อ้างอิงถึงข่าวดังต่อไปนี้ครับ
----------------------------------------------------------------------
*SE-ED ปรับลดเป้ารายได้-อัตรากำไรสุทธิปีนี้ จากปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง
Source - IQ Biz
Tuesday, 19 September 2006 16:01
นายทนง โชติสรยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีเอ็ดยูเคชั่น (SE-ED) บริษัทได้ปรับประมาณรายได้ในปีนี้ลงเหลือ 3,660-3,880 ล้านบาท จากเป้าเดิมที่คาดไว้ที่ 3,800-4,000 ล้านบาท เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการเมือง ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัว
ขณะที่ได้ปรับลดอัตรากำไรสุทธิลงด้วยเช่นกัน จากเดิม 5.5-6% มาอยู่ที่ 4.5-5% ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทได้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของระบบ ซึ่งเป็นการทยอยลงทุนตั้งแต่ 4 ปีที่ผ่านมา จำนวน 40 ล้านบาท การทยอยการลงทุนดังกล่าวจะเห็นผลว่ามีการลดค่าใช้จ่ายได้ในปีหน้า
อย่างไรก็ดี ในปีนี้บริษัทมีสินค้าเพิ่มขึ้น เช่น การจำหน่ายเสื้อนาโนเฉลิมฉลองการครองราชย์ 60 ปี สินค้า non-book เข้ามา ทำให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มเข้ามา
"การที่เรามีสินค้าทั้ง non-book หนังสือในหลวงและการจำหน่ายเสื้อ ช่วยสร้างรายได้ให้ดีขึ้น ซึ่งหากไม่มีอาจทำให้รายได้เราเลวร้ายกว่านี้ภายใต้เศรษฐกิจที่ชะลอและคนก็ชะลอการบริโภคไปด้วย" นายทนง กล่าว
สำหรับปีนี้ตั้งเป้าที่จะขยายสาขา 30-40 สาขา โดยได้เปิดสาขาไปแล้ว 13 สาขา จากปีก่อน 190 สาขา ซึ่งจะทำให้ถึงปีนี้บริษัทจะมีสาขาทั้งสิ้น 240 สาขา โดยสาขาที่จะเปิดในปีนี้จะใช้งบเฉลี่ย 1.5 ล้านบาท/สาขา โดยงบดังกล่าวจะมาจาก cash flow ของบริษัท
นอกจากนี้บริษัทได้มีการปรับปรุงเว็บไซต์ของบริษัทเพื่อใช้ในการสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์โดยคาดว่าจะสามารถสั่งซื้อได้ใน 1 ม.ค.ปีหน้า ซึ่งจะหนุนให้ยอดขายบริษัทเติบโตขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเฉลี่ย 0.10 บาท/หุ้น/ไตรมาส ซึ่งไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ได้มีการจ่ายไปแล้ว 0.10 บาท/หุ้น เป็นไปตามนโยบายในการจ่ายปันผลของบริษัท แต่ทั้งนี้การจ่ายปันผลก็คงขึ้นอยู่กับผลประกอบการไตรมาส 4 ด้วย แต่ปัจจุบันบริษัทยังมีเงินในมือหลัก 100 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอในการจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นได้
"ผมอยากให้หุ้นของบริษัทเป็นหุ้นปันผลที่ 7-8% ต่อปี จากอัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น(ROE) เฉลี่ย 30% ต่อปี" นายทนง กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีหน้า ยอมรับว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งเป็นปัจจัยต่อการตัดสินใจ ซึ่งหากสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่ชัดเจนอาจจะทำให้การประมาณการรายได้ในปีหน้าแย่กว่าปีนี้ แต่บริษัทจะมีการประเมินประมาณการในปีหน้าในเดือนธ.ค.นี้ ในทางกลับกันหากสถานการณ์การเมืองคลี่คลายก็จะทำให้ความเชื่อมั่นกลับเข้ามาและกระตุ้นผู้บริโภคได้มากขึ้น
----------------------------------------------------------------------
มือใหม่อย่างผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ...
