+กลยุทธ์การลงทุนของขาใหญ่ในปี 2550+

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
beammy
Verified User
โพสต์: 3345
ผู้ติดตาม: 0

+กลยุทธ์การลงทุนของขาใหญ่ในปี 2550+

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ขาใหญ่กับตลาดหุ้นปี 2550
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 25 January 2007 04:58

กลยุทธ์การลงทุนของ ธนกฤต เลิศผาติ (ไฮ้ ส้มตำ) จะมีทิศทางเหมือนกับ สมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์(เสี่ยแตงโม) ที่จะเน้นการสภาพคล่องในตัวหุ้น และสามารถเข้าออกได้อย่างสบาย ภายในวันเดียว โดยไม่มีปัญหา รวมถึงการเลือกที่จะลงทุนในหุ้นที่ราคายังไม่ขึ้นมา
         เพราะตลาดหุ้นมีหุ้นให้เลือกลงทุนมากมายเกือบ 500 ตัว เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปเลือกตัวที่ขึ้น ในกรณีที่มีหุ้นอยู่ในมืออยู่แล้ว ราคาเกิดปรับตัวขึ้นไปอีก จะไม่มีการซื้อเพิ่มเพราะเชื่อว่า หุ้นแต่ละตัว จะมีมาร์เก็ต เมกเกอร์ ดูแลอยู่ เป็นเหตุให้มีออร์เดอร์ไหลเข้ามา
         การปรับตัวของหุ้นที่ขึ้นมาจนถึงระดับหนึ่งที่คิดว่าสูงแล้ว หรือเกินพื้นฐานแล้ว ราคาก็จะนิ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ บรรดา มาร์เก็ต เมกเกอร์เหล่านี้ จะมีเป้าหมายกำไรอยู่ในใจอยู่ที่ประมาณ 30% ตรงนี้ต้องระวังให้ดี
         "สำหรับการลงทุนส่วนตัว ถ้าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา 20% ผมก็จะเริ่มทยอยขายออกไปก่อน แต่ถ้าเกิดในกรณีที่เกิดขาดทุนก็จะขายหุ้นทันที จะไม่รอให้ลงมากกว่านี้ "
         การหาข้อมูลสำหรับการลงทุน ส่วนใหญ่ จะดูจากกราฟ เป็นส่วนหลัก เพราะส่วนใหญ่หุ้นตัวไหนที่จะมีข่าวดี หรือมองแล้วมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น จะต้องมีคนวงในมาสะสมหุ้นก่อนจากนั้นก็จะดูพื้นฐาน บวกกับภาวะตลาดโดยรวมว่ายังอยู่ในทิศทางที่ดีหรือไม่ ถ้าทุกอย่างโอเคก็จะเข้าไปทยอยสะสม
         โดยเบื้องต้นจะเข้าไปสะสมหุ้นก่อนประมาณ 70 % จากนั้นก็จะทยอยซื้อให้ครบภายใน2-3 วันเท่านั้น แต่ถ้าเกิดว่าซื้อแล้วราคาไม่ขึ้น ก็จะหยุดดูสถานการณ์ก่อน ซึ่งถ้าหุ้นปรับตัวลงมาจะแตะระดับ 2 % ก็จะทำการขายออกมาทั้งหมดเลย ไม่รอให้ถึง 5% แต่ถ้าเกิดซื้อแล้วขึ้น ก็จะซื้อให้เต็มพอร์ต
         "ประเด็นหลักคือ ต้องซื้อให้ต่ำที่สุด เพื่อเป็นการป้องกันในกรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาจะได้ไม่เจ็บตัวมากนัก ซึ่งทำให้เราสามารถที่จะเรียกผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากหุ้นตัวนั้น จากการเข้าไปลงทุนในหุ้นตัวใหม่ได้ไม่ยากนัก"
