สนใจเรื่องหุ้น

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
kosol
Verified User
โพสต์: 76
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 1

โพสต์

คือตอนนี้ผมได้สร้างพอร์ตลงทุนจำลองผ่านเว็บของ Settrade ที่มีการเปิดให้ทดลองสร้างพอร์ตจำลองขึ้นแต่ไม่ได้ใช้เงินจริง ตามที่ผมได้ซื้อหุ้นมาไม่ถึง 10 ตัว ซึ่งหุ้นแต่ละตัวที่ผมซื้อมานี้ ผมได้ทำการวิเคราะห์ตามที่อ่านหนังสือมาหลายเล่มแล้วโดยเฉพาะของท่านอาจารย์ บัฟเฟ็ตฟ์ และมาลองใช้กับบ้านเราดู ซึ่งผมได้วิเคราะห์ดูบริษัททั้งหมดที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ พบว่าได้แค่ไม่ถึง 10 บริษัทที่เข้าหลักเกณฑ์ตามที่หนังสือเขียนไว้ ผมเริ่มต้นทุนที่ 1000000 บาทและซื้อหุ้น 10 บริษัท ๆ ละ 100000 บาทเท่า ๆ กัน ซืัอตอนเมื่อ 2 เดือนที่แล้วและตอนนี้เป็น 269899 (26.85%) ไม่รวมตันทุนนะครับเลยรบกวนช่วยวิจารณ์ด้วยครับว่าต้องแก้ไขตรงบ้าง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Renne
Verified User
โพสต์: 322
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ปัญหาคือ ไม่รู้ว่าคุณ kosol ใช้เกณฑ์อย่างไรในการเลือกหุ้นเข้าพอร์ต ลองบอกเกณฑ์มาคร่าวๆที่ใช้ร่อนหุ้นกับใช้ปัจจัย หรือดูส่วนไหนของงบการเงิน ที่ทำใหุ้คุณkosolมองว่านี่แหละคือหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าจริงๆ น่าจะช่วยให้สมาชิกในเว็บมาช่วยตอบได้ง่ายขึ้นครับ  :)

ส่วนตัวผมว่ากระจายถือ 10 ตัวมากไปนิด เพราะเราจะเหนื่อยเวลาที่ต้องตามเก็บรายละเอียดหุ้นแต่ละตัว หุ้น10 ตัวที่ว่า ลองเอามาจัดอันดับ แล้วเลือกอันดับต้นๆมาสัก 5-6 ตัวน่าจะดีกว่าครับ ทำให้เบาแรงเวลาติดตามงบการเงิน แล้วผลตอบแทนมีโอกาสดีขึ้น  :)
"มีสติ คิดก่อนทำ และอย่าดูถูกตลาดมากเกินไป"
"เป็นเรื่องง่ายที่จะถือหุ้นเอาไว้ให้นานและี่ยากที่จะรอซื้อในราคาที่เหมาะสม"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ซุนเซ็ก
Verified User
โพสต์: 1104
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 3

โพสต์

เงินปลอมๆ ซื้อมั่วๆก็กำไรครับ ในช่วงตลาดขาขึ้นแบบนี้
เหมือนเล่มเกมกดแหล่ะครับ บุกตลุยเดียวยังไงก็ได้ เพราะตายแล้ว Reset ได้

ต่างจากที่ชีวิตจริง ตายแล้วตายเลย,  เงินจริงหมดแล้วหมดเลย
นอกจากนี้การเล่นเกมหุ้นผมว่าทำให้เสียนิสัยอีกด้วย (เวลาน้อย, ต้องการเห็นตัวเลขเยอะ)
เลิกเล่นเกม แล้วเอาเงินจริงมาลงทุน ไม่ต้องเยอะ 2-3 หมื่นก็ได้
จะดีกว่าครับ
ผมไม่ได้อยู่ในเว็บนี้แล้ว, มีอะไรติดต่อได้ทาง FB - 27/9/2555
"วิธีการที่ถูกต้อง มีได้มากกว่าหนึ่งวิธี"
สมุดบันทึกของผม http://suntse.wordpress.com
Facebook https://www.facebook.com/giggswalk
ภาพประจำตัวสมาชิก
Croyoty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3658
ผู้ติดตาม: 1

