี้ ท่านทักษิณก็ทำท่าจะอยู่ยาวที่อังกฤษ ก็ไม่น่าแปลกใจที่หุ้นจะถูกตีราคาสุดต่ำแบบนี้ครับ
อยู่ในนามบริษัท SC หรือส่วนตัวครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 10
ผมไปอ่านข้อมุลงบการเงินเพิ่มเติมแล้วนะครับ
ดาวเทียมที่จะสร้างรายได้ให้กับ Sattel ในอนาคตจะมีแค่ 2 ดวง เท่านั้นคือ
ดาวเทียม ไทยคม5 ซึ่งจะมาลองรับลูกค้าของดาวเทียมไทยคม 1 ไทยคม 2 และ ไทยคม 3 ทั้งหมด ดาวเทียมดวงนี้จึงมี capacity ที่สูงมากเพราะเทคโนโลยีปัจจุบัน ทำให้สามารถเพิ่ม Capacity รองรับลูกค้าเดิมได้ทั้งหมด เลยครับ ดาวเทียมดวงนี้จึงไม่มีปัญหาในเรื่องลูกค้า เพราะมีฐานลูกค้าเดิมทั้งหมดครับ แต่เป็นดาวเทียมแบบ Conventional แบบดังเดิมครับ
สำหรับดาวเทียม 4 นี้ครับมีลักษณะพิเศษ คือ IP Star เป็นเทคโนโลยีดาวเทียมล่าสุด ซึ่งเหมาะกับสัญญาณแบบ Broadband และการใช้สัญญาณมีการจดลิขสิทธิ์การใช้ไว้ด้วย ข้อพิเศษที่ผมเคยอ่านเจอก็คือ ต้นทุนการใช้งานจะถูกกว่าแบบ Conventional มาก ทำให้ถ้าหากประเทศใดที่จะใช้เทคโนโลยี Boardband ผ่าน ดาวเทียม ก็น่าจะหันมาใช้ IP Star มากขึ้นครับ
ทรัพย์สินดาวเทียม 2 ดวงนี้ บริษัทใช้วิธีการกู้ยืมเงิน ผ่าน Exim Bank ของประเทศคู่ค้า ซึ่งมีระยะเวลาการชำระหนี้คืนประมาณ 8ปีกว่า ๆ และมีเงื่อนไขการชำระหนี้ที่ชัดเจน และกำหนดเงื่อนไขการดำรงสถานะการเงินต่างๆ ไว้ด้วย
ดังนั้น ที่บอกว่าการแก้ไขสัญญาณสัมปทานนั้น ผมมองว่า ต้องดูประเด็นนี้ด้วยนะครับว่า มันจะกระทบกับสํญญาการกู้เงินจากต่างประเทศหลายประเทศที่ให้เงินกู้นี้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับที่จะไปปรับสัญญา สัมปทาน เพราะจะไปกระทบกับพันธกรณีการกู้เงินระหว่างประเทศครับ เพราะการให้กู้ครั้งนี้ เขาเชื่อพันธกรณีที่เอกชนทำกับรัฐบาลครับ
สำหรับรายได้ที่ผ่านมา จะมีรายได้รวมประมาณปีละ 5,500 ล้านบาท จากดาวเทียมเดิมคือ ไทยคม 1 2 และ 3 แต่ปี 48 รับรู้รายได้ IP star ประมาณ 1000 ล้านบาท สำหรับปีนี้น่าจะรับรู้มากขึ้น ซึ่งจะมาจาก 2 ส่วนหลักใหญ่ ๆ คือ รายได้จากการให้บริการ น่าจะเพิ่มขึ้นได้เป็น 2000 กว่าล้านบาท และรายได้จากการขายอุปกรณ์ภาครับสัญญาณ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า Gateway มีความก้าวหน้ามากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะที่ประเทศจีน ซึ่งใช้ Utilization Rate ที่สูงมาก
Ebitda ประมาณ ปีละ 2200 ล้านบาท แต่เนื่องจากปีนี้จะเริ่มมีการรับรู้รายได้ของ IPStar เพิ่มขึ้น ก็คาดว่า Ebitda ปีนี้จะเติบโตสูงกว่าปี 48 ครับ
ช่วงทีรายได้ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน บริษัทก็ต้องทำ Ebitda นี้ไปใช้เป็นแหล่งในการชำระหนี้เงินกู้ดาวเทียม 2 ดวงใหม่ คือ ไทยคม 5 ซึ่งเพิ่งยิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในปีนี้ และดาวเทียม IPstar ซึ่งก็เพิ่งยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าปี 48 ครับ และส่วนที่เหลือก็เอาไปขยายเครือข่ายภาครับสัญญาณ ดาวเทียม IPSTAR ซึ่งเพิ่งมีการดำเนินธุรกิจไม่ถึง 1 ปี และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของดาวเทียมต่าง ๆ ปีนี้จึงคาดหวังว่าน่าจะยังขาดทุนอยู่ แต่น่าจะเริ่มฟื้นได้ในปีหน้าครับ
สำหรับไตรมาส 3 นั้น รายได้ที่เติบโตนั้น ผมคาดว่าจะมาจากธุรกิจหลัก 3 ตัวคือ