Worst Case
รายได้: 3,660 ลบ.
มาร์จิน: 4.5%
กำไร: 164.7 ลบ.
จำนวนหุ้น: 331,433,290 หุ้น
EPS: 0.4969
PE: 12
PRICE: EPS*PE = 5.96
DIV 0.60 Per Year = 0.60/5.96 = 10.06%
Best Case
รายได้: 3,880 ลบ.
มาร์จิน: 4.5%
กำไร: 174.6 ลบ.
จำนวนหุ้น: 331,433,290 หุ้น
EPS: 0.5268
PE: 12
PRICE: EPS*PE = 6.32
DIV 0.60 Per Year = 0.60/6.32 = 9.49%
ถ้าอย่างงั้นราคาหุ้นที่เทรดอยู่ที่ 7.45 เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 49 ก็แพงหูฉี่เลยอ่ะดิ ผมคิดอะไรพลาดไปหรือเปล่าครับ ... มือใหม่หัดขับยังงงนิดหน่อย พี่ๆโปรดชี้แนะครับ
ป.ล. ต้นทุนผมอยู่สูงกว่าราคาเทรดปัจจุบันอีกแหนะครับ (7.60 ครับ) อย่างนี้ถือว่าน่ากังวลไหมครับ
ป.ล.2 ขออนุญาตโพสต์ซ้ำ เอามาจากในห้องร้อยคนร้อยหุ้นน่ะครับ
แอบก๊อปปี้วิธีคิดราคาหุ้นพี่ YOYO มา แบบนี้ใช้ได้ไหมครับ
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
แอบก๊อปปี้วิธีคิดราคาหุ้นพี่ YOYO มา แบบนี้ใช้ได้ไหมครับ
โพสต์ที่ 2
โดยปกติผมจะวิเคราะห์ให้หุ้นมีราคาถูกไว้ก่อนครับ ผมมักจะใช้เป็นราคาในใจเวลาที่จะตัดสินใจซื้อ โดยผมจะกำหนดไว้ในใจว่าจะซื้อต่ำกว่าราคาที่ผมคำนวณได้ซัก 15% เพื่อเป็น Margin of Safety แต่หลังจากเข้าซื้อไปแล้ว ถ้าหุ้นที่ซื้อมีคุณภาพดีมากจริงๆ ราคาจะขึ้นไปเกินที่ผมคำนวณไว้ผมก็อาจจะยังไม่ขาย เพราะแต่เดิมเราคิดไว้ต่ำอยู่แล้ว
แต่การคิดแบบนี้ก็มีข้อเสียจุดใหญ่ที่ต้องระวังอยู่อย่างนึงคือ pe ที่เราจะให้ควรเป็นเท่าไหร่กันแน่ 8 10 12 หรือว่า 15 จุดนี้ไม่มีใครตอบได้ครับ ขึ้นอยู่กับว่ามุมมองของตลาดขณะนั้นรับรู้คุณภาพของหุ้นอย่างไร ในอดีตหุ้นค้าปลีกมี pe อยู่ประมาณ 7-10 เท่านั้น แต่ปัจจุบัน pe กลับพุ่งขึ้นสูงถึง 15-20 เพราะคนเริ่มหันมามองว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีคุณภาพสูง หุ้นโรงบาลก็เช่นกันแต่ก่อนก็เทรดกันแค่ pe 8-10 แต่มาตอนนี้พุ่งไปถึง 15-30 เพราะคนเริ่มรับรู้แล้วว่าหุ้นโรงบาลเป็นหุ้นที่เติบโตสูง และมีความมั่นคงสูง
ทีนี่ต้องถามดูแล้วละครับว่าคุณ vikid มีคุณภาพระดับไหน เทียบเท่าได้กับ Bigc IT KH BH พวกนั้นได้รึเปล่า ถ้าเทียบได้ pe 12 ก็อาจจะน้อยไป แต่ถ้าเทียบไม่ได้ 12 นี่ก็อาจจะเหมาะสมหรืออาจจะสูงไปแล้วก็ได้ การใช้ pe ประเมินราคาหุ้นมันเป็นศิลปะครับตอบเป็นตัวเลขเป๊ะๆเหมือนสูตรทางคณิตสาสตร์ไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญในใช้คือต้องอย่าหลอกตัวเองนะครับ
อย่าเพิ่งท้อนะครับว่าทำไมมันยุ่งแบบนี้ ลองทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็จะเริ่มจับทางได้เอง อย่างน้อยเราก็เริ่มคิดแบบเป็นระบบได้แล้ว ไม่ได้ซื้อขายโดยใช้เพียงอารมณ์อย่างเดียว
ปล.