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 4

โพสต์

น่ากลัวครับ

เกม เงินปลอม คนไม่เคยเล่นหุ้นจริง มาเล่นแล้วได้กำไรดีใจ มั่นใจๆๆ เปิดพอร์ท ลุยของจริง ดอยเลย ดอยยาวเป็นปี ขายทิ้งก็เจ็บหนักเลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
นพพร
Verified User
โพสต์: 1039
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ตามหลักการแล้ว ต้องทิ้งให้ระยะเวลาเป็นการพิสูจน์ครับ ระยะเวลาแค่นี้ยังน้อยไปครับ แต่ก็เห็นความมุ่งมั่นในการจัดพอร์ตนะครับ แม้จะเป็นเพียงการทดลองแต่คุณก็ได้ทำการวิเคราะห์ก่อนซื้อจนเหลือเพียง 10 ตัว บางคนเข้าตลาดทันทีโดยการใช้เงินจริง และไม่มีการวิเคราะห์หุ้น เสี่ยงกว่าคุณหลายเท่าตัว ผมว่าคุณมาถูกทางแล้วแหล่ะ เพียงแต่รอให้เวลาพิสูจน์ ดังนั้นระหว่างที่ให้เวลาพิสูจน์ก็เฝ้าวิเคราะห์ไปเรื่อยๆ พร้อมกับลงทุนจริงสักเล็กน้อยเพื่อเปรียบเทียบความรู้สึกในการลงทุน ซึ่งมันจะมีหลายๆอย่างที่ไม่เหมือนกับสนามจำลอง  อย่างเช่นอารมณ์ความรู้สึก ขอชื่นชมครับผม
ก้าวแรกที่เล็กๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
kosol
Verified User
โพสต์: 76
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ต้องขอขอบคุณ Renne มากครับ ผมใช้เกณฑ์การวิเคราะห์งบการเงินย้อนไปจนถึงปี พ.ศ.2544 ครับ ดูทั้ง 3 งบทั้ง กำไรขาดทุน,งบดุลและก็งบกระแสเงินสดตามลำดับครับก็มีรายละเอียดตามนี้ครับ
-งบกำไรขาดทุน
1.ส่วนต่างกำไรขั้นต้น 40%หรือมากกว่ายิ่งสูงยิ่งดี
2.ค่า SGA/กำไรขั้นต้น ยิ่งต่ำยิ่งดี
3.ค่าเสื่อมราคา/กำไรขั้นต้น ยิ่งต่ำหรือไม่มีเลยยิ่งดี
4.ดอกเบี้ยจ่าย/กำไรจากการดำเนินกิจการ ห้ามเกิน 10% ยิ่งต่ำยิ่งดี
5.กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
6.กำไรสุทธิ/รายได้รวม ต้องมากกว่า 20 %ยิ่งสูงยิ่งดี
7.กำไรต่อหุ้น ต้องเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
-งบดุล
1.เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ต้องเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
2.สินค้าคงเหลือสุทธิ ต้องสอดคล้องกับกำไรสุทธิ
3.ที่ดินอาคารและอุปกรณ์สุทธิ ต้องจับตาดูอย่างระมัดระวัง
4.การลงทุนระยะยาว  ดูซิว่าผู้บริหารเก่งแค่ใหนในเรื่องการจัดการเงินของบริษัท
5.หนี้ัสินระยะยาวที่จะครบกำหนดใน1ปี บริษัทที่ยังยืนจะพยายามมีให้น้อยหรือไม่มีเลย
6.หนี้ระยะยาว เหมือนกับข้อ 5 บริษัทที่ยังยืนไม่กู้เงินมาลงทุน
7.อัตราหนี้สิน/ส่วนผู้ถือหุ้น ต้องห้ามเกิน 0.80 ยิ่งต่ำยิ่งดี
8.หุ้นบริสิทธิ์ บริษัทที่ยังยืนจะไม่มีหุ้นบุริมสิทธิ์
9.กำไรที่ยังไม่ได้จัดสรร เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอห
10.หุ้นทุนซื้อคืน ถ้าเห็นมีประวัติการซื้อหุ้นคืน เป็นสิ่งที่ดีเพราะบริษัททำกำไรได้มากจนไม่รู้่ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรจึงไปซื้อหุ้นคืนทำให้ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเพิ่มสูงขึ้น
11.ผลตอบแทนสำหรับส่วนผู้ถือหุ้น ต้องมากกว่า 20 % ยิ่งสูงยิ่งดี
-งบกระแสเงินสด
1.ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับทุน เช่น สินทรัพย์ถาวร สินทรัพย์ไม่มีตัวตน
2.ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับทุน/กำไรสุทธิ ต้องเท่ากับ 50 % หรือน้อยกว่ายิ่งต่ำยิ่งดีครับ
**สังเกตุว่าผมจะเน้นของความสม่ำเสมอ การเดินทางไม่จำเป็นต้องราบรื่น
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ผมจะดูตั้งแต่ปี2544จนถึงปัจจุบันครับ รบกวนท่านผู้มีประสบการณ์ช่วยวิจารณ์ด้วยครับไม่ต้องเกรงใจครับ ขอขอบคุณล่วงหน้า
**แต่ล่าสุดผมมีแค่ 4 บริษัทจาก 10 บริษัทที่ผมจะลงทุนด้วยเงินจริง ๆ ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
kosol
Verified User
โพสต์: 76
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ต้องขอบคุณทุกคนนะครับ ที่คอยแบ่งปั่นประสบการณ์แต่ขอตอบคุณ croyoty มันไม่ใช้เกมครับมันเป็นแค่การจำลองพอร์ตการลงทุนเฉย ๆ ซิ่งทุกอย่างเหมือนจริงหมด แต่ยกเว้นแค่เรื่องเงินครับ ซึ่งหุ้นทั้ง 10 ตัวนั้นผมได้วิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วครับไม่ใช้อยากซื้อก็ซื้อครับและผมก็ใช้เวลาวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทต่างเป็นเวลาปีกว่าแล้วผมจึงตัดสินใจซื้อกะว่าจะถือไว้ตลอดและจะไม่ขายเลยอย่างพิสูจน์ดูว่าที่ไหนหนังสือเขาเขียนไว้มันใช้ได้จริงหรือเปล่าเฉพาะอเมริกากับเมืองไทย ขอบคุณทุก ๆ ท่านอีกครั้งหนึ่งครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
murder_doll
Verified User
โพสต์: 1644
ผู้ติดตาม: 1

