จตุสมดุล คือ สมดุล 4 ประการซึ่งปัจจุบันโลกและไทยได้สูญเสียสิ่งนี้ไป ได้ก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจมากมายจนถึงขั้นวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ รวมไปถึง วิกฤติการคลังของประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ เรามาดูกันเป็นข้อๆ ว่ามีอะไรกันบ้าง
1. สมดุลการค้า : เห็นได้ชัดๆ เลยว่า อเมริกาก็คือ ผู้นำเข้าตัวยงในอดีตจนถึงปัจจุบัน ขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด ราว 5% GDP อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดจนถึงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ตัวเลขนี้ได้ลดลงเหลือราว 3% GDP เท่านั้นในปัจจุบัน และ ประเทศที่ได้ดุลกับอเมริกามากที่สุดนั้นก็ไม่พ้น ประเทศจีน ซึ่งก็ได้ดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างมากและต่อเนื่อง มีการเก็บเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 2 ล้านล้านเหรียญ สรอ. โดยเงินส่วนใหญ่ก็จะถูกนำกลับไปซื้อพันธบัตรอเมริกาอีกครั้ง ด้วยการเสียสมดุลเช่นนี้เอง ทำให้อเมริกาจมอยู่ในกองหนี้สิน เพราะ ค้าขายขาดดุลมาอย่างต่อเนื่อง และ ใช้จ่ายเกินตัวมาโดยตลอด ต้นทุนเงินต่ำๆ ได้ไปสร้างฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ฟองโตในประเทศอเมริกา และแตกลงในที่สุด
วิธีการแก้ไขสมดุลนี้ ผมคิดว่า ไม่ใช่วิธีซึ่งอเมริกาจะมาขึ้นภาษียางรถยนต์ หรือ สินค้าเป็นกรณีไปสำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศจีน แต่ อเมริกา ยุโรป และ ประเทศเอเชีย ควรร่วมกันเรียกร้องให้ประเทศจีนได้ตระหนักถึงปัญหานี้ และ ยอมให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าได้ตามที่ควรจะเป็น ซึ่งน่าจะเป็นระดับ 20-25% จะส่งผลให้จีนเพิ่ม GDP ต่อโลกได้อย่างเร็วอีกราว 1 ล้านล้านเหรียญ (4 เท่าของประเทศไทย) จีนจะนำเข้ามากขึ้น ส่งออกลดลง ช่วยประเทศได้ทั่วโลก สมดุลการค้าโลกก็จะกลับมาได้ ทั้งโลกควรจะต้อง ยืมพลังจากจีน
2. สมดุลการออม : สิ่งนี้ต่อเนื่องจากข้อก่อน เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัด ก็คือ การออมสุทธิ (การออมลบด้วยการลงทุน) นั่นเอง ดังนั้น ประเทศที่ออมมากเกินไปก็คือ ประเทศจีน ส่วนประเทศที่ออมน้อยเกินไปก็คือ อเมริกา การปรับค่าเงินหยวนจะช่วยให้จีนออมน้อยลงได้ ขณะเดียวกัน อเมริกาจะส่งออกได้มากขึ้น นำเข้าจากจีนลดลง ช่วยให้การออมสูงขึ้นได้เช่นกัน
สำหรับประเทศไทยเองก็มีการออมที่มากเกินอยู่สูงถึง 8% GDP จากการได้ดุลบัญชีเดินสะพัด อย่างไรก็ดี สัดส่วนนี้น่าจะน้อยลงตามการลงทุนภาครัฐผ่านปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง
