เกาะติดฟองสบู่จีน
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 1
ผมตามข่าว ให้รู้สึกกังวลเรื่องจีนที่โตต่อเนื่องยาวนาน และโดยส่วนลึกๆยังเชื่อตามกฏธรรมชาติ ซึ่งไม่น่าจะมีใครอยู่ยั่งยืนนาน
ดูจากอเมริกาไงครับ หลังจากเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่องยาวนาน
เมือเกิดปัญหาขึ้นลุกลามไปทั่วโลก และจีนก็น่าจะหนีไม่พ้นกฏธรรมชาติข้อนี้ เพียงแต่นานแค่ไหนเท่านั้น และหากมันเกิดกับจีนจริง ผลกระทบไม่น่าจะน้อยกว่าที่เกิดจากซับไพรม์ของอเมริกา
เพราะจะเห็นได้จากเงินทุนจากจีนไหลไปลงทุนในทรัพย์สินทั่วโลก
หากเกิดวิกฤติขึ้นจริง มองว่าจะเทขายทรัพย์สินทั่วโลกเพื่อดึงเงินกลับ จะเทขายขนาดทุกราคา เมื่อนั้นตลาดหุ้นจะไหลลงระเนระนาดเหมือนคราวที่แล้ว ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นเท่าทวีคูณขึ้นอีกหากเวลาที่เกิดวิกฤตินั้นฝากฝั่งยุโรปและอเมริกายังไม่ฟื้นตัว
ความเห็นของผมปลายปี2555-2556(2012-2013)
ดูจากอเมริกาไงครับ หลังจากเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่องยาวนาน
เมือเกิดปัญหาขึ้นลุกลามไปทั่วโลก และจีนก็น่าจะหนีไม่พ้นกฏธรรมชาติข้อนี้ เพียงแต่นานแค่ไหนเท่านั้น และหากมันเกิดกับจีนจริง ผลกระทบไม่น่าจะน้อยกว่าที่เกิดจากซับไพรม์ของอเมริกา
เพราะจะเห็นได้จากเงินทุนจากจีนไหลไปลงทุนในทรัพย์สินทั่วโลก
หากเกิดวิกฤติขึ้นจริง มองว่าจะเทขายทรัพย์สินทั่วโลกเพื่อดึงเงินกลับ จะเทขายขนาดทุกราคา เมื่อนั้นตลาดหุ้นจะไหลลงระเนระนาดเหมือนคราวที่แล้ว ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นเท่าทวีคูณขึ้นอีกหากเวลาที่เกิดวิกฤตินั้นฝากฝั่งยุโรปและอเมริกายังไม่ฟื้นตัว
ความเห็นของผมปลายปี2555-2556(2012-2013)
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 2
ประชาชาติธุรกิจ
ส่องอนาคตนโยบายการเงินจีน พร้อมพลิกแผนหวังสกัด "เงินเฟ้อ"
การปรับแนวทางนโยบายของ "จีน" อยู่ในความสนใจของโลกทุกครั้ง เช่นเดียวกับครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนประกาศว่า จะคงนโยบายการคลังเชิงรุกต่อไป แต่จะปรับนโยบายการเงินจากที่เคยผ่อนคลายมาเป็นการดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง รอบคอบ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ชี้ชัดว่า ภารกิจสำคัญของรัฐบาลในขณะนี้คือ การต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ มากกว่าการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้แถลงการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังระบุว่า จีนจะทำให้นโยบายเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่น และมีเป้าหมายเฉพาะมากขึ้น หรือหมายความว่า ผู้กำหนดนโยบายจะดำเนินการใด ๆ ที่จำเป็นเพื่อตอบสนองกับบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
หากมองในเรื่องเงินเฟ้อนั้น พบว่าเมื่อเดือนตุลาคมดัชนีราคาผู้บริโภคของจีน พุ่งขึ้นไปถึงระดับ 4.4% ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปี ส่วนราคาอาหาร ทะยานแรงถึง 10.1% ในปีนี้
ลี เตากุย ที่ปรึกษาของธนาคารจีน เผยว่า ทางการจีนอาจสั่งให้ธนาคารเพิ่มการกันสำรองเงินสดอีก เพื่อรับมือเงินทุนไหลเข้า และคุมการปล่อยกู้ของภาคธนาคาร
ขณะที่บรรดานักวิเคราะห์คาดว่า ธนาคารกลางจีนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อีก 0.25% ในเดือนนี้ และอีก 0.75% ในปีหน้า อีกทั้งจะปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอีก
สอดคล้องกับความคิดเห็นของ ปา ซูซง รองผู้อำนวยการทั่วไปของสถาบันวิจัยทางการเงินของศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาของจีน ที่ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี ว่า จีนน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น เมื่อดูจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีประสิทธิภาพภายใต้นโยบายทางการเงินใหม่ที่รอบคอบ โดยเป้าหมายคือ การขจัดป?ญหาอัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่เป็นลบของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระยะกลางและระยะยาว มากกว่าจะเน้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้น
นอกจากนี้จีนน่าจะดำเนินมาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพื่อคุมซัพพลายเงินในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจจะยังคงมีสูง ทั้งนี้คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของจีนจะอยู่ที่ระดับ 4-5% ในปีหน้า
เว็บไซต์มาร์เก็ตวอตช์ชี้ว่า จีนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับว่าปัญหาเงินเฟ้อ ณ ขณะนั้นรุนแรงแค่ไหน เพราะหลังจากที่จีนปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ระดับ 5.56% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 2.5% แต่พบว่าอัตราดอกเบี้ยแท้จริงของจีนยังคงติดลบอยู่ และหากเทียบกับประเทศอย่างอินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้แล้ว จะพบว่าประเทศเหล่านั้นล้ำหน้าจีนในแง่ของวัฏจักรการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
สวนประเด็นของค่าเงินหยวน พบว่า นับตั้งแต่จีนปล่อยให้ค่าเงินหยวนเคลื่อนไหวได้มากขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิถุนายนเป็นต้นมา หยวนแข็งค่าขึ้นแล้ว 2.6% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ประเมินว่า หยวนจะแข็งค่าเป็น 6.2 หยวนต่อดอลลาร์ ภายในสิ้นปีหน้า
ด้าน เซิง ซงเชิง หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และสถิติของธนาคารกลางจีน แสดงความคิดเห็นผ่านไฟแนนเชียล นิวส์ หนังสือพิมพ์ของธนาคารกลางจีนว่า การแข็งค่าขึ้น ทีละน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไปของหยวนจะช่วยสร้างเสถียรภาพราคาผู้บริโภคในจีน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง บริษัทโบรกเกอร์อย่างซีแอลเอสเอมองว่า ปัญหาเงินเฟ้อยังไม่ได้เลวร้ายนัก และสถานการณ์ปัจจุบันคล้ายคลึงกับในช่วงปี 2550-2551 ที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาอาหารแพงขึ้น พร้อมแสดงความคิดเห็นว่า สิ่งที่จีนและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียควรจะให้ความสนใจมากขึ้นคือฟองสบู่สินทรัพย์
โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งธุรกิจที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด หลังจากเติบโตสูงมากตามแรงของการปล่อยกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวต่อไปของจีนที่อาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อคุมอัตราเงินเฟ้อ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่ฟองสบู่สินทรัพย์จะแตก พร้อมสร้างหนี้เสียให้กับภาคธนาคาร อีกทั้งจะดึงดูดเงินร้อนที่เข้ามา เก็งกำไรในตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างจีนด้วย
ด้านเขตเศรษฐกิจและสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากสภาพคล่องและการเติบโตของจีน จะต้องจับตาความเคลื่อนไหวของแดนมังกรอย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าจีนจะบริหารจัดการ "soft landing" ได้ดีมากน้อยเพียงใด โดยซีแอลเอสเอ วิเคราะห์ว่า ประเด็นเงินเฟ้อของจีนเป็นความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์สำหรับการค้าคอมโมดิตี้ของออสเตรเลีย เพราะภาคเหมืองแร่ และดอลลาร์ออสเตรเลียได้อานิสงส์อย่างมากจากการเติบโตของจีน เช่นเดียวกับราคาสินค้าคอมโมดิตี้ตั้งแต่เหล็กกล้าไปจนถึงอาหารพื้นฐาน ที่ต่างขยับขึ้นเพราะความต้องการจากจีน หรืออาจสามารถนับรวมไปถึง "ทองคำ" ที่เมื่อสัปดาห์ก่อนจีนเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ปีนี้ นำเข้าทองคำเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า หรือเป็นกว่า 209 ตัน ในช่วง 10 เดือนแรก ดังนั้น การค้าใน ปีหน้าจะต้องมองหาสินทรัพย์ที่จีนยังไม่ได้ซื้อและไม่ต้องการขาย
http://www.prachachat.net/view_news.php ... 2010-12-09
ส่องอนาคตนโยบายการเงินจีน พร้อมพลิกแผนหวังสกัด "เงินเฟ้อ"
การปรับแนวทางนโยบายของ "จีน" อยู่ในความสนใจของโลกทุกครั้ง เช่นเดียวกับครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนประกาศว่า จะคงนโยบายการคลังเชิงรุกต่อไป แต่จะปรับนโยบายการเงินจากที่เคยผ่อนคลายมาเป็นการดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง รอบคอบ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ชี้ชัดว่า ภารกิจสำคัญของรัฐบาลในขณะนี้คือ การต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ มากกว่าการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้แถลงการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังระบุว่า จีนจะทำให้นโยบายเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่น และมีเป้าหมายเฉพาะมากขึ้น หรือหมายความว่า ผู้กำหนดนโยบายจะดำเนินการใด ๆ ที่จำเป็นเพื่อตอบสนองกับบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
หากมองในเรื่องเงินเฟ้อนั้น พบว่าเมื่อเดือนตุลาคมดัชนีราคาผู้บริโภคของจีน พุ่งขึ้นไปถึงระดับ 4.4% ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปี ส่วนราคาอาหาร ทะยานแรงถึง 10.1% ในปีนี้
ลี เตากุย ที่ปรึกษาของธนาคารจีน เผยว่า ทางการจีนอาจสั่งให้ธนาคารเพิ่มการกันสำรองเงินสดอีก เพื่อรับมือเงินทุนไหลเข้า และคุมการปล่อยกู้ของภาคธนาคาร
ขณะที่บรรดานักวิเคราะห์คาดว่า ธนาคารกลางจีนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อีก 0.25% ในเดือนนี้ และอีก 0.75% ในปีหน้า อีกทั้งจะปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอีก
สอดคล้องกับความคิดเห็นของ ปา ซูซง รองผู้อำนวยการทั่วไปของสถาบันวิจัยทางการเงินของศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาของจีน ที่ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี ว่า จีนน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น เมื่อดูจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีประสิทธิภาพภายใต้นโยบายทางการเงินใหม่ที่รอบคอบ โดยเป้าหมายคือ การขจัดป?ญหาอัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่เป็นลบของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระยะกลางและระยะยาว มากกว่าจะเน้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้น
นอกจากนี้จีนน่าจะดำเนินมาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพื่อคุมซัพพลายเงินในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจจะยังคงมีสูง ทั้งนี้คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของจีนจะอยู่ที่ระดับ 4-5% ในปีหน้า
เว็บไซต์มาร์เก็ตวอตช์ชี้ว่า จีนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับว่าปัญหาเงินเฟ้อ ณ ขณะนั้นรุนแรงแค่ไหน เพราะหลังจากที่จีนปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ระดับ 5.56% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 2.5% แต่พบว่าอัตราดอกเบี้ยแท้จริงของจีนยังคงติดลบอยู่ และหากเทียบกับประเทศอย่างอินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้แล้ว จะพบว่าประเทศเหล่านั้นล้ำหน้าจีนในแง่ของวัฏจักรการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
สวนประเด็นของค่าเงินหยวน พบว่า นับตั้งแต่จีนปล่อยให้ค่าเงินหยวนเคลื่อนไหวได้มากขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิถุนายนเป็นต้นมา หยวนแข็งค่าขึ้นแล้ว 2.6% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ประเมินว่า หยวนจะแข็งค่าเป็น 6.2 หยวนต่อดอลลาร์ ภายในสิ้นปีหน้า
ด้าน เซิง ซงเชิง หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และสถิติของธนาคารกลางจีน แสดงความคิดเห็นผ่านไฟแนนเชียล นิวส์ หนังสือพิมพ์ของธนาคารกลางจีนว่า การแข็งค่าขึ้น ทีละน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไปของหยวนจะช่วยสร้างเสถียรภาพราคาผู้บริโภคในจีน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง บริษัทโบรกเกอร์อย่างซีแอลเอสเอมองว่า ปัญหาเงินเฟ้อยังไม่ได้เลวร้ายนัก และสถานการณ์ปัจจุบันคล้ายคลึงกับในช่วงปี 2550-2551 ที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาอาหารแพงขึ้น พร้อมแสดงความคิดเห็นว่า สิ่งที่จีนและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียควรจะให้ความสนใจมากขึ้นคือฟองสบู่สินทรัพย์
โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งธุรกิจที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด หลังจากเติบโตสูงมากตามแรงของการปล่อยกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวต่อไปของจีนที่อาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อคุมอัตราเงินเฟ้อ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่ฟองสบู่สินทรัพย์จะแตก พร้อมสร้างหนี้เสียให้กับภาคธนาคาร อีกทั้งจะดึงดูดเงินร้อนที่เข้ามา เก็งกำไรในตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างจีนด้วย
ด้านเขตเศรษฐกิจและสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากสภาพคล่องและการเติบโตของจีน จะต้องจับตาความเคลื่อนไหวของแดนมังกรอย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าจีนจะบริหารจัดการ "soft landing" ได้ดีมากน้อยเพียงใด โดยซีแอลเอสเอ วิเคราะห์ว่า ประเด็นเงินเฟ้อของจีนเป็นความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์สำหรับการค้าคอมโมดิตี้ของออสเตรเลีย เพราะภาคเหมืองแร่ และดอลลาร์ออสเตรเลียได้อานิสงส์อย่างมากจากการเติบโตของจีน เช่นเดียวกับราคาสินค้าคอมโมดิตี้ตั้งแต่เหล็กกล้าไปจนถึงอาหารพื้นฐาน ที่ต่างขยับขึ้นเพราะความต้องการจากจีน หรืออาจสามารถนับรวมไปถึง "ทองคำ" ที่เมื่อสัปดาห์ก่อนจีนเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ปีนี้ นำเข้าทองคำเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า หรือเป็นกว่า 209 ตัน ในช่วง 10 เดือนแรก ดังนั้น การค้าใน ปีหน้าจะต้องมองหาสินทรัพย์ที่จีนยังไม่ได้ซื้อและไม่ต้องการขาย
http://www.prachachat.net/view_news.php ... 2010-12-09
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 3
ยอดส่งออกจีนมีสิทธิพุ่ง 2 เท่า ภายในอีก 5 ปี
Posted on Monday, December 13, 2010
นายหวัน จี๋เฟย ประธานสมาคมหอการค้าต่างประเทศของจีน ระบุในการประชุมของสมาคมในกรุงปักกิ่งว่า ยอดการค้ากับต่างประเทศของจีนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และอาจแตะระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 หรือ เกือบเท่าตัว จากระดับ 2.21 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2552 แต่ยอดการค้ากับต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพสินค้าจะสูงตามไปด้วย วัดได้จากแบรนด์สินค้าจีนที่มีสัดส่วนเพียง 20% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด ดังนั้นจีนต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างของการส่งออกใหม่
ในแผน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2554 - 2559 จีนควรลดการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำและปรับปรุงคุณภาพสินค้า ส่วนผู้ส่งออกของจีนควรเร่งพัฒนาการค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญต่อการบังคับใช้ภาษีเกี่ยวกับคาร์บอนซึ่งอาจถูกนำมาใช้เป็นข้อกีดกันทางการค้าในอีก 5 ปีข้างหน้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
Posted on Monday, December 13, 2010
นายหวัน จี๋เฟย ประธานสมาคมหอการค้าต่างประเทศของจีน ระบุในการประชุมของสมาคมในกรุงปักกิ่งว่า ยอดการค้ากับต่างประเทศของจีนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และอาจแตะระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 หรือ เกือบเท่าตัว จากระดับ 2.21 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2552 แต่ยอดการค้ากับต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพสินค้าจะสูงตามไปด้วย วัดได้จากแบรนด์สินค้าจีนที่มีสัดส่วนเพียง 20% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด ดังนั้นจีนต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างของการส่งออกใหม่
ในแผน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2554 - 2559 จีนควรลดการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำและปรับปรุงคุณภาพสินค้า ส่วนผู้ส่งออกของจีนควรเร่งพัฒนาการค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญต่อการบังคับใช้ภาษีเกี่ยวกับคาร์บอนซึ่งอาจถูกนำมาใช้เป็นข้อกีดกันทางการค้าในอีก 5 ปีข้างหน้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 4
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
จีนเตรียมอัดมาตรการคุมเงินเฟ้อ
ทางการจีนให้คำมั่นที่จะเพิ่มความพยายามควบคุมเงินเฟ้อพร้อมๆ ไปกับการรักษาอัตราการเติบโตให้เป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ หลังเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนพุ่งสูงสุดในรอบ 28 เดือนที่ 5.1%
ซินหัวเน็ตรายงานว่า แถลงการณ์ที่ออกมาหลังมีการประชุมเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจระดับสูงระบุว่า "สิ่งแรกที่ต้องให้ความสำคัญคือจัดการความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตอย่างรวดเร็ว การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการคาดการณ์เงินเฟ้อให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและฉับไว"