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ผมว่าบางทีเพราะไม่ได้ลงเงินจริงนะครับ
เลยไม่กดดันมาก อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดี
แต่ถ้าใช้เงินจริงลงเมื่อไร จะมีความกดดันเพิ่มขึ้น
และผลตอบแทยก็อาจจะไม่เป็นเหมือนตอนเล่นใน SETTRAD นะครับ
เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ภาพประจำตัวสมาชิก
ซุนเซ็ก
Verified User
โพสต์: 1104
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 9

โพสต์

[quote="kosol"]ต้องขอขอบคุณ Renne มากครับ ผมใช้เกณฑ์การวิเคราะห์งบการเงินย้อนไปจนถึงปี พ.ศ.2544 ครับ ดูทั้ง 3 งบทั้ง กำไรขาดทุน,งบดุลและก็งบกระแสเงินสดตามลำดับครับก็มีรายละเอียดตามนี้ครับ
-งบกำไรขาดทุน
1.ส่วนต่างกำไรขั้นต้น 40%หรือมากกว่ายิ่งสูงยิ่งดี
2.ค่า SGA/กำไรขั้นต้น ยิ่งต่ำยิ่งดี
3.ค่าเสื่อมราคา/กำไรขั้นต้น ยิ่งต่ำหรือไม่มีเลยยิ่งดี
4.ดอกเบี้ยจ่าย/กำไรจากการดำเนินกิจการ ห้ามเกิน 10% ยิ่งต่ำยิ่งดี
5.กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
6.กำไรสุทธิ/รายได้รวม ต้องมากกว่า 20 %ยิ่งสูงยิ่งดี
7.กำไรต่อหุ้น ต้องเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
-งบดุล
1.เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ต้องเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
2.สินค้าคงเหลือสุทธิ ต้องสอดคล้องกับกำไรสุทธิ
3.ที่ดินอาคารและอุปกรณ์สุทธิ ต้องจับตาดูอย่างระมัดระวัง
4.การลงทุนระยะยาว
ผมไม่ได้อยู่ในเว็บนี้แล้ว, มีอะไรติดต่อได้ทาง FB - 27/9/2555
"วิธีการที่ถูกต้อง มีได้มากกว่าหนึ่งวิธี"
สมุดบันทึกของผม http://suntse.wordpress.com
Facebook https://www.facebook.com/giggswalk
ภาพประจำตัวสมาชิก
drfool
Verified User
โพสต์: 119
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 10