1, IP Star ที่มาจากการเช่าสัญญาณดาวเทียมของประเทศจีน ซึ่งเลื่อนมารับรุ้ในไตรมาส 3 เป็นต้นไป
2. รายได้จากการจำหน่ายอุปกรณ์ภาครับสัญญาณที่ประเทศจีนอีกเช่นกัน ช่วงนี้กำลังขยาย Gate Way อยู่
3. รายได้จากเงินปันผล CSL ถ้าคิดตามสัดส่วนของเงินปันผลที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 40% ก็จะมีรายได้ตรงนี้น่าจะประมาณ 160 ล้านบาทจากที่บริษัท Csl จ่ายปันผลประมาณ 300 กว่าล้านบาท
4. รายได้จากธูรกิจมือถือของบริษัทย่อยในลาวและกัมพูชา ซึ่งมีอัตราการขยายตัวที่สูงมากในช่วงนี้
5. และรายได้พิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยนเพราะค่าเงินบาทแข็งขึ้น และบริษัทมีการกู้ยืมเงินเป็นเงินต่างประเทศ ตรงนี้อาจมีการได้ Gain เป็น Realize บางส่วนที่เกิดจากการทะยอยชำระหนี้ กับอีกส่วนคือ Unrealize จากหนี้เงินกู้ทั้งหมด เหมือนไตรมาสที่ 2
สำหรับเรื่องหนึ่งของบริษัทนี้ในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งเคยส่งผลกระทบให้บริษัทขาดทุนสูงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทลดค่าลงนั้น ในเรื่องนี้สำหรับอนาคตปัญหานี้จะลดลง เนื่องจาก บริษัทมีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศเช่นกัน และเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง แถมที่ผ่านมาบริษัทก็ไม่เน้นการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ทุกครั้งก่อนชำระหนี้ ก็จะมีการซื้อประกันความเสี่ยง Forward ไว้ล่วงหน้า ตรงนี้โดย Nature ของธุรกิจก็ต้องถือว่าเป็นการป้องกันความเสี่ยงโดยธรรมชาติของธุรกิจอีกด้วยครับ
ส่วนโครงสร้างของคณะกรรมการ นั้นผมเห็นรายชื่อประธานกรรมการแล้วก็สบายใจครับ เพราะท่านเคยผ่านงานบริษัทที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับอย่างมากคือ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย ครับ ลองไปดูโครงสร้างกรรมการประกอบด้วยครับ
ดังนั้น ด้วยโครงสร้างกรรมการ และผู้บริหารที่ดี การบริหารมีการให้ข้อมูลกับผุ้ถือหุ้นเป็นอย่างดี ผมก็เชื่อว่า เมื่อผ่านวิกฤตการณ์เรื่องผุ้ถือหุ้นใหญ่ไปแล้ว
ตัวนี้ก็อาจเป็นทั้งหุ้น Asset Play เหมือนที่คุณลุงทีมว่า เพราะมี Asset สิทธิสัมปทานดาวเทียมใหม่ 2 ดวงซึ่งจะ Generate รายได้ไปอีกหลายปี มีฐานลูกค้าเดิมในอดีตมาต่อยอดดาวเทียมไทยคม 5 และสำหรับ IP star ก็มีรายได้จากเมืองจีนที่ลงนามแล้ว กำลังรออินเดียอยู่ ถ้าทั้ง 2 รายเข้ามาก็จะทำให้การเติบโตรายได้ในอนาคตจะดีขึ้นครับ
ตั้งแต่บริษัทนี้ก่อตั้งมา ช่วงเวลาในอดีตต้องถือว่า เป็น Introduction State เป็นช่วงแห่งการเรียนรู้ เรียนถูกเรียนผิดของธุรกิจนี้ ผู้ถือหุ้นเดิมจึงไม่ได้รับผลตอบแทนทั้งปันผลและส่วนต่างมากนัก แต่ช่วงนี้ผมคิดว่าเป็นช่วง Growth Stage บริษัทเอาเงินลงทุนที่สะสมของผุ้ถือหุ้นใน stage ที่ 1 ต่อยอดในปี 1-2 นี้ครับ
ตรงนี้ผมจึงถือว่าหุ้นตัวนี้ เป็น Growth Stock อีกด้วย
คือ ถือหุ้นดาวเทียมใหม่ ในราคาที่ผู้ถือหุ้นซื้อตอนนี้ ในราคาที่ดาวเทียมต่ำกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว ลองไปดูหุ้นทั้งบริษัท เทียบกับมูลค่าธุรกิจดาวเทียมใหม่