ที่ประชุมดังกล่าวยังได้ยืนยันว่านโยบายการเงินและงบประมาณในปี 2554 จะมีทิศทางระมัดระวัง (prudent) และยังแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะควบคุมสภาพคล่องอย่างใกล้ชิดในปีหน้าและให้ความสำคัญกับเสถียรภาพในทุกระดับราคา
นักวิเคราะห์เห็นว่าสภาพคล่องส่วนเกินในระบบคือปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยระดับการปล่อยกู้ในรูปเงินหยวนซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดถึงสถาพคล่องสูงถึงระดับเป้าหมายของปีนี้แล้วในเดือนพฤศจิกายนและคาดว่าจะทะลุเป้าในเดือนนี้
ซัน หลีเจียน นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฟูแดนให้ความเห็นว่า ปัญหาสภาพคล่องเป็นเรื่องซับซ้อนเพราะได้รับผลกระทบทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ "มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของสหรัฐทำให้มีสภาพคล่องล้นตลาดและเงินทุนส่วนมากมุ่งตรงมายังจีน"
นักวิเคราะห์ยังแนะว่าเป้าหมายการปล่อยกู้ในปีหน้าไม่ควรเกิน 7.1 ล้านล้านหยวน (1.07 ล้านล้านดอลลาร์) หรืออยู่ในช่วง 6.5-7.4 ล้านล้านหยวน และทางรัฐบาลต้องดูแลให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เพราะที่ผ่านมาบรรดาสถาบันการเงินต่างพยายามทุกวิถีทางที่จะเลี่ยงกฎการปล่อยสินเชื่อซึ่งทำให้สภาพคล่องในตลาดอยู่ในระดับสูงมาก
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 4&catid=00
จีนเตรียมอัดมาตรการคุมเงินเฟ้อ
ทางการจีนให้คำมั่นที่จะเพิ่มความพยายามควบคุมเงินเฟ้อพร้อมๆ ไปกับการรักษาอัตราการเติบโตให้เป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ หลังเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนพุ่งสูงสุดในรอบ 28 เดือนที่ 5.1%
ซินหัวเน็ตรายงานว่า แถลงการณ์ที่ออกมาหลังมีการประชุมเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจระดับสูงระบุว่า "สิ่งแรกที่ต้องให้ความสำคัญคือจัดการความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตอย่างรวดเร็ว การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการคาดการณ์เงินเฟ้อให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและฉับไว"
ที่ประชุมดังกล่าวยังได้ยืนยันว่านโยบายการเงินและงบประมาณในปี 2554 จะมีทิศทางระมัดระวัง (prudent) และยังแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะควบคุมสภาพคล่องอย่างใกล้ชิดในปีหน้าและให้ความสำคัญกับเสถียรภาพในทุกระดับราคา
นักวิเคราะห์เห็นว่าสภาพคล่องส่วนเกินในระบบคือปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยระดับการปล่อยกู้ในรูปเงินหยวนซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดถึงสถาพคล่องสูงถึงระดับเป้าหมายของปีนี้แล้วในเดือนพฤศจิกายนและคาดว่าจะทะลุเป้าในเดือนนี้
ซัน หลีเจียน นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฟูแดนให้ความเห็นว่า ปัญหาสภาพคล่องเป็นเรื่องซับซ้อนเพราะได้รับผลกระทบทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ "มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของสหรัฐทำให้มีสภาพคล่องล้นตลาดและเงินทุนส่วนมากมุ่งตรงมายังจีน"
นักวิเคราะห์ยังแนะว่าเป้าหมายการปล่อยกู้ในปีหน้าไม่ควรเกิน 7.1 ล้านล้านหยวน (1.07 ล้านล้านดอลลาร์) หรืออยู่ในช่วง 6.5-7.4 ล้านล้านหยวน และทางรัฐบาลต้องดูแลให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เพราะที่ผ่านมาบรรดาสถาบันการเงินต่างพยายามทุกวิถีทางที่จะเลี่ยงกฎการปล่อยสินเชื่อซึ่งทำให้สภาพคล่องในตลาดอยู่ในระดับสูงมาก
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 4&catid=00
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 5
จีนสั่งแบงก์เพิ่มสัดส่วนเงินสดสำรอง
ธนาคารกลางจีนสั่งธนาคารต่างๆ เพิ่มสัดส่วนเงินสดสำรองตามกฎหมายอีก 0.5% ถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดที่มีเป้าหมายเพื่อคุมการปล่อยกู้ ท่ามกลางความพยายามคุมเงินเฟ้อของรัฐบาล
รอยเตอร์วิเคราะห์ว่า การตัดสินใจเพิ่มสัดส่วนเงินสดสำรอง แทนที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหมายความว่า ทางการจีนเลือกแนวทางที่เบากว่า โดยอาจเชื่อว่าแรงกดดันด้านราคายังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้
คำประกาศนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารขนาดใหญ่จะต้องเพิ่มสัดส่วนเงินสดสำรองเป็น 19% อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางจีนไม่ได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้
ลู เจิงเว่ย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของอินดัสเทรียล แบงก์ ในเซี่ยงไฮ้ ระบุว่า ยังมีช่องอีกมากให้ธนาคารกลางเพิ่มสัดส่วนเงินสดสำรองอีกในปีหน้า โดยคาดว่าในไตรมาสแรกจะมีการปรับขึ้นอีกหลายครั้ง และสัดส่วนเงินสดสำรองจะพุ่งถึง 23% ในปีหน้า
การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้น 1 สัปดาห์ หลังจากที่บรรดาผู้นำสูงสุดของจีนประกาศหันมาดำเนินนโยบายทางการเงินที่รอบคอบขึ้น จากเดิมที่ดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลาย ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า การเปลี่ยนคำที่ใช้เป็นการเปิดทางให้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและควบคุมการปล่อยกู้
ในฟากของตลาดหุ้นพบว่า ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนทรุดลงกว่า 10% ท่ามกลางความวิตกว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดยิ่งขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
ทั้งนี้ทางการจีนจะประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคในวันเสาร์ (11 ธ.ค.) นี้ ซึ่งสื่อของทางการจีนประเมินว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคอาจสูงถึง 5.1% ในเดือนพฤศจิกายน
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 4&catid=00
ธนาคารกลางจีนสั่งธนาคารต่างๆ เพิ่มสัดส่วนเงินสดสำรองตามกฎหมายอีก 0.5% ถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดที่มีเป้าหมายเพื่อคุมการปล่อยกู้ ท่ามกลางความพยายามคุมเงินเฟ้อของรัฐบาล
รอยเตอร์วิเคราะห์ว่า การตัดสินใจเพิ่มสัดส่วนเงินสดสำรอง แทนที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหมายความว่า ทางการจีนเลือกแนวทางที่เบากว่า โดยอาจเชื่อว่าแรงกดดันด้านราคายังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้
คำประกาศนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารขนาดใหญ่จะต้องเพิ่มสัดส่วนเงินสดสำรองเป็น 19% อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางจีนไม่ได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้
ลู เจิงเว่ย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของอินดัสเทรียล แบงก์ ในเซี่ยงไฮ้ ระบุว่า ยังมีช่องอีกมากให้ธนาคารกลางเพิ่มสัดส่วนเงินสดสำรองอีกในปีหน้า โดยคาดว่าในไตรมาสแรกจะมีการปรับขึ้นอีกหลายครั้ง และสัดส่วนเงินสดสำรองจะพุ่งถึง 23% ในปีหน้า
การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้น 1 สัปดาห์ หลังจากที่บรรดาผู้นำสูงสุดของจีนประกาศหันมาดำเนินนโยบายทางการเงินที่รอบคอบขึ้น จากเดิมที่ดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลาย ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า การเปลี่ยนคำที่ใช้เป็นการเปิดทางให้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและควบคุมการปล่อยกู้
ในฟากของตลาดหุ้นพบว่า ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนทรุดลงกว่า 10% ท่ามกลางความวิตกว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดยิ่งขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
ทั้งนี้ทางการจีนจะประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคในวันเสาร์ (11 ธ.ค.) นี้ ซึ่งสื่อของทางการจีนประเมินว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคอาจสูงถึง 5.1% ในเดือนพฤศจิกายน
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 4&catid=00
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 6
ประชาชาติธุรกิจ
เอกซเรย์ฟองสบู่อสังหาฯจีน ดัชนีพุ่งสูงสุด 70.3%
ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของจีนเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายจับตามองมาตลอด ท่ามกลางการถกเถียงว่าจีนกำลังเผชิญกับปัญหาหรือไม่
ปัญหานี้ถูกยืนยันด้วยตัวเลขผลสำรวจตลาดบ้านของจีนในปี 2553-2554 ของสถาบันสังคมศาสตร์จีน ที่ระบุว่าฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์กำลังขยายตัวในเขตเมือง โดยส่วนต่างระหว่างมูลค่าแท้จริงของ อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ และราคาขายเพิ่มสูงยิ่งขึ้นในเมืองส่วนใหญ่ สำหรับเมืองที่มีภาวะฟองสบู่สูงสุดในการสำรวจเมืองขนาดกลางและขนาดใหญ่ 35 เมือง คือ "ฝูโจว" เมืองหลวงของมณฑลฝูเจี้ยน ที่มีดัชนีฟองสบู่สูงถึง 70.3% เพราะมีราคาแท้จริงเพียง 3,998 หยวน หรือ 600 ดอลลาร์ต่อตารางเมตร แต่ราคาตลาดกลับสูงถึง 13,457 หยวน
ข้อมูลของรายงานฉบับนี้แจกแจงว่า เมืองฝูโจวและอีก 6 เมือง มีดัชนีฟองสบู่ สูงกว่าครึ่งของราคาตลาด ทั้งนี้ ดัชนีฟองสบู่คำนวณจากดัชนีย่อย 11 ดัชนี อาทิ สาธารณูปโภคภาครัฐ และรายได้สุทธิ เฉลี่ยต่อคน
สำหรับเมืองชั้น 1 เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และ เสิ่นเจิ้น ติดอยู่ในกลุ่ม 11 เมือง ที่มีดัชนีฟองสบู่ที่ระดับ 30-50% ของราคาตลาด และมี 8 เมือง ที่มีดัชนีฟองสบู่ 10-30% ของราคาตลาด และมี 9 เมือง ที่มีดัชนีฟองสบู่ระดับต่ำกว่า 10% และดัชนีฟองสบู่เฉลี่ยของ 35 เมือง อยู่ที่ระดับ 29.5% อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจพบว่าเมืองสวนหนึ่งไม่มีปัญหาฟองสบู่ หรือมีน้อยมาก เช่น ไท่หยวน ฮูฮอต เสิ่นหยาง เซี่ยเหมิน ไหโขว่ หยินชวาน และอุรุมชี
ขณะเดียวกัน รายงานประจำปีฉบับนี้ชี้ว่า การพุงขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนจะชะลอตัวลงในปีหน้า หลังรัฐบาลดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความร้อนแรงของตลาด เช่น เมื่อเดือนตุลาคม ธนาคารกลางจีนได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ และดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินออกจากตลาด นอกจากนี้ เมื่อเดือนกันยายนได ออกนโยบายระบุให้รัฐบาลท้องถิ่นรับผิดชอบต่อการละเลยไม่ปฏิบัติ ตามนโยบาย อสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลกลาง
ซึ่งแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมเปิดเผยกับไชน่า เดลี ว่า ที่ผ่านมา มีการจัดตั้งฝ่ายตรวจสอบร่วมระหว่างกระทรวงพัฒนาที่อยู่อาศัยเมืองและชนบท และกระทรวงที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อติดตามความพยายามของรัฐบาลท้องถิ่นในการจัดหาที่ดิน สร้างที่อยู่อาศัยราคาประหยัด และขจัดการสะสมที่ดินโดยไม่ใช้ประโยชน์
แต่ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันสังคมศาสตร์จีนเห็นว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศยังคงเผชิญกับปัญหาและความท้าทายหลายประการในปัจจุบัน
หนี เปิงเฟย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเมืองและขีดความสามารถในการแข่งขันของสถาบันสังคมศาสตร์จีนวิเคราะห์ว่า รัฐบาลมีเป้าหมายไม่ชัดเจน นโยบายไม่ต่อเนื่อง และไม่สัมพันธ์กัน พร้อมเตือนว่าเศรษฐกิจมหภาคของจีนพึ่งพาตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างมหาศาล และคนอาจลงทุนในอสังหาริมทรัพยเมื่อเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ
นอกจากเม็ดเงินลงทุนจากในประเทศแล้ว พบว่ามีนักลงทุนสถาบันต่างชาติจำนวนมากขึ้น กำลังแห่เข้ามาลงทุนในตลาดนี้ เพราะผลตอบแทนการลงทุนสูง และพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน
โดยข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ในเดือนพฤศจิกายน มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทุนต่างชาติ 114 แห่ง ยื่นขออนุญาตจัดตั้งบริษัทใหม่ หรือเพิ่มทุนในบริษัทเดิม ซึ่งสูงกว่ายอดเดือนตุลาคม 2.71 เท่า และสะท้อนการลุยลงทุนในตลาดนี้ของนักลงทุนต่างชาติ
ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ชาวจีนจำนวนมากไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ แม้ว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายที่อยู่อาศัยเชิงสังคมก็ตาม เพราะนโยบายดังกล่าวครอบคลุมผู้บริโภคเพียง 6-8% เท่านั้น ขณะที่คนรวยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากราคาบ้านแพง คิดเป?นเพียง 20-30% ของ ผู้บริโภคทั้งหมด ดังนั้น จึงมีคนจำนวนมากที่กำลังรอให้ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก
http://www.prachachat.net/view_news.php ... 2010-12-13
เอกซเรย์ฟองสบู่อสังหาฯจีน ดัชนีพุ่งสูงสุด 70.3%
ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของจีนเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายจับตามองมาตลอด ท่ามกลางการถกเถียงว่าจีนกำลังเผชิญกับปัญหาหรือไม่
ปัญหานี้ถูกยืนยันด้วยตัวเลขผลสำรวจตลาดบ้านของจีนในปี 2553-2554 ของสถาบันสังคมศาสตร์จีน ที่ระบุว่าฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์กำลังขยายตัวในเขตเมือง โดยส่วนต่างระหว่างมูลค่าแท้จริงของ อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ และราคาขายเพิ่มสูงยิ่งขึ้นในเมืองส่วนใหญ่ สำหรับเมืองที่มีภาวะฟองสบู่สูงสุดในการสำรวจเมืองขนาดกลางและขนาดใหญ่ 35 เมือง คือ "ฝูโจว" เมืองหลวงของมณฑลฝูเจี้ยน ที่มีดัชนีฟองสบู่สูงถึง 70.3% เพราะมีราคาแท้จริงเพียง 3,998 หยวน หรือ 600 ดอลลาร์ต่อตารางเมตร แต่ราคาตลาดกลับสูงถึง 13,457 หยวน
ข้อมูลของรายงานฉบับนี้แจกแจงว่า เมืองฝูโจวและอีก 6 เมือง มีดัชนีฟองสบู่ สูงกว่าครึ่งของราคาตลาด ทั้งนี้ ดัชนีฟองสบู่คำนวณจากดัชนีย่อย 11 ดัชนี อาทิ สาธารณูปโภคภาครัฐ และรายได้สุทธิ เฉลี่ยต่อคน
สำหรับเมืองชั้น 1 เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และ เสิ่นเจิ้น ติดอยู่ในกลุ่ม 11 เมือง ที่มีดัชนีฟองสบู่ที่ระดับ 30-50% ของราคาตลาด และมี 8 เมือง ที่มีดัชนีฟองสบู่ 10-30% ของราคาตลาด และมี 9 เมือง ที่มีดัชนีฟองสบู่ระดับต่ำกว่า 10% และดัชนีฟองสบู่เฉลี่ยของ 35 เมือง อยู่ที่ระดับ 29.5% อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจพบว่าเมืองสวนหนึ่งไม่มีปัญหาฟองสบู่ หรือมีน้อยมาก เช่น ไท่หยวน ฮูฮอต เสิ่นหยาง เซี่ยเหมิน ไหโขว่ หยินชวาน และอุรุมชี
ขณะเดียวกัน รายงานประจำปีฉบับนี้ชี้ว่า การพุงขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนจะชะลอตัวลงในปีหน้า หลังรัฐบาลดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความร้อนแรงของตลาด เช่น เมื่อเดือนตุลาคม ธนาคารกลางจีนได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ และดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินออกจากตลาด นอกจากนี้ เมื่อเดือนกันยายนได ออกนโยบายระบุให้รัฐบาลท้องถิ่นรับผิดชอบต่อการละเลยไม่ปฏิบัติ ตามนโยบาย อสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลกลาง
ซึ่งแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมเปิดเผยกับไชน่า เดลี ว่า ที่ผ่านมา มีการจัดตั้งฝ่ายตรวจสอบร่วมระหว่างกระทรวงพัฒนาที่อยู่อาศัยเมืองและชนบท และกระทรวงที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อติดตามความพยายามของรัฐบาลท้องถิ่นในการจัดหาที่ดิน สร้างที่อยู่อาศัยราคาประหยัด และขจัดการสะสมที่ดินโดยไม่ใช้ประโยชน์
แต่ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันสังคมศาสตร์จีนเห็นว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศยังคงเผชิญกับปัญหาและความท้าทายหลายประการในปัจจุบัน
หนี เปิงเฟย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเมืองและขีดความสามารถในการแข่งขันของสถาบันสังคมศาสตร์จีนวิเคราะห์ว่า รัฐบาลมีเป้าหมายไม่ชัดเจน นโยบายไม่ต่อเนื่อง และไม่สัมพันธ์กัน พร้อมเตือนว่าเศรษฐกิจมหภาคของจีนพึ่งพาตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างมหาศาล และคนอาจลงทุนในอสังหาริมทรัพยเมื่อเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ
นอกจากเม็ดเงินลงทุนจากในประเทศแล้ว พบว่ามีนักลงทุนสถาบันต่างชาติจำนวนมากขึ้น กำลังแห่เข้ามาลงทุนในตลาดนี้ เพราะผลตอบแทนการลงทุนสูง และพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน
โดยข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ในเดือนพฤศจิกายน มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทุนต่างชาติ 114 แห่ง ยื่นขออนุญาตจัดตั้งบริษัทใหม่ หรือเพิ่มทุนในบริษัทเดิม ซึ่งสูงกว่ายอดเดือนตุลาคม 2.71 เท่า และสะท้อนการลุยลงทุนในตลาดนี้ของนักลงทุนต่างชาติ
ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ชาวจีนจำนวนมากไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ แม้ว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายที่อยู่อาศัยเชิงสังคมก็ตาม เพราะนโยบายดังกล่าวครอบคลุมผู้บริโภคเพียง 6-8% เท่านั้น ขณะที่คนรวยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากราคาบ้านแพง คิดเป?นเพียง 20-30% ของ ผู้บริโภคทั้งหมด ดังนั้น จึงมีคนจำนวนมากที่กำลังรอให้ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก
http://www.prachachat.net/view_news.php ... 2010-12-13
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 7
รายได้ด้านการคลังของจีนขยายตัว 16.1% ในเดือนพ.ย.
กระทรวงการคลังจีนเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า รายได้ด้านการคลังของจีนขยายตัว 16.1% ในเดือนพ.ย. แตะระดับ 5.8407 แสนล้านหยวน (8.77 หมื่นล้านดอลลาร์) ส่งผลให้รายได้การคลังโดยรวมในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 7.67 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 21.1% จากปีที่แล้ว เนื่องจากจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ภาษีซื้อรถยนต์ ขณะที่ยอดการนำเข้าและยอดขายรถยนต์ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายด้านการคลังในเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 66.9%ต่อปี แตะที่ 1.06 ล้านล้านหยวน ขณะที่ตัวเลขการใช้จ่ายด้านการคลังในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ พุ่งขึ้น 27.3% แตะที่ 7.16 ล้านล้านหยวน
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=525
กระทรวงการคลังจีนเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า รายได้ด้านการคลังของจีนขยายตัว 16.1% ในเดือนพ.ย. แตะระดับ 5.8407 แสนล้านหยวน (8.77 หมื่นล้านดอลลาร์) ส่งผลให้รายได้การคลังโดยรวมในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 7.67 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 21.1% จากปีที่แล้ว เนื่องจากจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ภาษีซื้อรถยนต์ ขณะที่ยอดการนำเข้าและยอดขายรถยนต์ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายด้านการคลังในเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 66.9%ต่อปี แตะที่ 1.06 ล้านล้านหยวน ขณะที่ตัวเลขการใช้จ่ายด้านการคลังในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ พุ่งขึ้น 27.3% แตะที่ 7.16 ล้านล้านหยวน
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=525
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 8
นักวิชาการเชื่อจีนจำเป็นต้องซับสภาพคล่องออกจากระบบ
ธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มเพดานกันสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์อีก 0.5% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค. ซึ่งนับเป็นการเพิ่มเพดานสำรองครั้งที่ 3 ในเดือนนี้ เพื่อเป้าหมายที่จะควบคุมผลกระทบที่เกิดจากการปล่อยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก จนส่งผลให้ตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
การประกาศครั้งล่าสุดจะทำให้สัดส่วนการกันสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นเป็น 18.5%
กัว เตียนหยง อาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Central University of Finance and Economics กล่าวว่า ยอดการปล่อยเงินกู้ใหม่และยอดการส่งออกที่เพิ่มขึ้นเกินคาด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้จีนต้องเร่งดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบทันที
ข้อมูลของธนาคารกลางจีนระบุว่า ยอดการปล่อยเงินกู้ใหม่ในเดือนพ.ย.มีอยู่มากถึง 5.64 แสนล้านหยวน และยอดการปล่อยเงินกู้ใหม่ตลอดปี 2553 อาจสูงกว่าเป้าหมายที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ที่ 7.5 ล้านล้านหยวน
อาจารย์กัวยังกล่าวด้วยว่า สภาพคล่องส่วนเกินและภาวะเงินเฟ้อสะท้อนให้เห็นได้จากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวอย่างร้อนแรง โดยราคาอสังหาริมทรัพย์ใน 70 เมืองขนาดใหญ่ของจีนพุ่งขึ้น 7.7% ในเดือนพ.ย. ขณะที่ยอดการส่งออกทะยานขึ้นเกินความคาดหมาย
นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบสอง (QE2) ยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาวะเงินเฟ้อในจีนเพิ่มขึ้นด้วย
หยิน เจียนเฟิง นักวิจัยจากสถาบันสังคมศาสตร์ของจีน กล่าวว่า การเพิ่มเพดานกันสำรองครั้งล่าสุดสะท้อนให้เห็นว่า ธนาคารกลางจีนได้ปรับนโยบายการเงินให้คืนสู่สภาวะปกติ จากที่เคยใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในเวลานั้นจีนนำนโยบายดังกล่าวมาใช้เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์การเงินโลก
แม้ธนาคารกลางจีนยกระดับการบริหารจัดการสภาพคล่อง แต่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การตัดสินใจเพิ่มเพดานกันสำรองสภาพคล่องแทนการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลจีนมีท่าทีระมัดระวังในเรื่องการรับมือกับสภาวะต่างๆทางเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลกังวลว่าการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากเกินไปอาจจะฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจได้
เศรษฐกิจจีนขยายตัวในอัตรา 9.6% ต่อปีในไตรมาส 3 ซึ่งชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่ขยายตัวได้ดีถึง 10.3% และไตรมาสแรกที่ 11.9% แม้ภาคการผลิตของจีนขยายตัวอย่างต่อเนื่องก็ตาม
หยาง เสิ่นตี นักวิเคราะห์จากบริษัทเซียงไค ซิเคียวริตีส์กล่าวว่า การเพิ่มเพดานสำรองสภาพคล่องถือเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินออกจากระบบโดยไม่ทำให้มีเม็ดเงินเก็งกำไรทะลักเข้าประเทศเหมือนกับการขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ นายหยางคาดว่าธนาคารกลางจีนจะเพิ่มเพดานกันสำรองสภาพคล่องอีกในปี 2554
ขณะที่หลู ติง นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา-เมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า แม้ธนาคารกลางจีนเล็งเห็นความจำเป็นในการควบคุมเงินเฟ้อ แต่ธนาคารกลางจะไม่ยอมขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือ ใช้มาตรการระงับการปล่อยเงินกู้
อย่างไรก็ดี นายกู ฮงบิน นักวิเคราะห์จากเอเชีย อีโคโนมิค รีเสิร์ช กล่าวว่า "การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับปานกลางถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรับมือกับวิกฤตเงินเฟ้อ เรายังเชื่อว่าจีนจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเร็วๆนี้"
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
ธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มเพดานกันสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์อีก 0.5% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค. ซึ่งนับเป็นการเพิ่มเพดานสำรองครั้งที่ 3 ในเดือนนี้ เพื่อเป้าหมายที่จะควบคุมผลกระทบที่เกิดจากการปล่อยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก จนส่งผลให้ตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
การประกาศครั้งล่าสุดจะทำให้สัดส่วนการกันสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นเป็น 18.5%
กัว เตียนหยง อาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Central University of Finance and Economics กล่าวว่า ยอดการปล่อยเงินกู้ใหม่และยอดการส่งออกที่เพิ่มขึ้นเกินคาด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้จีนต้องเร่งดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบทันที
ข้อมูลของธนาคารกลางจีนระบุว่า ยอดการปล่อยเงินกู้ใหม่ในเดือนพ.ย.มีอยู่มากถึง 5.64 แสนล้านหยวน และยอดการปล่อยเงินกู้ใหม่ตลอดปี 2553 อาจสูงกว่าเป้าหมายที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ที่ 7.5 ล้านล้านหยวน
อาจารย์กัวยังกล่าวด้วยว่า สภาพคล่องส่วนเกินและภาวะเงินเฟ้อสะท้อนให้เห็นได้จากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวอย่างร้อนแรง โดยราคาอสังหาริมทรัพย์ใน 70 เมืองขนาดใหญ่ของจีนพุ่งขึ้น 7.7% ในเดือนพ.ย. ขณะที่ยอดการส่งออกทะยานขึ้นเกินความคาดหมาย
นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบสอง (QE2) ยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาวะเงินเฟ้อในจีนเพิ่มขึ้นด้วย
หยิน เจียนเฟิง นักวิจัยจากสถาบันสังคมศาสตร์ของจีน กล่าวว่า การเพิ่มเพดานกันสำรองครั้งล่าสุดสะท้อนให้เห็นว่า ธนาคารกลางจีนได้ปรับนโยบายการเงินให้คืนสู่สภาวะปกติ จากที่เคยใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในเวลานั้นจีนนำนโยบายดังกล่าวมาใช้เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์การเงินโลก
แม้ธนาคารกลางจีนยกระดับการบริหารจัดการสภาพคล่อง แต่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การตัดสินใจเพิ่มเพดานกันสำรองสภาพคล่องแทนการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลจีนมีท่าทีระมัดระวังในเรื่องการรับมือกับสภาวะต่างๆทางเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลกังวลว่าการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากเกินไปอาจจะฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจได้
เศรษฐกิจจีนขยายตัวในอัตรา 9.6% ต่อปีในไตรมาส 3 ซึ่งชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่ขยายตัวได้ดีถึง 10.3% และไตรมาสแรกที่ 11.9% แม้ภาคการผลิตของจีนขยายตัวอย่างต่อเนื่องก็ตาม
หยาง เสิ่นตี นักวิเคราะห์จากบริษัทเซียงไค ซิเคียวริตีส์กล่าวว่า การเพิ่มเพดานสำรองสภาพคล่องถือเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินออกจากระบบโดยไม่ทำให้มีเม็ดเงินเก็งกำไรทะลักเข้าประเทศเหมือนกับการขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ นายหยางคาดว่าธนาคารกลางจีนจะเพิ่มเพดานกันสำรองสภาพคล่องอีกในปี 2554
ขณะที่หลู ติง นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา-เมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า แม้ธนาคารกลางจีนเล็งเห็นความจำเป็นในการควบคุมเงินเฟ้อ แต่ธนาคารกลางจะไม่ยอมขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือ ใช้มาตรการระงับการปล่อยเงินกู้
อย่างไรก็ดี นายกู ฮงบิน นักวิเคราะห์จากเอเชีย อีโคโนมิค รีเสิร์ช กล่าวว่า "การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับปานกลางถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรับมือกับวิกฤตเงินเฟ้อ เรายังเชื่อว่าจีนจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเร็วๆนี้"
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 9
จีนเล็งลดภาษีครั้งใหญ่ในปี 2554-2558
การลดภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำและธุรกิจส่วนใหญ่คาดว่า จะเป็นประเด็นสำคัญของการปฏิรูปด้านการจัดเก็บภาษีของจีนในช่วงปี 2554-2558 ตามแผนโครงการระยะเวลา 5 ปีฉบับที่ 12
จากการประชุม China's Central Economic Work Conference นั้น จีนจะสนับสนุนการปฏิรูปการจัดเก็บภาษีและการคลังอย่างแข็งขัน – โดยจะมีการพิจารณาเรื่องแนวทาง 4 เรื่องด้วยกัน คือ การปฏิรูปการจัดสรรรายได้ / การเปลี่ยนแปลงภาษีเงินได้ส่วนบุคคล / การปฏิรูปภาษีทรัพยากร / การใช้นโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มในธุรกิจบริการบางประเภท
เจ้าหน้าที่ด้านภาษี กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะช่วยลดภาษีสำหรับผู้มีรายได้น้อยได้หลายพันล้านหยวนและจะพิจารณาเรื่องการจัดระบบภาษีให้มีความชัดเจน และลดประเภทภาษีลงในช่วงปี 2554 - 2558
สำนักงานศุลกากรจีนได้ร่างกรอบการปฏิรูปการจัดเก็บภาษีในช่วงแผนการพัฒนาฉบับที่ 12 ระยะเวลา 5 ปี โดยภายใต้กรอบการดำเนินการดังกล่าว จีนจะลดจำนวนหน่วยงานที่ดูแลด้านภาษีลงเหลือประมาณ 10 แห่ง จากเดิม 17 แห่ง เพื่อที่จะลดการจัดเก็บภาษีทางอ้อม
ธุรกิจต่างๆ อาจจะพอใจกับการลดภาษีลง ขณะที่จีนวางแผนที่จะทดแทนภาษีธุรกิจด้วยภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงปี 2554-2558
จีนได้เริ่มการปฏิรูปภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อปี 2552 ซึ่งการปฏิรูปครั้งนี้มีเป้าหมายที่การปรับเปลียนจุดสำคัญจากพื้นฐานการผลิตที่มีอยู่เดิมไปเป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่มบนพื้นฐานของการบริโภค เพื่อให้บริษัทต่างๆได้รับส่วนลดภาษีสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นส่วนของอุปกรณ์
เมื่อปีที่แล้วนั้น การปฏิรูปช่วยลดภาษีให้กับบริษัทต่างๆได้ถึง 1.70 แสนล้านหยวน ทั้งนี้ ภาษีธุรกิจของจีนครอบคลุมถึงธุรกิจบริการ อสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้
หากมีการใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มแทนที่ภาษีธุรกิจ บริษัทต่างๆก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในด้านสินทรัพย์คงที่ เช่น อุปกรณ์และอสังหาริมทรัพย์ และเวิร์คช็อปจากภาษีประเภทต่างๆ
หยาง จีหยง นักวิจัยของสถาบันสังคมศาสตร์จีน กล่าวว่า การปฏิรูปครั้งนี้จะช่วยลดการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อน และยังเป็นประโยชน์กับธุรกิจบริการต่างๆ ซึ่งรวมถึงธุรกิจการเงิน ทรัสต์ ลอจิสติกส์ และขนส่ง
นอกจากนี้ จีนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเรื่องภาษีอสังหาริมทรัพย์และสิ่งแวดล้อม การขึ้นภาษีทรัพยากร การจัดเก็บภาษีผู้ที่มีรายได้สูง และจัดเก็บภาษีอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยมลภาวะสูง และใช้พลังงานจำนวนมาก
กระทรวงการคลังจีนจะปรับขึ้นภาษีการส่งออกผลิตภัณฑ์แร่ธาตุหายากบางรายการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2554 เป็นต้นไป เพื่อกำกับดูแลการส่งออกแร่ธาตุหายาก นอกจากนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงภาษีการส่งออกและนำเข้าผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายรายการด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงคลังจีนจะยังคงเก็บภาษีส่งออกสำหรับผลิตภัณฑ์ที่สร้างมลภาวะสูงหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้พลังงานสูง เช่น ถ่านหิน น้ำมันดิบ โลหะนอกกลุ่มเหล็ก และปุ๋ย
จีนเตรียมคุมเข้มการกำกับดูแลกระแสเงินทุนแบบข้ามแดน
สำนักปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) จะควบคุมกระแสเงินทุนข้ามแดนอย่างเข้มงวดมากขึ้น และจะกวาดล้างกิจกรรมที่ผิดปกติ เช่น กระแสเงินร้อน ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความกังวลของ SAFE ที่ว่า กระแสเงินร้อนอาจจะส่งผลกระทบต่อความพยายามในการควบคุมเงินเฟ้อของจีน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนได้เตือนเกี่ยวกับเรื่องกระแสเงินทุนไหลบ่าเข้าประเทศอันเนื่องมาจากการใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณของประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐมาแล้วหลายครั้ง
จีนยังได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินสำหรับปี 2554 ให้เป็นนโยบายแบบระมัดระวัง จากเดิมที่ใช้นโยบายแบบผ่อนคลายในระดับปานกลาง
นอกจากนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนได้ประกาศขึ้นเพดานกันสำรองอีก 0.50% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.เป็นต้นไป เพื่อลดสภาพคล่อง
SAFE ยังให้คำมั่นเรื่องการปรับปรุงด้านการบริหารทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และเดินหน้าเพื่อดูแลและให้ความสำคัญกับมูลค่าของสินทรัพย์ในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
การลดภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำและธุรกิจส่วนใหญ่คาดว่า จะเป็นประเด็นสำคัญของการปฏิรูปด้านการจัดเก็บภาษีของจีนในช่วงปี 2554-2558 ตามแผนโครงการระยะเวลา 5 ปีฉบับที่ 12
จากการประชุม China's Central Economic Work Conference นั้น จีนจะสนับสนุนการปฏิรูปการจัดเก็บภาษีและการคลังอย่างแข็งขัน – โดยจะมีการพิจารณาเรื่องแนวทาง 4 เรื่องด้วยกัน คือ การปฏิรูปการจัดสรรรายได้ / การเปลี่ยนแปลงภาษีเงินได้ส่วนบุคคล / การปฏิรูปภาษีทรัพยากร / การใช้นโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มในธุรกิจบริการบางประเภท
เจ้าหน้าที่ด้านภาษี กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะช่วยลดภาษีสำหรับผู้มีรายได้น้อยได้หลายพันล้านหยวนและจะพิจารณาเรื่องการจัดระบบภาษีให้มีความชัดเจน และลดประเภทภาษีลงในช่วงปี 2554 - 2558
สำนักงานศุลกากรจีนได้ร่างกรอบการปฏิรูปการจัดเก็บภาษีในช่วงแผนการพัฒนาฉบับที่ 12 ระยะเวลา 5 ปี โดยภายใต้กรอบการดำเนินการดังกล่าว จีนจะลดจำนวนหน่วยงานที่ดูแลด้านภาษีลงเหลือประมาณ 10 แห่ง จากเดิม 17 แห่ง เพื่อที่จะลดการจัดเก็บภาษีทางอ้อม
ธุรกิจต่างๆ อาจจะพอใจกับการลดภาษีลง ขณะที่จีนวางแผนที่จะทดแทนภาษีธุรกิจด้วยภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงปี 2554-2558
จีนได้เริ่มการปฏิรูปภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อปี 2552 ซึ่งการปฏิรูปครั้งนี้มีเป้าหมายที่การปรับเปลียนจุดสำคัญจากพื้นฐานการผลิตที่มีอยู่เดิมไปเป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่มบนพื้นฐานของการบริโภค เพื่อให้บริษัทต่างๆได้รับส่วนลดภาษีสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นส่วนของอุปกรณ์
เมื่อปีที่แล้วนั้น การปฏิรูปช่วยลดภาษีให้กับบริษัทต่างๆได้ถึง 1.70 แสนล้านหยวน ทั้งนี้ ภาษีธุรกิจของจีนครอบคลุมถึงธุรกิจบริการ อสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้
หากมีการใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มแทนที่ภาษีธุรกิจ บริษัทต่างๆก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในด้านสินทรัพย์คงที่ เช่น อุปกรณ์และอสังหาริมทรัพย์ และเวิร์คช็อปจากภาษีประเภทต่างๆ
หยาง จีหยง นักวิจัยของสถาบันสังคมศาสตร์จีน กล่าวว่า การปฏิรูปครั้งนี้จะช่วยลดการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อน และยังเป็นประโยชน์กับธุรกิจบริการต่างๆ ซึ่งรวมถึงธุรกิจการเงิน ทรัสต์ ลอจิสติกส์ และขนส่ง
นอกจากนี้ จีนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเรื่องภาษีอสังหาริมทรัพย์และสิ่งแวดล้อม การขึ้นภาษีทรัพยากร การจัดเก็บภาษีผู้ที่มีรายได้สูง และจัดเก็บภาษีอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยมลภาวะสูง และใช้พลังงานจำนวนมาก
กระทรวงการคลังจีนจะปรับขึ้นภาษีการส่งออกผลิตภัณฑ์แร่ธาตุหายากบางรายการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2554 เป็นต้นไป เพื่อกำกับดูแลการส่งออกแร่ธาตุหายาก นอกจากนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงภาษีการส่งออกและนำเข้าผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายรายการด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงคลังจีนจะยังคงเก็บภาษีส่งออกสำหรับผลิตภัณฑ์ที่สร้างมลภาวะสูงหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้พลังงานสูง เช่น ถ่านหิน น้ำมันดิบ โลหะนอกกลุ่มเหล็ก และปุ๋ย
จีนเตรียมคุมเข้มการกำกับดูแลกระแสเงินทุนแบบข้ามแดน
สำนักปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) จะควบคุมกระแสเงินทุนข้ามแดนอย่างเข้มงวดมากขึ้น และจะกวาดล้างกิจกรรมที่ผิดปกติ เช่น กระแสเงินร้อน ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความกังวลของ SAFE ที่ว่า กระแสเงินร้อนอาจจะส่งผลกระทบต่อความพยายามในการควบคุมเงินเฟ้อของจีน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนได้เตือนเกี่ยวกับเรื่องกระแสเงินทุนไหลบ่าเข้าประเทศอันเนื่องมาจากการใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณของประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐมาแล้วหลายครั้ง
จีนยังได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินสำหรับปี 2554 ให้เป็นนโยบายแบบระมัดระวัง จากเดิมที่ใช้นโยบายแบบผ่อนคลายในระดับปานกลาง
นอกจากนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนได้ประกาศขึ้นเพดานกันสำรองอีก 0.50% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.เป็นต้นไป เพื่อลดสภาพคล่อง
SAFE ยังให้คำมั่นเรื่องการปรับปรุงด้านการบริหารทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และเดินหน้าเพื่อดูแลและให้ความสำคัญกับมูลค่าของสินทรัพย์ในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 10
CHINA:อัตราดอกเบี้ยอาร์/พีจีนพุ่งสูงสุดรอบกว่า 2 ปี ขณะธนาคารเร่งกันสำรอง
เซี่ยงไฮ้--15 ธ.ค.--รอยเตอร์
อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในตลาดเงินระยะสั้นของจีนพุ่งขึ้นราว 0.50%ในวันนี้ ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่ผันผวน ในขณะที่เทรดเดอร์รายงานว่าธนาคารหลายแห่งกำลังจัดเตรียมเงินสำหรับวันจันทร์หน้าเพื่อปฏิบัติตามมาตรการปรับขึ้นเพดานการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) ระยะ 7 วัน ซึ่งถือเป็นมาตรวัดสภาพคล่องระยะสั้นในตลาด ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีที่ 3.7842%ในเวลาเพียง 30 นาทีหลังจากตลาดเปิดทำการ โดยพุ่งขึ้นจาก 3.2932 % ในช่วงปิดตลาดวานนี้ ขณะที่เมื่อวานนี้อัตราดอกเบี้ยดีดตัวขึ้น 0.71 % ธนาคารกลางจีนประกาศปรับขึ้น RRR ครั้งล่าสุดในวันศุกร์ที่ผ่านมาซึ่งส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ของจีนต้องจ่ายเงินตามการปรับขึ้นดังกล่าวในวันจันทร์หน้า โดยการปรับขึ้นในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนคุมเข้มสภาพคล่องในระบบการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้นจนอยู่นอกเหนือการควบคุม คาดกันว่าการปรับขึ้น RRR ครั้งล่าสุดนี้จะดูดซับเม็ดเงินออกจากตลาดราว 3.50 แสนล้านหยวน (5.3 หมื่นล้านดอลลาร์)--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง) (([email protected]; โทร 0-2648-9741;Reuters Messaging: [email protected]))
เซี่ยงไฮ้--15 ธ.ค.--รอยเตอร์
อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในตลาดเงินระยะสั้นของจีนพุ่งขึ้นราว 0.50%ในวันนี้ ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่ผันผวน ในขณะที่เทรดเดอร์รายงานว่าธนาคารหลายแห่งกำลังจัดเตรียมเงินสำหรับวันจันทร์หน้าเพื่อปฏิบัติตามมาตรการปรับขึ้นเพดานการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) ระยะ 7 วัน ซึ่งถือเป็นมาตรวัดสภาพคล่องระยะสั้นในตลาด ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีที่ 3.7842%ในเวลาเพียง 30 นาทีหลังจากตลาดเปิดทำการ โดยพุ่งขึ้นจาก 3.2932 % ในช่วงปิดตลาดวานนี้ ขณะที่เมื่อวานนี้อัตราดอกเบี้ยดีดตัวขึ้น 0.71 % ธนาคารกลางจีนประกาศปรับขึ้น RRR ครั้งล่าสุดในวันศุกร์ที่ผ่านมาซึ่งส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ของจีนต้องจ่ายเงินตามการปรับขึ้นดังกล่าวในวันจันทร์หน้า โดยการปรับขึ้นในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนคุมเข้มสภาพคล่องในระบบการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้นจนอยู่นอกเหนือการควบคุม คาดกันว่าการปรับขึ้น RRR ครั้งล่าสุดนี้จะดูดซับเม็ดเงินออกจากตลาดราว 3.50 แสนล้านหยวน (5.3 หมื่นล้านดอลลาร์)--จบ--
(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง) (([email protected]; โทร 0-2648-9741;Reuters Messaging: [email protected]))
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 11
โพลล์ระบุชาวจีนมองราคาสินค้าแพงเกินไป
ธนาคารกลางจีนเปิดเผยว่า จำนวนประชาชนชาวจีนที่พอใจราคาสินค้าในปัจจุบันร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามควบคุมราคาสินค้าก็ตาม
ข้อมูลดังกล่าวได้จากการสำรวจความเห็นประชาชนชาวจีนจำนวน 20,000 คนใน 50 เมืองทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้
ธนาคารกลางจีนเปิดเผยผ่านแถลงการณ์ทางเว็บไซต์ว่า ดัชนีความพอใจราคาสินค้าของประชาชนปรับตัวลดลงแตะ 13.8% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2542 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มทำการสำรวจ
ผู้ตอบแบบสอบถาม 73.9% กล่าวว่าราคาสินค้าในปัจจุบันสูงเกินกว่าจะรับได้ หรือเพิ่มขึ้น 15.6% จากไตรมาส 3 ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 61.4% เชื่อว่าราคาสินค้าจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจนเข้าสู่ไตรมาสต่อไป
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดระดับเงินเฟ้อ พุ่ง 5.1% เมื่อเทียบรายปีในเดือนพฤศจิกายน ทำระดับสูงสุดในรอบ 28 เดือน
นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามมากถึง 75.5% เห็นว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบันสูงเกินไป ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจราคาบ้านในปี 2552 ขณะเดียวกันผู้ตอบแบบสอบถาม 43.3% เชื่อว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะสูงขึ้นอีก หรือเพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
เมื่อวันศุกร์ที่แล้วสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ของจีนขยายตัว 0.3% ในเดือนพฤศจิกายนจากเดือนตุลาคม แม้ว่ารัฐบาลจะใช้มาตรการต่างๆเพื่อลดความร้อนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม
ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถาม 45.2% กล่าวว่าพวกเขาจะลงทุนมากขึ้นในอนาคต ส่วนผู้ตอบแบบสอบถาม 37.6% ตั้งใจจะฝากเงินในธนาคาร และมีเพียง 17.3% ที่เผยว่าจะบริโภคมากขึ้น
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ซีเคียวริตี้ ไทม์ รายงานอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวว่า ธนาคารกลางจีนอาจยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะนี้ เนื่องจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจกระตุ้นให้มีกระแสเงินเก็งกำไรไหลเข้าสู่ตลาดจีนมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ แหล่งข่าวเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนอาจปรับตัวลดลงในเดือนธ.ค. ซึ่งนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้จีนชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปอีกระยะหนึ่ง
BofA ชี้เงินเอเชีย-หยวนยังมีมูลค่าที่ดี
นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า สกุลเงินในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงสกุลเงินหยวนของจีน ยังคงมีมูลค่าที่ดี แม้นักวิชาการและนักการเมืองบางกลุ่มในสหรัฐตำหนิว่าเงินหยวนของจีนมีมูลค่าต่ำเกินจริงก็ตาม
ทิโมธี เจมส์ บอนด์ นักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ฮ่องกงในระหว่างการเปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกปี 2554 ว่า สกุลเงินในภูมิภาคเอเชียจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรํฐ แต่นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมาที่เมอร์ริล มองว่า สกุลเงินในเอเชียยังมีมูลค่าที่ดี สำหรับสกุลเงินหยวนนั้น เมอร์ริลคิดว่าเป็นสกุลเงินที่มีมูลค่าที่ดี และอาจจะแข็งค่าขึ้นราว 3-4%
บอนด์กล่าวว่า แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ไม่ได้ให้น้ำหนักกับการที่หลายฝ่ายถกเถียงกันเรื่องมูลค่าของสกุลเงินหยวน เนื่องจากสกุลเงินหยวนแข็งค่าขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่จีนยกเลิกนโยบายการผูกติดสกุลเงินหยวนกับดอลลาร์สหรัฐในปี 2548
นอกจากนี้ การถกเถียงเรื่องมูลค่าของเงินหยวนยังไม่มีผลต่อมุมมองของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ที่ว่า ยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของจีนลดลงอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
บอนด์กล่าวว่า แม้จีนและสหรัฐจะสามารถตกลงกันได้ในอนาคตว่า จีนจะปรับยอดเกินดุลการค้าให้ลดลงเหลือ 4% ของตัวเลขจีดีพี แต่ก็เชื่อว่าจีนจะไม่ออกมาเคลื่อนไหวมากนักในเรื่องการปรับค่าเงินหยวน
นอกจากนี้ บอนด์กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนมาถึงจุดเปลี่ยนที่มีนัยสำคัญ จากเดิมที่เศรษฐกิจขยายตัวแข็งแกร่งและมีเงินเฟ้อต่ำ มาเป็นเศรษฐกิจที่มีอัตราการขยายตัวน้อยลงและมีเงินเฟ้อสูงขึ้น โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น เศรษฐกิจจีนขยายตัวในอัตรา 10.5% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำอย่างเหลือเชื่อ
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ออกอากาศซ้ำเวลา 11.00 น. ทาง Money Channel
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
ธนาคารกลางจีนเปิดเผยว่า จำนวนประชาชนชาวจีนที่พอใจราคาสินค้าในปัจจุบันร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามควบคุมราคาสินค้าก็ตาม
ข้อมูลดังกล่าวได้จากการสำรวจความเห็นประชาชนชาวจีนจำนวน 20,000 คนใน 50 เมืองทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้
ธนาคารกลางจีนเปิดเผยผ่านแถลงการณ์ทางเว็บไซต์ว่า ดัชนีความพอใจราคาสินค้าของประชาชนปรับตัวลดลงแตะ 13.8% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2542 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มทำการสำรวจ
ผู้ตอบแบบสอบถาม 73.9% กล่าวว่าราคาสินค้าในปัจจุบันสูงเกินกว่าจะรับได้ หรือเพิ่มขึ้น 15.6% จากไตรมาส 3 ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 61.4% เชื่อว่าราคาสินค้าจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจนเข้าสู่ไตรมาสต่อไป
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดระดับเงินเฟ้อ พุ่ง 5.1% เมื่อเทียบรายปีในเดือนพฤศจิกายน ทำระดับสูงสุดในรอบ 28 เดือน
นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามมากถึง 75.5% เห็นว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบันสูงเกินไป ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจราคาบ้านในปี 2552 ขณะเดียวกันผู้ตอบแบบสอบถาม 43.3% เชื่อว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะสูงขึ้นอีก หรือเพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
เมื่อวันศุกร์ที่แล้วสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ของจีนขยายตัว 0.3% ในเดือนพฤศจิกายนจากเดือนตุลาคม แม้ว่ารัฐบาลจะใช้มาตรการต่างๆเพื่อลดความร้อนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม
ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถาม 45.2% กล่าวว่าพวกเขาจะลงทุนมากขึ้นในอนาคต ส่วนผู้ตอบแบบสอบถาม 37.6% ตั้งใจจะฝากเงินในธนาคาร และมีเพียง 17.3% ที่เผยว่าจะบริโภคมากขึ้น
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ซีเคียวริตี้ ไทม์ รายงานอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวว่า ธนาคารกลางจีนอาจยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะนี้ เนื่องจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจกระตุ้นให้มีกระแสเงินเก็งกำไรไหลเข้าสู่ตลาดจีนมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ แหล่งข่าวเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนอาจปรับตัวลดลงในเดือนธ.ค. ซึ่งนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้จีนชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปอีกระยะหนึ่ง
BofA ชี้เงินเอเชีย-หยวนยังมีมูลค่าที่ดี
นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า สกุลเงินในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงสกุลเงินหยวนของจีน ยังคงมีมูลค่าที่ดี แม้นักวิชาการและนักการเมืองบางกลุ่มในสหรัฐตำหนิว่าเงินหยวนของจีนมีมูลค่าต่ำเกินจริงก็ตาม
ทิโมธี เจมส์ บอนด์ นักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ฮ่องกงในระหว่างการเปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกปี 2554 ว่า สกุลเงินในภูมิภาคเอเชียจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรํฐ แต่นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมาที่เมอร์ริล มองว่า สกุลเงินในเอเชียยังมีมูลค่าที่ดี สำหรับสกุลเงินหยวนนั้น เมอร์ริลคิดว่าเป็นสกุลเงินที่มีมูลค่าที่ดี และอาจจะแข็งค่าขึ้นราว 3-4%
บอนด์กล่าวว่า แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ไม่ได้ให้น้ำหนักกับการที่หลายฝ่ายถกเถียงกันเรื่องมูลค่าของสกุลเงินหยวน เนื่องจากสกุลเงินหยวนแข็งค่าขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่จีนยกเลิกนโยบายการผูกติดสกุลเงินหยวนกับดอลลาร์สหรัฐในปี 2548
นอกจากนี้ การถกเถียงเรื่องมูลค่าของเงินหยวนยังไม่มีผลต่อมุมมองของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ที่ว่า ยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของจีนลดลงอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
บอนด์กล่าวว่า แม้จีนและสหรัฐจะสามารถตกลงกันได้ในอนาคตว่า จีนจะปรับยอดเกินดุลการค้าให้ลดลงเหลือ 4% ของตัวเลขจีดีพี แต่ก็เชื่อว่าจีนจะไม่ออกมาเคลื่อนไหวมากนักในเรื่องการปรับค่าเงินหยวน
นอกจากนี้ บอนด์กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนมาถึงจุดเปลี่ยนที่มีนัยสำคัญ จากเดิมที่เศรษฐกิจขยายตัวแข็งแกร่งและมีเงินเฟ้อต่ำ มาเป็นเศรษฐกิจที่มีอัตราการขยายตัวน้อยลงและมีเงินเฟ้อสูงขึ้น โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น เศรษฐกิจจีนขยายตัวในอัตรา 10.5% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำอย่างเหลือเชื่อ
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ออกอากาศซ้ำเวลา 11.00 น. ทาง Money Channel
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 12
จีนเล็งเพิ่มเป้าเงินเฟ้อปีหน้าเป็น 4%
Posted on Friday, December 17, 2010
นายจาง ผิง ผู้อำนวยการคณะกรรมาธิการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนเศรษฐกิจจีน ระบุว่า รัฐบาลจะปรับเพิ่มเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อปี 2554 เป็น 4% จาก 3% ในปีนี้ โดยยอมรับว่าดูแลราคาผู้บริโภคยาก แม้จะรัฐบาลดำเนินมาตรการเข้มงวดมากขึ้น หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 5.1% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นรวดเร็วสุดนับจากเดือนกรกฎาคม 2551 และเหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์
ด้านนายอีธาน แฮร์ริส หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ โกลบอล รีเสิร์ช บอกว่า อัตราเงินเฟ้อส่วนใหญ่ในจีนจนถึงขณะนี้เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหาร และเป็นสัญญาณเตือนชัดเจน ที่ทำให้จีนต้องคุมเข้มด้านนโยบาย
นายอัลเบอร์โต อาเดส หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์เงินในตลาดเกิดใหม่และเศรษฐกิจทั่วโลก บอกว่า อัตราเงินเฟ้อของจีนส่วนใหญ่ได้รับแรงผลักดันจากราคาอาหาร และภาวะเงินเฟ้อของจีนจะยังสูงต่อไปในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
Posted on Friday, December 17, 2010
นายจาง ผิง ผู้อำนวยการคณะกรรมาธิการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนเศรษฐกิจจีน ระบุว่า รัฐบาลจะปรับเพิ่มเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อปี 2554 เป็น 4% จาก 3% ในปีนี้ โดยยอมรับว่าดูแลราคาผู้บริโภคยาก แม้จะรัฐบาลดำเนินมาตรการเข้มงวดมากขึ้น หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 5.1% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นรวดเร็วสุดนับจากเดือนกรกฎาคม 2551 และเหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์
ด้านนายอีธาน แฮร์ริส หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ โกลบอล รีเสิร์ช บอกว่า อัตราเงินเฟ้อส่วนใหญ่ในจีนจนถึงขณะนี้เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหาร และเป็นสัญญาณเตือนชัดเจน ที่ทำให้จีนต้องคุมเข้มด้านนโยบาย
นายอัลเบอร์โต อาเดส หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์เงินในตลาดเกิดใหม่และเศรษฐกิจทั่วโลก บอกว่า อัตราเงินเฟ้อของจีนส่วนใหญ่ได้รับแรงผลักดันจากราคาอาหาร และภาวะเงินเฟ้อของจีนจะยังสูงต่อไปในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 13
ภาวะตลาดหุ้นจีน: วิตกจีนออกมาตรการควบคุมเงินเฟ้อเพิ่ม กดเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 0.15%
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2553 14:51:19 น.
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดขยับลงในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกว่า รัฐบาลจีนจะออกมาตรการที่เข้มงวดเพิ่มเติมอีกเพื่ออัตราควบคุมเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปรับตัวลง 4.40 จุด หรือ 0.15% ปิดที่ 2,893.74 จุด ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นลบ 0.01% แตะ 12,794.01 จุด
ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีน ซึ่งเป็นดัชนีวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 5.1% ในเดือนพ.ย. ทำสถิติสูงสุดในรอบ 28 เดือน พุ่งขึ้นจากระดับ 4.4% ในเดือนต.ค.
ดัชนี CPI ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของจีนเป็นข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคที่ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาดูมากที่สุดว่าอาจกดดันให้ ธนาคารกลางจีนต้องตัดสินใจประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนของจีน
http://www.ryt9.com/s/iq05/1050750
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2553 14:51:19 น.
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดขยับลงในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกว่า รัฐบาลจีนจะออกมาตรการที่เข้มงวดเพิ่มเติมอีกเพื่ออัตราควบคุมเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปรับตัวลง 4.40 จุด หรือ 0.15% ปิดที่ 2,893.74 จุด ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นลบ 0.01% แตะ 12,794.01 จุด
ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีน ซึ่งเป็นดัชนีวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 5.1% ในเดือนพ.ย. ทำสถิติสูงสุดในรอบ 28 เดือน พุ่งขึ้นจากระดับ 4.4% ในเดือนต.ค.
ดัชนี CPI ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของจีนเป็นข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคที่ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาดูมากที่สุดว่าอาจกดดันให้ ธนาคารกลางจีนต้องตัดสินใจประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนของจีน
http://www.ryt9.com/s/iq05/1050750
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 14
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดร่วง 1.41% เหตุวิตกแบงก์ชาติจีนขึ้นดบ.
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2553 15:05:12 น.
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดร่วงลงในวันนี้ ท่ามกลางความวิตกกังวลว่า ธนาคารกลางจีนจะขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปรับตัวลง 40.82 จุด หรือ 1.41% ปิดที่ 2,852.92 จุด
http://www.ryt9.com/s/iq05/1052271
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2553 15:05:12 น.
