ถ้ามามองในมุมของ เศรษฐศาสตร์ข้างถนน แบบง่ายๆนะครับ เปรียบเทียบ ดัชนี คือ macro ส่วนตัวหุ้นคือ micro ซึ่งเป็นการทำงานสอดคล้องกัน ราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงก็จะกระทบต่อตัวดัชนีหุ้น ดังนั้น ถ้ามองกันตามหลักจริงๆแล้ว ก็ต้องคิดว่า การที่ดัชนี้หุ้นบ้านเรามิได้เติบโตอย่างที่ชาวบ้านเค้าเป็นกัน เป็นเพราะว่าตัวหุ้นบ้านเราราคามิได้เติบโต ได้ไหม
ราคาหุ้นยังไงก็ตอบสนองต่อพื้นฐานบริษัทตัวเอง ถ้ามองกันง่ายๆนะครับ
1. PTT
Q3 2006 24,320,205 (note in thousand)
Q3 2005 24,021,931
Change 1%
9monthes 2006 79,701,142
9monthes 2005 68,372,511
Change 17%
2. PTTEP
Q3 2006 6,812,914
Q3 2005 7,183,001
Change (- 5%)
9monthes 2006 21,929,075
9monthes 2005 16,917,573
Change 29%
3. SCC
Q3 2006 7,598,252
Q3 2005 8,415,521
Change (-10%)
9monthes 2006 24,776,306
9monthes 2005 27,133,716
Change (-9%)
4. ADVANC
Q3 2006 3,653,306
Q3 2005 4,178,484
Change (-13%)
9monthes 2006 13,068,690
9monthes 2005 14,108,512
Change (-7%)
5. BBL
Q3 2006 4,232,661
Q3 2005 4,816,214
Change (-12%)
9monthes 2006 13,806,950
9monthes 2005 16,392,991
Change (-16%)
6. KBANK
Q3 2006 3,075,541
Q3 2005 3,577,988
Change (-14%)
9monthes 2006 10,235,527
9monthes 2005 11,269,770
Change (-9%)
7. KTB
Q3 2006 5,078,484
Q3 2005 4,618,868
Change 10%
9monthes 2006 13,650,590
9monthes 2005 12,237,607
Change 12%
8. IRPC
Q3 2006 2,630,518
Q3 2005 3,728,547
Change (-29%) *ไม่ได้รวมบริษัทย่อยบางบริษัทไว้
9monthes 2006 9,105,127
9monthes 2005 6,040,432
Change 49%
9. SCB
Q3 2006 3,687,992
Q3 2005 5,272,561
Change (-30%)
9monthes 2006 12,082,044
9monthes 2005 14,483,067
Change (-19%)
10. TOP
Q3 2006 3,783 (note in million)
Q3 2005 6,253
Change (-40%)
9monthes 2006 14,754
9monthes 2005 13,475
Change 9%
ผลประกอบการณ์หุ้นใหญ่ เป็นเช่นดังนี้
ถ้าคำนวณดูแล้ว การที่ราคาหุ้นไทยไม่ได้ขึ้นมากนัก เป็นเพราะผลประกอบการณ์ด้วยใช่หรือไม่
ถ้าเอาเฉพาะงบ 9เดือน ของหุ้น10 ตัวรวมกัน ผลประกอบการณ์โดยรวมจะโตในระดับ 6% แต่ถ้าหัก หุ้นพลังงานใหญ่2 ตัวออกไป (**ในสัดส่วนนี้เทียบเท่า mkt cap ตลาด 30% เลยทีเดียว)จะลดลงในระดับ 3%
ส่วนถ้าดูผลประกอบการณ์ เฉพาะ q3
หุ้นใหญ่10 ตัวในตลาด ผลประกอบการณ์รวมจะลดลง 10% แต่ถ้าหักหุ้นพลังงานใหญ่2ตัว ออกไป ** จะลดลงในระดับ 17%
ทั้งนี้ยังไง ดูงบปีกันอีกทีครับ ว่าเป็นเช่นไร และคิดว่านี่เป็นเหตุผลที่ตลาดบ้านเราไม่ไปไหนหรือเปล่าครับ