แถมดาวเทียมทั้ง 2 ก็ไม่มีความเสี่ยงในเรื่องการยิงดาวเทียมขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกแล้วเหมือนในอดีตที่เราต้องลุ้นกัน
ลูกค้าก็มีฐานอยู่ส่วนหนึ่ง กำลังขยายต่ออีกมากในต่างประเทศ
และยังมีธุรกิจแถม คือ มือถือประเทศเพื่อน บริษัทในเครือด้าน Internet แถมด้วย่ ธุรกิจโฆษณาสมุดหน้าเหลืองของบรษัทในเครือ เป็นต้น
เป็นทั้ง Asset play และ Growth Stock บนความเสี่ยงที่มีข่าวเรื่องผู้ถือหุ้นใหญ่ และการแก้ไขสัมปทาน ทั้งที่ยังไม่เกิดขึ้น กับข้อมูลทีเป็นจริง และความก้าวหน้าของผลงาน ก็แล้วแต่ VI จะไปพิจารณากันเองก็แล้วกันครับ
สุดท้ายเห็นด้วยกับคุณลุงทีมนะครับ ขอบคุณสำหรับการตั้งประเด็นที่ทำให้ผมต้องไปลงทุนหาข้อมูลมาวิเคราะห์เพิ่มเติม เพื่อชี้ประเด็น ข้อเท็จจริง กับ ข้อความเห็นต่าง ๆ ที่ทำให้เราหวั่นวิตกไปจนเกินเหตุหรือไม่
ความเสี่ยงในเรื่องที่เราไม่รู้ก็เป็นความเสี่ยงจริง ๆ ครับ
แต่ความเสี่ยงก็ต้องตามด้วยผลตอบแทนในอนาคตเช่นกัน
แล้ว VI คิดว่า ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ราคาขณะนี้ Discount กว่า ระดับที่เคยสูงถึงเกือบ 20 บาท ลดลงเหลือ 6.40 บาท และ Market Cap ลงจากเกือบ 20000 ล้านบาท เหลือในขณะนี้ประมาณ6-7 พันล้านบาท มันได้ลดความเสี่ยงจนได้ Margin of Safety ที่เพียงพอหรือยัง แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนนะครับ
ผมก็ใช้ทฤษฎ๊ของปีเตอร์ลินซ์มาวิเคราะห์ก็เท่านั้นครับ
ดาวเทียมที่จะสร้างรายได้ให้กับ Sattel ในอนาคตจะมีแค่ 2 ดวง เท่านั้นคือ
ดาวเทียม ไทยคม5 ซึ่งจะมาลองรับลูกค้าของดาวเทียมไทยคม 1 ไทยคม 2 และ ไทยคม 3 ทั้งหมด ดาวเทียมดวงนี้จึงมี capacity ที่สูงมากเพราะเทคโนโลยีปัจจุบัน ทำให้สามารถเพิ่ม Capacity รองรับลูกค้าเดิมได้ทั้งหมด เลยครับ ดาวเทียมดวงนี้จึงไม่มีปัญหาในเรื่องลูกค้า เพราะมีฐานลูกค้าเดิมทั้งหมดครับ แต่เป็นดาวเทียมแบบ Conventional แบบดังเดิมครับ
สำหรับดาวเทียม 4 นี้ครับมีลักษณะพิเศษ คือ IP Star เป็นเทคโนโลยีดาวเทียมล่าสุด ซึ่งเหมาะกับสัญญาณแบบ Broadband และการใช้สัญญาณมีการจดลิขสิทธิ์การใช้ไว้ด้วย ข้อพิเศษที่ผมเคยอ่านเจอก็คือ ต้นทุนการใช้งานจะถูกกว่าแบบ Conventional มาก ทำให้ถ้าหากประเทศใดที่จะใช้เทคโนโลยี Boardband ผ่าน ดาวเทียม ก็น่าจะหันมาใช้ IP Star มากขึ้นครับ
ทรัพย์สินดาวเทียม 2 ดวงนี้ บริษัทใช้วิธีการกู้ยืมเงิน ผ่าน Exim Bank ของประเทศคู่ค้า ซึ่งมีระยะเวลาการชำระหนี้คืนประมาณ 8ปีกว่า ๆ และมีเงื่อนไขการชำระหนี้ที่ชัดเจน และกำหนดเงื่อนไขการดำรงสถานะการเงินต่างๆ ไว้ด้วย
ดังนั้น ที่บอกว่าการแก้ไขสัญญาณสัมปทานนั้น ผมมองว่า ต้องดูประเด็นนี้ด้วยนะครับว่า มันจะกระทบกับสํญญาการกู้เงินจากต่างประเทศหลายประเทศที่ให้เงินกู้นี้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับที่จะไปปรับสัญญา สัมปทาน เพราะจะไปกระทบกับพันธกรณีการกู้เงินระหว่างประเทศครับ เพราะการให้กู้ครั้งนี้ เขาเชื่อพันธกรณีที่เอกชนทำกับรัฐบาลครับ
สำหรับรายได้ที่ผ่านมา จะมีรายได้รวมประมาณปีละ 5,500 ล้านบาท จากดาวเทียมเดิมคือ ไทยคม 1 2 และ 3 แต่ปี 48 รับรู้รายได้ IP star ประมาณ 1000 ล้านบาท สำหรับปีนี้น่าจะรับรู้มากขึ้น ซึ่งจะมาจาก 2 ส่วนหลักใหญ่ ๆ คือ รายได้จากการให้บริการ น่าจะเพิ่มขึ้นได้เป็น 2000 กว่าล้านบาท และรายได้จากการขายอุปกรณ์ภาครับสัญญาณ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า Gateway มีความก้าวหน้ามากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะที่ประเทศจีน ซึ่งใช้ Utilization Rate ที่สูงมาก
