ตลาดโภคภัณฑ์-จีน 'กระทิง' ใหม่การลงทุน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1488
- ผู้ติดตาม: 0
ตลาดโภคภัณฑ์-จีน 'กระทิง' ใหม่การลงทุน
โพสต์ที่ 1
ตลาดโภคภัณฑ์-จีน 'กระทิง' ใหม่การลงทุน กูรูคอมมอดิตี้ จิม โรเจอร์ส ฟันธง
มีสามสิ่งที่จิม โรเจอร์ส กูรูระดับโลกด้านลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ประกาศให้เอาอย่าง
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : อย่างแรก คือ การลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ หรือคอมมอดิตี้ หัดพูดภาษาจีน เพราะจีน คือตัวจริง เสียงจริง ของมหาอำนาจโลกในทศวรรษที่ 21 และให้ย้ายมาอยู่ในเอเชีย เนื่องจากจะเป็นภูมิภาคที่ยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจ ขณะที่สหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะลำบาก
โรเจอร์สไม่ได้แค่พูด แต่เขาลงมือทำด้วย
เขาย้ายมาพำนักอยู่ในสิงคโปร์เพราะต้องการใช้ชีวิตในเอเชีย ที่เขาเล็งว่าจะเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกต่อไป "เอเชียเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจเพราะมีทั้งประเทศจีน และอินเดียซึ่งมีประชากรเป็นพันๆ ล้าน"
ทิ้ง เงินสกุลดอลลาร์ และทรัพย์สินในสกุลดอลลาร์ เพราะโรเจอร์สจับสัญญาณได้ว่า เงินดอลมีแต่จะอ่อนลงๆ และสถานะของอเมริกาขณะนี้ คือ ลูกหนี้รายใหญ่สุดของโลกเท่าที่เคยมีมา
ให้ลูกสาวตัวนิด เรียนและพูดภาษาจีน ซึ่งเขาตั้งใจว่าไม่ใช่แค่พูดได้ แต่ มายเบบี้ เกิร์ล ที่โรเจอร์สเรียกอย่างเอ็นดู ต้องมีสำเนียงล้งเล้งช้งเช้งแบบจีนด้วย
"จีนจะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 21 ต่อไป หลังจากอเมริกาเคยเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 20 และอังกฤษเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 19
จีนประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ระบบทุนนิยมตั้งแต่ 30 ปีที่ผ่านมา การรู้ภาษาจีนจึงเป็นทักษะที่สำคัญในอนาคต" โรเจอร์สให้เหตุผล
ส่วนการลงทุนในตลาดคอมมอดิตี้ โรเจอร์ส ซึ่งสร้างความร่ำรวยจากกองทุนควอนตัม ฟันด์ ที่เขาร่วมกับจอร์ซ โซรอส ก่อตั้งขึ้น และกองทุนของสองพาร์ทเนอร์สร้างผลตอบแทนกว่า 4,200% ขณะที่ดัชนีสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ 500 ปรับตัวขึ้นแค่ 50% เท่านั้น การันตีว่า การลงทุนรอบนี้เป็นของตลาดคอมมอดิตี้ เพราะให้ผลตอบแทนที่สูง และตลาดคอมมอดิตี้จะเข้ามาแทนที่ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ที่ผ่านพ้นยุคทองไปแล้ว
รอบของตลาดคอมมอดิตี้จะสดใสไปอีก 15-25 ปี
ตอนนี้ความยิ่งใหญ่ของตลาดคอมมอดิตี้ โรเจอร์สระบุว่า มีขนาดใหญ่เป็นที่ 2 รองจากตลาดค้าเงินเท่านั้น เพียงแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก และไม่ตระหนัก
"?การลงทุนที่ดีที่สุดขณะนี้ คือ สินค้า?โภคภัณฑ์ คาดว่าราคาสินค้าเกษตรจะพุ่งขึ้นอีกจากราคาปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอดีต
ตลาดคอมมอดิตี้จะไปถึงจุดสูงสุดเมื่อไหร่นั้น คงบอกไม่ได้ แต่ในอดีตการปรับตัวของตลาดคอมมอดิตี้ที่ยาวที่สุด คือ 23 ปี และระยะสั้นที่สุดก็ใช้เวลาประมาณ 15 ปี
ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยเยลและเพนซิลเวเนียก็คาดการณ์ว่า การลงทุนในสินค้าคอมมอดิตี้ระยะ 10 ปีข้างหน้า จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในหุ้น 300%" โรเจอร์สกล่าว
นอกจากระดับราคาสินค้าคอมมอดิตี้ที่จะปรับตัวแล้ว อีกปัจจัยที่โรเจอร์สมองว่า จะเป็นตัวผลักดันความร้อนแรงของตลาดแห่งนี้ คือ ดีมานด์และซัพพลายในสินค้าคอมมอดิตี้ จากการที่จีนและอินเดียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ทำให้ต้องการใช้สินค้าคอมมอดิตี้มาก ขณะที่การผลิตยังทำได้น้อยกว่า
"จีนกับอินเดียมีศักยภาพที่จะขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อีก จึงยังมีความต้องการสินค้าพลังงานจากผลิตผลเกษตร และสินค้าคอมมอดิตี้อื่นๆ ทำให้เกิดภาวะบูมในสินค้าเกษตร"
เพราะฉะนั้น กูรูการลงทุนสินค้าคอมมอดิตี้รายนี้จึงมองว่า สินค้าเกษตรจะมีอนาคตที่สดใส เพราะนอกจากความต้องการบริโภคแล้ว ยังสามารถใช้ผลิตพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด น้ำตาล
น้ำมัน ทองคำ เป็นอีกสินค้าคอมมอดิตี้ที่โรเจอร์สกล่าวว่า เขาจะลงทุนเพิ่ม แม้ว่าราคาจะปรับตัวลงก็ตาม
"น้ำมันเชื่อว่าราคาจะปรับขึ้นอีกตามกฎอุปสงค์กับอุปทาน เพราะไม่มีการค้นพบแหล่งน้ำมันแห่งใหม่มา 40 ปีแล้ว และตัวเลขน้ำมันสำรองของซาอุดีอาระเบียยังคงที่อยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาร์เรล ตั้งแต่ปี 2541"
ความมั่นใจในเทรนด์ลงทุนคอมมอดิตี้ของโรเจอร์สยังมาจากผลตอบแทนที่เขาได้รับจากการลงทุนในตลาดคอมมอดิตี้ทั่วโลกในระยะ 11 ปี (ส.ค. 2541- ก.ค. 2552) ที่สูงถึง 481.4%
เทียบกับดัชนีเลห์แมน แอลที เทรชเชอรี่ ซึ่งเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 91.2% และผลตอบแทนรวมจากเอสแอนด์พี อินเด็กซ์ ที่วัดผลตอบแทนจากหุ้น อยู่ที่ระดับ 32.2% เท่านั้น
โดยโรเจอร์สได้ทำดัชนีโภคภัณฑ์ชื่อ Rogers International Commodities Index หรือ RICI ขึ้นในปี 2541 และตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในสินค้าคอมมอดิตี้ต่างๆ ประกอบไปด้วยสินค้าโภคภัณฑ์จำนวน 35 ชนิด ที่ซื้อขายในตลาดล่วงหน้าทั่วโลก
สมญากูรูโลกด้านคอมมอดิตี้ จึงมิได้มาลอยๆ ผลตอบแทนจากดัชนี RICI ที่ 481.4% คงบอกได้ระดับหนึ่งถึงความแม่นยำของโรเจอร์ส
ย้อนอดีต โรเจอร์สคนนี้ ?เคยคาด?การณ์?ไว้?เมื่อ?เดือนเมษายน ปี 2549 ว่า ราคาน้ำมันดิบจะ?แตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์?เรล ?และราคาทองคำจะทะยานขึ้น?แตะระดับ 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ?เคยทำนายทายทักว่า ประเทศจีน จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ก่อนที่ใครๆ จะหายใจเข้าออกเป็นจีนเสียอีก
จนถึงกับเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ "A Bull in China" ขึ้น
ในโอกาสที่เดินทางมาเมืองไทย โรเจอร์สเลยกระตุ้นให้ประเทศไทยตื่นตัวกับตลาดคอมมอดิตี้ โดยจัดตั้งศูนย์กลางตลาดคอมมอดิตี้ในภูมิภาคนี้ขึ้น เพราะในภูมิภาคเอเชียยังไม่มีตลาดซื้อขายล่วงหน้าสินค้าคอมมอดิตี้แต่อย่างใด