ทำไม set ไม่ไปไหน ใช่เพราะเหตุนี้หรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ทำไม set ไม่ไปไหน ใช่เพราะเหตุนี้หรือไม่
โพสต์ที่ 2
10ตัวที่ท่านเจ้าของกระทู้ว่านั้น
ทุกคนในที่นี้มีข้อมูลเท่าเทียมกันหมด
ทุกบริษัทที่ว่ามีเรื่องธรรมภิบาลที่ดี
ถ้ามีข่าวอะไรกระทบจะมีผลการวิจัย
และแรงกระทบจากภายในประเทศและภายนอกประเทศ
ซึ่งจุดนี้รายย่อยควรจะหลีกเลี่ยงให้เป็นเกมของรายใหญ่เล่นกัน เราได้แต่ตามอย่างเดียวจะดีกว่า
นอกจากว่ารายย่อยรายนั้นมองภาพธุรกิจของ10ตัวนี้ออกเลยว่า ปีหน้ามันจะมีอะไรกระทบ อีก 2 ปีจะมีอะไรกระทบ อีก3ปีอะไรกระทบมัน ก็สามารถลงทุนได้
เรานั้นไม่สามารถลงทุนในหุ้นทั้งหมดในSETได้อยู่แล้วแต่ทว่าเราหรือใครก็สามารถเลือกได้อยู่แล้วว่าจะลงทุนกับตัวแทนของหุ้นที่อยู่ในSETที่ผ่านการคัดกรองอย่างดี
ตัวแทนที่เลือกมานั้น มันสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆๆที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่า เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากกว่า
ทุกคนในที่นี้มีข้อมูลเท่าเทียมกันหมด
ทุกบริษัทที่ว่ามีเรื่องธรรมภิบาลที่ดี
ถ้ามีข่าวอะไรกระทบจะมีผลการวิจัย
และแรงกระทบจากภายในประเทศและภายนอกประเทศ
ซึ่งจุดนี้รายย่อยควรจะหลีกเลี่ยงให้เป็นเกมของรายใหญ่เล่นกัน เราได้แต่ตามอย่างเดียวจะดีกว่า
นอกจากว่ารายย่อยรายนั้นมองภาพธุรกิจของ10ตัวนี้ออกเลยว่า ปีหน้ามันจะมีอะไรกระทบ อีก 2 ปีจะมีอะไรกระทบ อีก3ปีอะไรกระทบมัน ก็สามารถลงทุนได้
เรานั้นไม่สามารถลงทุนในหุ้นทั้งหมดในSETได้อยู่แล้วแต่ทว่าเราหรือใครก็สามารถเลือกได้อยู่แล้วว่าจะลงทุนกับตัวแทนของหุ้นที่อยู่ในSETที่ผ่านการคัดกรองอย่างดี
ตัวแทนที่เลือกมานั้น มันสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆๆที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่า เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไม set ไม่ไปไหน ใช่เพราะเหตุนี้หรือไม่
โพสต์ที่ 3
ทำไมตลาดอินโดนีเซียถึงโต
ก็คงมองแบบเศรษฐกิจพื้นฐานชาวบ้านแบบ เด็กโง่ๆอย่างผมมองนะครับ ตัวหุ้นจะตอบสนองไปถึงดัชนี ถ้าตัวหุ้นไม่ไป ดัชนีก็ไม่ไป และยิ่ง ตัวหุ้นที่มี impact กับ ดัชนีสูง เติบโต ดัชนีก็ยิ่งเติบโตเร็ว
หุ้นที่จะแนะนำกลุ่มแรกก็คงเป็น หุ้นกลุ่มสื่อสาร TLKM กับ ISAT ที่ถือว่าร้อนแรงที่สุดในช่วงเวลานี้
ถ้าเทียบหุ้น TLKM กับ บริษัทในบ้านเราก็คงเปรียบได้กับ TOT หรือว่า CAT แล้วก็อาจจะรวม TRUE และ TT&T เข้าไปได้อีก ซึ่ง TLKM เป็นบริษัททีดำเนินงานเกี่ยวกับ การสื่อสารทางสายโทรศัพท์บ้าน ให้บริการ INTERNET ให้บริการ MOBILE รวมไปถึงธุรกรรม การโทรออกต่างประเทศ
