พยามลบจุดอ่อนของตัวเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 3
- ผู้ติดตาม: 0
พยามลบจุดอ่อนของตัวเอง
โพสต์ที่ 1
จากกระทู้ก่อน วันนี้ก็โดนอีก mcs ผมดันขายไปก่อน เพราะคิดเอาเองว่า มันต้องลงต่ำกว่า 6 บาท แล้วผมค่อยรับเลยขายไปก่อน กำไรนิดหน่อย วันนี้ ออกไปข้างนอกแปปเดียว ไปไกลอีก
ถ้าเป็น vi เขาคงไม่ขาย แล้วรับเพิ่มใช่ไหม
จุดอ่อนอีกอย่างคือของผม คือ อ่านงบการเงินได้ไม่แตกฉานพอ เพราะจบด้านช่างมา เช่น
ตัวอย่าง เงินลงทุนชั่วคราว สุทธิ 125 ล้าน บาท
เงินลงทุนชั่วคราว เขาเอาไปลงทุนอะไรครับ ต้องเอาไปลงทุนทั้งหมดเหรอ เงินส่วนี้ผันแปรเป็นกำไรของบริษัท ได้ไหม
ผม อ่านกราฟไม่เป็น ผมดูกราฟ แค่พอให้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหนของ เซท ตีนดอย ปลายดอย หักหัวลง หรือกำลังไต่ขึ้น แท่งเทียน dca จุดตัด rsi ผมไม่รู้จัก ดูวอลุ่มอย่างเดียวที่เป็นอยู่ คุณๆท่านๆ อาจหัวเราะผมก็ได้ แต่ผมรับฟัง ความคิดเห็นของทุกท่านครับว่าผมควรทำไงดี
ถ้าเป็น vi เขาคงไม่ขาย แล้วรับเพิ่มใช่ไหม
จุดอ่อนอีกอย่างคือของผม คือ อ่านงบการเงินได้ไม่แตกฉานพอ เพราะจบด้านช่างมา เช่น
ตัวอย่าง เงินลงทุนชั่วคราว สุทธิ 125 ล้าน บาท
เงินลงทุนชั่วคราว เขาเอาไปลงทุนอะไรครับ ต้องเอาไปลงทุนทั้งหมดเหรอ เงินส่วนี้ผันแปรเป็นกำไรของบริษัท ได้ไหม
ผม อ่านกราฟไม่เป็น ผมดูกราฟ แค่พอให้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหนของ เซท ตีนดอย ปลายดอย หักหัวลง หรือกำลังไต่ขึ้น แท่งเทียน dca จุดตัด rsi ผมไม่รู้จัก ดูวอลุ่มอย่างเดียวที่เป็นอยู่ คุณๆท่านๆ อาจหัวเราะผมก็ได้ แต่ผมรับฟัง ความคิดเห็นของทุกท่านครับว่าผมควรทำไงดี
-
- Verified User
- โพสต์: 993
- ผู้ติดตาม: 0
พยามลบจุดอ่อนของตัวเอง
โพสต์ที่ 2
ไม่มีใครขำพี่หรอกครับ ทุกคนล้วนแต่เริ่มจากไม่รู้ทั้งนั้น
ส่วนใหญ่คนที่ลงทุนได้ดี ไม่ได้หมายความว่าต้องจบมาเฉพาะทางนะครับ
อ่านงบการเงินไม่เป้น ผมแนะนำ" อ่านงบการเงินให้เป็น" ของดร.ภาพร เอกอรรรภพร ครับ เข้าใจง่ายดี ผมสงสัยก็หยิบมาดูประจำ
เงินลงทุนชั่วคราว คือ เงินทีทำไปลงทุน เช่นฝากประจำ หรือหุ้นกู้ ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ ภายใน 1 ปีครับ
แปรผันเป็นกำไรได้ไหม ผมว่าดีกวาถือเงินสดเฉยๆ ฝากประจำยังพอมีดอกเบี้ย
และเงินส่วนนี้ เมือเปลี่ยนเป็นเงินสดแล้ว ก็นำมาปันผลได้ ถ้าบ. จะปัน หรือนำไปลงทุนต่อนั่งเองครับ
ส่วนเซทจะดอย หรือเหว ผมก็ไม่รู้ครับ ดูไม่เป็น
ดูแค่บริษัทยังขายหมู ไปหลายเลยครับ T_T
ส่วนใหญ่คนที่ลงทุนได้ดี ไม่ได้หมายความว่าต้องจบมาเฉพาะทางนะครับ