นอกจากนี้แล้ว การออมส่วนบุคคลนั้น รัฐบาลให้หักลดหย่อนภาษีได้สำหรับ RMF และ LTF ซึ่งรวมกันเป็นเงินถึง 1 ล้านบาท สำหรับคนรวยๆ เท่านั้น ที่รัฐสนับสนุนยอมเสียเงินภาษีซึ่งควรจะเรียกเก็บได้ปีละเกือบหมื่นล้านบาท ขณะที่มี การบังคับ ให้ผู้ประกันตนออมเงินเข้ากองทุนชราภาพประกันสังคม โดยที่ผู้ประกันตนส่วนใหญ่ต้องไปกู้เงินดอกเบี้ยโหด ทั้งในและนอกระบบ ทำให้การออมสุทธิอาจติดลบเนื่องมาจากส่วนต่างของดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น นี่เป็นการทำให้เสียสมดุลแห่งการออม โดยสนับสนุนคนรวยให้ออมมากๆ เกินไป และ ทำให้คนจนๆ ติดหนี้สินออมสุทธิได้น้อยลงอยู่ตลอด
ทางแก้ไขก็คือ รัฐบาลต้องยอมอนุญาตให้สามารถยืมเงินออมของแต่ละบุคคลไปเพื่อแก้ไขหนี้สินดอกเบี้ยโหดของตนเอง หรือเพื่อการลงทุนได้ นอกจากนี้ควรลดวงเงินหักลดหย่อนภาษีสำหรับ RMF, LTF ลง ไม่ต้องอุ้มคนรวยจนเกินงาม ซึ่งก็เป็นไปตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก
3. สมดุลการคลัง : เป็นเรื่องที่ประเทศทั่วโลกกำลังกังวลใจ โดยมีญี่ปุ่นเป็นประเทศนำหน้าปัญหาในเรื่องนี้ โดยมีหนี้สาธารณะสูงถึง 200% GDP และ ได้ติด กับดักเคนส์ คือ เพิ่มหนี้สาธารณะมากกว่าการเพิ่มของ GDP นานมาถึง 17 ปีแล้ว ขณะที่ประเทศอเมริกา และ ยุโรปติด กับดักเคนส์ มาได้ราว 2 ปี โดยรัฐบาลมีภาระหนักมากในการประกันสุขภาพและจ่ายเบี้ยบำนาญคนชราที่เพิ่มขึ้นตลอด นอกจากนี้ภาระดอกเบี้ยพันธบัตรก็พอกพูนขึ้นทุกวันทุกเดือนทุกปี วิธีแก้ไขสมดุลในเรื่องนี้ คือ เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก โดยรัฐบาลควรยืมพลังจากแหล่งต่างๆ ทั้งกองทุนบำนาญ คนเกษียณต่างชาติ ตลาดหุ้นและ แบงก์รัฐทั้งหลาย เพื่อมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ
4. สมดุลการลงทุน : ตลาดหุ้นไทยมีการเสียสมดุลอย่างมาก ต่างชาติซึ่งมีการซื้อขายราว 15% เท่านั้น แต่กลับสามารถกำหนดทิศทางตลาดหุ้นได้ โดยหุ้นขนาดใหญ่ที่ต่างชาติสนใจถูกซื้อจนทำให้ราคาแพงมากๆ โดยซื้อขายกันที่ P/E สูงกว่า 20 เท่า โดยมีแรงซื้อของกองทุนต่างๆ และ นักลงทุนรายย่อยที่แห่ตามด้วย ขณะที่หุ้นในธุรกิจประเภทเดียวกันซึ่งตัวเล็กกว่านั้น กลับซื้อขายกันที่ P/E เพียง 5 เท่าเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์นี่ชัดเจนมาก อาจกล่าวได้ว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ไร้สมดุลของ P/E
วิธีแก้ไขในเรื่องนี้เป็นหนึ่งกระบวนท่า เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก โดยให้มีการให้มีจัดตั้ง กองทุนหุ้นเล็ก เพื่อส่งเสริมการลงทุนในลักษณะที่เหมาะสมกับพื้นฐานผลประกอบการ และดึงตลาดสู่สมดุลยิ่งขึ้น
มวยไท้เก๊ก คือ เพลงมวยที่คิดค้นขึ้นโดยปรมาจารย์จางซันฟง มีอายุยาวนานกว่า 800 ปี โดยใช้หลักการของลัทธิเต๋า มี 3 ประเด็นหลัก คือ อ่อนสยบแข็ง ยืมพลังศัตรู และ รักษาสมดุลหยินหยาง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหาก เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก ( Taiji Economics) อาจเป็นทฤษฎีที่สามารถสร้างสมดุลให้กับเศรษฐกิจโลกได้ ผมจึงอยากขอร้องให้นักวิชาการ และ ผู้กำหนดนโยบายทั้งไทยและ ต่างประเทศ ได้โปรดศึกษาในเรื่องนี้ และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจไทยและโลกต่อไปครับ