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดร่วงลงในวันนี้ ท่ามกลางความวิตกกังวลว่า ธนาคารกลางจีนจะขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปรับตัวลง 40.82 จุด หรือ 1.41% ปิดที่ 2,852.92 จุด
http://www.ryt9.com/s/iq05/1052271
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 15
จีนคาดแรงกดดันเงินเฟ้อผ่อนคลายใน Q3-Q4 ปีหน้า
ผู้เชี่ยวชาญในประเทศจีนคาดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของจีนจะเริ่มผ่อนคลายลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 และคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ตลอดทั้งปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 3.2%
นายเต็ง ไต๋ รองประธานและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทหลักทรัพย์หมิงเชงคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะเผชิญกับภาวะ "soft landing" ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า โดยดัชนี CPI ของจีนจะขยายตัวที่ระดับ 3.6% เมื่อเทียบเป็นรายปีในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ก่อนที่จะชะลอตัวลงไปอยู่ที่ 2.8% ในช่วงครึ่งปีหลัง
นอกจากนี้ นายเต็งระบุถึงสภาพคล่องในตลาดโดยกล่าวว่า ยอดปล่อยเงินกู้ล็อตใหม่ของจีนจะอยู่ที่ประมาณ 7.5 ล้านล้านหยวนในปี 2554 ขงนั้น สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจของจีนช่วงปีหน้าจะยังคงมีอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของจีนคาดการณ์ในวงกว้างว่า รัฐบาลจีนจะกำหนดเป้าหมายให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินกู้ล็อตใหม่ปี 2554 ไม่ต่ำกว่า 7 ล้านล้านหยวน แต่ก็ไม่เกินวงเงินในปีนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำนักข่าวซินหัวรายงาน่า ยอดการปล่อยเงินกู้ใหม่สกุลเงินหยวนของธนาคารจีนในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 7.47 ล้านล้านหยวน ต่ำกว่าระดับเป้าหมายสำหรับปีนี้ที่ระดับ 7.5 ล้านล้านหยวน
ด้านนายลู่ เซินเหว่ย นักวิเคราะห์จากอินดัสเทรียล แบงค์ คาดว่า รัฐบาลจีนอาจกำหนดเป้าหมายปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ M2 ซึ่งครอบคลุมถึงกระแสเงินสดหมุนเวียนและเงินฝากทุกประเภท ที่ระดับ 16%
หนังสือพิมพ์ซิเคียวริตีส์ ไทม์ส รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า จีนอาจจะกำหนดเป้าหมายการปล่อยเงินกู้ใหม่สำหรับปี 2554 ที่ 7.5 ล้านล้านหยวน และเการขยายตัวของสินเชื่อที่ระดับ 16%
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ออกอากาศซ้ำเวลา 11.00 น. ทาง Money Ch
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
ผู้เชี่ยวชาญในประเทศจีนคาดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของจีนจะเริ่มผ่อนคลายลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 และคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ตลอดทั้งปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 3.2%
นายเต็ง ไต๋ รองประธานและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทหลักทรัพย์หมิงเชงคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะเผชิญกับภาวะ "soft landing" ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า โดยดัชนี CPI ของจีนจะขยายตัวที่ระดับ 3.6% เมื่อเทียบเป็นรายปีในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ก่อนที่จะชะลอตัวลงไปอยู่ที่ 2.8% ในช่วงครึ่งปีหลัง
นอกจากนี้ นายเต็งระบุถึงสภาพคล่องในตลาดโดยกล่าวว่า ยอดปล่อยเงินกู้ล็อตใหม่ของจีนจะอยู่ที่ประมาณ 7.5 ล้านล้านหยวนในปี 2554 ขงนั้น สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจของจีนช่วงปีหน้าจะยังคงมีอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของจีนคาดการณ์ในวงกว้างว่า รัฐบาลจีนจะกำหนดเป้าหมายให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินกู้ล็อตใหม่ปี 2554 ไม่ต่ำกว่า 7 ล้านล้านหยวน แต่ก็ไม่เกินวงเงินในปีนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำนักข่าวซินหัวรายงาน่า ยอดการปล่อยเงินกู้ใหม่สกุลเงินหยวนของธนาคารจีนในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 7.47 ล้านล้านหยวน ต่ำกว่าระดับเป้าหมายสำหรับปีนี้ที่ระดับ 7.5 ล้านล้านหยวน
ด้านนายลู่ เซินเหว่ย นักวิเคราะห์จากอินดัสเทรียล แบงค์ คาดว่า รัฐบาลจีนอาจกำหนดเป้าหมายปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ M2 ซึ่งครอบคลุมถึงกระแสเงินสดหมุนเวียนและเงินฝากทุกประเภท ที่ระดับ 16%
หนังสือพิมพ์ซิเคียวริตีส์ ไทม์ส รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า จีนอาจจะกำหนดเป้าหมายการปล่อยเงินกู้ใหม่สำหรับปี 2554 ที่ 7.5 ล้านล้านหยวน และเการขยายตัวของสินเชื่อที่ระดับ 16%
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ออกอากาศซ้ำเวลา 11.00 น. ทาง Money Ch
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 16
จีนขึ้นราคาเบนซิน-ดีเซล 4% วันนี้
Posted on Wednesday, December 22, 2010
คณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนาแห่งชาติจีนประกาศขึ้นราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหน้าโรงกลั่นในอัตรา 4% มีผลวันนี้เป็นต้นไป โดยเป็นการปรับขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ เพื่อชะลอความต้องการใช้น้ำมันภายในประเทศ และให้ราคาเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การปรับขึ้นราคาน้ำมันดังกล่าว ยังเป็นอัตราที่ต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่ในเดือนนี้เพิ่มขึ้นมาแล้วถึง 9%
ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนพฤศจิกายนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 28 เดือนที่ 5.1% เมื่อเทียบจากระยะเดียวกันของปีก่อน สะท้อนความเชื่อมั่นของรัฐบาลว่า การเพิ่มต้นทุนราคาพลังงานไม่มีผลต่อราคาสินค้าโดยรวมของประเทศ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
Posted on Wednesday, December 22, 2010
คณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนาแห่งชาติจีนประกาศขึ้นราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหน้าโรงกลั่นในอัตรา 4% มีผลวันนี้เป็นต้นไป โดยเป็นการปรับขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ เพื่อชะลอความต้องการใช้น้ำมันภายในประเทศ และให้ราคาเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การปรับขึ้นราคาน้ำมันดังกล่าว ยังเป็นอัตราที่ต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่ในเดือนนี้เพิ่มขึ้นมาแล้วถึง 9%
ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนพฤศจิกายนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 28 เดือนที่ 5.1% เมื่อเทียบจากระยะเดียวกันของปีก่อน สะท้อนความเชื่อมั่นของรัฐบาลว่า การเพิ่มต้นทุนราคาพลังงานไม่มีผลต่อราคาสินค้าโดยรวมของประเทศ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 17
IMF กดดันจีนขึ้นค่าเงินหยวน
Posted on Thursday, December 23, 2010
นายอนุพ ซิงห์ ผู้อำนวยการสำนักงานเอเชียแปซิฟิกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) บอกว่า การปรับขึ้นค่าเงินหยวนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้จีนสามารถบรรลุแผนการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตในรูปแบบใหม่ที่ต้องพึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้น เพราะการปรับขึ้นค่าเงินหยวนจะช่วยให้ชาวจีนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น โดยการปฏิรูปเงินหยวนจะช่วยให้อัตราแลกเปลี่ยนของจีนมีความยืดหยุ่น และยังช่วยปรับสมดุลของเศรษฐกิจทั่วโลกให้ลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมส่งออก และหันมามุ่งเน้นการพึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้นด้วย
ด้านนายฮัว เจียนกัว ประธานสถาบันความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจจีนในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ บอกว่า จีนตั้งเป้ากระตุ้นการขยายตัวด้านการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนทางตรงต่างประเทศนอกภาคธุรกิจการเงินไว้ที่ระดับ 10% ในปี 2554 โดยจีนจะกระตุ้นการส่งออก รวมทั้งจะรักษานโยบายด้านการค้ากับต่างประเทศ และแสวงหาตลาดใหม่ๆ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
Posted on Thursday, December 23, 2010
นายอนุพ ซิงห์ ผู้อำนวยการสำนักงานเอเชียแปซิฟิกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) บอกว่า การปรับขึ้นค่าเงินหยวนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้จีนสามารถบรรลุแผนการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตในรูปแบบใหม่ที่ต้องพึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้น เพราะการปรับขึ้นค่าเงินหยวนจะช่วยให้ชาวจีนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น โดยการปฏิรูปเงินหยวนจะช่วยให้อัตราแลกเปลี่ยนของจีนมีความยืดหยุ่น และยังช่วยปรับสมดุลของเศรษฐกิจทั่วโลกให้ลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมส่งออก และหันมามุ่งเน้นการพึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้นด้วย
ด้านนายฮัว เจียนกัว ประธานสถาบันความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจจีนในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ บอกว่า จีนตั้งเป้ากระตุ้นการขยายตัวด้านการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนทางตรงต่างประเทศนอกภาคธุรกิจการเงินไว้ที่ระดับ 10% ในปี 2554 โดยจีนจะกระตุ้นการส่งออก รวมทั้งจะรักษานโยบายด้านการค้ากับต่างประเทศ และแสวงหาตลาดใหม่ๆ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 18
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
จีนลงทุนในต่างประเทศติดอันดับ 5 ของโลก
กระทรวงพาณิชย์แห่งประเทศจีนเปิดเผยว่า ในช่วงเวลาการพัฒนาประเทศระยะเวลา 5 ปี ตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 ที่ผ่านมา จีนมีการลงทุนในต่างประเทศเป็นมูลค่ารวม 220,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 30 ต่อปี ซึ่งยกระดับจากลำดับที่ 18 ในช่วงปลายแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 มาอยู่ที่ลำดับที่ 5 ของโลกแล้ว
ใน 11 เดือนแรกของปี 2553 จีนมีการลงทุนในต่างประเทศโดยตรงทั้งสิ้น 2,786 ราย โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 47,560 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ การลงทุนของจีนร้อยละ 90 เป็นอุตสาหกรรมการบริการ การผลิต การคมนาคมขนส่งและการขายปลีกในประเทศออสเตรเลีย สวีเดน สหรัฐอเมริกา แคนาดา รัสเซียและบราซิล รวมทั้งฮ่องกงด้วย
ในขณะเดียวกัน การลงทุนของต่างประเทศในจีนก็มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเฉพาะเดือนพฤศจิกายน 2553 จีนใช้เงินทุนต่างประเทศทั้งสิ้น 9,704 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 38.17 นอกจากนี้ การลงทุนในภาคตะวันตกของจีนมีการพัฒนาโดยเร็วสุด ซึ่งสูงกว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยของจีนทั่วไปร้อยละ 21
ส่วนในอนาคต การขยายการนำเข้าจะเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดของจีนโดยรัฐบาลจีนจะดำเนินนโยบายส่งเสริมการนำเข้าต่างๆ อาทิ ลดขั้นตอนการนำเข้าให้สะดวกขึ้น ปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมของจีน เป็นต้น
( จาก ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในจีน )
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 3&catid=00
จีนลงทุนในต่างประเทศติดอันดับ 5 ของโลก
กระทรวงพาณิชย์แห่งประเทศจีนเปิดเผยว่า ในช่วงเวลาการพัฒนาประเทศระยะเวลา 5 ปี ตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 ที่ผ่านมา จีนมีการลงทุนในต่างประเทศเป็นมูลค่ารวม 220,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 30 ต่อปี ซึ่งยกระดับจากลำดับที่ 18 ในช่วงปลายแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 มาอยู่ที่ลำดับที่ 5 ของโลกแล้ว
ใน 11 เดือนแรกของปี 2553 จีนมีการลงทุนในต่างประเทศโดยตรงทั้งสิ้น 2,786 ราย โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 47,560 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ การลงทุนของจีนร้อยละ 90 เป็นอุตสาหกรรมการบริการ การผลิต การคมนาคมขนส่งและการขายปลีกในประเทศออสเตรเลีย สวีเดน สหรัฐอเมริกา แคนาดา รัสเซียและบราซิล รวมทั้งฮ่องกงด้วย
ในขณะเดียวกัน การลงทุนของต่างประเทศในจีนก็มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเฉพาะเดือนพฤศจิกายน 2553 จีนใช้เงินทุนต่างประเทศทั้งสิ้น 9,704 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 38.17 นอกจากนี้ การลงทุนในภาคตะวันตกของจีนมีการพัฒนาโดยเร็วสุด ซึ่งสูงกว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยของจีนทั่วไปร้อยละ 21
ส่วนในอนาคต การขยายการนำเข้าจะเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดของจีนโดยรัฐบาลจีนจะดำเนินนโยบายส่งเสริมการนำเข้าต่างๆ อาทิ ลดขั้นตอนการนำเข้าให้สะดวกขึ้น ปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมของจีน เป็นต้น
( จาก ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในจีน )
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 3&catid=00
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 19
การเติบโตที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีน...
: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย 24 ธ.ค53
ปีที่ 16 ฉบับที่ 3014 วันที่ 24 ธันวาคม 2553
การเติบโตที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีน...ยังคงหนุนภาคการส่งออกไทยปี'54 (ฉบับส่งสื่อมวลชน)
ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วทั้งสหรัฐอเมริกา และประเทศในแถบยุโรปยังกังวลกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศของตนเอง สถานการณ์เศรษฐกิจของจีนกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยดัชนีเศรษฐกิจเดือนพฤศจิกายนยังคงร้อนแรงกว่าที่คาดทั้งในภาคการผลิตและภาคการบริโภค และมีความเป็นไปได้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2553 น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 10.5 ซึ่งนับป็นสัญญาณดีที่บ่งชี้ว่าโมเมนตัมของการส่งออกของไทยไปจีนมีโอกาสอยู่ในเกณฑ์ดี และน่าจะยังคงเป็นตลาดที่มีบทบาทสำคัญต่อภาคการส่งออกของไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจจีนในอนาคตมีโอกาสลดความร้อนแรงลงบ้าง เพราะทางการจีนอาจออกมาตรการคุมเข้มสภาพคล่องทางการเงินตามมาอีกในระยะข้างหน้า เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และลดโอกาสการเกิดภาวะการชะลอตัวอย่างรุนแรงลง แต่เป็นไปได้ว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2554 น่าจะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่าร้อยละ 9 ซึ่งบ่งชี้ได้ว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2554 ยังขยายตัวได้ดี และมีสถานะที่เข้มแข็งเหนือประเทศอื่นๆในตลาดโลก จึงคาดว่ามูลค่าการส่งออกไทยไปจีนในปี 2554 น่าจะเติบโตที่ระดับร้อยละ 10-15 ส่งออกไปจีนเดือน พ.ย. : สร้างสถิติใหม่ทะลุ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ * การส่งออกของไทยไปจีนในเดือนพฤศจิกายน 2553 สามารถทำลายสถิติมูลค่าสูงสุดอีกครั้งในปีนี้ที่ระดับ 2,011.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้จะเติบโตชะลอตัวลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 20.9 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังจากที่เติบโตร้อยละ 27 (YoY) ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่จีนก็ยังคงเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับหนึ่งของไทยในช่วง 11 เดือนแรกปี 2553 ด้วยมูลค่า 19,402.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 36.2 (YoY) ซึ่งเหนือกว่าตลาดส่งออกสำคัญอย่างญี่ปุ่น(ขยายตัวร้อยละ 29.8 ) สหรัฐอเมริกา (เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2) และสหภาพยุโรป 27(เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.5) * เป็นที่น่าสังเกตว่าแรงหนุนสำคัญของการเติบโตในเดือนพฤศจิกายนมาจากการส่งออกสินค้ากลุ่มแร่และเชื้อเพลิงที่เติบโตร้อยละ 30.6 (YoY) และกลุ่มสินค้าเกษตรกรรมที่เติบโตร้อยละ 25(YoY) โดยกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมยังครองความสำคัญอันดับหนึ่ง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 69 ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมของไทยไปจีนในช่วงเวลาดังกล่าว ตามมาด้วยกลุ่มสินค้าเกษตรกรรม(สัดส่วนร้อยละ 22) สินค้ากลุ่มแร่และเชื้อเพลิง(สัดสวนร้อยละ 8) และสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร(สัดส่วนร้อยละ 1) ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าเพื่อตอบสนองภาคอุตสาหกรรมต่างๆของจีนหลายรายการก็ยังขยายตัวต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ยางพารา เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจจีนในเดือนพฤศจิกายนที่ทั้งภาคการผลิตและภาคการส่งออกยังคงมีศักยภาพที่แข็งแกร่ง การนำเข้าจากจีนในเดือนพ.ย.เติบโตสูง 39.5 (YoY) * ขณะที่การนำเข้าจากจีนในเดือนพฤศจิกายนมีมูลค่า 2,373.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.5(YoY) ก้าวกระโดดจากร้อยละ 12.9 (YoY)ในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากการนำเข้าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นถึง 18 เท่าจากช่วงเดียวกันปีก่อน (มูลค่า 67.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากเดือนตุลาคม) รวมไปถึงสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.4 (YoY) * สำหรับการนำเข้าโดยรวมของไทยจากจีนในช่วง 11 เดือนแรกปี 2553 มีมูลค่าทั้งสิ้น 22,118.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าเชื้อเพลิงซึ่งมีอัตราเร่งขึ้นมาอย่างชัดเจนในเดือนพฤศจิกายนเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในช่วง 11 เดือนแรกปีนี้ที่ระดับร้อยละ 124.8 (YoY) ตามมาด้วยกลุ่มวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป(ร้อยละ 59) กลุ่มสินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง(ร้อยละ 57.4) ขณะที่กลุ่มสินค้าทุน และสินค้าอุปโภคบริโภค เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.8 และร้อยละ 32.8 ตามลำดับ ทั้งนี้ สินค้าทุนเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนสูงสุดที่ร้อยละ 42.4 ตามมาด้วยกลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป(สัดส่วนร้อยละ 35.0) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค(สัดส่วนร้อยละ 19.8) และที่เหลืออีกร้อยละ 2.8 เป็นกลุ่มยานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง สินค้าเชื้อเพลิง และกลุ่มอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ * การเสียเปรียบดุลการค้าของไทยต่อจีนในเดือนพฤศจิกายนมีมูลค่าสูงสุดในรอบ 4 เดือนที่เม็ดเงิน 361.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีผลให้การเสียเปรียบดุลการค้าของไทยต่อจีนในช่วง 11 เดือนแรกเป็น 2,715.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากที่เคยเสียเปรียบดุลการค้าที่ 909.