ไทยเป็นทั้งผู้ผลิตสินค้าคอมมอดิตี้ เป็นผู้บริโภค และมีการเทรดสินค้านี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นประเทศไทยจึงมีศักยภาพด้านคอมมอดิตี้ กูรูชี้ช่อง
"เลี่ยงเงินดอล ลงทุนในคอมมอดิตี้" เป็นอีกสิ่งที่โรเจอร์สเน้นย้ำตลอด โดยเขาระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐเข้าข่ายย่ำแย่สุดในประวัติศาสตร์จากหนี้สิน 13 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ และหนี้สินดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านดอลลาร์ในทุก 15 เดือน
"การที่รัฐบาลแก้ไขปัญหาไม่ถูกต้อง มีนโยบายสนับสนุนการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ทำให้การลงทุนในสหรัฐไม่น่าสนใจอีกต่อไป" โรเจอร์สกล่าว
แม้จะมีความชื่นชอบในการลงทุนที่ต่างไปจากกูรูคนอื่นๆ แต่สำหรับแนวคิดในการลงทุนของโรเจอร์สก็ดูจะมีจุดยืนเดียวกับผู้รู้คนอื่นๆ คือ แนะให้ลงทุนในสิ่งที่รู้ จริง
"อย่าซื้ออะไรที่ไม่รู้ดี อย่าฟังกูรูอย่างเดียว เราจะไม่มีความเสี่ยง ถ้าเราลงทุนในสิ่งที่เรารู้ดี"
การเปลี่ยนทิศ ส่งสัญญาณการลงทุนใหม่ ทั้งตลาดคอมมอดิตี้ ค่าเงินดอลลาร์ และภูมิภาคที่น่าสนใจของโรเจอร์สก็ได้มาจากการทำการบ้าน โดยเดินทางไปทั่วโลก เพื่อหาข้อมูลทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ รวมเวลา 3 ปี 116 ประเทศ 235,000 กิโลเมตร
กูรูคนนี้จึงได้รับอีกฉายา "นักผจญภัยในตลาดทุน" หรือ "อินเดียน่าโจนส์แห่งวงการไฟแนนซ์" อีกด้วย
ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/2008/09/0 ... 290349.php
มีสามสิ่งที่จิม โรเจอร์ส กูรูระดับโลกด้านลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ประกาศให้เอาอย่าง
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : อย่างแรก คือ การลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ หรือคอมมอดิตี้ หัดพูดภาษาจีน เพราะจีน คือตัวจริง เสียงจริง ของมหาอำนาจโลกในทศวรรษที่ 21 และให้ย้ายมาอยู่ในเอเชีย เนื่องจากจะเป็นภูมิภาคที่ยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจ ขณะที่สหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะลำบาก
โรเจอร์สไม่ได้แค่พูด แต่เขาลงมือทำด้วย
เขาย้ายมาพำนักอยู่ในสิงคโปร์เพราะต้องการใช้ชีวิตในเอเชีย ที่เขาเล็งว่าจะเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกต่อไป "เอเชียเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจเพราะมีทั้งประเทศจีน และอินเดียซึ่งมีประชากรเป็นพันๆ ล้าน"
ทิ้ง เงินสกุลดอลลาร์ และทรัพย์สินในสกุลดอลลาร์ เพราะโรเจอร์สจับสัญญาณได้ว่า เงินดอลมีแต่จะอ่อนลงๆ และสถานะของอเมริกาขณะนี้ คือ ลูกหนี้รายใหญ่สุดของโลกเท่าที่เคยมีมา
ให้ลูกสาวตัวนิด เรียนและพูดภาษาจีน ซึ่งเขาตั้งใจว่าไม่ใช่แค่พูดได้ แต่ มายเบบี้ เกิร์ล ที่โรเจอร์สเรียกอย่างเอ็นดู ต้องมีสำเนียงล้งเล้งช้งเช้งแบบจีนด้วย
"จีนจะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 21 ต่อไป หลังจากอเมริกาเคยเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 20 และอังกฤษเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 19
จีนประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ระบบทุนนิยมตั้งแต่ 30 ปีที่ผ่านมา การรู้ภาษาจีนจึงเป็นทักษะที่สำคัญในอนาคต" โรเจอร์สให้เหตุผล
ส่วนการลงทุนในตลาดคอมมอดิตี้ โรเจอร์ส ซึ่งสร้างความร่ำรวยจากกองทุนควอนตัม ฟันด์ ที่เขาร่วมกับจอร์ซ โซรอส ก่อตั้งขึ้น และกองทุนของสองพาร์ทเนอร์สร้างผลตอบแทนกว่า 4,200% ขณะที่ดัชนีสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ 500 ปรับตัวขึ้นแค่ 50% เท่านั้น การันตีว่า การลงทุนรอบนี้เป็นของตลาดคอมมอดิตี้ เพราะให้ผลตอบแทนที่สูง และตลาดคอมมอดิตี้จะเข้ามาแทนที่ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ที่ผ่านพ้นยุคทองไปแล้ว
รอบของตลาดคอมมอดิตี้จะสดใสไปอีก 15-25 ปี
ตอนนี้ความยิ่งใหญ่ของตลาดคอมมอดิตี้ โรเจอร์สระบุว่า มีขนาดใหญ่เป็นที่ 2 รองจากตลาดค้าเงินเท่านั้น เพียงแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก และไม่ตระหนัก
"?การลงทุนที่ดีที่สุดขณะนี้ คือ สินค้า?โภคภัณฑ์ คาดว่าราคาสินค้าเกษตรจะพุ่งขึ้นอีกจากราคาปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอดีต
ตลาดคอมมอดิตี้จะไปถึงจุดสูงสุดเมื่อไหร่นั้น คงบอกไม่ได้ แต่ในอดีตการปรับตัวของตลาดคอมมอดิตี้ที่ยาวที่สุด คือ 23 ปี และระยะสั้นที่สุดก็ใช้เวลาประมาณ 15 ปี
ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยเยลและเพนซิลเวเนียก็คาดการณ์ว่า การลงทุนในสินค้าคอมมอดิตี้ระยะ 10 ปีข้างหน้า จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในหุ้น 300%" โรเจอร์สกล่าว
นอกจากระดับราคาสินค้าคอมมอดิตี้ที่จะปรับตัวแล้ว อีกปัจจัยที่โรเจอร์สมองว่า จะเป็นตัวผลักดันความร้อนแรงของตลาดแห่งนี้ คือ ดีมานด์และซัพพลายในสินค้าคอมมอดิตี้ จากการที่จีนและอินเดียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ทำให้ต้องการใช้สินค้าคอมมอดิตี้มาก ขณะที่การผลิตยังทำได้น้อยกว่า
"จีนกับอินเดียมีศักยภาพที่จะขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อีก จึงยังมีความต้องการสินค้าพลังงานจากผลิตผลเกษตร และสินค้าคอมมอดิตี้อื่นๆ ทำให้เกิดภาวะบูมในสินค้าเกษตร"
เพราะฉะนั้น กูรูการลงทุนสินค้าคอมมอดิตี้รายนี้จึงมองว่า สินค้าเกษตรจะมีอนาคตที่สดใส เพราะนอกจากความต้องการบริโภคแล้ว ยังสามารถใช้ผลิตพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด น้ำตาล
น้ำมัน ทองคำ เป็นอีกสินค้าคอมมอดิตี้ที่โรเจอร์สกล่าวว่า เขาจะลงทุนเพิ่ม แม้ว่าราคาจะปรับตัวลงก็ตาม
"น้ำมันเชื่อว่าราคาจะปรับขึ้นอีกตามกฎอุปสงค์กับอุปทาน เพราะไม่มีการค้นพบแหล่งน้ำมันแห่งใหม่มา 40 ปีแล้ว และตัวเลขน้ำมันสำรองของซาอุดีอาระเบียยังคงที่อยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาร์เรล ตั้งแต่ปี 2541"
ความมั่นใจในเทรนด์ลงทุนคอมมอดิตี้ของโรเจอร์สยังมาจากผลตอบแทนที่เขาได้รับจากการลงทุนในตลาดคอมมอดิตี้ทั่วโลกในระยะ 11 ปี (ส.ค. 2541- ก.ค. 2552) ที่สูงถึง 481.4%