- ปันผล se-ed 60 ตังเลยเหรอครับ กำไรต่อหุ้นยังแค่ 50 ตังเอง ผมว่าซัก 40 ตังน่าจะใกล้กว่า
- การใช้เป้าหมายของผู้บริหารมาประเมินต้องดูด้วยนะครับว่าในอดีตปกติผู้บริหารคนนี้เค้าตั้งเป้าอย่าง ชอบตั้งสูงแล้วมาลดทีหลัง หรือว่าชอบตั้งไว้ต่ำแล้วผลออกมาดีเกินคาด เพราะค่าที่บอกว่า worst case อาจจะมี worse กว่าก็ได้ ในมุมกลับกัน ที่ว่า best case ก็อาจจะมี better กว่านี้ก็ได้เหมือนกัน
แต่การคิดแบบนี้ก็มีข้อเสียจุดใหญ่ที่ต้องระวังอยู่อย่างนึงคือ pe ที่เราจะให้ควรเป็นเท่าไหร่กันแน่ 8 10 12 หรือว่า 15 จุดนี้ไม่มีใครตอบได้ครับ ขึ้นอยู่กับว่ามุมมองของตลาดขณะนั้นรับรู้คุณภาพของหุ้นอย่างไร ในอดีตหุ้นค้าปลีกมี pe อยู่ประมาณ 7-10 เท่านั้น แต่ปัจจุบัน pe กลับพุ่งขึ้นสูงถึง 15-20 เพราะคนเริ่มหันมามองว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีคุณภาพสูง หุ้นโรงบาลก็เช่นกันแต่ก่อนก็เทรดกันแค่ pe 8-10 แต่มาตอนนี้พุ่งไปถึง 15-30 เพราะคนเริ่มรับรู้แล้วว่าหุ้นโรงบาลเป็นหุ้นที่เติบโตสูง และมีความมั่นคงสูง
ทีนี่ต้องถามดูแล้วละครับว่าคุณ vikid มีคุณภาพระดับไหน เทียบเท่าได้กับ Bigc IT KH BH พวกนั้นได้รึเปล่า ถ้าเทียบได้ pe 12 ก็อาจจะน้อยไป แต่ถ้าเทียบไม่ได้ 12 นี่ก็อาจจะเหมาะสมหรืออาจจะสูงไปแล้วก็ได้ การใช้ pe ประเมินราคาหุ้นมันเป็นศิลปะครับตอบเป็นตัวเลขเป๊ะๆเหมือนสูตรทางคณิตสาสตร์ไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญในใช้คือต้องอย่าหลอกตัวเองนะครับ
อย่าเพิ่งท้อนะครับว่าทำไมมันยุ่งแบบนี้ ลองทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็จะเริ่มจับทางได้เอง อย่างน้อยเราก็เริ่มคิดแบบเป็นระบบได้แล้ว ไม่ได้ซื้อขายโดยใช้เพียงอารมณ์อย่างเดียว
ปล.