         นอกจากนี้ จะเลือกหุ้นเล่นเป็นรอบๆ เพราะระยะเวลาในการทำปรับตัวของหุ้นหนึ่งตัวจะอยู่ที่ประมาณ 3-4 เดือน ฉะนั้น ต้องเราต้องหาหุ้นที่กำลังจะขึ้นภายในเดือนแรกให้ได้เดือนที่ 2 เดือนที่ 3 ก็จะทำให้ได้กำไรจากการลงทุนได้
         " หุ้นแต่ละตัวจะมีรอบของมันเอง เพียงแต่เราต้องเข้าให้ถูกรอบ ขายให้ถูกรอบซึ่งจะทำให้ได้กำไรจากการลงทุน"
         การลงทุนของ ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ (ศิริวัฒน์ แซนด์วิส) จะไม่แนะให้เล่นโดยใช้บัญชีมาร์จิ้น เพราะสามารถสร้างผลขาดทุนให้เกิดขึ้นอย่างมหาศาลเลย โดยเฉพาะตอนที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลง ต้องโดนบังคับขาย(Force Sell ) และถ้าไม่มีเงินสดจริง ก็ไม่ควรเล่น หรือเล่นเท่าที่มี
         สำหรับวิธีเลือกหุ้น จะเน้นหุ้นพื้นฐานดี ซึ่งส่วนใหญ่ นักลงทุนรายใหญ่บ้านเรา มักจะดูสัญญาณทางเทคนิคเป็นหลักทั้งนั้น แต่กราฟ หรือเทคนิคเหล่านี้ สร้างได้ จึงอยากให้ยึดหลักพื้นฐานเป็นสำคัญ
         นักลงทุนที่ยึดพื้นฐานของบริษัทเป็นหลักแล้ว คงต้องดูที่ราคาหุ้นที่เข้าไปซื้อ เพราะส่วนใหญ่มักจะเจอปัญหาที่ว่า "ขายหุ้นเสร็จ หุ้นก็ขึ้นทันที พอซื้อหุ้นเข้า ราคาร่วงทันที" ซึ่งผมได้ประสบกับเหตุการณ์แบบนี้มาโดยตลอด
         "ถ้าเป็นเช่นนี้ เมื่อใดที่คิดจะขายหุ้นก็ให้ขายก่อน 10 หุ้น ซึ่งเป็นการขายเพื่อให้หุ้นมันขึ้นก่อน จากนั้นค่อยเทขายออกหมด ในขณะเดียวกัน ถ้าจะซื้อหุ้นให้ซื้อก่อน 10 หุ้น จากนั้นพอหุ้นลงก็ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งถัวเฉลี่ย ให้ดูจังหวะรับให้ดี แต่ถ้าไม่ลงลึก ก็ให้ไปลงทุนตัวอื่นแทน"
         สำหรับทฤษฏีนี้ มีการบันทึกเป็นสถิติส่วนตัวของผมเองว่า ใน 10 ครั้ง มี 6 ครั้งที่ถูกต้อง แต่ทั้งนี้ อยากให้มีการตั้งเป้าหมายของกำไรที่จะได้ เช่น ถ้าหุ้นตัวนั้นมีกำไร 20 %ให้ขายทันที แต่ถ้าเกิดสภาพตลาดวันนั้นดีเหลือเกิน ก็ให้ขายออกไปก่อน 10% ส่วนที่เหลือให้ไปตั้งที่ราคาซิลลิ่งไว้เลย ไม่ต้องไปนั่งเฝ้าจอเลย นอกจากนี้พยายามลงทุนโดยมองอนาคตของบริษัทประกอบด้วย
         ทั้งนี้ศิริวัฒน์ ยังย้ำเตือนนักลงทุนทั่วไปว่า "อย่ายึดการเล่นหุ้นเป็นอาชีพหลัก" "อย่าหวังรวยจากการลงทุนในตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียว" โดยให้มองเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของการลงทุนเท่านั้น และ "อย่าหลงไปกับความโลภจากการลงทุนในตลาดหุ้น"
         อย่างไรก็ตาม ให้คิดเสียว่าการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าเงินฝากก็แล้วกัน ไม่ควรจัดพอร์ตที่มีแต่หุ้นเก็งกำไรทั้งหมด เพราะแม้แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็น มาร์เก็ตเมกเกอร์เอง หรือคนที่ดูแลหุ้นเอง ก็ไม่สามารถซื้อหุ้นได้ที่ราคาต่ำสุด และขายได้ที่ราคาสูง ซึ่งถ้าทำได้จริง คงจะเป็นเพราะความ "เฮง" ที่ไม่ใช่ความ "เก่ง"