Ebitda ประมาณ ปีละ 2200 ล้านบาท แต่เนื่องจากปีนี้จะเริ่มมีการรับรู้รายได้ของ IPStar เพิ่มขึ้น ก็คาดว่า Ebitda ปีนี้จะเติบโตสูงกว่าปี 48 ครับ
ช่วงทีรายได้ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน บริษัทก็ต้องทำ Ebitda นี้ไปใช้เป็นแหล่งในการชำระหนี้เงินกู้ดาวเทียม 2 ดวงใหม่ คือ ไทยคม 5 ซึ่งเพิ่งยิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในปีนี้ และดาวเทียม IPstar ซึ่งก็เพิ่งยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าปี 48 ครับ และส่วนที่เหลือก็เอาไปขยายเครือข่ายภาครับสัญญาณ ดาวเทียม IPSTAR ซึ่งเพิ่งมีการดำเนินธุรกิจไม่ถึง 1 ปี และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของดาวเทียมต่าง ๆ ปีนี้จึงคาดหวังว่าน่าจะยังขาดทุนอยู่ แต่น่าจะเริ่มฟื้นได้ในปีหน้าครับ
สำหรับไตรมาส 3 นั้น รายได้ที่เติบโตนั้น ผมคาดว่าจะมาจากธุรกิจหลัก 3 ตัวคือ
1, IP Star ที่มาจากการเช่าสัญญาณดาวเทียมของประเทศจีน ซึ่งเลื่อนมารับรุ้ในไตรมาส 3 เป็นต้นไป
2. รายได้จากการจำหน่ายอุปกรณ์ภาครับสัญญาณที่ประเทศจีนอีกเช่นกัน ช่วงนี้กำลังขยาย Gate Way อยู่
3. รายได้จากเงินปันผล CSL ถ้าคิดตามสัดส่วนของเงินปันผลที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 40% ก็จะมีรายได้ตรงนี้น่าจะประมาณ 160 ล้านบาทจากที่บริษัท Csl จ่ายปันผลประมาณ 300 กว่าล้านบาท
4. รายได้จากธูรกิจมือถือของบริษัทย่อยในลาวและกัมพูชา ซึ่งมีอัตราการขยายตัวที่สูงมากในช่วงนี้
5. และรายได้พิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยนเพราะค่าเงินบาทแข็งขึ้น และบริษัทมีการกู้ยืมเงินเป็นเงินต่างประเทศ ตรงนี้อาจมีการได้ Gain เป็น Realize บางส่วนที่เกิดจากการทะยอยชำระหนี้ กับอีกส่วนคือ Unrealize จากหนี้เงินกู้ทั้งหมด เหมือนไตรมาสที่ 2
สำหรับเรื่องหนึ่งของบริษัทนี้ในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งเคยส่งผลกระทบให้บริษัทขาดทุนสูงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทลดค่าลงนั้น ในเรื่องนี้สำหรับอนาคตปัญหานี้จะลดลง เนื่องจาก บริษัทมีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศเช่นกัน และเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง แถมที่ผ่านมาบริษัทก็ไม่เน้นการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ทุกครั้งก่อนชำระหนี้ ก็จะมีการซื้อประกันความเสี่ยง Forward ไว้ล่วงหน้า ตรงนี้โดย Nature ของธุรกิจก็ต้องถือว่าเป็นการป้องกันความเสี่ยงโดยธรรมชาติของธุรกิจอีกด้วยครับ
ส่วนโครงสร้างของคณะกรรมการ นั้นผมเห็นรายชื่อประธานกรรมการแล้วก็สบายใจครับ เพราะท่านเคยผ่านงานบริษัทที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับอย่างมากคือ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย ครับ ลองไปดูโครงสร้างกรรมการประกอบด้วยครับ
ดังนั้น ด้วยโครงสร้างกรรมการ และผู้บริหารที่ดี การบริหารมีการให้ข้อมูลกับผุ้ถือหุ้นเป็นอย่างดี ผมก็เชื่อว่า เมื่อผ่านวิกฤตการณ์เรื่องผุ้ถือหุ้นใหญ่ไปแล้ว