โพสต์

สงสัยจะอ่านเล่มเดียวกับผม

ที่ผมเจอในตลาดหุ้นไทย ข้อ 1 กับข้อ 6 โดยเฉพาะข้อ 6 หุ้นดีๆบางตัวเช่นพวกซื้อมาขายไป กำไรต่อเนื่องแข็งแกร่ง แต่กำไรสุทธิ/รายได้รวม น้อยกว่า20มีเยอะครับ แถมบ้านเราหุ้นตัวเล็ก คนแห่ซื้อไม่กี่วันราคาก็ไปสูงได้

ถ้าเราเน้นปันผล ผมว่าหลักการนี้ใช้ได้ดีทีเดียว ถ้าเราเน้น ราคาหุ้นที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อคนมาเห็นมูลค่า ผมว่าอาจต้องพิจารณาพวกหุ้นวัฎจักรด้วยครับ

แต่รวมๆ ผมก็ดูแบบนี้เหมือนกัน และดูtrend ดูแนวโน้ม ดูสภาพคล่อง หุ้นพื้นฐานดีที่กำลังฟื้นตัวก็จะดู PE ในอนาคตด้วย

ผมว่าถูกทางแล้วครับ เพียงแต่ต้องเพิ่มรายละเอียดนิดหน่อยปลีกย่อย เช่น พวกลูกหนี้การค้า ต้องดูดีๆ พวกค่าเสื่อมต้องดูดีๆว่าถูกต้องไหม เพราะถ้าพวกนี้ผิด สินทรัพย์ก็จะเพิ่มขึ้นได้ เช่น บริษัท เอ มีเครื่องบินที่ต้องหักค่าเสื่อม 10 ปี แต่ในงบไปลงค่าเสื่อมในอัตรา15-20ปี เป็นต้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
kosol
Verified User
โพสต์: 76
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 11

โพสต์

รบกวนถามคุณ DFFOOL ว่าผมต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง แต่ตอนนี้อยากเปิดบัญชีซื้อขายให้ได้ก่อน อยากให้แนะว่าควรเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ไหนดีครับคือผมไม่รู้ว่าจะไปเปิดกับโบรกเกอร์ไหนดี เผื่อจังวะดี ๆ จะได้ซื้อของดีในราคาลด 50 % เพราะว่า 4 บริษัทที่คัดไว้ตอนนี้มีค่า P/E ประมาณ 10 กว่า
ซึ่งถือว่าน้อยนะ และอีกอย่างตอนนี้ตลาดกำลังขึ้นผมว่าอีกไม่นานสักวันมันต้องตกลงแน่ ๆ ตอนนั้นแหละครับที่ผมจะเข้าไปยุ่งกับตลาด ผมจะอดทนรอจนกว่าจะถึงวันนั้น รบกวนหน่อยนะครับ
damiano
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 381
ผู้ติดตาม: 1

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ขอผมเสริมนิดนึงนะครับ

ผมว่า นักลงทุนหน้าใหม่ๆที่เข้ามาลงทุนในแบบ VI ช่วงหลังๆ เหมือนจะพยายามหาสูตรให้ได้ ว่า ค่านี้ ต้องแบบนี ค่านั้นต้องต่ำเท่านี้

ผมว่า ระวังจะติดกับดักนะครับ

อย่าลืมว่า งบการเงินนั้น คือสิ่งที่บอกเราว่า ผลกระกอบการในอดีตนั้นเป็นอย่างไร ไม่ใช่อนาคตนะครับ การวิเคราะเชิงปริมาณนั้น สำคัญกับจริง แต่ไม่ได้สำคัญกว่า การวิเคราะเชิงคุณภาพเลยนะครับ มันต้องไปคู่ๆกัน

แล้วแต่ละอุตสาหกรรม ก็มีอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ที่ต่างกันอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว

อย่าง ธนาคาร หรือ รับเหมา อัตราส่วนกำไร ก็ต่างกันอย่างแน่นอน

เท่าที่ดูคุณ kosol เหมือนจะพยายามหาสูตรสำเร็จออกมาให้ได้ จากงบการเงินในอดีต มันอาจจะบอกได้ว่าในอดีต บริษัท เติบโต มั่นคงอย่างสม่ำเสมอ แต่ผมอยากให้มองออกไปในอนาคตมากกว่า ว่าบริษัทจะเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือไม่