เทียบกับดัชนีเลห์แมน แอลที เทรชเชอรี่ ซึ่งเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 91.2% และผลตอบแทนรวมจากเอสแอนด์พี อินเด็กซ์ ที่วัดผลตอบแทนจากหุ้น อยู่ที่ระดับ 32.2% เท่านั้น
โดยโรเจอร์สได้ทำดัชนีโภคภัณฑ์ชื่อ Rogers International Commodities Index หรือ RICI ขึ้นในปี 2541 และตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในสินค้าคอมมอดิตี้ต่างๆ ประกอบไปด้วยสินค้าโภคภัณฑ์จำนวน 35 ชนิด ที่ซื้อขายในตลาดล่วงหน้าทั่วโลก
สมญากูรูโลกด้านคอมมอดิตี้ จึงมิได้มาลอยๆ ผลตอบแทนจากดัชนี RICI ที่ 481.4% คงบอกได้ระดับหนึ่งถึงความแม่นยำของโรเจอร์ส
ย้อนอดีต โรเจอร์สคนนี้ ?เคยคาด?การณ์?ไว้?เมื่อ?เดือนเมษายน ปี 2549 ว่า ราคาน้ำมันดิบจะ?แตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์?เรล ?และราคาทองคำจะทะยานขึ้น?แตะระดับ 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ?เคยทำนายทายทักว่า ประเทศจีน จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ก่อนที่ใครๆ จะหายใจเข้าออกเป็นจีนเสียอีก
จนถึงกับเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ "A Bull in China" ขึ้น
ในโอกาสที่เดินทางมาเมืองไทย โรเจอร์สเลยกระตุ้นให้ประเทศไทยตื่นตัวกับตลาดคอมมอดิตี้ โดยจัดตั้งศูนย์กลางตลาดคอมมอดิตี้ในภูมิภาคนี้ขึ้น เพราะในภูมิภาคเอเชียยังไม่มีตลาดซื้อขายล่วงหน้าสินค้าคอมมอดิตี้แต่อย่างใด
ไทยเป็นทั้งผู้ผลิตสินค้าคอมมอดิตี้ เป็นผู้บริโภค และมีการเทรดสินค้านี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นประเทศไทยจึงมีศักยภาพด้านคอมมอดิตี้ กูรูชี้ช่อง
"เลี่ยงเงินดอล ลงทุนในคอมมอดิตี้" เป็นอีกสิ่งที่โรเจอร์สเน้นย้ำตลอด โดยเขาระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐเข้าข่ายย่ำแย่สุดในประวัติศาสตร์จากหนี้สิน 13 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ และหนี้สินดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านดอลลาร์ในทุก 15 เดือน
"การที่รัฐบาลแก้ไขปัญหาไม่ถูกต้อง มีนโยบายสนับสนุนการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ทำให้การลงทุนในสหรัฐไม่น่าสนใจอีกต่อไป" โรเจอร์สกล่าว
แม้จะมีความชื่นชอบในการลงทุนที่ต่างไปจากกูรูคนอื่นๆ แต่สำหรับแนวคิดในการลงทุนของโรเจอร์สก็ดูจะมีจุดยืนเดียวกับผู้รู้คนอื่นๆ คือ แนะให้ลงทุนในสิ่งที่รู้ จริง
"อย่าซื้ออะไรที่ไม่รู้ดี อย่าฟังกูรูอย่างเดียว เราจะไม่มีความเสี่ยง ถ้าเราลงทุนในสิ่งที่เรารู้ดี"
การเปลี่ยนทิศ ส่งสัญญาณการลงทุนใหม่ ทั้งตลาดคอมมอดิตี้ ค่าเงินดอลลาร์ และภูมิภาคที่น่าสนใจของโรเจอร์สก็ได้มาจากการทำการบ้าน โดยเดินทางไปทั่วโลก เพื่อหาข้อมูลทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ รวมเวลา 3 ปี 116 ประเทศ 235,000 กิโลเมตร
กูรูคนนี้จึงได้รับอีกฉายา "นักผจญภัยในตลาดทุน" หรือ "อินเดียน่าโจนส์แห่งวงการไฟแนนซ์" อีกด้วย
ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/2008/09/0 ... 290349.php
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ตลาดโภคภัณฑ์-จีน 'กระทิง' ใหม่การลงทุน
โพสต์ที่ 2
สุดทึ่ง! จีนสร้างโรงแรม 30 ชั้น ภายในเวลา 360 ชม.
