ระทึก !ตลาดหุ้นวันตัดสินคดียุบพรรค นักลงทุนรายใหญ่ ทั้งเซียนหุ้นพอร์ตพันล้าน และกองทุนรวมหยุดเทรด รอเหนี่ยวไกหลังผลตัดสิน ขาใหญ่เผยหากสถานการณ์รุนแรงจะทิ้งหุ้นล้างพอร์ต ขณะเงินนอกที่เป็นฮอตมันนี่เล็งแผลงฤทธิ์ หลังก่อนหน้านี้ซุ่มซื้อเก็งข่าวยุบพรรค
"ฐานเศรษฐกิจ"สอบถามนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นที่มีเงินลงทุนหรือพอร์ตระดับพันล้านบาท ต่างตอบตรงกันว่าวันที่ 30 พฤษภาคม จะหยุดการซื้อขายหุ้นโดยจะเฝ้ารอดูผลการตัดสินคดียุบพรรค ขณะที่กองทุนรวมบางรายจับตาตลาดหุ้นนาทีต่อนาที เพื่อรอจังหวะเก็บหุ้นเป้าหมายที่คาดว่าอาจได้ของถูก
นายวิชัย วชิรพงษ์ หรือ เสี่ยยักษ์ กล่าวว่า จะหยุดการซื้อขายหุ้นชั่วคราวเพื่อรอผลการตัดสินคดียุบพรรค แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีข่าวร้าย หรือหากมีข่าวร้ายก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นมากนัก ดังนั้นหากหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีราคาปรับลงก็จะใช้โอกาสนี้ซื้อหุ้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนให้เต็มพอร์ตจากปัจจุบันที่มีหุ้นในพอร์ต 60-70 %
นายวิชัย ยังประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นวันที่ 30 พฤษภาคมว่า ในระหว่างวันที่รอผลการตัดสินคดียุบพรรค คงไม่มีนักลงทุนเข้าเก็งกำไรมากนัก เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยที่ชอบเล่นเก็งกำไรนั้นเหลือไม่มากแล้ว เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา (2548-2549)นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จะขาดทุนจากการเข้าเก็งกำไรหุ้นตามกระแสข่าว ฉะนั้นผู้กำหนดทิศทางตลาดหุ้นในขณะนี้คือนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งหากเทียบดูจะมีสัดส่วนการลงทุนคิดเป็น 50 % ของมูลค่าการซื้อขายโดยรวม
นายสมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ หรือ เสี่ยแตงโม กล่าวว่า จากการประเมินสถานการณ์เชื่อว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งจากประสบการณ์ที่เล่นหุ้นมาประมาณ 10 ปี เมื่อใดก็ตามที่คนส่วนใหญ่ประเมินสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นว่ามีความรุนแรง แต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอย่างที่คิด เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่คนส่วนใหญ่ได้ประเมินไว้อย่างนั้นโดยส่วนตัวก็ชื่อว่าจะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ของคนส่วนใหญ่แน่นอน
อย่างไรก็ตามแม้เซียนหุ้นรายนี้จะประเมินว่าสถานการณ์ไม่น่าจะรุนแรง แต่กล่าวว่าก็ยังลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยช่วงนี้ถือครองหุ้นเพียง 60 % ของพอร์ตเท่านั้น เนื่องจากกังวลพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ส่วนใหญ่ยังคงขายออกมาต่อเนื่องและมีลักษณะการซื้อขายที่สั้นลง จึงทำให้ไม่มั่นใจสถานการณ์ตลาดหุ้นนัก อย่างไรก็ตามหากสัญญาณปัจจัยการเมืองชัดเจนกว่านี้ก็จะลงทุนในหุ้นเต็มพอร์ต แต่ยอมรับว่ายังเป็นการลงทุนแบบระมัดระวัง เพราะเมื่อเทียบกับการลงทุนในภาวะปกติจะมีการซื้อขายที่ระดับ 200 % ของพอร์ตซึ่งมาจากบัญชีกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์หรือ เครดิตบาลานซ์ด้วย
อย่างไรก็ตามนายสมเกียรติ กล่าวว่า หากสถานการณ์เกิดความรุนแรงก็คงต้องทบทวนการลงทุนใหม่อีกครั้งจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและอาจถึงขั้นขายหุ้นจนหมดพอร์ต
นายวัชระ แก้วแสง หรือ เสี่ยป๋อง กล่าวเช่นเดียวกันว่าจะหยุดซื้อขายหุ้นเพื่อรอดูผลการตัดสินของศาลก่อนเช่นกัน และยอมรับว่าในระหว่างที่ตลาดหุ้นเปิดซื้อขายนั้น จะมีการประเมินสถานการณ์ว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะมีการซื้อหรือขาย แต่หากประเมินสถานการณ์ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เชื่อว่าผลที่ออกมาจะเป็นข่าวดีคิดเป็น 70 % ส่วนอีก 30 % นั้นยังขอรอดูสถานการณ์ก่อน อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาด(ผลออกมาเป็นบวก) ตลาดหุ้นไทยก็คงไม่ปรับลงไปต่ำกว่า 600 จุดแน่นอน เนื่องจากดัชนีที่ระดับ 700 จุดก็ถือว่าถูกแล้ว
นายวัชระ กล่าวว่า หากสถานการณ์เป็นบวก มีความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะเพิ่มการลงทุนในหุ้น หลังจากที่ก่อนหน้านั้น กล่าวคือ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารวันที่ 19 กันยาน 2549 ที่มีหุ้น 60 %ของพอร์ตลงทุน อีกทั้งได้ลดระยะเวลาการลงทุนจากเดิมจะอยู่ที่ประมาณ 6-8 เดือน เป็นถือครองนานไม่เกิน 2 สัปดาห์ โดยหากมีกำไรก็จะขาย หรือมีข่าวไม่ดีมากระทบก็จะเทขายหุ้นออกจนหมดพอร์ต ฉะนั้นหลังวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ จะทำให้มีผลต่อการตัดสินใจในการลงทุน