หวังว่า จะมีประโยชน์บ้างนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
kosol
Verified User
โพสต์: 76
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 13

โพสต์

รบกวนช่วยยกตัวอย่างข้อมูลเชิงคุณภาพกับข้อมูลเชิงปริมาณสักตัวอย่างได้ไหมครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ขอขอบคุณทุกท่านนะครับมีอะไรก็ช่วยแนะนำด้วยนะครับจักเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง...และรบกวนอีกเรื่องไม่ทราบว่าท่านใดรู้บ้างครับว่าดร.นิเวศน์ ถือหุ้นอะไรบ้างตอนนี้ เห็นว่าท่านเป็นวีไออันดับหนี่งของเมืองไทย อยากจะเดินตามรอยท่านครับ ขอบคุณล่วงหน้านะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
kosol
Verified User
โพสต์: 76
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ขอขอบคุณ DAMAINO มากครับที่ช่วยแนะนำ แต่ที่ผมว่าไปนั้นผมได้มาจากหนังสือของ วอร์เรน บัฟเฟ็ตฟ์ ครับ ซึ่งในหนังสือบอกว่าเป็นวิธีเดียวกันกับที่บัฟเฟ็ตฟ์ใช้ครับ ผมไม่ได้พยายามคิดเองแต่ผมแค่อยากลองพิสูจน์ดูว่าสิ่งที่บัฟเฟ็ตฟ์ใช้อยู่นั้นมันใช้ได้ผลกับบ้านเราหรือเปล่า เลยอยากแช่ความรู้และรับฟังข้อคิดเห็นของท่านที่มีประสบการณ์ทั้งหลาย เพื่อเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจลงทุน ขอขอบคุณ DAMAINO อีกครั้งหนึ่งครับ
damiano
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 381
ผู้ติดตาม: 1

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ผมก็ไม่ใช่เก่งอะไรมากมายนะครับ เพิ่งลงทุนได้แค่สองปีเองครับ

ถ้าจะให้ผมเปรียบการอ่านงบการเงิน ก็คงเหมือนการที่เราไปตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีอะคับ แต่ว่า ในอนาคตจะเป็นยังไง ก็ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตในอนาคตของเรา(business model นั้นเองครับ)

ผมไม่ได้จะบอกว่า การดูงบการเงิน ค่านู้นค่านี้ สูงๆจะไม่ดีนะครับ แต่ผมอยากจะสื่อว่า มันเปรียบเสมือนผลงานของการทำงานในอดีตของบริษัทครับ อาจจะบอนาคตได้บางส่วนว่า มีโอกาสล้มละลายมั้ย ต้องเพิ่มทุนรึเปล่า อะไรพวกนี้ แต่มันบอกได้ไม่หมดครับ ว่ากิจการในอนาคตจะดีหรือไม่ เราต้องมอง businees model ควบคู่กันไปด้วยครับ

ถ้าถามว่า จะดูได้ยังไง ว่า business model ดีหรือไม่ มันก็ไม่มีสูตรอะไรดีอยู่ดี คร่าวๆก็เราต้องรู้ให้ได้ว่า บริษัท มีโอกาสจะทำกำไรเพิ่มในอนาคตได้อย่างไร บางที่ อาจจะไปเพิ่มยอดขาย บางที่ อาจจะใช้วิธีการลดต้นทุน

ยกตัวอย่างบริษัทค้าปลีก อาจจะใช้วิธีการเปิดสาขาเพิ่ม เพื่อเพิ่มยอดขาย ขณะเดียวกัน เมื่อสั่งของมากๆเข้า ต้นทุนการบริหาร อาจจะถกลงก็ได้ครับ กำไรก็น่าจะเพิ่มตามไปด้วยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Renne
Verified User
โพสต์: 322
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 16

โพสต์

คุณ kosol ดูละเอียดดีครับ ว่ากันตรงๆขยันกว่าผมมากในเรื่องร่อนหุ้น อันนี้ต้องขอชมเลยครับ :)

การกรองหุ้นแบบคุณKosolหุ้่นที่ได้มีความเสี่ยงที่กิจการจะมีปัญหาน้อย แต่มีส่วนที่จะแนะนำนิดๆครับ คือมันจะมีบางอย่างที่เราต้องคิดเพิ่มเติมนอกจากตัวแปรในตะแกรงร่อนหุ้นดังกล่าว เช่น