และการที่ อินโดนีเซียเป็นประเทศใหญ่และการสื่อสารยังโตได้อีกมาก รวมไปถึงธุรกรรม 3G ซึ่งจะเริ่มใช้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีหน้า ก็ยิ่งส่งผลให้ TLKM น่าสนใจยิ่งขึ้น
TLKM จัดได้ว่า เป็นหุ้น MKT CAP ใหญ่สุดของตลาดอินโดนีเซียเลยทีเดียว เทียบเท่ากับ 15-16%ของมูลค่ารวมตลาด และมีมูลค่า MKT CAP มากกว่า PTT ของบ้านเราด้วยครับ
TLKM ให้ผลตอบแทนปีล่าสุดไม่รวม dividend สูงถึง 68% ส่วน TLK ซึ่งเทรดที่ตลาด NYSE ให้ผลตอบแทน 85% มีผลเรื่องค่าเงินด้วยครับ
อ้างอิง: http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=TLKM.JK&t=1y
อ้างอิง: http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=TLK&t=1y
ส่วนงบการเงิน TLKM มี net income เพิ่มขึ้นในระดับ63% เมื่อเทียบ YOY สำหรับงวด 9 เดือน
ส่วน Q3 YOY มีnet income เพิ่มขึ้นในระดับ 53%
สำหรับ outlook ในปีหน้า TLKM คาดว่าผลประกอบการณ์น่าจะยังโตในระดับสูง เนื่องด้วยจะเริ่มรับรู้รายได้ เกี่ยวกับการให้บริการ 3G อย่างเป็นทางการเข้ามา
ส่วน Sector สำคัญของ ตลาดหุ้น Indonesia คือ กลุ่ม finance ซึ่งถือได้ว่า เป็น Sector ที่มีมูลค่า MKT CAP สูงสุด จะขอยกตัวอย่าง 3 Banks ละกันนะครับ เพราะถือได้ว่าเป็นสัดส่วนถึง ร้อยละ 80 ของมูลค่ารวมของ sectorนี้
1. BBCA (PT Bank Central Asia Tbk)
ราคาหุ้น เติบโตสูงในระดับถึง 77% เลยทีเดียวในปีนี้
อ้างอิง : http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=BBCA.JK&t=1y
ส่วนผลประกอบการณ์โตขึ้นในระดับ 19% เมื่อเทียบ YOY
มี Income margin สูงถึง 36.3%
2. BBRI (Bank Rakyat Indonesia Tbk)
ราคาหุ้น เติบโตสูงในระดับถึง 71.6%
อ้างอิง : http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=BBRI.JK&t=1y
ส่วนผลประกอบการณ์โตขึ้นในระดับถึง 59%
มี Income margin ระดับ 28.36%
3. BMRI (Bank Mandiri Tbk)
ราคาหุ้น เติบโตสูงในระดับถึง 81%
อ้างอิง : http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=BMRI.JK&t=1y
มีผลประกอบการณ์สำหรับnet income รวมโตขึ้น 3% ในส่วน EPSลดลง 3% ใน q ล่าสุด แต่9เดือนเติบโตในระดับ 33% ส่วน qoq เพิ่มขึ้น 25% สำหรับ q3ล่าสุด
มี Income margin ระดับ 11%
สำหรับ outlook กลุ่ม banking ของอินโดนีเซียในปีนี้ ได้เล่นข่าวเรื่องการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้งบ bank ในหลายตัวปรับตัวสูงขึ้น รวมไปถึงราคาได้ตอบสนองมองไปถึงผลประกอบการณ์ในปีหน้าแล้ว โดยจะเห็นได้ชัดว่า ราคาปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังอย่างชัดเจน
หุ้นใหญ่อีกหนึ่งตัวที่จะแนะนำ สำหรับตลาดอินโดนีเซีย ก็คือหุ้นในกลุ่มพลังงาน PGAS หรือว่า บริษัท PGNแต่ว่า MKT CAP ยังถือว่าน้อยกว่า BBCA และ BBRI ด้วยซ้ำ แต่ก็มีมูลค่าใกล้เคียง PTTEP บ้านเรา