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสต์โดย differentenergy
ดินแดนมังกรอย่างประเทศจีน เป็นประเทศหนึ่งที่ได้ชื่อว่า เป็นนักสร้าง นักผลิต ที่มีประสิทธิภาพแห่งหนึ่งในโลก จากผลงานต่าง ๆ มากมายที่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก ผลงานที่เห็นได้ชัด เช่น กำแพงเมืองจีน ที่คนทั้งโลกต่างก็ยอมรับในความมหัศจรรย์ของมัน แล้วอย่างนี้ถ้าจะบอกว่ามีตึกสูง 30 ชั้น ที่สามารถสร้างเสร็จได้ภายใน 360 ชั่วโมง จะมีใครเชื่อมั้ยล่ะ? แต่บัดนี้จงเชื่อในสายตาที่ท่านกำลังจะได้เห็นในคลิปนี้เถอะ ว่าพี่จีนเขาสามารถทำได้จริง ๆ !!
ตึกนี้ถูกสร้างขึ้นให้เป็นโรงแรมที่พักใกล้กับทะเลสาบต้งถิง มณฑลหูหนาน ในประเทศจีน โดยบริษัทก่อสร้างชื่อดังอย่าง บรอด กรุ๊ป (Broad Group) ซึ่งสร้างจากโครงสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูป นำไปวางบนโครงสร้างเหล็กที่ใช้เป็นฐานรองรับอีกทีหนึ่งเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับฐานของมัน ที่สำคัญตึกยังสามารถทนต่อแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ถึงระดับ 9 จากการทดสอบแล้วของสถาบันวิจัยคุณภาพตึกในประเทศจีน (ดังจะเห็นขั้นตอนการทดสอบจากในคลิป นาทีที่ 1.49) ซึ่งพวกเขาบอกว่าสามารถทนต่อแรงแผ่นดินไหวได้มากกว่า 5 ครั้งเลยทีเดียว ถ้าเทียบกับตึกอื่น ๆ แล้ว
ทั้งนี้ ส่วนประกอบต่าง ๆ ของตึกแห่งนี้ก็สร้างด้วยวัสดุอย่างดี เช่น ม่านกระจกที่หนาถึง 6 นิ้ว ซึ่งนำมาใช้เป็นผนังกันความร้อน และหน้าต่างที่มีมู่ลี่บังแดดในตัว ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ระบบทำความร้อนและเครื่องปรับอากาศที่สามารถฟอกอากาศบริสุทธิ์ภายในตัวอาคารได้เป็นอย่างดี (เขาอ้างว่าดีกว่าอากาศภายนอกเลยนะ) ถึงขนาดมีมอนิเตอร์ตรวจสอบคุณภาพของแอร์อยู่ในทุก ๆ ห้อง ซึ่งทางโรงแรมให้ความใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยโรงแรมแห่งนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ช่วงก่อนคริสต์มาสปีที่ผ่านมา และสร้างเสร็จก่อนก้าวเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ปี 2012
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ทางบริษัท บรอด กรุ๊ป เองก็เคยสร้างตึก 15 ชั้น ขึ้นมาภายใน 6 วันมาก่อนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโรงแรมแห่งนี้จะสร้างความประทับใจได้มากกว่าเยอะ
แหมม ไม่รู้ว่าเขาจะรีบสร้างกันไปไหนนะ ตึกสูงตั้งขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ดี เท่าที่ดูแล้วทางบริษัทแห่งนี้ก็ให้ความสำคัญในเรื่องของโครงสร้างและความปลอดภัยอยู่พอตัวเลยทีเดียว หากมีโอกาสก็อยากจะลองไปสัมผัสดูสิว่า มันเหมือนกับโรงแรมอื่น ๆ ที่เราเคยเข้าพักกันบ้างรึเปล่าน้าา
ที่มา : http://fb.kapook.com/hilight-66339.html
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสต์โดย differentenergy
ดินแดนมังกรอย่างประเทศจีน เป็นประเทศหนึ่งที่ได้ชื่อว่า เป็นนักสร้าง นักผลิต ที่มีประสิทธิภาพแห่งหนึ่งในโลก จากผลงานต่าง ๆ มากมายที่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก ผลงานที่เห็นได้ชัด เช่น กำแพงเมืองจีน ที่คนทั้งโลกต่างก็ยอมรับในความมหัศจรรย์ของมัน แล้วอย่างนี้ถ้าจะบอกว่ามีตึกสูง 30 ชั้น ที่สามารถสร้างเสร็จได้ภายใน 360 ชั่วโมง จะมีใครเชื่อมั้ยล่ะ? แต่บัดนี้จงเชื่อในสายตาที่ท่านกำลังจะได้เห็นในคลิปนี้เถอะ ว่าพี่จีนเขาสามารถทำได้จริง ๆ !!