1.ส่วนต่างกำไรขั้นต้น 40%หรือมากกว่ายิ่งสูงยิ่งดี
= ในบาง Biz model เช่นพวกธุรกิจ ITหรือFinance บางตัวมีโอกาสหลุดไปได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น SIS , Synex หรือพวก IT ตัวอื่นๆ biz model ประเภทนี้กำไรขั้นต้น , กำไรสุทธิค่อนข้างต่ำมากเมื่อเทียบกับรายได้ แน่นอนว่าธุรกิจพวกนี้ถ้าคุมต้นทุนหรือตามเก็บหนี้ไม่ดี โอกาสขาดทุนมีสูง แต่ในกรณีของSISหรืออีกหลายๆตัว กำไรติดกันมาหลายปีและเทรนธุรกิจITก็เป็นเทรนที่น่าจะมีการเจริญเติบโตสูงในอนาคต ถ้าใช้ตะแกรงร่อน หุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสหลุดครับ

2.บางธุรกิจที่มีการดำเนินการซื้อเครื่องจักรขนาดใหญ่ บางครั้งมีผลให้งบดุลขาดทุนช่วงนึง เนื่องจากต้องเอาเงินไปโปะจ่ายค่าเครื่องจักร แต่หลังจากที่หนี้ส่วนนี้หมดไป โอกาสทำกำไรแบบก้าวกระโดดจะมีสูง เพราะบางครั้งการเพิ่มเครื่องจักรเช่นจาก 1->2 ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาก ถ้าบริษัทกลุ่มนี้ แต่เดิม demandสินค้าก็มากกว่าsupplyค่อนข้างมากอยู่แล้ว การเพิ่มกำลังการผลิตก็มีโอกาสทำให้กำไรเด้งขึ้นมากเหมือนกัน ซึ่งกลุ่มนี้มีโอกาสหลุดเหมือนกันจะตะแกรงร่อน

3.กำไรสุทธิ/รายได้รวม ต้องมากกว่า 20 %ยิ่งสูงยิ่งดี
ตรงส่วนนี้ต้องระวังนิดนึง ถ้าธุรกิจที่ทำกำไรได้ดีขนาดนี้ มีโอกาสที่คู่แข่งอยากจะเข้ามาทำ แต่จากตัวกรองตัวอื่นของคุณkosol ดูย้อนหลังไปค่อนข้างนาน แต่เรโชตรงส่วนนี้ไม่ตก อาจเป็นไปได้ว่าธุรกิจมี barrier ในระดับนึงอยู่แล้ว ก็พอสบายใจได้ แต่แนะนำให้ไปดู56-1ในเรื่องของความเสี่ยงในตัวธุรกิจด้วยครับ จะได้ช่วยประเมินแนวโน้มในอนาคตได้ และถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆจะได้เผ่นทัน  :D

-----------------------------------------------------------
สรุปก็คือ หุ้นในกลุ่ม turn around , cycle จะหลุดไป (แต่ไม่น่ามีปัญหาเพราะคุณ kosol น่าจะเน้นลงทุนในหุ้นที่เติบโตอย่้างสม่ำเสมอมากกว่า) กับหุ้นกลุ่มที่marginค่อนข้างบางแต่บางตัวก็มีการเจริญเติบโตที่สูง มีโอกาสหลุดไปบ้างเหมือนกัน

