Active Portfolio Management

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Active Portfolio Management

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สืบเนื่องจากกระทู้ สูตรมหัศจรรย์ สไตล์ VI ในห้องกระทู้คุณค่า
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=32021

เห็นมีคนสนใจเยอะ ผมเลยอยากแชร์เรื่อง factor model แบบ acitive portfolio เพราะว่ามีหลักการเดียวกัน แต่เน้นทางด้าน quantitative มากกว่าตามสไตล์เด็ก quan (เด็กควอน นะครับ ไม่ใช่เด็กแคว๊น หรือเด็กแว็น)

ที่เอามาแยกลงเพราะว่าไม่อยากให้กระทู้เดิมเลอะเทอะ เพราะรู้สึกว่าถ้า post ต่อเรื่องหลังๆจะพาออกป่า ออกทะเลไปซะงั้น

สำหรับคนที่มีความรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว กรุณามาช่วยๆกันหน่อยเพราะผมก็ไม่ได้เก่งเรื่อง stat มากมายอะไร

ถ้าอ่านไม่รู้เรื่อง ขออภัยครับ เพราะผมเขียน และอธิบายให้ใครฟังไม่ค่อยเก่ง
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Active Portfolio Management

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เริ่มจากหนังสือสูตรมหัศจรรย์ก่อนครับ (ผมไม่เคยอ่านนะครับ แต่ quote จากคุณลูกอีสาน)
ลูกอิสาน เขียน:ที่มาของสูตรนี้ มีเหตุมีผลตรงตามนิยามของการลงทุนเน้นคุณค่าเลยครับ
อาจเป็นเพราะผู้เขียนก็เป็นคนที่ศรัทธาในการลงทุนแนวนี้
โดยการเสนอเป็นสูตรให้เข้าใจง่ายอย่างนี้ครับ


1.เลือกหุ้นที่ดี สามารถใช้สินทรัพย์สร้างกำไรได้สูงสุด ซึ่งเราสามารถหาได้จากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ซึ่งก็คือ ROA นั่นเอง หาได้ไม่ยาก โดยนำกำไร/สินทรัพย์ทั้งหมด คิดออกมาเป็น%


2.เลือกหุ้นที่ถูก ซึ่งก็คือหุ้นที่สร้างผลตอบแทนต่อเงินที่เราลงทุนได้สูงสุด อัตราส่วนนี้ก็คือ PE ที่เราใช้นั่นเอง หาได้จาก กำไร/มูลค่าทั้งบริษัท หรือกำไรต่อหุ้น/ราคาหุ้น คิดออกมาเป็น %



จะเห็นได้ว่าตรงกับความหมายของ vi คือเลือกหุ้นที่ดีราคาถูก


วิธีการก็ง่ายๆอย่างนี้ครับ...


1.เรียงลำดับหุ้นที่มี ROA สูงสุด ลดหลั่นกันไปตามลำดับของหุ้นทั้งตลาด 400 ตัว

2.เรียงลำดับหุ้นที่มี PE ต่ำสุดเป็นอันดับแรก และลดหลั่นกันไป


3.นำลำดับทั้งสองตัวมีบวกกัน แล้วเรียงลำดับใหม่ให้ตัวเลขน้อยที่สุดเป็นอันดับแรก และลดหลั่นกันไป

4.คัดบริษัทที่มีกำไรผิดปกติออกไป

5.เลือกลงทุนหุ้นที่อยู่ใน 30 อันดับแรก ซื้อและขายใน 1 ปีต่อมา



ง่ายๆแค่นี้ครับ.....
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Active Portfolio Management

โพสต์ที่ 3

โพสต์

เริ่มด้วย Risk กับ Sharp Ratio (Information Ratio) ก่อน

Risk = std Return
Sharp Ratio = Return/Risk

คอนเซ็ปท์ของ apm คือเราสร้าง portfolio ที่มีลักษณะคล้ายกับ Benchmark แล้ว "bet" โดยการเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนในหุ้นแต่ละตัว

Active weigh (Wactive = Wbenchmark Wportfolio)

Ractive = ∑(Wa*Ri)

Active risk = standard deviation of active return
Sharp Ratio ในที่นี้เราใช้คำว่า Information ratio (IR) = Active Return / Active Risk
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
lunch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 225
ผู้ติดตาม: 0

Active Portfolio Management

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ถ้าไม่รบกวนมากช่วย ยกตัวอย่างเลยได้ไหมครับ  :oops:
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Active Portfolio Management

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เราจะนิยามความเสี่ยงในที่นี้เป็นความแปรปรวนของผลตอบแทนนะครับ บางคนอาจจะบอกว่าความเสี่ยงคือความไม่รู้ แต่ ณ ที่นี้ขอนิยามตามนี้ละกัน
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Active Portfolio Management

โพสต์ที่ 6

โพสต์

[quote="lunch"]ถ้าไม่รบกวนมากช่วย ยกตัวอย่างเลยได้ไหมครับ
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Active Portfolio Management

โพสต์ที่ 7

โพสต์

สำหรับสมมุติฐานหลักๆคือมีอยู่สองอย่างคือ นักลงทุนเป็นประเภท risk-averse ซึ่งหมายถึงนักลงทุนรู้สึกเจ็บปวดจากการเสียเงินหนึ่งบาท มากกว่าดีใจที่ได้เงินหนึ่งบาท