ตัวนี้ก็อาจเป็นทั้งหุ้น Asset Play เหมือนที่คุณลุงทีมว่า เพราะมี Asset สิทธิสัมปทานดาวเทียมใหม่ 2 ดวงซึ่งจะ Generate รายได้ไปอีกหลายปี มีฐานลูกค้าเดิมในอดีตมาต่อยอดดาวเทียมไทยคม 5 และสำหรับ IP star ก็มีรายได้จากเมืองจีนที่ลงนามแล้ว กำลังรออินเดียอยู่ ถ้าทั้ง 2 รายเข้ามาก็จะทำให้การเติบโตรายได้ในอนาคตจะดีขึ้นครับ
ตั้งแต่บริษัทนี้ก่อตั้งมา ช่วงเวลาในอดีตต้องถือว่า เป็น Introduction State เป็นช่วงแห่งการเรียนรู้ เรียนถูกเรียนผิดของธุรกิจนี้ ผู้ถือหุ้นเดิมจึงไม่ได้รับผลตอบแทนทั้งปันผลและส่วนต่างมากนัก แต่ช่วงนี้ผมคิดว่าเป็นช่วง Growth Stage บริษัทเอาเงินลงทุนที่สะสมของผุ้ถือหุ้นใน stage ที่ 1 ต่อยอดในปี 1-2 นี้ครับ
ตรงนี้ผมจึงถือว่าหุ้นตัวนี้ เป็น Growth Stock อีกด้วย
คือ ถือหุ้นดาวเทียมใหม่ ในราคาที่ผู้ถือหุ้นซื้อตอนนี้ ในราคาที่ดาวเทียมต่ำกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว ลองไปดูหุ้นทั้งบริษัท เทียบกับมูลค่าธุรกิจดาวเทียมใหม่
แถมดาวเทียมทั้ง 2 ก็ไม่มีความเสี่ยงในเรื่องการยิงดาวเทียมขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกแล้วเหมือนในอดีตที่เราต้องลุ้นกัน
ลูกค้าก็มีฐานอยู่ส่วนหนึ่ง กำลังขยายต่ออีกมากในต่างประเทศ
และยังมีธุรกิจแถม คือ มือถือประเทศเพื่อน บริษัทในเครือด้าน Internet แถมด้วย่ ธุรกิจโฆษณาสมุดหน้าเหลืองของบรษัทในเครือ เป็นต้น
เป็นทั้ง Asset play และ Growth Stock บนความเสี่ยงที่มีข่าวเรื่องผู้ถือหุ้นใหญ่ และการแก้ไขสัมปทาน ทั้งที่ยังไม่เกิดขึ้น กับข้อมูลทีเป็นจริง และความก้าวหน้าของผลงาน ก็แล้วแต่ VI จะไปพิจารณากันเองก็แล้วกันครับ
สุดท้ายเห็นด้วยกับคุณลุงทีมนะครับ ขอบคุณสำหรับการตั้งประเด็นที่ทำให้ผมต้องไปลงทุนหาข้อมูลมาวิเคราะห์เพิ่มเติม เพื่อชี้ประเด็น ข้อเท็จจริง กับ ข้อความเห็นต่าง ๆ ที่ทำให้เราหวั่นวิตกไปจนเกินเหตุหรือไม่
ความเสี่ยงในเรื่องที่เราไม่รู้ก็เป็นความเสี่ยงจริง ๆ ครับ
แต่ความเสี่ยงก็ต้องตามด้วยผลตอบแทนในอนาคตเช่นกัน
แล้ว VI คิดว่า ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ราคาขณะนี้ Discount กว่า ระดับที่เคยสูงถึงเกือบ 20 บาท ลดลงเหลือ 6.40 บาท และ Market Cap ลงจากเกือบ 20000 ล้านบาท เหลือในขณะนี้ประมาณ6-7 พันล้านบาท มันได้ลดความเสี่ยงจนได้ Margin of Safety ที่เพียงพอหรือยัง แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนนะครับ
ผมก็ใช้ทฤษฎ๊ของปีเตอร์ลินซ์มาวิเคราะห์ก็เท่านั้นครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 12
ผมไปอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทวิเคราะห์บาง Broker เพิ่มเติมครับ เพราะอยากรู้ข้อเสียมาก ๆ ที่สุด ครับ พบข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ คือ
1. เห็นว่าธุรกิจในจีนช่วงนี้การติดตั้ง Gate Way มีโอกาสล้าช้ากว่าที่กำหนด เนื่องจากเจอใต้ฝุ่นเข้ามาครับ แต่ต้องเช็คดูให้ดีว่าเรื่องนี้จะกระทบการรับรู้รายได้ไตรมาส 3 หรือไม่ แต่ถ้าติดตั้งไม่ทัน ก็ไปรับรู้ในไตรมาส 4 แทน
2. ที่อินเดียยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เดิมคาดว่าไตรมาส 2 น่าจะหาข้อสรุปได้ แต่ก็ยังไม่คืบหน้า มีโอกาสที่จะไปถึงไตรมาส 4 หรือต้นปีหน้าก็ได้ครับ ซึ่งทำให้ Brekeven Point เลื่อนออกไปครับ
