เศรษฐกิจปี 53 : อย่าย่ามใจว่าสดใสแน่

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
อะไรดีละ
Verified User
โพสต์: 680
ผู้ติดตาม: 0

เศรษฐกิจปี 53 : อย่าย่ามใจว่าสดใสแน่

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เศรษฐกิจปี 53 : อย่าย่ามใจว่าสดใสแน่

ตามที่มีการคาดการณ์โดยทั่วไปทั้งจากภาครัฐ และ เอกชนว่าเศรษฐกิจปี 2553 นั้นจะเติบโตได้สูงระดับ 3.5%-4% ได้ไม่ยากเย็น  แต่เหตุใดเราจึงควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันอาจไม่เป็นเช่นนั้น  แม้จะยังไม่นำเอาผลกระทบทางลบจากการเมืองเข้าไปรวมด้วยก็ตาม
GDP = C+I+G+(X-M) คือ สมการของ GDP ซึ่งเราจะมาดูกันทีละตัว
การบริโภคภาคเอกชน (C)  แม้ว่าจะดูเหมือนมีการฟื้นตัวขึ้นมาอย่างชัดเจน  อย่างไรก็ดี  การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอันเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มเร่งตัวอย่างชัดเจน  เป็นนโยบายการเงินที่จะติดเบรกกับการฟื้นตัวนี้   ไม่เพียงเท่านั้น  การส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมจะกลับไปเป็น 5% จากที่เคยลดลงมาเหลือ 3% ของรายได้ทุกเดือนทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ส่งผลให้ประชาชนมีรายได้ในมือลดลง 2.5 หมื่นล้านบาท  และ หากกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ผ่านสภาออกมาได้ก็จะดูดเงินออมเข้าไปได้ถึง 5 หมื่นล้านบาทต่อปี   ยอดเงิน 2 ส่วนนี้เงินซึ่งเป็นกำลังซื้อของประชาชนจะหายไป 7.5 หมื่นล้าน หรืออาจกระทบกับ GDP ได้ถึง 1.5 แสนล้านบาท   นอกจากนี้เงินกำลังซื้อก็ถูกดูดกับกองทุนเงินออมอย่าง RMF และ LTF ไปหลายหมื่นล้านบาทแล้ว   ซึ่งเป็นการโยนเงินภาษีของชาติไปช่วยเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนให้คนระดับเศรษฐี  ทำให้พวกเขาออมเงินมากไป  พลอยทำให้การบริโภคโดยรวมลดลง และ เศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวดีนัก
ด้านการลงทุนภาคเอกชน (I) นั้น  หลังจากได้รับผลกระทบกรณีมาบตาพุด  ทำให้ 65 โครงการยอดเงินระดับ 2 แสนล้านบาท  ต้องหยุดชะงัก  ซึ่งยังมีผลกระทบต่อเนื่องไปอีก  จากการที่ต่างชาติได้เปลี่ยนใจพับแผนการเข้าลงทุนในไทยไปหลายโครงการแล้ว  ยังไม่รวมถึงการที่สมาคมต่อต้านโลกร้อนจะฟ้องศาลปกครองอีกถึง 181 โครงการ  ซึ่งจะกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชนได้อย่างมาก  โดยอัตราการใช้กำลังผลิตก็ยังต่ำระดับ 65% เท่านั้น  ไม่เอื้อต่อการขยายกำลังการผลิตเท่าใดนัก
เมื่อภาครัฐ  ส่งเสริมการออมเพื่ออนาคต  เหรียญอีกด้านก็สะท้อนมาที่  การใช้จ่ายภาคเอกชนที่ลดลงในปัจจุบัน   เมื่อรัฐจำเป็นต้องดูแลสิ่งแวดล้อม และ สุขภาพของประชาชน   เหรียญอีกด้านก็สะท้อนมาที่  การลงทุนภาคเอกชนในอุตสาหกรรมหนักที่ลดลง   สรุปก็คือ การออม และ สิ่งแวดล้อม  เป็นเรื่องสำคัญในระยะยาว  แต่ในระยะสั้นๆ นั้นกลับส่งผลทางลบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยได้  
การใช้จ่ายภาครัฐ (G)  เป็นเรื่องที่ควรจะหวังได้หรือไม่  ยังมีประเด็น 3ก. กู้-กลัว-โกง ที่ต้องพิจารณาซึ่งอาจทำให้การอนุมัติ และ เบิกจ่ายล่าช้าออกไปได้
กู้ : เมื่อเงินคงคลังไม่พอ  ก็จำเป็นต้องกู้เงินมาใช้จ่าย  พรก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาทได้ผ่านไปแล้ว แต่ไทยก็ยังคงต้องระมัดระวังต่อการสร้างหนี้สาธารณะต่อ จีดีพี  สูงกว่าเป้าหมาย 60% ได้  โดยในระยะยาวแล้ว  สังคมผู้สูงอายุจะเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้  ตัวเลขนี้จะสูงขึ้นต่อเนื่องและหยุดไม่ค่อยได้
