จตุสมดุล : สมดุล 4 ประการที่ต้องปรับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

จตุสมดุล : สมดุล 4 ประการที่ต้องปรับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

จตุสมดุล คือ สมดุล 4 ประการซึ่งปัจจุบันโลกและไทยได้สูญเสียสิ่งนี้ไป  ได้ก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจมากมายจนถึงขั้นวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์  รวมไปถึง วิกฤติการคลังของประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ  เรามาดูกันเป็นข้อๆ ว่ามีอะไรกันบ้าง  
1. สมดุลการค้า : เห็นได้ชัดๆ เลยว่า  อเมริกาก็คือ ผู้นำเข้าตัวยงในอดีตจนถึงปัจจุบัน  ขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด  ราว 5% GDP อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดจนถึงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ   ตัวเลขนี้ได้ลดลงเหลือราว 3% GDP เท่านั้นในปัจจุบัน  และ ประเทศที่ได้ดุลกับอเมริกามากที่สุดนั้นก็ไม่พ้น  ประเทศจีน  ซึ่งก็ได้ดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างมากและต่อเนื่อง   มีการเก็บเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 2 ล้านล้านเหรียญ สรอ.   โดยเงินส่วนใหญ่ก็จะถูกนำกลับไปซื้อพันธบัตรอเมริกาอีกครั้ง   ด้วยการเสียสมดุลเช่นนี้เอง ทำให้อเมริกาจมอยู่ในกองหนี้สิน  เพราะ ค้าขายขาดดุลมาอย่างต่อเนื่อง และ ใช้จ่ายเกินตัวมาโดยตลอด  ต้นทุนเงินต่ำๆ  ได้ไปสร้างฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ฟองโตในประเทศอเมริกา  และแตกลงในที่สุด
วิธีการแก้ไขสมดุลนี้  ผมคิดว่า ไม่ใช่วิธีซึ่งอเมริกาจะมาขึ้นภาษียางรถยนต์  หรือ สินค้าเป็นกรณีไปสำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศจีน  แต่  อเมริกา  ยุโรป  และ ประเทศเอเชีย  ควรร่วมกันเรียกร้องให้ประเทศจีนได้ตระหนักถึงปัญหานี้  และ ยอมให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าได้ตามที่ควรจะเป็น  ซึ่งน่าจะเป็นระดับ 20-25%   จะส่งผลให้จีนเพิ่ม GDP ต่อโลกได้อย่างเร็วอีกราว 1 ล้านล้านเหรียญ (4 เท่าของประเทศไทย)   จีนจะนำเข้ามากขึ้น  ส่งออกลดลง  ช่วยประเทศได้ทั่วโลก   สมดุลการค้าโลกก็จะกลับมาได้   ทั้งโลกควรจะต้อง ยืมพลังจากจีน  
2. สมดุลการออม : สิ่งนี้ต่อเนื่องจากข้อก่อน  เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัด ก็คือ การออมสุทธิ (การออมลบด้วยการลงทุน) นั่นเอง  ดังนั้น  ประเทศที่ออมมากเกินไปก็คือ ประเทศจีน  ส่วนประเทศที่ออมน้อยเกินไปก็คือ อเมริกา  การปรับค่าเงินหยวนจะช่วยให้จีนออมน้อยลงได้  ขณะเดียวกัน อเมริกาจะส่งออกได้มากขึ้น  นำเข้าจากจีนลดลง   ช่วยให้การออมสูงขึ้นได้เช่นกัน
สำหรับประเทศไทยเองก็มีการออมที่มากเกินอยู่สูงถึง 8% GDP จากการได้ดุลบัญชีเดินสะพัด อย่างไรก็ดี  สัดส่วนนี้น่าจะน้อยลงตามการลงทุนภาครัฐผ่านปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง  