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2552 สะท้อนให้เห็นว่าไทยพึ่งพาจีนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป รวมถึงสินค้าทุน อันได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นต้น * ภาวะการค้าผ่านชายแดนระหว่างไทย-จีนตอนใต้ในเดือนพฤศจิกายน ยังคงเป็นไทยที่ได้เปรียบดุลการค้า โดยเป็นการส่งออกผ่านชายแดนไปยังจีนคิดเป็นมูลค่า 1,142.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 136 จากเดือนเดียวกันปีก่อน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 701.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.4 (YoY) ส่งผลไทยได้เปรียบดุลการค้าผ่านแดนต่อจีน 441 ล้านบาทในเดือนพฤศจิกายน กระเตื้องขึ้นจากมูลค่า 154.5 ล้านบาทในเดือนตุลาคม โดยรายการสินค้าส่งออกที่สำคัญได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันดีเซล รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันปาล์ม และน้ำมันเบนซิน คิดเป็นสัดส่วนรวมกันประมาณร้อยละ 77 ขณะที่รายการนำเข้าที่สำคัญคือ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผลไม้และของปรุงแต่งจากผลไม้ ผักและของปรุงแต่งจากผัก เครื่องส่งสัญญาณภาพ เสียง และส่วนประกอบ เครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ เป็นต้น สำหรับในช่วง 11 เดือนแรกปี 2553 ไทยยังคงได้เปรียบดุลการค้าผ่านชายแดนต่อจีนเป็นมูลค่าถึง 7,306 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงเดียวกันปี 2552 ไทยขาดดุลต่อจีน 447.8 ล้านบาท ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากเส้นทางการคมนาคมขนส่งที่สะดวกมากขึ้น ทำให้การติดต่อค้าขายผ่านชายแดนระหว่างไทย-จีนจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น บทสรุป การส่งออกของไทยไปจีนในเดือนพฤศจิกายน 2553 สร้างสถิติรายเดือนสูงสุดใหม่อีกครั้ง ด้วยมูลค่าการส่งออกที่สูงถึง 2,011.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่เคยสูงถึงมูลค่า 1,900.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนก่อนหน้า เช่นเดียวกับการนำเข้าก็สามารถทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกันที่มูลค่า 2,373.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนในเดือนพฤศจิกายนสามารถบันทึกยอดสูงสุดที่ระดับ 4,385.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีแรงผลักดันสำคัญมาจากอุปสงค์ภายในประเทศจีนทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ได้จากมูลค่าการส่งออกและนำเข้าของจีนในเดือนพฤศจิกายนที่มีมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ ตอกย้ำโอกาสในการเติบโตของขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับสองของโลกอย่างชัดเจน ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ท่ามกลางความเสี่ยงอันเกิดจากทิศทางการฟื้นตัวที่อ่อนแอของประเทศพัฒนาแล้ว ความผันผวนของการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ ภาวะเงินเฟ้อและฟองสบู่ในบางประเทศ ตลอดจนมาตรการกีดกันทางการค้าที่คาดว่าจะเข้มข้นขึ้นในปี 2554 จีนน่าจะยังคงเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 ของไทยด้วยสัดส่วนประมาณร้อยละ 10-11 ของมูลค่าการส่งออกของไทยโดยรวม เพราะภายใต้นโยบายเศรษฐกิจของจีนในอนาคตที่จะเน้นการกระจายรายได้ และให้ความสำคัญกับการเติบโตของการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น ประกอบกับทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่งแม้จะต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ ที่อาจมีผลให้เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอตัวลงบ้างในปี 2554 แต่ก็คาดว่าทางการจีนจะสามารถบริหารจัดการได้และเศรษฐกิจยังคงขับเคลื่อนต่อไป จึงประเมินว่าอัตราการเติบโตของการส่งออกไทยไปจีนในปี 2553 จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 30 และอาจจะแผ่วตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 10-15 ในปี 2554 อันเนื่องมาจากฐานเปรียบเทียบที่ค่อนข้างสูงในปี 2553 แต่เป็นไปได้ว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปจีนจะสามารถก้าวสู่ระดับ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เช่นเดียวกับปี 2553 และหนุนนำให้มูลค่าการส่งออกโดยรวมของไทยสู่ตลาดโลกทะยานทะลุระดับ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เป็นครั้งแรกในปี 2554
: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย 24 ธ.ค53
ปีที่ 16 ฉบับที่ 3014 วันที่ 24 ธันวาคม 2553
การเติบโตที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีน...ยังคงหนุนภาคการส่งออกไทยปี'54 (ฉบับส่งสื่อมวลชน)
ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วทั้งสหรัฐอเมริกา และประเทศในแถบยุโรปยังกังวลกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศของตนเอง สถานการณ์เศรษฐกิจของจีนกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยดัชนีเศรษฐกิจเดือนพฤศจิกายนยังคงร้อนแรงกว่าที่คาดทั้งในภาคการผลิตและภาคการบริโภค และมีความเป็นไปได้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2553 น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 10.5 ซึ่งนับป็นสัญญาณดีที่บ่งชี้ว่าโมเมนตัมของการส่งออกของไทยไปจีนมีโอกาสอยู่ในเกณฑ์ดี และน่าจะยังคงเป็นตลาดที่มีบทบาทสำคัญต่อภาคการส่งออกของไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจจีนในอนาคตมีโอกาสลดความร้อนแรงลงบ้าง เพราะทางการจีนอาจออกมาตรการคุมเข้มสภาพคล่องทางการเงินตามมาอีกในระยะข้างหน้า เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และลดโอกาสการเกิดภาวะการชะลอตัวอย่างรุนแรงลง แต่เป็นไปได้ว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2554 น่าจะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่าร้อยละ 9 ซึ่งบ่งชี้ได้ว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2554 ยังขยายตัวได้ดี และมีสถานะที่เข้มแข็งเหนือประเทศอื่นๆในตลาดโลก จึงคาดว่ามูลค่าการส่งออกไทยไปจีนในปี 2554 น่าจะเติบโตที่ระดับร้อยละ 10-15 ส่งออกไปจีนเดือน พ.ย. : สร้างสถิติใหม่ทะลุ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ * การส่งออกของไทยไปจีนในเดือนพฤศจิกายน 2553 สามารถทำลายสถิติมูลค่าสูงสุดอีกครั้งในปีนี้ที่ระดับ 2,011.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้จะเติบโตชะลอตัวลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 20.9 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังจากที่เติบโตร้อยละ 27 (YoY) ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่จีนก็ยังคงเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับหนึ่งของไทยในช่วง 11 เดือนแรกปี 2553 ด้วยมูลค่า 19,402.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 36.2 (YoY) ซึ่งเหนือกว่าตลาดส่งออกสำคัญอย่างญี่ปุ่น(ขยายตัวร้อยละ 29.8 ) สหรัฐอเมริกา (เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2) และสหภาพยุโรป 27(เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.5) * เป็นที่น่าสังเกตว่าแรงหนุนสำคัญของการเติบโตในเดือนพฤศจิกายนมาจากการส่งออกสินค้ากลุ่มแร่และเชื้อเพลิงที่เติบโตร้อยละ 30.6 (YoY) และกลุ่มสินค้าเกษตรกรรมที่เติบโตร้อยละ 25(YoY) โดยกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมยังครองความสำคัญอันดับหนึ่ง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 69 ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมของไทยไปจีนในช่วงเวลาดังกล่าว ตามมาด้วยกลุ่มสินค้าเกษตรกรรม(สัดส่วนร้อยละ 22) สินค้ากลุ่มแร่และเชื้อเพลิง(สัดสวนร้อยละ 8) และสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร(สัดส่วนร้อยละ 1) ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าเพื่อตอบสนองภาคอุตสาหกรรมต่างๆของจีนหลายรายการก็ยังขยายตัวต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ยางพารา เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจจีนในเดือนพฤศจิกายนที่ทั้งภาคการผลิตและภาคการส่งออกยังคงมีศักยภาพที่แข็งแกร่ง การนำเข้าจากจีนในเดือนพ.ย.เติบโตสูง 39.5 (YoY) * ขณะที่การนำเข้าจากจีนในเดือนพฤศจิกายนมีมูลค่า 2,373.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.5(YoY) ก้าวกระโดดจากร้อยละ 12.9 (YoY)ในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากการนำเข้าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นถึง 18 เท่าจากช่วงเดียวกันปีก่อน (มูลค่า 67.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากเดือนตุลาคม) รวมไปถึงสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.4 (YoY) * สำหรับการนำเข้าโดยรวมของไทยจากจีนในช่วง 11 เดือนแรกปี 2553 มีมูลค่าทั้งสิ้น 22,118.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าเชื้อเพลิงซึ่งมีอัตราเร่งขึ้นมาอย่างชัดเจนในเดือนพฤศจิกายนเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในช่วง 11 เดือนแรกปีนี้ที่ระดับร้อยละ 124.8 (YoY) ตามมาด้วยกลุ่มวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป(ร้อยละ 59) กลุ่มสินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง(ร้อยละ 57.4) ขณะที่กลุ่มสินค้าทุน และสินค้าอุปโภคบริโภค เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.8 และร้อยละ 32.8 ตามลำดับ ทั้งนี้ สินค้าทุนเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนสูงสุดที่ร้อยละ 42.4 ตามมาด้วยกลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป(สัดส่วนร้อยละ 35.0) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค(สัดส่วนร้อยละ 19.8) และที่เหลืออีกร้อยละ 2.8 เป็นกลุ่มยานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง สินค้าเชื้อเพลิง และกลุ่มอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ * การเสียเปรียบดุลการค้าของไทยต่อจีนในเดือนพฤศจิกายนมีมูลค่าสูงสุดในรอบ 4 เดือนที่เม็ดเงิน 361.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีผลให้การเสียเปรียบดุลการค้าของไทยต่อจีนในช่วง 11 เดือนแรกเป็น 2,715.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากที่เคยเสียเปรียบดุลการค้าที่ 909.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2552 สะท้อนให้เห็นว่าไทยพึ่งพาจีนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป รวมถึงสินค้าทุน อันได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นต้น * ภาวะการค้าผ่านชายแดนระหว่างไทย-จีนตอนใต้ในเดือนพฤศจิกายน ยังคงเป็นไทยที่ได้เปรียบดุลการค้า โดยเป็นการส่งออกผ่านชายแดนไปยังจีนคิดเป็นมูลค่า 1,142.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 136 จากเดือนเดียวกันปีก่อน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 701.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.4 (YoY) ส่งผลไทยได้เปรียบดุลการค้าผ่านแดนต่อจีน 441 ล้านบาทในเดือนพฤศจิกายน กระเตื้องขึ้นจากมูลค่า 154.5 ล้านบาทในเดือนตุลาคม โดยรายการสินค้าส่งออกที่สำคัญได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันดีเซล รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันปาล์ม และน้ำมันเบนซิน คิดเป็นสัดส่วนรวมกันประมาณร้อยละ 77 ขณะที่รายการนำเข้าที่สำคัญคือ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผลไม้และของปรุงแต่งจากผลไม้ ผักและของปรุงแต่งจากผัก เครื่องส่งสัญญาณภาพ เสียง และส่วนประกอบ เครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ เป็นต้น สำหรับในช่วง 11 เดือนแรกปี 2553 ไทยยังคงได้เปรียบดุลการค้าผ่านชายแดนต่อจีนเป็นมูลค่าถึง 7,306 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงเดียวกันปี 2552 ไทยขาดดุลต่อจีน 447.8 ล้านบาท ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากเส้นทางการคมนาคมขนส่งที่สะดวกมากขึ้น ทำให้การติดต่อค้าขายผ่านชายแดนระหว่างไทย-จีนจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น บทสรุป การส่งออกของไทยไปจีนในเดือนพฤศจิกายน 2553 สร้างสถิติรายเดือนสูงสุดใหม่อีกครั้ง ด้วยมูลค่าการส่งออกที่สูงถึง 2,011.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่เคยสูงถึงมูลค่า 1,900.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนก่อนหน้า เช่นเดียวกับการนำเข้าก็สามารถทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกันที่มูลค่า 2,373.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนในเดือนพฤศจิกายนสามารถบันทึกยอดสูงสุดที่ระดับ 4,385.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีแรงผลักดันสำคัญมาจากอุปสงค์ภายในประเทศจีนทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ได้จากมูลค่าการส่งออกและนำเข้าของจีนในเดือนพฤศจิกายนที่มีมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ ตอกย้ำโอกาสในการเติบโตของขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับสองของโลกอย่างชัดเจน ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ท่ามกลางความเสี่ยงอันเกิดจากทิศทางการฟื้นตัวที่อ่อนแอของประเทศพัฒนาแล้ว ความผันผวนของการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ ภาวะเงินเฟ้อและฟองสบู่ในบางประเทศ ตลอดจนมาตรการกีดกันทางการค้าที่คาดว่าจะเข้มข้นขึ้นในปี 2554 จีนน่าจะยังคงเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 ของไทยด้วยสัดส่วนประมาณร้อยละ 10-11 ของมูลค่าการส่งออกของไทยโดยรวม เพราะภายใต้นโยบายเศรษฐกิจของจีนในอนาคตที่จะเน้นการกระจายรายได้ และให้ความสำคัญกับการเติบโตของการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น ประกอบกับทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่งแม้จะต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ ที่อาจมีผลให้เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอตัวลงบ้างในปี 2554 แต่ก็คาดว่าทางการจีนจะสามารถบริหารจัดการได้และเศรษฐกิจยังคงขับเคลื่อนต่อไป จึงประเมินว่าอัตราการเติบโตของการส่งออกไทยไปจีนในปี 2553 จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 30 และอาจจะแผ่วตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 10-15 ในปี 2554 อันเนื่องมาจากฐานเปรียบเทียบที่ค่อนข้างสูงในปี 2553 แต่เป็นไปได้ว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปจีนจะสามารถก้าวสู่ระดับ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เช่นเดียวกับปี 2553 และหนุนนำให้มูลค่าการส่งออกโดยรวมของไทยสู่ตลาดโลกทะยานทะลุระดับ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เป็นครั้งแรกในปี 2554
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 20
จีนขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 2ในรอบ 3 เดือนอีก 0.25%
วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2010 เวลา 05:46 น.
ธนาคารกลางของจีนประกาศขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนเพื่อควบคุมการปล่อยสินเชื่อและภาวะเงินเฟ้อ ธนาคารกลางของจีนออกแถลงการณ์สั้นเพียง 1 บรรทัด ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ระยะเวลา 1 ปี ร้อยละ 0.25 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทดังกล่าวจะอยู่ที่ร้อยละ 5.81 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะอยู่ที่ร้อยละ 2.75 ก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคม ธนาคารกลางของจีนได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการชะลอสภาพคล่องในตลาดการเงิน ซึ่งกำลังโหมกระหน่ำให้เกิดเงินเฟ้อและทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ทะยานสูงขึ้น
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=525
วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2010 เวลา 05:46 น.
ธนาคารกลางของจีนประกาศขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนเพื่อควบคุมการปล่อยสินเชื่อและภาวะเงินเฟ้อ ธนาคารกลางของจีนออกแถลงการณ์สั้นเพียง 1 บรรทัด ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ระยะเวลา 1 ปี ร้อยละ 0.25 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทดังกล่าวจะอยู่ที่ร้อยละ 5.81 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะอยู่ที่ร้อยละ 2.75 ก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคม ธนาคารกลางของจีนได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการชะลอสภาพคล่องในตลาดการเงิน ซึ่งกำลังโหมกระหน่ำให้เกิดเงินเฟ้อและทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ทะยานสูงขึ้น
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=525
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 21
ธนาคารกลางจีนตั้งปีหน้าดึงปริมาณเงินเข้าสู่ระดับปกติ
วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2010 เวลา 22:29 น.
เมื่อวานนี้ (24 ธ.ค.) ธนาคารกลางจีนรายงานแถลงข่าวในเว็บไซต์ของตนเอง โดยระบุคำกล่าวของนางหู เสี่ยวเหลียน รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ที่กล่าวในการพบปะกับนายธนาคารต่างๆ เมื่อวานนี้ โดยเขากล่าวว่าจีนจะทำให้ปริมาณเงินในระบบกลับเข้าสู่ระดับปกติในปีหน้า ด้วยมาตรการและเครื่องมือต่างๆ หลังจากที่รัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายทางการเงินจากเดิมที่”ค่อนข้างผ่อนคลาย”มาเป็น “ระมัดระวัง”
นางหูกล่าวว่าจีนจำเป็นจะต้องปรับท่าทีนโยบายทางการเงินเพื่อควบคุมระดับราคาสินค้าและควบคุมฟองสบู่ที่เกิดขึ้นในสินทรัพย์ต่างๆ
“ภารกิจหลักในการดำเนินนโยบายการเงินในปีหน้าคือการทำให้ปริมาณเงินกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ” โดยเธอกล่าวอีกว่าการขยายตัวของปริมาณเงิน ที่เป็น M2 หรือปริมาณเงินตามความหมายกว้างนั้นควรจะชะลอตัวลงจากระดับที่เป็นอยู่ในระหว่างการใช้นโยบายการเงินแบบค่อนข้างผ่อนคลาย
สำหรับรัฐบาลจีน ควรจะคงอัตราการขยายตัวที่ “อยู่ในระดับปานกลางและมีเหตุผล” ซึ่งจะควบคู่ไปกับเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและการควบคุมเงินเฟ้อ
รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีนกล่าวต่อว่าเนื่องด้วยวิกฤติการเงินของโลกได้ผ่อนคลายลงไปจากจุดที่รุนแรงที่สุด และสถานะทางเศรษฐกิจของจีนที่มีความมั่นคงมากขึ้น ประเทศจีนจึงสามารถที่จะคงการขยายตัวที่ค่อนข้างรวดเร็วต่อไปได้ แม้จะปรับมาใช้นโยบายการเงินแบบระมัดระวังก็ตาม
นางหูเน้นย้ำว่าจีนกำลังพบกับแรงกดดันจากสภาพคล่องที่เยอะมากทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ และทำให้รัฐบาลจะต้องควบคุมสภาพคล่องในระบบด้วยมาตรการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการปรับอัตราดอกเบี้ยและอัตราส่วนเงินสดสำรอง
ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อในประเทศจีนกำลังเพิ่มแรงกดดันมากขึ้นโดยในเดือนพฤศจิกายนดัชนีราคาผู้บริโภคอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในรอบ 28 เดือนที่ 5.1% ขณะที่การปล่อยเงินกู้ใหม่ในปีนี้ช่วง 11 เดือนแรกมีการปล่อยกู้ไปแล้ว 7.45 ล้านล้านหยวน และมีแนวโน้มว่าจะเกินจากเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ทั้งปีที่ 7.5 ล้านล้านหยวนแน่นอน
นอกจากนี้ในจีนยังได้สั่งเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 0.25% ไปเมื่อเดือนตุลาคม พร้อมกับที่ปรับเพิ่มอัตราส่วนเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์ไปแล้ว 6 ครั้งในปีนี้ ทำให้อัตราส่วนอยู่ที่ 18.5% และ 19% สำหรับธนาคารขนาดใหญ่
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=525
วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2010 เวลา 22:29 น.