ในส่วนของข้อมูลเชิงคุณภาพ 56-1 ก็มีไว้บ้าง เช่นความเสี่ยงในการดำเนินงานของกิจการ ตัวแปรความเสี่ยงคืออะไร ลองไปอ่านดูน่าจะช่วยได้เยอะขึ้นครับ  :)  ประเด็นอื่น รอเพื่อนๆหรือพี่ๆคนอื่นเสริม เพราะกรณีผมในพอร์ตส่วนนึงไปลงกับพวก cycle , turn around (ไม่รู้จะเทิร์นขึ้นหรือเทิร์นลงจนหัวทิ่มดิน ฮา  :lol: ) และตะแกรงร่อนของผมก็จะไม่ละเอียดเท่าคุณ kosol เลยอาจจะแนะนำได้ไม่ดีนัก ตรงนี้ขออภัยด้วยครับ
"มีสติ คิดก่อนทำ และอย่าดูถูกตลาดมากเกินไป"
"เป็นเรื่องง่ายที่จะถือหุ้นเอาไว้ให้นานและี่ยากที่จะรอซื้อในราคาที่เหมาะสม"
ภาพประจำตัวสมาชิก
drfool
Verified User
โพสต์: 119
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ประเด็นข้อสังเกตของผม คุณ Renne อธิบายได้ดีมากครับ แสดงว่าคิดเหมือนๆกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
kosol
Verified User
โพสต์: 76
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ขอขอบคุณทุกท่านมากครับโดยเฉพาะ คุณ Renne และ Damaino ที่แบ่งปั่นประสบการณ์ให้กับผม ส่วนเรื่องงบการเงินนั้นผมก็ไม่รู้ว่าใช่ได้จริงหรือเปล่าตอนนี้คงมีแค่เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้ แต่ผมลองเข้าไปวิเคราะห์งบการเงินบริษัทที่ท่าน วอร์เรน ถืออยู่พบว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ผ่านหมดเลย เช่น Moody   และ P&G แต่พอมาใช้กับเมืองไทยมันไม่เข้าทุกข้อ ผมว่ามันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าตลาดอเมริกา เกิดก่อนเราหรือไม่ก็เหตุผลอื่นซึ่งนี้ผมเดาเอา 55 แต่ถ้าอ่านงบการเงินบริษัทไหนไม่เข้าใจซับซ้อนผมก็ไม่ไปยุ่งกับมัน ส่วนเรื่องบริษัทที่เกี่ยวกับไอทีนั้น ผมคงไม่ขอเข้าไปใกล้ดีกว่า เพราะวอร์เรนเองก็ไม่เคยลงทุนในบริษัทไอทีเหมือนกัน ขนาดท่านมีประสบการณ์มาก่อนเราท่านยังไม่ลงทุนเลย แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องไม่เชื่อท่านด้วย **คือผมพึ่งจบปริญญาตรีเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว และตอนนี้กำลังเตรียมเก็บเงินเพื่อลงทุนซึ่งเงินเก็บผมได้แบ่งเป็น 3 กอง ๆ ละเท่า ๆ กัน คือ 1.เงินออม 2.เงินลงทุน 3.เงินบริจาค ผมสักวันหนึ่งผมขาดทุนก็ยังเงินอีก 2 กอง ไว้ให้ผมใช้ยามจำเป็น และผมข้องใจและไม่เข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับการลงทุนแบบ VI เพราะผมเข้าไปอ่านบางกระทู้เห็นมีประมาณว่าตัวอย่างเช่น ผมถือหุ้นบริษัทนี้อยู่คุณคิดว่าผมควรขายมันไหม หรือว่าราคามันกำลังขึ้นมันควรซื้อไหม ผมเลยคิดว่าคนเหล่านี้เขาใช้ VI จริง ๆ หรือเปล่า เหมือนเขาไม่ได้วิเคราะห์ให้ละเอียดและก็มาวิตกกังวลที่หลัง ผมว่าลักษณะเหมือนนักเก็งกำไรเลย ไม่เห็นเขาพูดถึงธุระกิจของบริษัทนั้นเลยว่าทำอะไร เห็นพูดถึงแต่ราคาเท่านั้นเองผมเลยงงครับ  ผมเลยอยากถามให้หายสงสัยกันครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
kosol
Verified User
โพสต์: 76
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 19

โพสต์

http://image.ohozaa.com/show.php?id=9e8 ... 07a47ec75d
ขออภัยครับอัพรูปผิดครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Renne
Verified User
โพสต์: 322
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 20

โพสต์

ผมคิดว่าส่วนหนึ่งหุ้นในตลาดอเมริกามีหุ้นมาก และมีหลายตัวที่สามารถขยายงานไปนอกประเทศได้ด้วย ทำให้โอกาสเติบโตสูงกว่าหุ้นตัวเล็กๆในเมืองไทยพอสมควร เลยทำให้ใช้ตะแกร่งร่อนแล้วมีโอกาสเจอหุ้นดีๆได้เยอะขึ้นครับ นอกจากนี้ความหลากหลายของธุรกิจมีค่อนข้างมาก เมืองนอกจะระดมทุนส่วนมากก็เข้ามาระดมในตลาดหุ้น แต่เมืองไทยบางส่วนยังให้ความสำคัญไปกับการกู้แบงค์ กู้นู้นกู้นี่มากกว่า ไม่ก็ไม่ได้สนใจที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ (มีหลายบริษัทที่ผมอยากให้เข้านะ แต่เขาไม่ยอมเข้ากัน :lol:)  อีกอย่างตลาดลงทุนเมืองไทยยังมีขนาดเล็ก เวลา่มีfundflowไม่ต้องก้อนใหญ่มากก็ได้ ไหลเข้าตลาด ตลาดก็เขียวพุ่งขึ้นแรง ทำให้ผันผวนสูงในบางเวลาด้วย (อย่างกรณีขณะนี้เป็นต้น)