อย่างไรก็ตามหากประเมินสถานการณ์ในระยะยาว 6 เดือนข้างหน้า โดยมีการกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน เชื่อว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นทำสถิติใหม่ที่ 800 กว่าจุดได้แน่นอน และถือว่าเป็นสถิติสูงสุดในรอบ10 ปี หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เนื่องจากปัจจุบันมีปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นไทย คือ เป็นตลาดที่ราคาหุ้นถูกที่สุดในภูมิภาค ขณะที่ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านได้ทำสถิติสูงสุดหหมดแล้ว แม้กระทั่งเวียดนามที่ดัชนีปรับขึ้นไประดับ 1,000 จุดแล้วเช่นกัน
นายธนกฤต เลิศผาติ หรือ เสี่ยไฮ้ส้มตำ กล่าวว่า แม้ผลการตัดสินยุบพรรคออกมาในทางบวก ก็ไม่ได้จูงใจให้เข้าลงทุนในตลาดหุ้น โดยปัจจุบันตัวเองนั้นมีหุ้นในพอร์ตเพียง 5 % เท่านั้น ซึ่งได้ลดการลงทุนตั้งแต่เกิดเหตุรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และมองว่าตราบใดที่การเมืองไม่มีความชัดเจนก็ยังจะไม่เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้น ถึงแม้ในปีนี้นักลงทุนต่างชาติซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าอาจจะเป็นนักลงทุนระยะยาวที่มองข้ามปีว่าสถานการณ์ในประเทศไทยจะกลับสู่ปกติ และส่งผลต่อตลาดหุ้นที่จะกลับมาน่าสนใจลงทุนก็ตาม
ด้านท่าทีของผู้จัดการกองทุนในประเทศ โดย ณสุ จันทร์สม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)อยุธยา จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯจะจับตาดูสถานการณ์ทั้งก่อนและหลังการตัดสินคดียุบพรรค อีกทั้งจะดูความเคลื่อนไหวของหุ้นที่น่าสนใจและจะหาจังหวะเข้าซื้อทันทีหากมีโอกาส โดยหุ้นเป้าหมายที่จะซื้อลงทุน คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่(เมกะโปรเจ็กต์ )นอกจากนี้มีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน ที่เชื่อว่ายังเติบโตได้ดี
พร้อมประเมินว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นว่า ถ้าผลการตัดสินออกมาว่าคนผิดพรรคไม่ผิด ผลกระทบที่มีต่อตลาดหุ้นก็จะไม่มาก และคาดว่าตลาดน่าจะปรับขึ้นไปได้ แต่หากผลการตัดสินว่ายุบพรรคและตัดสิทธิการเลือกตั้ง 5 ปี ถือว่าผลกระทบรุนแรง ตลาดหุ้นก็จะปรับตัวลงแรง เนื่องจากจะส่งผลต่อการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป
นายณสุ ยังให้ความเห็นต่อกรณีที่นักลงทุนต่างชาติโชว์ยอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยนั้น พบว่ามีทั้งนักลงทุนระยะสั้นและระยะยาว โดนกลุ่มที่ลงทุนระยะยาวนั้นมองว่าเหตุการณ์วันที่ 30 พฤษภาคม เป็นปัจจัยระยะสั้น ขณะที่นักลงทุนกลุ่มนี้มองที่พื้นฐานของหุ้นว่าราคายังถูก ส่วนนักลงทุนอีกกลุ่มเป็นกองทุนประเภทบริหารความเสี่ยง หรือเฮดจ์ฟันด์ ที่เข้ามาเก็งกำไรจากเหตุการณ์ในวันที่ 30 พฤษภาคม
ขณะที่ดร.ศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี มองว่าก่อนการตัดสินคดียุบพรรคกระดานหุ้นจะนิ่ง เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่รอผลการตัดสิน โดยคาดว่าในส่วนของกองทุนรวมจะหยุดการซื้อขาย สำหรับบลจ.เอ็มเอฟซีนั้น ได้ชะลอการลงทุนมาระยะหนึ่งแล้ว และหากผลการตัดสินคดียุบพรรคออกมาในทางลบและมีสัญญาณขาย กองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของบริษัทฯ ก็จะขายออกเช่นกัน แต่มองว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์เลวร้าย อย่างไรก็ตามเท่าที่ดูกองทุนหุ้นทั้งระบบยังไม่มีสัญญาณการขายออกมา ส่วนกรณีที่นักลงทุนสถาบันโชว์ขายสุทธินั้น อาจจะเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากนักลงทุนประเภทนี้มีนโยบายการลงทุนที่ระมัดระวังสูงกว่ากองทุนรวม
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวันที่ 29 พฤษภาคม นักลงทุนขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงวันตัดสินคดียุบพรรค โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯปิดที่ 727.79 จุด ลดลง 0.14 จุด มูลค่าการซื้อขายปานกลางที่ 17,190.34 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิอีก 1,926.86 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนในประเทศทั้ง 2 กลุ่ม ขายสุทธิ โดยสถาบันขายสุทธิ 416.87 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 1,509.99 ล้านบาท