นอกจากนี้แล้ว  การออมส่วนบุคคลนั้น  รัฐบาลให้หักลดหย่อนภาษีได้สำหรับ RMF และ LTF ซึ่งรวมกันเป็นเงินถึง 1 ล้านบาท   สำหรับคนรวยๆ เท่านั้น   ที่รัฐสนับสนุนยอมเสียเงินภาษีซึ่งควรจะเรียกเก็บได้ปีละเกือบหมื่นล้านบาท   ขณะที่มี การบังคับ ให้ผู้ประกันตนออมเงินเข้ากองทุนชราภาพประกันสังคม  โดยที่ผู้ประกันตนส่วนใหญ่ต้องไปกู้เงินดอกเบี้ยโหด ทั้งในและนอกระบบ  ทำให้การออมสุทธิอาจติดลบเนื่องมาจากส่วนต่างของดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น    นี่เป็นการทำให้เสียสมดุลแห่งการออม   โดยสนับสนุนคนรวยให้ออมมากๆ เกินไป และ ทำให้คนจนๆ ติดหนี้สินออมสุทธิได้น้อยลงอยู่ตลอด
ทางแก้ไขก็คือ รัฐบาลต้องยอมอนุญาตให้สามารถยืมเงินออมของแต่ละบุคคลไปเพื่อแก้ไขหนี้สินดอกเบี้ยโหดของตนเอง หรือเพื่อการลงทุนได้    นอกจากนี้ควรลดวงเงินหักลดหย่อนภาษีสำหรับ RMF, LTF ลง  ไม่ต้องอุ้มคนรวยจนเกินงาม   ซึ่งก็เป็นไปตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก
3. สมดุลการคลัง : เป็นเรื่องที่ประเทศทั่วโลกกำลังกังวลใจ  โดยมีญี่ปุ่นเป็นประเทศนำหน้าปัญหาในเรื่องนี้  โดยมีหนี้สาธารณะสูงถึง 200% GDP และ ได้ติด กับดักเคนส์ คือ เพิ่มหนี้สาธารณะมากกว่าการเพิ่มของ GDP  นานมาถึง 17 ปีแล้ว   ขณะที่ประเทศอเมริกา และ ยุโรปติด กับดักเคนส์ มาได้ราว 2 ปี  โดยรัฐบาลมีภาระหนักมากในการประกันสุขภาพและจ่ายเบี้ยบำนาญคนชราที่เพิ่มขึ้นตลอด   นอกจากนี้ภาระดอกเบี้ยพันธบัตรก็พอกพูนขึ้นทุกวันทุกเดือนทุกปี วิธีแก้ไขสมดุลในเรื่องนี้ คือ เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก  โดยรัฐบาลควรยืมพลังจากแหล่งต่างๆ ทั้งกองทุนบำนาญ  คนเกษียณต่างชาติ  ตลาดหุ้นและ แบงก์รัฐทั้งหลาย  เพื่อมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ
4. สมดุลการลงทุน : ตลาดหุ้นไทยมีการเสียสมดุลอย่างมาก  ต่างชาติซึ่งมีการซื้อขายราว 15% เท่านั้น  แต่กลับสามารถกำหนดทิศทางตลาดหุ้นได้  โดยหุ้นขนาดใหญ่ที่ต่างชาติสนใจถูกซื้อจนทำให้ราคาแพงมากๆ  โดยซื้อขายกันที่ P/E สูงกว่า 20 เท่า  โดยมีแรงซื้อของกองทุนต่างๆ และ นักลงทุนรายย่อยที่แห่ตามด้วย  ขณะที่หุ้นในธุรกิจประเภทเดียวกันซึ่งตัวเล็กกว่านั้น  กลับซื้อขายกันที่ P/E เพียง 5 เท่าเท่านั้น    ตัวอย่างเช่น  หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์นี่ชัดเจนมาก   อาจกล่าวได้ว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ไร้สมดุลของ P/E
วิธีแก้ไขในเรื่องนี้เป็นหนึ่งกระบวนท่า เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก โดยให้มีการให้มีจัดตั้ง กองทุนหุ้นเล็ก  เพื่อส่งเสริมการลงทุนในลักษณะที่เหมาะสมกับพื้นฐานผลประกอบการ  และดึงตลาดสู่สมดุลยิ่งขึ้น
มวยไท้เก๊ก คือ เพลงมวยที่คิดค้นขึ้นโดยปรมาจารย์จางซันฟง  มีอายุยาวนานกว่า 800 ปี  โดยใช้หลักการของลัทธิเต๋า  มี 3 ประเด็นหลัก คือ อ่อนสยบแข็ง  ยืมพลังศัตรู และ รักษาสมดุลหยินหยาง  ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหาก  เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก ( Taiji Economics) อาจเป็นทฤษฎีที่สามารถสร้างสมดุลให้กับเศรษฐกิจโลกได้  ผมจึงอยากขอร้องให้นักวิชาการ และ ผู้กำหนดนโยบายทั้งไทยและ ต่างประเทศ  ได้โปรดศึกษาในเรื่องนี้  และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจไทยและโลกต่อไปครับ
โพสต์โพสต์