ตึกนี้ถูกสร้างขึ้นให้เป็นโรงแรมที่พักใกล้กับทะเลสาบต้งถิง มณฑลหูหนาน ในประเทศจีน โดยบริษัทก่อสร้างชื่อดังอย่าง บรอด กรุ๊ป (Broad Group) ซึ่งสร้างจากโครงสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูป นำไปวางบนโครงสร้างเหล็กที่ใช้เป็นฐานรองรับอีกทีหนึ่งเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับฐานของมัน ที่สำคัญตึกยังสามารถทนต่อแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ถึงระดับ 9 จากการทดสอบแล้วของสถาบันวิจัยคุณภาพตึกในประเทศจีน (ดังจะเห็นขั้นตอนการทดสอบจากในคลิป นาทีที่ 1.49) ซึ่งพวกเขาบอกว่าสามารถทนต่อแรงแผ่นดินไหวได้มากกว่า 5 ครั้งเลยทีเดียว ถ้าเทียบกับตึกอื่น ๆ แล้ว
ทั้งนี้ ส่วนประกอบต่าง ๆ ของตึกแห่งนี้ก็สร้างด้วยวัสดุอย่างดี เช่น ม่านกระจกที่หนาถึง 6 นิ้ว ซึ่งนำมาใช้เป็นผนังกันความร้อน และหน้าต่างที่มีมู่ลี่บังแดดในตัว ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ระบบทำความร้อนและเครื่องปรับอากาศที่สามารถฟอกอากาศบริสุทธิ์ภายในตัวอาคารได้เป็นอย่างดี (เขาอ้างว่าดีกว่าอากาศภายนอกเลยนะ) ถึงขนาดมีมอนิเตอร์ตรวจสอบคุณภาพของแอร์อยู่ในทุก ๆ ห้อง ซึ่งทางโรงแรมให้ความใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยโรงแรมแห่งนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ช่วงก่อนคริสต์มาสปีที่ผ่านมา และสร้างเสร็จก่อนก้าวเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ปี 2012
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ทางบริษัท บรอด กรุ๊ป เองก็เคยสร้างตึก 15 ชั้น ขึ้นมาภายใน 6 วันมาก่อนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโรงแรมแห่งนี้จะสร้างความประทับใจได้มากกว่าเยอะ
แหมม ไม่รู้ว่าเขาจะรีบสร้างกันไปไหนนะ ตึกสูงตั้งขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ดี เท่าที่ดูแล้วทางบริษัทแห่งนี้ก็ให้ความสำคัญในเรื่องของโครงสร้างและความปลอดภัยอยู่พอตัวเลยทีเดียว หากมีโอกาสก็อยากจะลองไปสัมผัสดูสิว่า มันเหมือนกับโรงแรมอื่น ๆ ที่เราเคยเข้าพักกันบ้างรึเปล่าน้าา
ที่มา : http://fb.kapook.com/hilight-66339.html
แนบไฟล์
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- kabu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตลาดโภคภัณฑ์-จีน 'กระทิง' ใหม่การลงทุน
โพสต์ที่ 3
ยังไงผมก็ยังไม่ไว้ใจประเทศนี้อยู่ดีในเรื่องคุณภาพpak เขียน:สุดทึ่ง! จีนสร้างโรงแรม 30 ชั้น ภายในเวลา 360 ชม.
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสต์โดย differentenergy
ดินแดนมังกรอย่างประเทศจีน เป็นประเทศหนึ่งที่ได้ชื่อว่า เป็นนักสร้าง นักผลิต ที่มีประสิทธิภาพแห่งหนึ่งในโลก จากผลงานต่าง ๆ มากมายที่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก ผลงานที่เห็นได้ชัด เช่น กำแพงเมืองจีน ที่คนทั้งโลกต่างก็ยอมรับในความมหัศจรรย์ของมัน แล้วอย่างนี้ถ้าจะบอกว่ามีตึกสูง 30 ชั้น ที่สามารถสร้างเสร็จได้ภายใน 360 ชั่วโมง จะมีใครเชื่อมั้ยล่ะ? แต่บัดนี้จงเชื่อในสายตาที่ท่านกำลังจะได้เห็นในคลิปนี้เถอะ ว่าพี่จีนเขาสามารถทำได้จริง ๆ !!