กลัว : มีความกังวลกันมากถึงการทุจริตคอรัปชั่นในโครงการต่างๆ  โดยเริ่มจากกระทรวงสาธารณสุข และ มีการเรียกร้องให้ตรวจสอบอีก 3 กระทรวงเพื่อป้องกันการทุจริต    มีการกลัวว่าจะคุ้มค่าไหม จะกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไหม  ซึ่งเรื่องพวกนี้ทำให้โครงการต่างๆ ล่าช้าไปได้
โกง : อย่างไรก็ดีอาจเกิดการโกงขึ้นจริง  ทำให้รั่วไหล  ประสิทธิภาพของเงินทุนจะลดลง และอาจส่งผลให้โครงการล่าช้าได้  เพราะ ต้องแบ่งผลประโยชน์ให้ลงตัวกันเสียก่อน
จากทั้ง 3 เรื่องนี้เอง  อาจทำให้การอนุมัติ และ เบิกจ่ายเงินของโครงการล่าช้า  ทำให้ G ไม่สามารถส่งผลทางบวกต่อเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่
สุดท้ายแล้ว  เราจะหวังกับการส่งออก (X) ได้หรือไม่  ผมเห็นกับระเบิดถึง 3 ลูกที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกในปี 53 นี้
- วิกฤติเกี๊ยวซ่า  : จีนได้ปล่อยให้เกิดฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ขึ้นมา  มีการสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นถึง 200% ในปีก่อน  และ ราคาก็สูงขึ้นถึงเท่าตัว  ภายในปีเดียว   สิ่งนี้เป็น ฟองสบู่ โดยแท้  คอนโด 1 พันตารางฟุต  มีราคาต่อ ตารางฟุตที่ 300-400 เหรียญสรอ. นั้น สูงถึง 80 เท่าของรายได้ต่อปีโดยเฉลี่ยของประชากรจีนในเมืองใหญ่   ขณะที่ตัวเลขที่เหมาะสมควรอยู่ราว 20-25 เท่าเท่านั้นเอง    ฟองสบู่ลูกนี้น่าจะพร้อมจะแตกลงภายในปีนี้
- วิกฤติแหนมเนือง :  เวียดนามได้เดินในเส้นทางเดียวกับไทย  ที่มีการลงทุนเกินตัว  ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง  และ ระบบ FX ไม่ยืดหยุ่นทำให้ความสามารถในการส่งออกตกต่ำ   เราอาจเห็นค่าเงินด่องดิ่งลงอย่างเร็ว  กระทบต่อเนื่องมายังการส่งออก  การลงทุนของไทยได้
- วิกฤติยูโรโซน : ประเทศ PIIGS  (โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และสเปน)  ซึ่งเป็นประเทศริมขอบยูโรโซนนั้น  อ่อนแอเกินไป  แต่ก็ยังใช้เงินยูโรอยู่  ซึ่งจะส่งผลลบต่อค่าเงินยูโรได้อย่างมาก  หากมีการลดอันดับเครดิตต่อเนื่อง  หากค่าเงินยูโรลดลง 20%  ก็จะส่งผลต่อกำลังซื้อเป็นดอลลาร์ของโลก ลดลงได้ราว 5%  
ทั้ง 3 ภูมิภาคนี้  ล้วนมีต้นตอของปัญหาเดียวกันคือ ระบบอัตราแลกเปลี่ยน FX ที่ไม่เหมาะสม  โดยจีนได้ peg กับค่าเงินดอลลาร์ ค่าเงินหยวนจึงมีค่าอ่อนกว่าความเป็นจริงราว 20-30% ทำให้ได้ดุลบัญชีเดินสะพัดสูง พร้อมๆ กับเงินทุนไหลเข้าอย่างมาก  การดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินนี้ทำได้ไม่หมด  จึงส่งผลให้เกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาฯ    ขณะที่เวียดนามแม้จะ peg กับดอลลาร์เช่นกัน   ทำให้ค่าเงินด่องของเวียดนาม สูงเกินจริงกว่าตลาดมืด  ส่งผลให้ขาดดุลการค้าอย่างหนัก   การนำเข้าและลงทุนสูงเกินระดับร้อนแรงเกินไป  ซึ่งจะส่งผลให้เกิดวิกฤติเงินทุนไหลออกได้ในที่สุด   สำหรับประเทศริมขอบยูโรโซนนั้น  โครงสร้างเศรษฐกิจอ่อนแอ  แต่ยังคงใช้ค่าเงินยูโรต่อไป  ส่งผลให้ขาดดุลการค้าอย่างหนักต่อเนื่อง  บางประเทศอย่างสเปนนั้น  มีอัตราการว่างงานสูงถึง 20%  
หากกับระเบิด 3 ลูกนี้  ตูมตาม ขึ้นมาในปีนี้  การคาดหวังว่าการส่งออกจะเติบโตได้ 15% นั้นก็คงเป็นแค่ฝันกลางวันเท่านั้น   สรุปก็คือ  ยังคงมีความเสี่ยงมากมายต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีนี้  แม้ว่าไตรมาสแรกจะดูดีมาก  เพราะคงเติบโตได้สูงจากฐานที่ต่ำมากในปีก่อน  แต่ถ้าดูทั้งปีแล้ว...เสี่ยงครับ
เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก... กรอบแนวคิดใหม่ใช้หลักยืมพลัง และ รักษาสมดุลเพื่อช่วยฟื้น ศก.ไทย และ ศก.โลก

หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
โพสต์โพสต์