3. อีกเรื่องก็คือ เรื่องการขอ BOI ของดาวเทียมไทยคม 5 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจาณา ซึ่งที่ผ่านมา ดาวเทียมทุกเดือนก็ได้รับการพิจาณาจาก BOI ในการลดหย่อนภาษีครับ ตรงนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไป
ผมกำลังตามข้อเสียต่าง ๆ เพื่อประเมินความเสี่ยงเพิ่มเติมครับ ก็เป็นข้อมูลประกอบ
แต่ข้อดีเพิ่มเติมก็คือ เครื่องรับส่งสัญญาณจากภาคพื้นดิน ที่ขายให้กับ ประเทศไทย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีแนวโน้มที่จะจำหน่ายได้มากขึ้นครับ คงต้องดูที่ไตรมาส 3 ว่าจะจำหน่ายได้เพิ่มขึ้นสักเท่าไรครับ แต่เห็นตัวเลขเดือน กค.ที่ Broker ติดตามมาได้ เห็นว่าเพิ่มขึ้นมากเหมือนกันครับ
ใครมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ก็มาให้ข้อมูลเพื่อประเมินด้วยครับ จะขอบคุณมากครับ
1. เห็นว่าธุรกิจในจีนช่วงนี้การติดตั้ง Gate Way มีโอกาสล้าช้ากว่าที่กำหนด เนื่องจากเจอใต้ฝุ่นเข้ามาครับ แต่ต้องเช็คดูให้ดีว่าเรื่องนี้จะกระทบการรับรู้รายได้ไตรมาส 3 หรือไม่ แต่ถ้าติดตั้งไม่ทัน ก็ไปรับรู้ในไตรมาส 4 แทน
2. ที่อินเดียยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เดิมคาดว่าไตรมาส 2 น่าจะหาข้อสรุปได้ แต่ก็ยังไม่คืบหน้า มีโอกาสที่จะไปถึงไตรมาส 4 หรือต้นปีหน้าก็ได้ครับ ซึ่งทำให้ Brekeven Point เลื่อนออกไปครับ
3. อีกเรื่องก็คือ เรื่องการขอ BOI ของดาวเทียมไทยคม 5 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจาณา ซึ่งที่ผ่านมา ดาวเทียมทุกเดือนก็ได้รับการพิจาณาจาก BOI ในการลดหย่อนภาษีครับ ตรงนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไป
ผมกำลังตามข้อเสียต่าง ๆ เพื่อประเมินความเสี่ยงเพิ่มเติมครับ ก็เป็นข้อมูลประกอบ
แต่ข้อดีเพิ่มเติมก็คือ เครื่องรับส่งสัญญาณจากภาคพื้นดิน ที่ขายให้กับ ประเทศไทย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีแนวโน้มที่จะจำหน่ายได้มากขึ้นครับ คงต้องดูที่ไตรมาส 3 ว่าจะจำหน่ายได้เพิ่มขึ้นสักเท่าไรครับ แต่เห็นตัวเลขเดือน กค.ที่ Broker ติดตามมาได้ เห็นว่าเพิ่มขึ้นมากเหมือนกันครับ
ใครมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ก็มาให้ข้อมูลเพื่อประเมินด้วยครับ จะขอบคุณมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 689
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณครับคุณthawatttสำหรับข้อมูล
จิงๆแล้วผมไม่ชอบเชียร์หุ้นนะครับ...แต่ผมเห็นการเทขายอย่างขาดสติแบบสองวันที่ผ่านมา...ผมรับไม่ได้อะครับ...ไม่อยากเห็นใครเป็นเหยื่อรายใหญ่...แบบต้องขายขาดทุนทั้งๆที่หุ้นทั้งสองตัวนี้มีพื้นฐานรองรับ...ยิ่งเมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน <sattel เกือบแตะพาร์ ต่ำbook, sc ต่ำพาร์ต่ำbook>
...สงสัยคงต้องเปลี่ยนชื่อบอสัดใหม่...จาได้รู้ซะบ้างว่าทักสิน<ตอนนี้ชื่อนี้คงกลายเป็นตัวอับโชคไปแระ>เค้าไม่มาเกี่ยวอะไรกับบอสัดนี้แล้ว...อีกหน่อยคงจาได้รู้ซะบ้าง...ที่เทกระจาดไปมันคิดถูกหรือผิด...
ถ้าว่ากันทางเทคนิค...ราคานี้คงยังไม่ถูกหรอกนะครับ <ยังอาจลงได้อีก 10%-20% worst case>...เพียงแต่ผมว่าราคานี้เมื่อเทียบกับอนาคต...มันถือว่าถูกมากๆ...