อ่านงบการเงินไม่เป้น ผมแนะนำ" อ่านงบการเงินให้เป็น" ของดร.ภาพร เอกอรรรภพร ครับ เข้าใจง่ายดี ผมสงสัยก็หยิบมาดูประจำ
เงินลงทุนชั่วคราว คือ เงินทีทำไปลงทุน เช่นฝากประจำ หรือหุ้นกู้ ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ ภายใน 1 ปีครับ
แปรผันเป็นกำไรได้ไหม ผมว่าดีกวาถือเงินสดเฉยๆ ฝากประจำยังพอมีดอกเบี้ย
และเงินส่วนนี้ เมือเปลี่ยนเป็นเงินสดแล้ว ก็นำมาปันผลได้ ถ้าบ. จะปัน หรือนำไปลงทุนต่อนั่งเองครับ
ส่วนเซทจะดอย หรือเหว ผมก็ไม่รู้ครับ ดูไม่เป็น
ดูแค่บริษัทยังขายหมู ไปหลายเลยครับ T_T
-
- Verified User
- โพสต์: 1598
- ผู้ติดตาม: 0
พยามลบจุดอ่อนของตัวเอง
โพสต์ที่ 3
ความคิดส่วนตัวของผมนะครับ
ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญมากพอๆกับความสามารถในการอ่านงบการเงินคือ
ความสามารถที่จะควบคุมอารมณ์ กลัวและโลภ ให้ได้
ผมว่าสองตัวนี้เป็นตัวแม่ของคำว่า ขาดทุน
ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญมากพอๆกับความสามารถในการอ่านงบการเงินคือ
ความสามารถที่จะควบคุมอารมณ์ กลัวและโลภ ให้ได้
ผมว่าสองตัวนี้เป็นตัวแม่ของคำว่า ขาดทุน
อย่ามัวติดกับเรื่องในอดีต กังวลกับเรื่องในอนาคต จนลืมว่าปัจจุบันต้องทำอะไร
-
- Verified User
- โพสต์: 235
- ผู้ติดตาม: 0
พยามลบจุดอ่อนของตัวเอง
โพสต์ที่ 4
ศึกษาเยอะๆครับ ผมเชื่อว่า เริ่มต้นหลายๆคนก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มก้าวหรอกครับ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาครับ
ส่วนตอนนี้แนะนำให้หาหนังสือมาอ่านครับ ที่ผมอยากจะแนะนำว่าหนังสือที่น่าอ่านมากมีอยู่ 4 เล่มครับ
1. The Intelligent Investor เล่มนี้ VI ทุกคนต้องมีครับ
2. เหนือกว่า wall street ของ ปีเตอร์ ลิน
3. แก่นแท้ warrent buffet แปลโดย ดร. นิเวศน์
4. คัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (เล่มเล็กๆแต่เนื้อหาอัดแน่นด้วยสาระครับแถมอ่านง่ายเข้าใจง่ายอีกด้วย)
ท้ายที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับการลงทุนคือ การควบคุมอารมณ์ ในการลงทุนครับ เพราะฉะนั้น สำหรับ VI EQ สำคัญกว่า IQ ครับ
แม้แต่เด็กประถม ก็สามารถเลือกหุ้น ได้ชนะ นักวิเคราะห์ใน wall street ครับ
(จากหนังสือ ลงทุนอย่าง ปีเตอร์ ลิน แปลโดย คุณ พรชัย หรือ คุณ WEB นั้นเอง)
แล้วสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกทึ่งกับ ตลาดทุนก็คือคำพูดนี้ครับ "Wall street เป็นที่เดียวที่ คนที่นั่งรถโรลรอย ฟังคำแนะนำของคนที่ นั่งรถไฟใต้ดิน"
ส่วนตอนนี้แนะนำให้หาหนังสือมาอ่านครับ ที่ผมอยากจะแนะนำว่าหนังสือที่น่าอ่านมากมีอยู่ 4 เล่มครับ
