จากข่าวใน moneychannel คับ
แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมเปิดเผยถึงผลการทดสอบความแข็งแกร่งของสถานะการเงิน (Stress Tests)ว่า ธนาคาร Citigroup ต้องการเงินทุนเพิ่ม 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงแผนของธนาคารที่เคยเปิดเผยมาก่อนหน้านี้ที่จะแปลงสภาพหุ้นบุริมสิทธิบางส่วนให้กลายมาเป็นหุ้นสามัญ
ผมเลยมีความข้องใจคับว่า หุ้นบุริมสิทธิ กับ หุ้นสามัญ ต่างกันอย่างไรคับ
ช่วยแนะนำทีคับ ขอบคุณคับ
หุ้นบุริมสิทธิ กับ หุ้นสามัญ ต่างกันอย่างไรคับ
- GeneraX
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นบุริมสิทธิ กับ หุ้นสามัญ ต่างกันอย่างไรคับ
โพสต์ที่ 2
ผู้ถือหุ้นหุ้นบุริมสิทธิหรือ Prefered Stock .....
- ไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียงโหวตในการประชุมผู้ถือหุ้น
- มีสิทธิ์ในปันผลของบริษัทก่อนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ แต่ละได้ในอัตราคงที่ไม่ว่ากำไรจะมากแค่ไหน (เช่น prefered stock par value 10 บาท อัตราปันผล 10% ก็หมายว่า ถ้าบริษัทมีกำไรออกมา ผู้ถือหุ้น prefered นี้จะได้ปันผลไม่เกิน 1 บาท ต่อหุ้น ส่วนที่เหลือของกำไรก็จะไปจ่ายให้ผถห.สามัญ (assume ว่าบ.จ่ายปันผล100%~ของกำไรนะครับ)) ถ้าบ.ไม่มีกำไรก็ไม่มีสิทธิ์ได้ปันผลครับ
- มีสิทธิ์ในทรัพย์สินของบริษัทเป็นลำดับรองสุดท้ายก่อน ผู้ถือหุ้นสามัญ (ในกรณีบริษัทล้มละลายเป็นต้น)
สรุปคือผู้ถือหุ้น Prefered เป็นคล้ายๆเจ้าหนี้ ที่ได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่ตกลงกันไว้เมื่อบริษัทมีกำไรนั่นแหละครับ โดยจะไม่ได้รับเงินต้นคืนคล้ายๆ Treasury Bond น่ะครับ
เรียนมานานละ ผิดถูกพี่ๆช่วยแก้ให้ด้วยครับ :lol:
- ไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียงโหวตในการประชุมผู้ถือหุ้น
- มีสิทธิ์ในปันผลของบริษัทก่อนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ แต่ละได้ในอัตราคงที่ไม่ว่ากำไรจะมากแค่ไหน (เช่น prefered stock par value 10 บาท อัตราปันผล 10% ก็หมายว่า ถ้าบริษัทมีกำไรออกมา ผู้ถือหุ้น prefered นี้จะได้ปันผลไม่เกิน 1 บาท ต่อหุ้น ส่วนที่เหลือของกำไรก็จะไปจ่ายให้ผถห.สามัญ (assume ว่าบ.จ่ายปันผล100%~ของกำไรนะครับ)) ถ้าบ.ไม่มีกำไรก็ไม่มีสิทธิ์ได้ปันผลครับ
- มีสิทธิ์ในทรัพย์สินของบริษัทเป็นลำดับรองสุดท้ายก่อน ผู้ถือหุ้นสามัญ (ในกรณีบริษัทล้มละลายเป็นต้น)
สรุปคือผู้ถือหุ้น Prefered เป็นคล้ายๆเจ้าหนี้ ที่ได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่ตกลงกันไว้เมื่อบริษัทมีกำไรนั่นแหละครับ โดยจะไม่ได้รับเงินต้นคืนคล้ายๆ Treasury Bond น่ะครับ
เรียนมานานละ ผิดถูกพี่ๆช่วยแก้ให้ด้วยครับ :lol:
Financial Discipline + Value Investment + Time = Financial Independence