ส่วน SC นั้น...จิงอยู่ชื่อของผถห รายใหญ่นั้นค่อนเหม็นซะแร้วส์ ณ ตอนนี้ <อาจจะต้องต่อราคามากๆหน่อย>...แต่ถ้าดูจากอดีต...คนตระกูลนี้ก็ค่อนข้างมีจริยธรรมในการบริหารนะครับ...การบริหารงานเรียกได้ว่ามืออาชีพ...ไม่เอาเปรียบผถห...รายย่อย...<ลึกๆแล้วผมคงแก้ตัวแทนอะไรเค้ามากไม่ได้...แต่เท่าที่เคยคลุกคลีกับบอสัดของทักสินมาพักนึง <ปีกว่าๆกับ ADVANC> สมัยเมื่อ 6-7 ปีก่อนผมบอกได้เรยส์ว่าการบริหารของเค้ามืออาชีพมากๆ...มากกว่า DTAC สมัยก่อนด้วยซ้ำไป...>... :shock: :shock:
จิงๆแล้วผมไม่ชอบเชียร์หุ้นนะครับ...แต่ผมเห็นการเทขายอย่างขาดสติแบบสองวันที่ผ่านมา...ผมรับไม่ได้อะครับ...ไม่อยากเห็นใครเป็นเหยื่อรายใหญ่...แบบต้องขายขาดทุนทั้งๆที่หุ้นทั้งสองตัวนี้มีพื้นฐานรองรับ...ยิ่งเมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน <sattel เกือบแตะพาร์ ต่ำbook, sc ต่ำพาร์ต่ำbook>
...สงสัยคงต้องเปลี่ยนชื่อบอสัดใหม่...จาได้รู้ซะบ้างว่าทักสิน<ตอนนี้ชื่อนี้คงกลายเป็นตัวอับโชคไปแระ>เค้าไม่มาเกี่ยวอะไรกับบอสัดนี้แล้ว...อีกหน่อยคงจาได้รู้ซะบ้าง...ที่เทกระจาดไปมันคิดถูกหรือผิด...
ถ้าว่ากันทางเทคนิค...ราคานี้คงยังไม่ถูกหรอกนะครับ <ยังอาจลงได้อีก 10%-20% worst case>...เพียงแต่ผมว่าราคานี้เมื่อเทียบกับอนาคต...มันถือว่าถูกมากๆ...
ส่วน SC นั้น...จิงอยู่ชื่อของผถห รายใหญ่นั้นค่อนเหม็นซะแร้วส์ ณ ตอนนี้ <อาจจะต้องต่อราคามากๆหน่อย>...แต่ถ้าดูจากอดีต...คนตระกูลนี้ก็ค่อนข้างมีจริยธรรมในการบริหารนะครับ...การบริหารงานเรียกได้ว่ามืออาชีพ...ไม่เอาเปรียบผถห...รายย่อย...<ลึกๆแล้วผมคงแก้ตัวแทนอะไรเค้ามากไม่ได้...แต่เท่าที่เคยคลุกคลีกับบอสัดของทักสินมาพักนึง <ปีกว่าๆกับ ADVANC> สมัยเมื่อ 6-7 ปีก่อนผมบอกได้เรยส์ว่าการบริหารของเค้ามืออาชีพมากๆ...มากกว่า DTAC สมัยก่อนด้วยซ้ำไป...>... :shock: :shock:
-
- Verified User
- โพสต์: 689
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 18
เข้าใจว่าใครตามผมสองตัวนี้...ป่านนี้คงได้กันคนละเกือบ 20% แล้วนะครับภายในอาทิดเดียว.... :lol: :lol: :lol:
ขอเน้นครับว่า...มองกันยาวๆหน่อยนะครับ...ตัวนี้...หรือถ้าใครอยากเล่นรอบตอนนี้ก้อเชิญนะครับ...แต่รับกลับกันให้ได้นะครับ...เพราะผมคิดว่าราคานี้จิงๆแล้วก้อยังถูกอยู่ดี... :shock: :shock:
ช่วงนี้ยุ่งๆครับ...ไม่ค่อยได้มาตามผลงานตัวเองเรยส์... :evil: :evil:
ขอเน้นครับว่า...มองกันยาวๆหน่อยนะครับ...ตัวนี้...หรือถ้าใครอยากเล่นรอบตอนนี้ก้อเชิญนะครับ...แต่รับกลับกันให้ได้นะครับ...เพราะผมคิดว่าราคานี้จิงๆแล้วก้อยังถูกอยู่ดี... :shock: :shock:
ช่วงนี้ยุ่งๆครับ...ไม่ค่อยได้มาตามผลงานตัวเองเรยส์... :evil: :evil:
-
- Verified User
- โพสต์: 689
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 20
เมื่อเช้านั่งทำงานอยู่มาร์อีเล็คผม txt มาบอกว่ารับกลับคืนได้แล้วที่ราคา 6.8...
แทบช็อคเพราะไม่คิดว่า...อะไรจะเร็วปานนั้น...เปิดมาดูอีกทีก็เห็นมันบบวกอยู่มันบวกไป 7.3-7.35...
ไม่รู้น่าตกใจหรือน่าเสียดายที่รับกลับมาได้...แต่โดยรวมตอนนี้happyครับ... :lol: :lol: :lol:
แต่...รับกลับมาได้แค่ครึ่งเดียว... :shock: :shock:
แทบช็อคเพราะไม่คิดว่า...อะไรจะเร็วปานนั้น...เปิดมาดูอีกทีก็เห็นมันบบวกอยู่มันบวกไป 7.3-7.35...