         "นักลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นเพียงรายย่อย ที่ไม่ใช่ผู้บริหาร ไม่มีอินไซด์ มีแต่ดูตามปัจจัยพื้นฐาน และดูสัญญาณทางเทคนิค หรือไม่ก็ถามเพื่อนบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในฐานะที่เสียเปรียบทั้งหมด เพียงแต่จุดเดียวที่ดีสำหรับนักลงทุนรายย่อย คือการเป็นเจ้าของบริษัท โดยที่ไม่ต้องมีการจ้างพนักงาน ถ้าเวลาจะเลิกกิจการก็ขายหุ้นทิ้ง ไม่ต้องห่วงว่าบริษัทจะมีคนทำธุรกิจและข้อสำคัญ คือกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ต้องเสียภาษี "
         ด้าน วัชระ แก้วสว่าง (เสี่ยป๋อง) ถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่ ที่ไม่สไตล์การลงทุนไม่ตายตัว ส่วนใหญ่จะเน้นการปรับการลงทุนของตนเองให้เข้ากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยจะเน้นปรับพอร์ตลงทุนไปตามสถานการณ์ว่า ช่วงนี้ควรที่จะเป็นพอร์ตการลงทุนระยะยาว หรือสั้น ซึ่งจะอาศัยดูภาพรวมของตลาดหุ้นเป็นหลัก นอกจากนี้ยังหาข้อมูลจากการอ่านบทวิเคราะห์ และไปCompany Visits บริษัทที่จะเข้าไปลงทุนด้วย
         "การลงทุนในตลาดหุ้นไทย มีช่วงเวลาของการลงทุนที่เป็นความสุข แสนจะน้อยเหลือเกิน และถ้าไม่มีการปรับตัวก็จะอยู่ยาก แต่สิ่งที่สำคัญหนึ่งในเรื่องคือเรื่องของพื้นฐานและต้องจำให้ได้ว่าบริษัทนี้มีความเคลื่อนไหวอย่างไร อุตสาหกรรมที่บริษัทนี้เข้าไปเกี่ยวข้องเป็นอย่างไร ต้องจำให้หมด"
         จากนั้นเมื่อถึงเวลาที่จะเข้าไปลงทุนในหุ้น จะอาศัยกราฟเป็นหลัก เพื่อไม่ให้ติดหุ้นนานซึ่งการใช้สัญญาณทางเทคนิคเป็นเครื่องตัดสินใจของจังหวะการลงทุน ซึ่งจะต่างจากนักลงทุนรายอื่นที่มองว่า ถ้าหุ้นขึ้นไปแล้ว 20-30% ก็จะไม่เข้าลงทุน แต่สำหรับวัชระแล้ว กลับมองว่า "เหนือฟ้า ยังมีสวรรค์" อยู่อีกไม่รู้กี่ชั้น ตราบใดทรงกราฟหุ้นตัวนั้นยังดีอยู่ ก็ยังสามารถเข้าไปลงทุนได้
         ในทางกลับกัน ถ้าหุ้นร่วง "นรก" ก็มีลึกอยู่ไม่รู้กี่ขุม ไม่มีคำว่าถูกหรือแพงในตลาดหุ้น ยกตัวอย่างหุ้น KK ตอนนั้นราคา 1 บาท เจ้าของหุ้นเทขายก็มีให้เห็น แต่จากนั้นไม่นาน หุ้นก็ขึ้นไปที่ 80 บาท และสามารถลงมาที่ระดับ 14 บาท ก็มีให้เห็น ของแบบนี้เราไม่สามารถฟันธงได้ว่าถูกหรือแพง
         ส่วนหลักสำคัญในการลงทุนจะเน้น ดูสัญญาณทางเทคนิค ซึ่งการอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ จะเป็นสิ่งที่อาจทำให้เกิดสิ่งรบกวน โดยเฉพาะช่วงหลัง ยิ่งไม่อ่านเลย สำหรับการดูกราฟจะใช้ประสบการณ์มาร่วมดูด้วย ว่าสัญญาณแบบนี้ได้ตังค์ สัญญาณแบบนี้เสียตังค์ ก็จะไม่เข้า รวมถึงราคาหุ้นในอดีตด้วย