ในปีนี้ราคาหุ้น เติบโตสูงถึงระดับ 68% แต่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของPGAS ลงมา 16%
อ้างอิง : http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=pgas.JK&t=1y
ส่วน ผลประกอบการณ์ บริษัท PGN โตในระดับ 190% เฉพาะครึ่งปีนี้นะครับ เพราะยังไม่มีข้อมูล update ตรงที่ผมได้เห็นรายงาน สำหรับงวด 9 เดือน
สำหรับ PGN ก็ได้รับผลกระทบ เรื่องราคาก๊าซตลาดโลดลดลงจากปีก่อนลงมา แต่ได้เรื่อง ภาคผลิตที่เพิ่มขึ้นมาช่วย ส่งผลให้บริษัทยังคงรักษาระดับการเติบโตได้ และในช่วงปลายปี รัฐบาลอินโดนีเซีย ก็ได้ขายหุ้น จำนวนหนึ่งออกมาเช่นกัน ทำให้ราคา PGAS ลดลงมา
นี่คือส่วนหนึ่งของตลาดหุ้น อินโดนีเซีย แค่หุ้นระดับ 5ตัวที่ได้เอ่ยมาแล้วนี้นั้น ก็เทียบมูลค่าได้ถึง ระดับ 60% ของmkt cap รวมของอินโดนีเซียเลยทีเดียว ซึ่งถ้าดูการเติบโต และ outlook แล้ว ก็เห็นได้เลยว่า ทำไมตลาดหุ้น อินโดนีเซียถึงโต
ก็คงมองแบบเศรษฐกิจพื้นฐานชาวบ้านแบบ เด็กโง่ๆอย่างผมมองนะครับ ตัวหุ้นจะตอบสนองไปถึงดัชนี ถ้าตัวหุ้นไม่ไป ดัชนีก็ไม่ไป และยิ่ง ตัวหุ้นที่มี impact กับ ดัชนีสูง เติบโต ดัชนีก็ยิ่งเติบโตเร็ว
หุ้นที่จะแนะนำกลุ่มแรกก็คงเป็น หุ้นกลุ่มสื่อสาร TLKM กับ ISAT ที่ถือว่าร้อนแรงที่สุดในช่วงเวลานี้
ถ้าเทียบหุ้น TLKM กับ บริษัทในบ้านเราก็คงเปรียบได้กับ TOT หรือว่า CAT แล้วก็อาจจะรวม TRUE และ TT&T เข้าไปได้อีก ซึ่ง TLKM เป็นบริษัททีดำเนินงานเกี่ยวกับ การสื่อสารทางสายโทรศัพท์บ้าน ให้บริการ INTERNET ให้บริการ MOBILE รวมไปถึงธุรกรรม การโทรออกต่างประเทศ
และการที่ อินโดนีเซียเป็นประเทศใหญ่และการสื่อสารยังโตได้อีกมาก รวมไปถึงธุรกรรม 3G ซึ่งจะเริ่มใช้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีหน้า ก็ยิ่งส่งผลให้ TLKM น่าสนใจยิ่งขึ้น
TLKM จัดได้ว่า เป็นหุ้น MKT CAP ใหญ่สุดของตลาดอินโดนีเซียเลยทีเดียว เทียบเท่ากับ 15-16%ของมูลค่ารวมตลาด และมีมูลค่า MKT CAP มากกว่า PTT ของบ้านเราด้วยครับ
TLKM ให้ผลตอบแทนปีล่าสุดไม่รวม dividend สูงถึง 68% ส่วน TLK ซึ่งเทรดที่ตลาด NYSE ให้ผลตอบแทน 85% มีผลเรื่องค่าเงินด้วยครับ
อ้างอิง: http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=TLKM.JK&t=1y
อ้างอิง: http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=TLK&t=1y
ส่วนงบการเงิน TLKM มี net income เพิ่มขึ้นในระดับ63% เมื่อเทียบ YOY สำหรับงวด 9 เดือน
ส่วน Q3 YOY มีnet income เพิ่มขึ้นในระดับ 53%
สำหรับ outlook ในปีหน้า TLKM คาดว่าผลประกอบการณ์น่าจะยังโตในระดับสูง เนื่องด้วยจะเริ่มรับรู้รายได้ เกี่ยวกับการให้บริการ 3G อย่างเป็นทางการเข้ามา