ไม่รู้น่าตกใจหรือน่าเสียดายที่รับกลับมาได้...แต่โดยรวมตอนนี้happyครับ... :lol: :lol: :lol:
แต่...รับกลับมาได้แค่ครึ่งเดียว... :shock: :shock:
-
- Verified User
- โพสต์: 697
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 22
efinancethai.com
พบแล้วเหตุ หุ้น SATTEL เด้ง เหตุเทมาเส็กเตรียมลดสัดส่วนการถือหุ้น เซียนหุ้นแนะซื้อเก็งกำไร
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.แอ๊ดคินซัน
เปิดเผยว่าการปรับเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น SATTEL เป็นการรีบาวน์ทางเทคนิคธรรมดา ซึ่งไม่ได้
มีปัจจัยบวกใหม่ที่มีนัยสำคัญเข้ามาสนับสนุนแต่อย่างไร ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำเก็งกำไร
เนื่องจากราคาหุ้นดังกล่าวมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อ โดยให้แนวรับไว้ที่ 7.35 บาท และให้แนว
ต้านไว้ที่ 7.80 บาท
ด้านนักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น SATTEL ปรับตัวขึ้นแรง
เป็นไปตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มชินคอร์ปทั้งมหด หลังจากที่กลุ่มเทมาเส็กเตรียมที่
จะลดสัดส่วนการถือหุ้น SHIN ลง เพื่อยุติความขัดแย้งในข้อกฎหมายของประเทศไทย
ณ เวลา 11.52 น. ราคาหุ้น SATTEL อยู่ที่ 7.55 บาท เพิ่มขึ้น 0.45 บาท มูลค่าการ
ซื้อขาย 72.76 ล้านบาท
พบแล้วเหตุ หุ้น SATTEL เด้ง เหตุเทมาเส็กเตรียมลดสัดส่วนการถือหุ้น เซียนหุ้นแนะซื้อเก็งกำไร
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.แอ๊ดคินซัน
เปิดเผยว่าการปรับเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น SATTEL เป็นการรีบาวน์ทางเทคนิคธรรมดา ซึ่งไม่ได้
มีปัจจัยบวกใหม่ที่มีนัยสำคัญเข้ามาสนับสนุนแต่อย่างไร ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำเก็งกำไร
เนื่องจากราคาหุ้นดังกล่าวมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อ โดยให้แนวรับไว้ที่ 7.35 บาท และให้แนว
ต้านไว้ที่ 7.80 บาท
ด้านนักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น SATTEL ปรับตัวขึ้นแรง
เป็นไปตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มชินคอร์ปทั้งมหด หลังจากที่กลุ่มเทมาเส็กเตรียมที่
จะลดสัดส่วนการถือหุ้น SHIN ลง เพื่อยุติความขัดแย้งในข้อกฎหมายของประเทศไทย
ณ เวลา 11.52 น. ราคาหุ้น SATTEL อยู่ที่ 7.55 บาท เพิ่มขึ้น 0.45 บาท มูลค่าการ
ซื้อขาย 72.76 ล้านบาท
-
- Verified User
- โพสต์: 1266
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 23
ด้านนักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น SATTEL ปรับตัวขึ้นแรง
เป็นไปตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มชินคอร์ปทั้งมหด หลังจากที่กลุ่มเทมาเส็กเตรียมที่
จะลดสัดส่วนการถือหุ้น SHIN ลง เพื่อยุติความขัดแย้งในข้อกฎหมายของประเทศไทย
ฟังแล้วงงครับ เพราะ Sattel ยังไงก็ไม่มีปัญหาเรื่องผู้ถือหุ้นเป็นต่างด้าวอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็รู้กันโดยทั่วไป แล้วการที่เทมาเสคจะลดสัดส่วนการถือหุ้น Shin ลง จะลดแบบไหน เอามาขายในตลาดรึเปล่า ถ้างั้นราคาหุ้นควรจะลงไม่ใช่หรือ ผมคิดแปลกไปจากนักวิเคราะห์อยู่เรื่อย ตอนหลังจากรัฐประหารนักวิเคราะห์ก็บอกให้หลีกเลี่ยงกลุ่มชิน ผมเลยซื้อ :D ถ้าสัปดาห์หน้าเชียร์ซื้อ ผมอาจขาย ก็ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 697
- ผู้ติดตาม: 0
++++ กลุ่ม SHIN ลงหนักไปรึป่าว ++++
โพสต์ที่ 25
เทมาเส็กลดการถือหุ้น โอนให้ ธนาคารไทยพาณิชย์ถือครอง
ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คงได้กลั่นกรอง และรับซื้อในราคาที่ถูก และมองถึงศักยภาพในระยะยาว
ปัญหาการถือหุ้นของเครือชินกรุ๊ป คงหมดไป ทิศทางหุ้น SHIN ITV SATTEL ADVANC CSL คงทยานขึ้นแรงหลังจากนี้
คำแนะนำ "เข้าซื้อ" เต็มพิกัด
ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คงได้กลั่นกรอง และรับซื้อในราคาที่ถูก และมองถึงศักยภาพในระยะยาว
ปัญหาการถือหุ้นของเครือชินกรุ๊ป คงหมดไป ทิศทางหุ้น SHIN ITV SATTEL ADVANC CSL คงทยานขึ้นแรงหลังจากนี้
คำแนะนำ "เข้าซื้อ" เต็มพิกัด