         สรุป ให้ดูพื้นฐานก่อนเลือกหุ้น จากนั้นให้ใช้สัญญาณทางเทคนิค เป็นจังหวะในการซื้อหุ้น
         สำหรับมุมมองของ วิชัย วชิรพงษ์(เสี่ยยักษ์) นักลงทุนรายใหญ่คนสุดท้าย ที่มีมุมมองความคิดเห็นตรงข้ามกับ ศิริวัฒน์ที่ว่า "อย่าคิดว่าต้องเอาตลาดหุ้นมาเป็นอาชีพ" แต่กลับมองว่า การลงทุนในตลาดหุ้น"ต้องเป็นมืออาชีพ"
         ส่วนเรื่องกราฟ หรือสัญญาณทางเทคนิค โดยส่วนตัวขอยืนยันว่า เทคนิคคัลไม่เคยหลอกใคร ถ้าคุณเก่งจริง รู้จริง มันจะสามารถเปิดทางให้คุณได้ ต้องขึ้นอยู่ที่ว่าคุณเป็นมืออาชีพได้มากแค่ไหน ยกตัวอย่างจากเรื่องจริง ผมมีพี่ชายคนหนึ่ง เป็นหมอ นำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น 40 ล้านบาท และปัจจุบันขาดทุนหมดไม่เหลือเลย ซึ่งบทเรียนตอนนั้น ทำให้เกิดการเรียนรู้ว่า ตอนที่หุ้นขึ้นก็ไม่ขาย เพราะอ้างว่าอยู่ในห้องผ่าตัด ขายหุ้นไม่ได้ โดยไม่มีการเตรียมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าเลย
         เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่คนที่ทำผิดพลาดมักจะไม่โทษตัวเอง กลับจะอ้างเหตุอ้างผลต่างๆ นานา โทษคนอื่น แต่ไม่เคยโทษตัวเองเลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังไม่พร้อมที่จะเป็นมืออาชีพ ที่จะเข้ามาเล่นหุ้น
         นอกจากนี้เพื่อนคนหนึ่ง อายุ 70 ปี ประสบความสำเร็จในธุรกิจ มาลงทุนในตลาดหุ้น ตอนแรกที่เข้ามานำเงินมาลงทุน 10 ล้านบาท แต่พอเวลาผ่านไปเหลือเพียง 3ล้านบาท จนปัจจุบันเหลือเพียง 1 ล้านบาท ตรงนี้กำลังจะบอกว่า การลงทุนโดยไม่พัฒนาศึกษาหาข้อมูล หรือเปิดกว้างให้ความรู้ใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต ก็จะทำให้พอร์ตการลงทุนของคนๆ นั้น หดเหลือน้อยลง
         "การลงทุนในตลาดหุ้นเหมือนเป็นการเฝ้ายาม ทุกเช้าต้องตื่นมาเฝ้าหน้าจอ และต้องนิ่ง เพื่อดูว่าหุ้นตัวไหนที่เราจะเข้าไปเล่นได้ จากนั้นก็เข้าไปลงทุน"
         นักลงทุนที่ดี ต้องทำการบ้านทุกวัน โดยการจดไดอารี่ข้อมูลที่เกี่ยวกับความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ถือเป็นการทบทวนตัวเอง กับสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้น เจ็บตรงไหนโดนหลอกอย่างไร สิ่งเหล่านี้ต้องจำไว้เป็นบทเรียน
         นอกจากนี้ การให้ความสำคัญกับการเข้ากลุ่ม ถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ มักจะไม่ค่อยจะแชร์ความคิดกับคนอื่น และมักจะตัดสินใจเอง และเข้าข้างตนเองทั้งหมด โดยที่ไม่มีการหาข้อมูล จากกลุ่มเพื่อนๆ
         "ต้องพยายามเกาะกลุ่มเพื่อที่จะได้แนวคิด ความคิดจากคนอื่นๆ ส่วนจะเชื่อหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง"
โพสต์โพสต์