เมื่อวานนี้ (24 ธ.ค.) ธนาคารกลางจีนรายงานแถลงข่าวในเว็บไซต์ของตนเอง โดยระบุคำกล่าวของนางหู เสี่ยวเหลียน รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ที่กล่าวในการพบปะกับนายธนาคารต่างๆ เมื่อวานนี้ โดยเขากล่าวว่าจีนจะทำให้ปริมาณเงินในระบบกลับเข้าสู่ระดับปกติในปีหน้า ด้วยมาตรการและเครื่องมือต่างๆ หลังจากที่รัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายทางการเงินจากเดิมที่”ค่อนข้างผ่อนคลาย”มาเป็น “ระมัดระวัง”
นางหูกล่าวว่าจีนจำเป็นจะต้องปรับท่าทีนโยบายทางการเงินเพื่อควบคุมระดับราคาสินค้าและควบคุมฟองสบู่ที่เกิดขึ้นในสินทรัพย์ต่างๆ
“ภารกิจหลักในการดำเนินนโยบายการเงินในปีหน้าคือการทำให้ปริมาณเงินกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ” โดยเธอกล่าวอีกว่าการขยายตัวของปริมาณเงิน ที่เป็น M2 หรือปริมาณเงินตามความหมายกว้างนั้นควรจะชะลอตัวลงจากระดับที่เป็นอยู่ในระหว่างการใช้นโยบายการเงินแบบค่อนข้างผ่อนคลาย
สำหรับรัฐบาลจีน ควรจะคงอัตราการขยายตัวที่ “อยู่ในระดับปานกลางและมีเหตุผล” ซึ่งจะควบคู่ไปกับเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและการควบคุมเงินเฟ้อ
รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีนกล่าวต่อว่าเนื่องด้วยวิกฤติการเงินของโลกได้ผ่อนคลายลงไปจากจุดที่รุนแรงที่สุด และสถานะทางเศรษฐกิจของจีนที่มีความมั่นคงมากขึ้น ประเทศจีนจึงสามารถที่จะคงการขยายตัวที่ค่อนข้างรวดเร็วต่อไปได้ แม้จะปรับมาใช้นโยบายการเงินแบบระมัดระวังก็ตาม
นางหูเน้นย้ำว่าจีนกำลังพบกับแรงกดดันจากสภาพคล่องที่เยอะมากทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ และทำให้รัฐบาลจะต้องควบคุมสภาพคล่องในระบบด้วยมาตรการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการปรับอัตราดอกเบี้ยและอัตราส่วนเงินสดสำรอง
ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อในประเทศจีนกำลังเพิ่มแรงกดดันมากขึ้นโดยในเดือนพฤศจิกายนดัชนีราคาผู้บริโภคอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในรอบ 28 เดือนที่ 5.1% ขณะที่การปล่อยเงินกู้ใหม่ในปีนี้ช่วง 11 เดือนแรกมีการปล่อยกู้ไปแล้ว 7.45 ล้านล้านหยวน และมีแนวโน้มว่าจะเกินจากเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ทั้งปีที่ 7.5 ล้านล้านหยวนแน่นอน
นอกจากนี้ในจีนยังได้สั่งเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 0.25% ไปเมื่อเดือนตุลาคม พร้อมกับที่ปรับเพิ่มอัตราส่วนเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์ไปแล้ว 6 ครั้งในปีนี้ ทำให้อัตราส่วนอยู่ที่ 18.5% และ 19% สำหรับธนาคารขนาดใหญ่
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=525
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 22
จีนเผยปี 2549 – 53 มีการลงทุนต่างประเทศรวม 2 แสนกว่าล้านเหรียญ
วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2010 เวลา 21:37 น.
เมื่อวานนี้ (24 ธ.ค.) นายเฉิน เต๋อหมิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีนเปิดเผยข้อมูลการลงทุนโดยตรงไปยังต่างประเทศ (โอดีไอ) ของจีนในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน ช่วงระหว่างปี 2006 – 2010 พบว่ามีการลงทุนไปยังต่างประเทศ 2.166 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ 3.6 เท่า
นายเฉินกล่าวในการประชุมด้านธุรกิจของจีนว่าอัตราการขยายตัวของการลงทุนต่างประเทศโดยเฉลี่ยแต่ละปีอยู่ที่ 38.8% และทำให้จีนกลายเป็นประเทศผู้ลงทุนเป็นอันดับ 5 ของโลก จากเดิมที่อยู่ที่อันดับ 18 เมื่อช่วงปี 2001 – 2005
รัฐมนตรีพาณิชย์ระบุว่ากิจการต่างๆที่ตั้งอยู่ในมณฑลฝั่งตะวันออกของประเทศ ในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) เจียงซู เจ้อเจียง ซานตง เป็นกิจการที่มีการรับเทคโนโลยีใหม่ และคำนึงถึงเรื่องของการทำแบรนด์ ขยายเครือข่ายการตลาดผ่านการควบรวมกิจการมากกว่าในช่วงปี 2006 – 2010
สำหรับในปี 2011 นายเฉินกล่าวว่ากระทรวงพาณิชย์จะนำนโยบายต่างๆมาใช้ รวมทั้งการทำงานร่วมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อจะสร้างเขตความร่วมมือทางธุรกิจโพ้นทะเลขึ้นมา ซึ่งจะช่วยขยายขนาดของการร่วมมือให้มากขึ้น
สำหรับปีนี้กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่าการลงทุนโอดีไอที่ไม่รวมภาคการเงินช่วง 11 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน มูลค่าอยู่ที่ 4.756 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจากทั้งหมดนี้เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 36.8% จากทั้งหมด
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=525
วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2010 เวลา 21:37 น.
เมื่อวานนี้ (24 ธ.ค.) นายเฉิน เต๋อหมิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีนเปิดเผยข้อมูลการลงทุนโดยตรงไปยังต่างประเทศ (โอดีไอ) ของจีนในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน ช่วงระหว่างปี 2006 – 2010 พบว่ามีการลงทุนไปยังต่างประเทศ 2.166 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ 3.6 เท่า
นายเฉินกล่าวในการประชุมด้านธุรกิจของจีนว่าอัตราการขยายตัวของการลงทุนต่างประเทศโดยเฉลี่ยแต่ละปีอยู่ที่ 38.8% และทำให้จีนกลายเป็นประเทศผู้ลงทุนเป็นอันดับ 5 ของโลก จากเดิมที่อยู่ที่อันดับ 18 เมื่อช่วงปี 2001 – 2005
รัฐมนตรีพาณิชย์ระบุว่ากิจการต่างๆที่ตั้งอยู่ในมณฑลฝั่งตะวันออกของประเทศ ในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) เจียงซู เจ้อเจียง ซานตง เป็นกิจการที่มีการรับเทคโนโลยีใหม่ และคำนึงถึงเรื่องของการทำแบรนด์ ขยายเครือข่ายการตลาดผ่านการควบรวมกิจการมากกว่าในช่วงปี 2006 – 2010
สำหรับในปี 2011 นายเฉินกล่าวว่ากระทรวงพาณิชย์จะนำนโยบายต่างๆมาใช้ รวมทั้งการทำงานร่วมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อจะสร้างเขตความร่วมมือทางธุรกิจโพ้นทะเลขึ้นมา ซึ่งจะช่วยขยายขนาดของการร่วมมือให้มากขึ้น
สำหรับปีนี้กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่าการลงทุนโอดีไอที่ไม่รวมภาคการเงินช่วง 11 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน มูลค่าอยู่ที่ 4.756 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจากทั้งหมดนี้เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 36.8% จากทั้งหมด
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=525
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 23
จีนสัญญาจะใช้นโยบายการเงินแบบที่ตลาดยอมรับได้
Posted on Tuesday, December 28, 2010
นายหลี่ เต้าคุย ที่ปรึกษาด้านวิชาการของธนาคารกลางจีน บอกว่า จีนจะเดินหน้าคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อป้องกันฟองสบู่อย่างค่อยเป็นค่อยไป และเป็นรูปแบบที่ตลาดยอมรับได้ โดยกำหนดนโยบายการเงินจะสอดคล้องกับการทำธุรกิจของแต่ละธนาคารในปีหน้า ส่วนการคุมเข้มสินเชื่อนั้นจะอยู่ในอัตราและความถี่ที่ตลาดยอมรับได้
นยหลี่บอกด้วยว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดของธนาคารกลางจีนเมื่อวันคริสต์มาสที่ผ่านมาเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งเดือนพฤศจิกายนพุ่งถึง 5.1% สูงสุดรอบ 28 เดือน เชื่อว่าจะสามารถลดเงินเฟ้อในช่วงสิ้นปีได้ แต่ยอมรับว่าเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นอีกครั้งจากเทศกาลตรุษจีนซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 3 ก.พ. 54
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
Posted on Tuesday, December 28, 2010
นายหลี่ เต้าคุย ที่ปรึกษาด้านวิชาการของธนาคารกลางจีน บอกว่า จีนจะเดินหน้าคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อป้องกันฟองสบู่อย่างค่อยเป็นค่อยไป และเป็นรูปแบบที่ตลาดยอมรับได้ โดยกำหนดนโยบายการเงินจะสอดคล้องกับการทำธุรกิจของแต่ละธนาคารในปีหน้า ส่วนการคุมเข้มสินเชื่อนั้นจะอยู่ในอัตราและความถี่ที่ตลาดยอมรับได้
นยหลี่บอกด้วยว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดของธนาคารกลางจีนเมื่อวันคริสต์มาสที่ผ่านมาเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งเดือนพฤศจิกายนพุ่งถึง 5.1% สูงสุดรอบ 28 เดือน เชื่อว่าจะสามารถลดเงินเฟ้อในช่วงสิ้นปีได้ แต่ยอมรับว่าเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นอีกครั้งจากเทศกาลตรุษจีนซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 3 ก.พ. 54
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 24
คาดหลายชาติเล็งปรับขึ้นดอกเบี้ยตามจีน
เจ.พี. มอร์แกนฯ คาดปีหน้าจีนจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้อีกหลายครั้งเพื่อตรึงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ คาดประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ต้องใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ยตามอย่างจีน
นายหวัง เฉียน นักเศรษฐศาสตร์ของเจ.พี. มอร์แกน เชส แอนด์ โค. วิเคราะห์ว่า ปีหน้าการเติบโตของเศรษฐกิจจะขยายตัวสูงขึ้น และมีความเสี่ยงสูงหลายด้าน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นเกินกว่าที่ธนาคารกลางจีนจะควบคุมเอาไว้ได้ ดังนั้น นโยบายเศรษฐกิจของจีนในปีหน้าจะยึดมั่นเหมือนเดิมคือ ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก
การวิเคราะห์ของเจ.พี. มอร์แกนฯ เกิดขึ้นหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้อีก 0.25% เมื่อวันคริสต์มาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับขึ้นทั้งดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากครั้งที่ 2 ในช่วงเวลาไม่ถึง 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 5.81% เทียบกับปลายปี 2551 ที่อยู่ที่ 7.47% ซึ่งหลังจากนั้นเศรษฐกิจโลกเริ่มถดถอย ทำให้จีนต้องลดดอกเบี้ยเงินกู้ตลอดปี 2552 และเพิ่งปรับเพิ่มครั้งแรกในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้เจ.พี. มอร์แกนฯ คาดว่าสิ้นปีหน้าดอกเบี้ยเงินกู้ของจีนจะถูกปรับขึ้นมาอยู่ที่ 6.56%
ในเวลาเดียวกันธนาคารกลางจีนได้ปรับดอกเบี้ยเงินฝากมาอยู่ที่ 2.75% จากเมื่อปลายปี 2551 อยู่ที่ 5.1% สำหรับปีหน้า เจ.พี. มอร์แกนฯ คาดว่าในช่วง 6 เดือนแรก ธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากอีก 2 ครั้งหากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงจนไม่สามารถควบคุมได้
นอกจากนี้ธนาคารกลางจะใช้มาตรการคุมเข้มด้านการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ เช่น การให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มอัตราสำรองเงินฝากมากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่จะควบคุมไม่ให้ธนาคารปล่อยเงินกู้มากเกินไป และธนาคารกลางจะต้องหามาตรการสกัดกั้นเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาในจีนเพื่อเก็งกำไรในตลาดเงินและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อในจีนเพิ่มสูงขึ้น
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคซึ่งเป็นตัววัดอัตราเงินเฟ้อด้านผู้บริโภคของจีนสูงถึงระดับ 5.1% สูงสุดในรอบ 28 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากราคาอาหารทั่วประเทศปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้มีการสำรวจว่าราคาบ้านและที่อยู่อาศัยประเภทอื่นๆใน 70 เมืองใหญ่ของจีนเพิ่มขึ้น 7.7%
นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินมอร์แกน สแตนเลย์ คาดการณ์ว่า นโยบายการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อของจีนจะมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาอย่างเช่นบราซิล อินเดีย และรัสเซีย รวมถึงประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียหลายแห่งที่คาดว่าต้นปีหน้าจะมีการปรับดอกเบี้ยตามอย่างจีน เนื่องจากเวลานี้เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาเติบโตสูงขึ้น ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนในปีหน้าจะขยายตัวอยู่ที่ 9.6% เทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ที่ 2.3%
ข่าวการขึ้นดอกเบี้ยของจีนมีผลต่อการซื้อขายน้ำมันที่ตลาดสิงคโปร์เมื่อเช้าวันจันทร์ โดยนักลงทุนเชื่อว่าปีหน้าเศรษฐกิจจีนจะมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้นโดยไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยหรือการใช้มาตรการการเงินควบคุมเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบไลท์ของตลาดนิวยอร์กปรับตัวเพิ่มขึ้น 28 เซ็นต์ อยู่ที่ 91.79 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็นราคาน้ำมันที่สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ปี 2551
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
เจ.พี. มอร์แกนฯ คาดปีหน้าจีนจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้อีกหลายครั้งเพื่อตรึงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ คาดประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ต้องใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ยตามอย่างจีน
นายหวัง เฉียน นักเศรษฐศาสตร์ของเจ.พี. มอร์แกน เชส แอนด์ โค. วิเคราะห์ว่า ปีหน้าการเติบโตของเศรษฐกิจจะขยายตัวสูงขึ้น และมีความเสี่ยงสูงหลายด้าน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นเกินกว่าที่ธนาคารกลางจีนจะควบคุมเอาไว้ได้ ดังนั้น นโยบายเศรษฐกิจของจีนในปีหน้าจะยึดมั่นเหมือนเดิมคือ ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก
การวิเคราะห์ของเจ.พี. มอร์แกนฯ เกิดขึ้นหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้อีก 0.25% เมื่อวันคริสต์มาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับขึ้นทั้งดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากครั้งที่ 2 ในช่วงเวลาไม่ถึง 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 5.81% เทียบกับปลายปี 2551 ที่อยู่ที่ 7.47% ซึ่งหลังจากนั้นเศรษฐกิจโลกเริ่มถดถอย ทำให้จีนต้องลดดอกเบี้ยเงินกู้ตลอดปี 2552 และเพิ่งปรับเพิ่มครั้งแรกในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้เจ.พี. มอร์แกนฯ คาดว่าสิ้นปีหน้าดอกเบี้ยเงินกู้ของจีนจะถูกปรับขึ้นมาอยู่ที่ 6.56%
ในเวลาเดียวกันธนาคารกลางจีนได้ปรับดอกเบี้ยเงินฝากมาอยู่ที่ 2.75% จากเมื่อปลายปี 2551 อยู่ที่ 5.1% สำหรับปีหน้า เจ.พี. มอร์แกนฯ คาดว่าในช่วง 6 เดือนแรก ธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากอีก 2 ครั้งหากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงจนไม่สามารถควบคุมได้
นอกจากนี้ธนาคารกลางจะใช้มาตรการคุมเข้มด้านการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ เช่น การให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มอัตราสำรองเงินฝากมากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่จะควบคุมไม่ให้ธนาคารปล่อยเงินกู้มากเกินไป และธนาคารกลางจะต้องหามาตรการสกัดกั้นเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาในจีนเพื่อเก็งกำไรในตลาดเงินและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อในจีนเพิ่มสูงขึ้น
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคซึ่งเป็นตัววัดอัตราเงินเฟ้อด้านผู้บริโภคของจีนสูงถึงระดับ 5.1% สูงสุดในรอบ 28 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากราคาอาหารทั่วประเทศปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้มีการสำรวจว่าราคาบ้านและที่อยู่อาศัยประเภทอื่นๆใน 70 เมืองใหญ่ของจีนเพิ่มขึ้น 7.7%
นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินมอร์แกน สแตนเลย์ คาดการณ์ว่า นโยบายการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อของจีนจะมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาอย่างเช่นบราซิล อินเดีย และรัสเซีย รวมถึงประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียหลายแห่งที่คาดว่าต้นปีหน้าจะมีการปรับดอกเบี้ยตามอย่างจีน เนื่องจากเวลานี้เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาเติบโตสูงขึ้น ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนในปีหน้าจะขยายตัวอยู่ที่ 9.6% เทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ที่ 2.3%
ข่าวการขึ้นดอกเบี้ยของจีนมีผลต่อการซื้อขายน้ำมันที่ตลาดสิงคโปร์เมื่อเช้าวันจันทร์ โดยนักลงทุนเชื่อว่าปีหน้าเศรษฐกิจจีนจะมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้นโดยไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยหรือการใช้มาตรการการเงินควบคุมเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบไลท์ของตลาดนิวยอร์กปรับตัวเพิ่มขึ้น 28 เซ็นต์ อยู่ที่ 91.79 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็นราคาน้ำมันที่สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ปี 2551
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 25
รมช.พาณิชย์จีนแนะรัฐบาลเพิ่มการนำเข้าเพื่อปรับสมดุลการค้า
จง ชาน รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์จีนชี้รัฐบาลควรเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าสินค้าเพื่อปรับสมดุลด้านการค้ากับต่างประเทศ มากกว่าที่จะใช้แนวทางการปรับลดยอดการส่งออก รวมทั้งแนะให้ขยายการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
สำนักข่าวซินหัวรายงานอ้างแถลงการณ์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของกระทรวงพาณิชย์จีนว่า จีนไม่มีนโยบายที่จะทำให้ประเทศเผชิญภาวะเกินดุลการค้า โดยนโยบายการค้าระหว่างประเทศของจีนมุ่งเน้นที่การปรับสมดุลทางการค้าเป็นสำคัญ
รมช.พาณิชย์จีนกล่าวว่า หนึ่งในเป้าหมายระยะกลางของจีน คือ การสร้างความเชื่อมั่นว่าการขยายตัวทางการค้าระหว่างประเทศของจีนในปี 2554-2563 จะสูงกว่าการขยายตัวของการค้าโลกโดยรวม มิเช่นนั้นจีนจะมีส่วนแบ่งด้านการค้าในตลาดโลกลดลง
ทั้งนี้ นายจงกล่าวว่า การค้ากับต่างประเทศถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีน ดังนั้นการค้าระหว่างประเทศจึงควรมีอัตราขยายตัวสูงกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้ นายจงยังกล่าวด้วยว่า กระทรวงพาณิชย์จีนจะจัดการประชุมเพื่อกำหนดกรอบการทำงานสำหรับภาคธุรกิจนำเข้าในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่จีนจะออกนโยบายต่างๆ เพื่อปรับปรุงปัจจัยแวดล้อมให้เอื้อต่อภาคธุรกิจนำเข้าและกระตุ้นการนำเข้าสินค้ามากขึ้น