ส่วน Sector สำคัญของ ตลาดหุ้น Indonesia คือ กลุ่ม finance ซึ่งถือได้ว่า เป็น Sector ที่มีมูลค่า MKT CAP สูงสุด จะขอยกตัวอย่าง 3 Banks ละกันนะครับ เพราะถือได้ว่าเป็นสัดส่วนถึง ร้อยละ 80 ของมูลค่ารวมของ sectorนี้
1. BBCA (PT Bank Central Asia Tbk)
ราคาหุ้น เติบโตสูงในระดับถึง 77% เลยทีเดียวในปีนี้
อ้างอิง : http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=BBCA.JK&t=1y
ส่วนผลประกอบการณ์โตขึ้นในระดับ 19% เมื่อเทียบ YOY
มี Income margin สูงถึง 36.3%
2. BBRI (Bank Rakyat Indonesia Tbk)
ราคาหุ้น เติบโตสูงในระดับถึง 71.6%
อ้างอิง : http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=BBRI.JK&t=1y
ส่วนผลประกอบการณ์โตขึ้นในระดับถึง 59%
มี Income margin ระดับ 28.36%
3. BMRI (Bank Mandiri Tbk)
ราคาหุ้น เติบโตสูงในระดับถึง 81%
อ้างอิง : http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=BMRI.JK&t=1y
มีผลประกอบการณ์สำหรับnet income รวมโตขึ้น 3% ในส่วน EPSลดลง 3% ใน q ล่าสุด แต่9เดือนเติบโตในระดับ 33% ส่วน qoq เพิ่มขึ้น 25% สำหรับ q3ล่าสุด
มี Income margin ระดับ 11%
สำหรับ outlook กลุ่ม banking ของอินโดนีเซียในปีนี้ ได้เล่นข่าวเรื่องการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้งบ bank ในหลายตัวปรับตัวสูงขึ้น รวมไปถึงราคาได้ตอบสนองมองไปถึงผลประกอบการณ์ในปีหน้าแล้ว โดยจะเห็นได้ชัดว่า ราคาปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังอย่างชัดเจน
หุ้นใหญ่อีกหนึ่งตัวที่จะแนะนำ สำหรับตลาดอินโดนีเซีย ก็คือหุ้นในกลุ่มพลังงาน PGAS หรือว่า บริษัท PGNแต่ว่า MKT CAP ยังถือว่าน้อยกว่า BBCA และ BBRI ด้วยซ้ำ แต่ก็มีมูลค่าใกล้เคียง PTTEP บ้านเรา
ในปีนี้ราคาหุ้น เติบโตสูงถึงระดับ 68% แต่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของPGAS ลงมา 16%
อ้างอิง : http://sg.finance.yahoo.com/q/bc?s=pgas.JK&t=1y
ส่วน ผลประกอบการณ์ บริษัท PGN โตในระดับ 190% เฉพาะครึ่งปีนี้นะครับ เพราะยังไม่มีข้อมูล update ตรงที่ผมได้เห็นรายงาน สำหรับงวด 9 เดือน
สำหรับ PGN ก็ได้รับผลกระทบ เรื่องราคาก๊าซตลาดโลดลดลงจากปีก่อนลงมา แต่ได้เรื่อง ภาคผลิตที่เพิ่มขึ้นมาช่วย ส่งผลให้บริษัทยังคงรักษาระดับการเติบโตได้ และในช่วงปลายปี รัฐบาลอินโดนีเซีย ก็ได้ขายหุ้น จำนวนหนึ่งออกมาเช่นกัน ทำให้ราคา PGAS ลดลงมา
นี่คือส่วนหนึ่งของตลาดหุ้น อินโดนีเซีย แค่หุ้นระดับ 5ตัวที่ได้เอ่ยมาแล้วนี้นั้น ก็เทียบมูลค่าได้ถึง ระดับ 60% ของmkt cap รวมของอินโดนีเซียเลยทีเดียว ซึ่งถ้าดูการเติบโต และ outlook แล้ว ก็เห็นได้เลยว่า ทำไมตลาดหุ้น อินโดนีเซียถึงโต