อีกอย่างคือ market เป็นแบบ semi-strong efficient คือ ตลาดมีประสิทธิภาพดีระดับหนึ่ง ไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากเราสามารถหาหุ้นที่ bet against market ไม่ได้ แต่ประสิทธิภาพยังดีจนสามารถ correct กลับมาที่ราคาตามพื้นฐานได้
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Active Portfolio Management

โพสต์ที่ 8

โพสต์

เนื่องจากเราสมมุติว่านักลงทุนเป็นคนที่ชอบเสี่ยง ดังนั้นการประเมินผลงานของพอร์ตเราจะเน้นไปยัง information ratio เป็นหลัก มากกว่า return เฉยๆ การเพิ่ม IR ก็ทำได้สองแบบครับ คือเพิ่มผลตอบแทน กับ ลดความเสี่ยงนั่นเอง
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Active Portfolio Management

โพสต์ที่ 9

โพสต์

การสร้างโมเดล หรือ alpha model

alpha model มีสองแบบครับคือ exact model กับ factor model วิธีการที่สูตรมหัศจรรย์เสนอเป็นแบบ factor model ครับ

exact model คือการหา alpha โดยการคำนวณมูลค่าโดยตรงเช่นวิธี gordon's growth model หรือ discounted cash flow วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมครับเนื่องจากอย่างที่รู้ๆกันครับ การที่จะประเมิน intrinsic value ของทุกบริษัทในตลาดนี่มันจะวุ่นวายกันไปขนาดไหน

วิธีที่เป็นที่นิยมมากกว่าคือ factor model แบบสูตรมหัศจรรย์นั่นเอง โดยมีสุมมุติฐานว่า ผลตอบแทนในอนาคตของหุ้นขึ้นอยู่กับ factor ต่างๆตามที่เรากำหนดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น roa กับ p/e ในสูตรมหัศจรรย์นั่นเอง จริงๆแล้วมี factor ที่เราสามารถเลือกได้แตกต่างกันทั้งนี้แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน เช่น

ถ้าเป็นนักลงทุนที่เน้น Value อาจจะใช้ factor e/p, b/p, roe, roa, cf/p
ถ้าเป็นนักลงทุนที่เน้น Technic อาจจะใช้ ratio ราคาสูงสุดต่ำสุดในรอบกี่เดือนก็ว่าไป
หรือถ้าเป็นพวกลูกครึ่งก็สามารถเลือก factor ทาง technic มาปนๆกับ factor ทาง value ก็ด้าย  :8)

เมื่อกำหนด factor ที่เราต้องการแล้วก็ทำตามจัดลำดับหุ้นตาม alpha rank ตาม ขั้นตอนคร่าวๆดังนี้

1. หา factor ที่เราคิดว่ามีผลต่อราคาในอนาคตก่อน ถ้าตามสูตรที่คุยในกระทู้นี้คือ p/e กับ roa จริงๆแล้วจะใส่หรือเพิ่ม factor อื่นที่เราคิดว่ามีผลแทนก็ได้นะครับ

2. กำหนดน้ำหนักของแต่ละ factor เช่นเรา weight p/e ที่70% กับ roa 30% หรือถ้าธรรมดาก็เอาเท่าๆกันคือคนละครึ่ง (50%)

Note: สำหรับ factor p/e เราจะเปลี่ยนเป็น e/p เพื่อให้เรียงลำดับจากมากไปน้อยได้ (หมายถึงยิ่งมากยิ่งดี)

3. เอา e/p กับ roa มาหาค่าเฉลี่ย (mean) กับค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (std)

4. หา z-score ของหุ้นแต่ละตัวจาก (average - e/p หรือ roa ของหุ้นนั้นๆ)/std

5. หา alpha จาก weight ของ factor ที่เรากำหนด ถ้าตามสูตรนี้คือ = (0.5 * z-roa) + (0.5 * z-e/p)

6. เสร็จแล้วเอาค่า alpha มาเรียงจากมาไปน้อยได้ alpha rank
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Active Portfolio Management

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ในขั้นตอนข้างบนผมยกตัวอย่างโดยใช้ factor เดียวกับสูตรมหัศจรรย์ แต่อย่าลืมว่าสามารถใช้ factor อื่นๆ ได้อีกมากมาย และได้เกินสอง factor พร้อมกัน เช่น จำนวน analyst ที่ recommend buy :oops:  จำนวน revise earning ขึ้น แล้วแต่ชอบครับ
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Active Portfolio Management

โพสต์ที่ 11

โพสต์

adi เขียน:เนื่องจากเราสมมุติว่านักลงทุนเป็นคนที่ชอบเสี่ยง ดังนั้นการประเมินผลงานของพอร์ตเราจะเน้นไปยัง information ratio เป็นหลัก มากกว่า return เฉยๆ การเพิ่ม IR ก็ทำได้สองแบบครับ คือเพิ่มผลตอบแทน กับ ลดความเสี่ยงนั่นเอง
ขอแก้ครับ  :oops:
เนื่องจากเราสมมุติว่านักลงทุนเป็นคนที่"ไม่"ชอบเสี่ยง ดังนั้นการประเมินผลงานของพอร์ตเราจะเน้นไปยัง information ratio เป็นหลัก มากกว่า return เฉยๆ การเพิ่ม IR ก็ทำได้สองแบบครับ คือเพิ่มผลตอบแทน กับ ลดความเสี่ยงนั่นเอง[
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
โพสต์โพสต์