ในส่วนของบัฟเฟต เพราะบัฟเฟตไม่เข้าใจธุรกิจประเภท IT บัฟเฟตจึงไม่เลือกลงทุน อีกส่วนคือธุรกิจประเภทนี้ใช้เงินทุนในส่วน R&D ค่อนข้างสูง (แต่ต่างกับหุ้น IT ในเมืองไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภทซื้อมาขายไปซะมาก อาจมีประกอบคอมขายเล็กน้อย ไม่ได้ R&D แต่ก็ใช้ทุนสูงเหมือนกัน) และมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างไว บัฟเฟตเลยไม่ชอบกระมังครับ  :) ในกรณีนี้ถ้าคุณkosolยึดตามปู่บัฟก็ไม่มีปัญหา เพราะธุรกิจกลุ่มนี้มีความเสี่ยงในเรื่องของการผันผวนด้านต้นทุนสินค้าด้วย บริหารstockไม่ดี ถึงขั้นปิดบริษัทเลยทีเดียว เพราะงั้นประเทศไทยเลยมีงาน commart ไว้ระบายสินค้าบ่อยๆไงครับ :lol: เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจก็เลือกลงทุนในกลุ่มที่เข้าใจดีกว่า

ส่วนใครจะใช้วิธีไหนลงทุนก็อยู่ที่เทคนิคแต่ละคนครับ ทำกำไรได้จากตลาดได้ก็ถือว่าไม่มีปัญหา บางครั้งหลายๆคนเปิดประเด็นอาจจะมาจากหลายสาเหตุ อาจจะลองใจ อาจจะอยากได้มุมมองของคนอื่น หรืออาจจะไม่มั่นใจก็ได้ ผมว่าเป็นธรรมดาของคนเราครับ บางครั้งต่อให้วิเคราะห์ละเอียด แต่ถ้าราคาขึ้นลงวูบวาบให้เสียวเล่น ความมั่นใจก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน :8)
"มีสติ คิดก่อนทำ และอย่าดูถูกตลาดมากเกินไป"
"เป็นเรื่องง่ายที่จะถือหุ้นเอาไว้ให้นานและี่ยากที่จะรอซื้อในราคาที่เหมาะสม"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Suysak
Verified User
โพสต์: 691
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ซื้อหุ้นคือซื้ออนาคต   อันดับแรกต้องดูอุตสาหกรรมก่อนว่า กลุ่มไหนมีอนาคต จะมีการเติบโต หรือ สตอรี่ให้เล่น

ถัดไปก็ดูรายตัว ดูงบการเงินเพื่อดูสไตล์การบริหาร และดูคุณภาพของกิจการ

ที่ขาดไปคือการวิเคราะห์ธุรกิจครับ

ออกไปเดินชมกิจการตัวเองครับ ว่าดีขึ้น แย่ลง หรือ เท่าเดิม

:8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
sialic
Verified User
โพสต์: 144
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 22

โพสต์

เข้ามานอกเรื่อง .. พี่สุยศักดิ์ไม่เขียนต่อแล้วเหรอ ลงทุนสบายๆสไตล์สุยศักดิ์ อ่ะ  :lol:  :lol:   รออ่าน ชอบ สนุกดี
new user
ภาพประจำตัวสมาชิก
kosol
Verified User
โพสต์: 76
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ผมก็อยากให้บ้างบริษัทเข้าตลาดเหมือนกันแต่เขาไม่ยอมเข้า ขอบคุณทุกท่านที่ให้มุมมองใหม่ ๆ ในการลงทุน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Suysak
Verified User
โพสต์: 691
ผู้ติดตาม: 0

สนใจเรื่องหุ้น

โพสต์ที่ 24

โพสต์

[quote="sialic"]เข้ามานอกเรื่อง .. พี่สุยศักดิ์ไม่เขียนต่อแล้วเหรอ ลงทุนสบายๆสไตล์สุยศักดิ์ อ่ะ
โพสต์โพสต์