1. The Intelligent Investor เล่มนี้ VI ทุกคนต้องมีครับ
2. เหนือกว่า wall street ของ ปีเตอร์ ลิน
3. แก่นแท้ warrent buffet แปลโดย ดร. นิเวศน์
4. คัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (เล่มเล็กๆแต่เนื้อหาอัดแน่นด้วยสาระครับแถมอ่านง่ายเข้าใจง่ายอีกด้วย)
ท้ายที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับการลงทุนคือ การควบคุมอารมณ์ ในการลงทุนครับ เพราะฉะนั้น สำหรับ VI EQ สำคัญกว่า IQ ครับ
แม้แต่เด็กประถม ก็สามารถเลือกหุ้น ได้ชนะ นักวิเคราะห์ใน wall street ครับ
(จากหนังสือ ลงทุนอย่าง ปีเตอร์ ลิน แปลโดย คุณ พรชัย หรือ คุณ WEB นั้นเอง)
แล้วสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกทึ่งกับ ตลาดทุนก็คือคำพูดนี้ครับ "Wall street เป็นที่เดียวที่ คนที่นั่งรถโรลรอย ฟังคำแนะนำของคนที่ นั่งรถไฟใต้ดิน"
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
พยามลบจุดอ่อนของตัวเอง
โพสต์ที่ 5
อ้างอิงจาก http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... start=3420 ครับ
โดยปกติถ้าราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ผมก็ไม่ได้ทำอะไร
อยู่เฉยๆ
แต่ถ้ามันเกินก็ต้องมานั่งดูว่า
จะถือต่อหรือจะขาย
หลักการง่ายๆ
ถ้าบริษัทอนาคตอีกสามถึงห้าปีข้างหน้ายังเริดอยู่
ก็อาจไม่จำเป็นต้องขาย
แต่ถ้ามองแล้ว
อีกสามถึงห้าปีข้างหน้าไปได้ไม่ไกล
ก็อาจพิจารณาขายออกไปเหมือนข้อสอง
ถ้าราคาต่ำกว่ามูลค่าก็ยังไม่ทำอะไร
แต่ถ้าราคาเกินมูลค่า
อาจขายออกลดต้นทุนลง
ถ้ามีปริมาณหุ้นมากพอสมควรนะ
อันนี้เป็นการเก็งกำไรราคาหุ้นและทิศทางตลาด
ไม่ใช่การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ไม่แนะนำ
ทั้งหมดแค่ความคิดเห็นส่วนตัวครับ
จากประสบการณ์ความเสี่ยงอยู่ที่ว่า
เราเข้าใจบริษัทและมองอนาคตมันออกหรือเปล่า
บางครั้งพื้นฐานบริษัทเปลี่ยนไปแล้ว
แต่เรายัง"ยึดติด"อยู่
ก็อาจทำให้เราถือหุ้นที่ราคาไม่กลับไปที่เดิมอีกแล้วก็เป็นไปได้
แต่ถ้าพื้นฐานดี
ราคาไม่เกินมูลค่า
สักวันราคาหุ้นมันก็กลับมาที่ราคาพื้นฐานหละ
นานแค่ไหนบอกไม่ได้
โชคดีครับ
### การลงทุนเป็นศิลปะ
เก็บประสบการณ์ต่างๆไว้เป็นบทเรียน
แล้วประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตัวเราครับ
อย่าไปอิงกับคำว่า VIๆๆ
เข้าใจในสิ่งที่เราลงทุน และเลือกลงทุนในสิ่งที่เราเข้าใจครับ
มีความสุขกับการลงทุนและวันพักผ่อนนะครับผม
niyom_value wrote:
พี่วิบูลย์ครับ รบกวนสอบถามหน่อยครับ
ถ้าเกิดหุ้นที่เราถืออยู่มันขึ้นเอาๆ ผมเลยอยากจะขายออกไป บางส่วน จน ด้วยเหตุผลว่า
1. ผมดูแล้วมันเกินจากราคาหุ้นที่ประมาณไว้เอง (ไม่รู้ถูกรึป่าว เนี่ยะ)