ตึกนี้ถูกสร้างขึ้นให้เป็นโรงแรมที่พักใกล้กับทะเลสาบต้งถิง มณฑลหูหนาน ในประเทศจีน โดยบริษัทก่อสร้างชื่อดังอย่าง บรอด กรุ๊ป (Broad Group) ซึ่งสร้างจากโครงสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูป นำไปวางบนโครงสร้างเหล็กที่ใช้เป็นฐานรองรับอีกทีหนึ่งเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับฐานของมัน ที่สำคัญตึกยงสามารถทนต่อแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ถึงระดับ 9 จากการทดสอบแล้วของสถาบันวิจัยคุณภาพตึกในประเทศจีน (ดังจะเห็นขั้นตอนการทดสอบจากในคลิป นาทีที่ 1.49) ซึ่งพวกเขาบอกว่าสามารถทนต่อแรงแผ่นดินไหวได้มากกว่า 5 ครั้งเลยทีเดียว ถ้าเทียบกับตึกอื่น ๆ แล้ว
ทั้งนี้ ส่วนประกอบต่าง ๆ ของตึกแห่งนี้ก็สร้างด้วยวัสดุอย่างดี เช่น ม่านกระจกที่หนาถึง 6 นิ้ว ซึ่งนำมาใช้เป็นผนังกันความร้อน และหน้าต่างที่มีมู่ลี่บังแดดในตัว ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ระบบทำความร้อนและเครื่องปรับอากาศที่สามารถฟอกอากาศบริสุทธิ์ภายในตัวอาคารได้เป็นอย่างดี (เขาอ้างว่าดีกว่าอากาศภายนอกเลยนะ) ถึงขนาดมีมอนิเตอร์ตรวจสอบคุณภาพของแอร์อยู่ในทุก ๆ ห้อง ซึ่งทางโรงแรมให้ความใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยโรงแรมแห่งนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ช่วงก่อนคริสต์มาสปีที่ผ่านมา และสร้างเสร็จก่อนก้าวเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ปี 2012
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ทางบริษัท บรอด กรุ๊ป เองก็เคยสร้างตึก 15 ชั้น ขึ้นมาภายใน 6 วันมาก่อนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโรงแรมแห่งนี้จะสร้างความประทับใจได้มากกว่าเยอะ
แหมม ไม่รู้ว่าเขาจะรีบสร้างกันไปไหนนะ ตึกสูงตั้งขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ดี เท่าที่ดูแล้วทางบริษัทแห่งนี้ก็ให้ความสำคัญในเรื่องของโครงสร้างและความปลอดภัยอยู่พอตัวเลยทีเดียว หากมีโอกาสก็อยากจะลองไปสัมผัสดูสิว่า มันเหมือนกับโรงแรมอื่น ๆ ที่เราเคยเข้าพักกันบ้างรึเปล่าน้าา
ที่มา : http://fb.kapook.com/hilight-66339.html
อย่างปีที่แล้วที่เกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถไฟหัวกระสุนที่ประเทศจีน คนตายไปหลายศพ
จีนพยายามที่จะแสดงให้กับชาวโลกเห็นถึงความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีว่าตัวเองสามารถเทียบเท่ากับชาติยุโรปหรือญี่ปุ่น ซึ่งผมคิดว่าจีนเดินไปข้างหน้าเร็วเกินไป อนาคตใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่คงต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองอีกซักระยะ
"หนทางเดียวที่จะก้าวพ้นขอบเขตของความเป็นไปได้ คือก้าวเข้าสู่ความเป็นไปไม่ได้", Arthur C. Clarke
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ตลาดโภคภัณฑ์-จีน 'กระทิง' ใหม่การลงทุน
โพสต์ที่ 4
เขาโชว์เทคโนโลยีสร้างเร็วครับ
ถ้าเกิดซินามิแล้วโรงแรมพัง ตัวเลือกแรกก็จะเป็นบริษัทนี้นะ ผมชอบ idea การโปรโมท
ไม่เสียตังเลย
ถ้าเกิดซินามิแล้วโรงแรมพัง ตัวเลือกแรกก็จะเป็นบริษัทนี้นะ ผมชอบ idea การโปรโมท
ไม่เสียตังเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 390
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตลาดโภคภัณฑ์-จีน 'กระทิง' ใหม่การลงทุน
โพสต์ที่ 5
จะทำมาค้าขายกับ จีน ต้องระวังครับ เพราะบอกตรง ๆ ว่า ไว้ใจไม่ได้ ครับ