- ปันผล se-ed 60 ตังเลยเหรอครับ กำไรต่อหุ้นยังแค่ 50 ตังเอง ผมว่าซัก 40 ตังน่าจะใกล้กว่า
- การใช้เป้าหมายของผู้บริหารมาประเมินต้องดูด้วยนะครับว่าในอดีตปกติผู้บริหารคนนี้เค้าตั้งเป้าอย่าง ชอบตั้งสูงแล้วมาลดทีหลัง หรือว่าชอบตั้งไว้ต่ำแล้วผลออกมาดีเกินคาด เพราะค่าที่บอกว่า worst case อาจจะมี worse กว่าก็ได้ ในมุมกลับกัน ที่ว่า best case ก็อาจจะมี better กว่านี้ก็ได้เหมือนกัน
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 47
- ผู้ติดตาม: 0
แอบก๊อปปี้วิธีคิดราคาหุ้นพี่ YOYO มา แบบนี้ใช้ได้ไหมครับ
โพสต์ที่ 3
พี่ YOYO มาตอบเองเลยแฮะ จริงๆแล้วจะต้องสารภาพก่อนว่าไปอ่านเอาไอเดียวิธีเคาะราคาหุ้นคร่าวๆของพี่มาจากใน BLOG ของพี่นั่นแหละครับ เผอิญไปอ่านเรื่อง ILINK มาเลยอยากลองวิชาหน่อย
ตอบ ปล. พี่นะครับ ผมสังเกต PATTERN การปันผลจากการปันผลในอดีตเฉยๆน่ะครับ ดูเหมือนว่าทางผู้บริหารต้องการปันผลทุกไตรมาสเพื่อให้เกิดสภาพคล่องของหุ้น สองปีที่ผ่านมาผมตั้งข้อสังเกตว่าจะมีการปันผลทุกเดือนที่ 5, 6, 9, และ 12 โดยเดือนที่ 5 จะมีการปันผลสูงกว่าปกติ (เหมือนการเรียกความสนใจให้กับหุ้นหรือเปล่าไม่ทราบ) จะบอกว่าใช้ประวัติน้อยไปก็ใช่นะครับ แต่ว่ารวมๆแล้วผมพบว่าการปันผลจะได้ประมาณ 0.60 บาทต่อปี เลยเดาตัวเลขเอาแบบสุ่มๆแบบขอไปทีน่ะครับ แฮะๆ
แต่รู้สึกอบอุ่นจังเหมือนมีพี่ๆคอยโค้ชความรู้ให้ ยิ่งทำให้อยากเรียนรู้การเป็น VI มากขึ้นอีกเยอะเลยครับ
ตอบ ปล. พี่นะครับ ผมสังเกต PATTERN การปันผลจากการปันผลในอดีตเฉยๆน่ะครับ ดูเหมือนว่าทางผู้บริหารต้องการปันผลทุกไตรมาสเพื่อให้เกิดสภาพคล่องของหุ้น สองปีที่ผ่านมาผมตั้งข้อสังเกตว่าจะมีการปันผลทุกเดือนที่ 5, 6, 9, และ 12 โดยเดือนที่ 5 จะมีการปันผลสูงกว่าปกติ (เหมือนการเรียกความสนใจให้กับหุ้นหรือเปล่าไม่ทราบ) จะบอกว่าใช้ประวัติน้อยไปก็ใช่นะครับ แต่ว่ารวมๆแล้วผมพบว่าการปันผลจะได้ประมาณ 0.60 บาทต่อปี เลยเดาตัวเลขเอาแบบสุ่มๆแบบขอไปทีน่ะครับ แฮะๆ
แต่รู้สึกอบอุ่นจังเหมือนมีพี่ๆคอยโค้ชความรู้ให้ ยิ่งทำให้อยากเรียนรู้การเป็น VI มากขึ้นอีกเยอะเลยครับ