(* มีประเด็นเพิ่มเติมครับ ตรงนี้ ถ้าเราคิด Margin of safety เนี่ยะ ต้องดูเทียบกับราคาที่เราประมาณได้ หรือว่าราคาเฉลียของหุ้นที่เราถืออยู่ครับ)
โดยปกติถ้าราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ผมก็ไม่ได้ทำอะไร
อยู่เฉยๆ
แต่ถ้ามันเกินก็ต้องมานั่งดูว่า
จะถือต่อหรือจะขาย
หลักการง่ายๆ
ถ้าบริษัทอนาคตอีกสามถึงห้าปีข้างหน้ายังเริดอยู่
ก็อาจไม่จำเป็นต้องขาย
แต่ถ้ามองแล้ว
อีกสามถึงห้าปีข้างหน้าไปได้ไม่ไกล
ก็อาจพิจารณาขายออกไปเหมือนข้อสอง
niyom_value wrote:
2. ลดต้นทุนต่อหุ้นที่ถืออยู่ เพราะราคาตลาดมันมากกว่าราคาเฉลี่ยต่อหุ้นที่ถืออยู่
ถ้าราคาต่ำกว่ามูลค่าก็ยังไม่ทำอะไร
แต่ถ้าราคาเกินมูลค่า
อาจขายออกลดต้นทุนลง
ถ้ามีปริมาณหุ้นมากพอสมควรนะ
niyom_value wrote:
2. คาดว่ามันน่าจะตกเลยขายไปก่อน แล้วเด๋วเอาค่อยเข้าใหม่ (แต่ยังเดาดูไม่อกว่ามันจะขึ้นไปจากราคานี้อีกรึเปล่า และถ้ามันตกมันจะตกไปเท่าไหร่จากตอนนี้)
อันนี้เป็นการเก็งกำไรราคาหุ้นและทิศทางตลาด
ไม่ใช่การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ไม่แนะนำ
ดูข้อหนึ่งniyom_value wrote:
3. ผลประกอบการบริษัท ดีครับ แต่รู้สึกว่าหุ้นมันจะวิ่งเกินไป
niyom_value wrote:
อันนี้เป็นแนวความคิด ที่ทำให้ผมอยากขายหุ้นออกไปบางส่วนครับ
เลยอยากรบกวนถามพี่วิบูลย์ครับ ว่าพี่มีแนวความคิดอย่างไร ถ้าเกิดสถานการณ์ในขั้นต้นครับ
(ใครคิดเห็นอย่างไร แสดงได้นะครับ อยากรู้ๆ ครับ)
ขอบคุณมากครับ
ทั้งหมดแค่ความคิดเห็นส่วนตัวครับ
จากประสบการณ์ความเสี่ยงอยู่ที่ว่า
เราเข้าใจบริษัทและมองอนาคตมันออกหรือเปล่า
บางครั้งพื้นฐานบริษัทเปลี่ยนไปแล้ว
แต่เรายัง"ยึดติด"อยู่
ก็อาจทำให้เราถือหุ้นที่ราคาไม่กลับไปที่เดิมอีกแล้วก็เป็นไปได้
แต่ถ้าพื้นฐานดี
ราคาไม่เกินมูลค่า
สักวันราคาหุ้นมันก็กลับมาที่ราคาพื้นฐานหละ
นานแค่ไหนบอกไม่ได้
โชคดีครับ
### การลงทุนเป็นศิลปะ
เก็บประสบการณ์ต่างๆไว้เป็นบทเรียน
แล้วประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตัวเราครับ
อย่าไปอิงกับคำว่า VIๆๆ
เข้าใจในสิ่งที่เราลงทุน และเลือกลงทุนในสิ่งที่เราเข้าใจครับ
มีความสุขกับการลงทุนและวันพักผ่อนนะครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 2141
- ผู้ติดตาม: 0
พยามลบจุดอ่อนของตัวเอง
โพสต์ที่ 6
แนะนำให้อ่าน และศึกษาแนวคิดในกะทู้ ตะแกรงร่อน ของพี่วิบูลย์เหมือนกันครับ อ่านแล้วคุณอาจเข้าใจมุมมอง และแนวทางการลงทุนดีขึ้น
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... sc&start=0
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... sc&start=0