ผู้นำยุโรปยังวิตก'จีน'เข้าซื้อกิจการที่กุมเทคโนโลยีสำคัญ
อันโตนิโอ ทาจานีกรรมาธิการฝ่ายอุตสาหกรรมของสหภาพยุโรป (EU) กล่าวเรียกร้องระหว่างการให้สัมภาษณ์ “ฮันเดลสบลัตต์” หนังสือพิมพ์ธุรกิจในเยอรมนีเมื่อวันจันทร์ (27 ธ.ค. 53) ว่า ยุโรปควรต้องมีมาตการในการป้องกันไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมที่ทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ถูกเทคโอเวอร์จากต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศจีน
“พวกบริษัทจีนมีเครื่องมือที่จะซื้อหาบรรดาวิสาหกิจของยุโรปซึ่งกุมเทคโนโลยีหลักๆ ในภาคอุตสาหกรรมสำคัญๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” ทาจานีตั้งข้อสังเกต “มันเป็นคำถามในเรื่องการลงทุนก็จริง แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังก็ยังเป็นนโยบายในทางยุทธศาสตร์อีกด้วย ซึ่งยุโรปควรจะแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ในทางการเมือง”
กรรมาธิการของอียูผู้นี้เสนอแนะว่า ยุโรปควรจัดตั้ง “หน่วยงานรับผิดชอบที่มีภาระหน้าที่ในการตรวจสอบการลงทุนของต่างประเทศในยุโรป” โดยใช้หน่วยงานที่มีอยู่ในสหรัฐฯ คือ คณะกรรมาธิการว่าด้วยการลงทุนของต่างประเทศ มาเป็นแบบอย่าง ทั้งนี้หน่วยงานแห่งนี้จะเป็นผู้วินิจฉัยว่า “การเข้าครอบครอง (บริษัท) ที่มีโนว-ฮาว ของทางยุโรป โดยพวกบริษัทเอกชนหรือบริษัทมหาชนของต่างชาติ จะก่อให้เกิดอันตรายหรือไม่”
ในสัปดาห์ที่แล้ว จีนเพิ่งแถลงว่าอาจจะเข้าลงทุนถือครองตราสารหนี้ภาครัฐของยุโรปให้มากขึ้น เพื่อช่วยเหลือเขตยูโรโซนให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตอันรุนแรงยิ่ง นอกจากนั้นบริษัทจีนหลายแห่งได้เข้าซื้อกิจการในยุโรปไว้หลายรายแล้ว ตัวอย่างเช่น บริษัทจี๋ลี่ ได้เข้าซื้อกิจการรถยนต์วอลโวของสวีเดน
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ออกอากาศซ้ำเวลา 11.00 น. ทาง Money Channel
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
จง ชาน รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์จีนชี้รัฐบาลควรเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าสินค้าเพื่อปรับสมดุลด้านการค้ากับต่างประเทศ มากกว่าที่จะใช้แนวทางการปรับลดยอดการส่งออก รวมทั้งแนะให้ขยายการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
สำนักข่าวซินหัวรายงานอ้างแถลงการณ์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของกระทรวงพาณิชย์จีนว่า จีนไม่มีนโยบายที่จะทำให้ประเทศเผชิญภาวะเกินดุลการค้า โดยนโยบายการค้าระหว่างประเทศของจีนมุ่งเน้นที่การปรับสมดุลทางการค้าเป็นสำคัญ
รมช.พาณิชย์จีนกล่าวว่า หนึ่งในเป้าหมายระยะกลางของจีน คือ การสร้างความเชื่อมั่นว่าการขยายตัวทางการค้าระหว่างประเทศของจีนในปี 2554-2563 จะสูงกว่าการขยายตัวของการค้าโลกโดยรวม มิเช่นนั้นจีนจะมีส่วนแบ่งด้านการค้าในตลาดโลกลดลง
ทั้งนี้ นายจงกล่าวว่า การค้ากับต่างประเทศถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีน ดังนั้นการค้าระหว่างประเทศจึงควรมีอัตราขยายตัวสูงกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้ นายจงยังกล่าวด้วยว่า กระทรวงพาณิชย์จีนจะจัดการประชุมเพื่อกำหนดกรอบการทำงานสำหรับภาคธุรกิจนำเข้าในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่จีนจะออกนโยบายต่างๆ เพื่อปรับปรุงปัจจัยแวดล้อมให้เอื้อต่อภาคธุรกิจนำเข้าและกระตุ้นการนำเข้าสินค้ามากขึ้น
ผู้นำยุโรปยังวิตก'จีน'เข้าซื้อกิจการที่กุมเทคโนโลยีสำคัญ
อันโตนิโอ ทาจานีกรรมาธิการฝ่ายอุตสาหกรรมของสหภาพยุโรป (EU) กล่าวเรียกร้องระหว่างการให้สัมภาษณ์ “ฮันเดลสบลัตต์” หนังสือพิมพ์ธุรกิจในเยอรมนีเมื่อวันจันทร์ (27 ธ.ค. 53) ว่า ยุโรปควรต้องมีมาตการในการป้องกันไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมที่ทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ถูกเทคโอเวอร์จากต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศจีน
“พวกบริษัทจีนมีเครื่องมือที่จะซื้อหาบรรดาวิสาหกิจของยุโรปซึ่งกุมเทคโนโลยีหลักๆ ในภาคอุตสาหกรรมสำคัญๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” ทาจานีตั้งข้อสังเกต “มันเป็นคำถามในเรื่องการลงทุนก็จริง แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังก็ยังเป็นนโยบายในทางยุทธศาสตร์อีกด้วย ซึ่งยุโรปควรจะแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ในทางการเมือง”
กรรมาธิการของอียูผู้นี้เสนอแนะว่า ยุโรปควรจัดตั้ง “หน่วยงานรับผิดชอบที่มีภาระหน้าที่ในการตรวจสอบการลงทุนของต่างประเทศในยุโรป” โดยใช้หน่วยงานที่มีอยู่ในสหรัฐฯ คือ คณะกรรมาธิการว่าด้วยการลงทุนของต่างประเทศ มาเป็นแบบอย่าง ทั้งนี้หน่วยงานแห่งนี้จะเป็นผู้วินิจฉัยว่า “การเข้าครอบครอง (บริษัท) ที่มีโนว-ฮาว ของทางยุโรป โดยพวกบริษัทเอกชนหรือบริษัทมหาชนของต่างชาติ จะก่อให้เกิดอันตรายหรือไม่”
ในสัปดาห์ที่แล้ว จีนเพิ่งแถลงว่าอาจจะเข้าลงทุนถือครองตราสารหนี้ภาครัฐของยุโรปให้มากขึ้น เพื่อช่วยเหลือเขตยูโรโซนให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตอันรุนแรงยิ่ง นอกจากนั้นบริษัทจีนหลายแห่งได้เข้าซื้อกิจการในยุโรปไว้หลายรายแล้ว ตัวอย่างเช่น บริษัทจี๋ลี่ ได้เข้าซื้อกิจการรถยนต์วอลโวของสวีเดน
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ออกอากาศซ้ำเวลา 11.00 น. ทาง Money Channel
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 26
ขอบคุณครับสำหรับข่าว อัพเดทบ่อยๆนะครับ จะเข้ามาอ่านเรื่อยๆครับ
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 27
ปักกิ่งปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอีก20%ท่ามกลางเงินเฟ้อสูง
รัฐบาลปักกิ่งแถลงผ่านทางเว็บไซต์วานนี้ว่า จะปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในเมืองหลวงขึ้นอีกร้อยละ 20 นับเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 2 ในรอบ 6 เดือน ท่ามกลางราคาอาหารและราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูง รวมถึงช่องว่างระหว่างคนรายและคนจนเพิ่มสูงขึ้น โดยเงินเดือนขั้นต่ำของกรุงปักกิ่งจะเพิ่มเป็น 1,160 หยวนหรือราว 5,800 บาท จากเดิม 4,800 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมนี้เป็นต้นไป ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนกรกฎาคม ปักกิ่งได้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำร้อยละ 20 มาแล้วครั้งหนึ่ง
ทางการจีนปรับขึ้นค่าแรงหลายครั้งปีนี้ หลังเกิดความขัดแย้งและการฆ่าตัวตายที่เกี่ยวเนื่องจากสภาพการทำงานมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจของผู้ใช้แรงงานค่าแรงต่ำหลายล้านคนในประเทศ ขณะที่ทางการกำลังวิตกต่ออัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงที่เมื่อเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 5 แตะระดับนี้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ส่งผลให้ราคาอาหารเดือนที่แล้วเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่แล้วเกือบร้อยละ 12 ขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น แม้รัฐบาลจะพยายามลดความร้อนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม
เมื่อวันเสาร์ ธนาคารกลางจีนปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ในช่วงน้อยกว่า 3 เดือน หลังมีคำสั่งให้ผู้ปล่อยกู้เก็บเงินสำรองมากขึ้น เป็นการจำกัดเงินทุนที่จะให้กู้ยืมได้ ด้านนายกรัฐมนตรีจีน เวิน เจีย เป่าประกาศผ่านทางวิทยุเมื่อสุดสัปดาห์ ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะสามารถรับมือกับเงินเฟ้อและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสูงในจีนได้
http://breakingnews.nationchannel.com/r ... sid=486920
รัฐบาลปักกิ่งแถลงผ่านทางเว็บไซต์วานนี้ว่า จะปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในเมืองหลวงขึ้นอีกร้อยละ 20 นับเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 2 ในรอบ 6 เดือน ท่ามกลางราคาอาหารและราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูง รวมถึงช่องว่างระหว่างคนรายและคนจนเพิ่มสูงขึ้น โดยเงินเดือนขั้นต่ำของกรุงปักกิ่งจะเพิ่มเป็น 1,160 หยวนหรือราว 5,800 บาท จากเดิม 4,800 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมนี้เป็นต้นไป ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนกรกฎาคม ปักกิ่งได้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำร้อยละ 20 มาแล้วครั้งหนึ่ง
ทางการจีนปรับขึ้นค่าแรงหลายครั้งปีนี้ หลังเกิดความขัดแย้งและการฆ่าตัวตายที่เกี่ยวเนื่องจากสภาพการทำงานมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจของผู้ใช้แรงงานค่าแรงต่ำหลายล้านคนในประเทศ ขณะที่ทางการกำลังวิตกต่ออัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงที่เมื่อเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 5 แตะระดับนี้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ส่งผลให้ราคาอาหารเดือนที่แล้วเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่แล้วเกือบร้อยละ 12 ขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น แม้รัฐบาลจะพยายามลดความร้อนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม
เมื่อวันเสาร์ ธนาคารกลางจีนปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ในช่วงน้อยกว่า 3 เดือน หลังมีคำสั่งให้ผู้ปล่อยกู้เก็บเงินสำรองมากขึ้น เป็นการจำกัดเงินทุนที่จะให้กู้ยืมได้ ด้านนายกรัฐมนตรีจีน เวิน เจีย เป่าประกาศผ่านทางวิทยุเมื่อสุดสัปดาห์ ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะสามารถรับมือกับเงินเฟ้อและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสูงในจีนได้
http://breakingnews.nationchannel.com/r ... sid=486920
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 28
จีนมีแผนปล่อยหยวนแข็งค่า 5% ในปี 2554
สื่อของทางการจีนเปิดเผยถึงแผนการปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอีก 5% ในปีนี้ ท่ามกลางความพยายามในการรับมือกับภาวะเงินเฟ้อและหลีกเลี่ยงปัญหาฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์
กระทรวงพาณิชย์ของจีนเตือนว่า การแข็งค่าของเงินหยวนจะทำให้การเกินดุลการค้ากับอเมริกาลดลง หลังจากการเกินดุลดังกล่าวได้สร้างความขุ่นเคืองต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด
หนังสือพิมพ์ The China Securities รายงานว่า เงินหยวนจะแข็งค่ามากเป็นพิเศษในหกเดือนแรกของปีนี้ โดยการแข็งค่าจะทำให้ราคาของสินค้านำเข้าถูกลง และลดผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นในตลาดโลก ขณะเดียวกัน ก็ยังช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อด้วย
นักค้าเงินบางรายประเมินว่า เงินหยวนอาจเร่งแข็งค่าในช่วง 3 เดือนนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการเยือนสหรัฐของประธานาธิบดี หู จิน เทา ในกลางเดือนมกราคมที่จะถึงนี้
และในขณะที่รัฐบาลกลางของจีนพยายามสร้างภาพให้เห็นว่า ประเทศตนได้ต่อต้านแรงกดดันจากสหรัฐที่ต้องการให้เพิ่มค่าเงินหยวน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว จีนก็มักจะปล่อยให้ค่าเงินแข็งขึ้นก่อนเกิดเหตุการณ์สำคัญๆ ทางการเมือง เนื่องจากจีนเองก็ระวังผลกระทบที่จะมีต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศด้วย
สหรัฐกล่าวหาว่า จีนทำการควบคุมระดับค่าเงินหยวนให้อ่อนเกินไป จนทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมทางการค้า ขณะที่ทางฝั่งสหรัฐเสียดุลการค้าให้แก่จีนสูงถึง 20% ในช่วงสิบเดือนแรกของปีที่แล้ว โดยคิดเป็นจำนวนเงินถึง 2.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ทำเนียบขาวเดินหน้ากดดันจีนลดเกินดุลการค้า
มีรายงานข่าวจากทำเนียบขาวว่า ประธานาธิบดี บารัค โอบามา เตรียมต้อนรับการเยือนกรุงวอชิงตันของประธานาธิบดี หูจิ่นเทา ของจีนในวันที่ 19 ม.ค. นี้ พร้อมกับเดินหน้าพันธกิจที่เคยตกลงกันระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะประเด็นในเรื่องค่าเงิน การค้า รวมถึงจุดยืนที่มีต่อเกาหลีเหนือ
ทางทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโอบาม่า ผู้ซึ่งเข้าร่วมประชุมกับ นาย หยางเจียฉือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของจีน ได้ให้คำมั่นอีกครั้งในการปรับปรุงการร่วมมือกับทางปักกิ่ง ในระหว่างเตรียมต้อนรับประธานาธิบดีหูจิ่นเทาซึ่งจะมาเยือนวอชิงตันในที่ 19 มกราคมนี้
ในขณะที่ปักกิ่งกับวอชิงตันมีแนวโน้มจะใช้การประชุมสุดยอดเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องค่าเงิน การค้าระหว่างประเทศ และความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือที่ส่อเค้าว่าจะตึงเครียดยิ่งขึ้น
การเจรจาระหว่าง นาย ทอม ดอนนิลอน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ และหยางเจียฉือ รัฐมนตรีของจีนยังเน้นเรื่องแนวทางการทำงานร่วมกันเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เกาหลีเหนือยกเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์ และ “หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความสั่นคลอน” รวมทั้งขัดขวางอิหร่านไม่ให้มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองด้วย
ติดตาม Money Insight ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ทาง Money Channel
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
สื่อของทางการจีนเปิดเผยถึงแผนการปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอีก 5% ในปีนี้ ท่ามกลางความพยายามในการรับมือกับภาวะเงินเฟ้อและหลีกเลี่ยงปัญหาฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์
กระทรวงพาณิชย์ของจีนเตือนว่า การแข็งค่าของเงินหยวนจะทำให้การเกินดุลการค้ากับอเมริกาลดลง หลังจากการเกินดุลดังกล่าวได้สร้างความขุ่นเคืองต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด
หนังสือพิมพ์ The China Securities รายงานว่า เงินหยวนจะแข็งค่ามากเป็นพิเศษในหกเดือนแรกของปีนี้ โดยการแข็งค่าจะทำให้ราคาของสินค้านำเข้าถูกลง และลดผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นในตลาดโลก ขณะเดียวกัน ก็ยังช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อด้วย
นักค้าเงินบางรายประเมินว่า เงินหยวนอาจเร่งแข็งค่าในช่วง 3 เดือนนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการเยือนสหรัฐของประธานาธิบดี หู จิน เทา ในกลางเดือนมกราคมที่จะถึงนี้
และในขณะที่รัฐบาลกลางของจีนพยายามสร้างภาพให้เห็นว่า ประเทศตนได้ต่อต้านแรงกดดันจากสหรัฐที่ต้องการให้เพิ่มค่าเงินหยวน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว จีนก็มักจะปล่อยให้ค่าเงินแข็งขึ้นก่อนเกิดเหตุการณ์สำคัญๆ ทางการเมือง เนื่องจากจีนเองก็ระวังผลกระทบที่จะมีต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศด้วย
สหรัฐกล่าวหาว่า จีนทำการควบคุมระดับค่าเงินหยวนให้อ่อนเกินไป จนทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมทางการค้า ขณะที่ทางฝั่งสหรัฐเสียดุลการค้าให้แก่จีนสูงถึง 20% ในช่วงสิบเดือนแรกของปีที่แล้ว โดยคิดเป็นจำนวนเงินถึง 2.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ทำเนียบขาวเดินหน้ากดดันจีนลดเกินดุลการค้า
มีรายงานข่าวจากทำเนียบขาวว่า ประธานาธิบดี บารัค โอบามา เตรียมต้อนรับการเยือนกรุงวอชิงตันของประธานาธิบดี หูจิ่นเทา ของจีนในวันที่ 19 ม.ค. นี้ พร้อมกับเดินหน้าพันธกิจที่เคยตกลงกันระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะประเด็นในเรื่องค่าเงิน การค้า รวมถึงจุดยืนที่มีต่อเกาหลีเหนือ
ทางทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโอบาม่า ผู้ซึ่งเข้าร่วมประชุมกับ นาย หยางเจียฉือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของจีน ได้ให้คำมั่นอีกครั้งในการปรับปรุงการร่วมมือกับทางปักกิ่ง ในระหว่างเตรียมต้อนรับประธานาธิบดีหูจิ่นเทาซึ่งจะมาเยือนวอชิงตันในที่ 19 มกราคมนี้
ในขณะที่ปักกิ่งกับวอชิงตันมีแนวโน้มจะใช้การประชุมสุดยอดเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องค่าเงิน การค้าระหว่างประเทศ และความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือที่ส่อเค้าว่าจะตึงเครียดยิ่งขึ้น
การเจรจาระหว่าง นาย ทอม ดอนนิลอน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ และหยางเจียฉือ รัฐมนตรีของจีนยังเน้นเรื่องแนวทางการทำงานร่วมกันเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เกาหลีเหนือยกเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์ และ “หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความสั่นคลอน” รวมทั้งขัดขวางอิหร่านไม่ให้มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองด้วย
ติดตาม Money Insight ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ทาง Money Channel
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 29
อสังหาริมทรัพย์จีน ปี 53 คึกคัก คาดรัฐออกมาตรการคุมเพิ่ม
ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ารัฐบาลได้ออกมาตรการหลายมาตรการเพื่อชะลอการเติบโตของตลาดลงในปี 2553 โดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ 30 บริษัทของจีนมีพื้นที่ขายรวมกันกว่า 84.49 ล้านตารางเมตร ในปี 2553 คิดเป็นมูลค่า 870,000 ล้านหยวน
ทั้งนี้ ราคาขายบ้านโดยเฉลี่ยของ 30 บริษัทอสังหาฯยักษ์ใหญ่อยู่ที่ 10,286.42 หยวนต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 23.98% เมื่อเทียบเป็นรายปี
ส่วนราคาเฉลี่ยบ้านใหม่ในกรุงปักกิ่งอยู่ที่ 20,328 หยวนต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 42% ในปี 2553 เมื่อเทียบกับปีก่อน และเป็นราคาเฉลี่ยสูงสุดในกลุ่ม 4 เมืองใหญ่อันดับแรกของจีน โดยราคาบ้านเฉลี่ยในเซี่ยงไฮ้ เพิ่มขึ้น 40% จากปี 52 เสิ่นเจิ้น เพิ่มขึ้น 33% และกวางโจวเพิ่มขึ้น 23%
เหริน ซีเฉียง ประธานบริษัท หัวหยวน พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า "นโยบายควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังคงมีการบังคับใช้ต่อเนื่องในปี 2554"
ด้าน หยาง หงซู ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบัน อีเฮาส์ ไชน่า อาร์แอนด์ดี กล่าวว่า หากราคาบ้านเพิ่มสูงขึ้นมาก ก็มีแนวโน้มว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการควบคุมเพิ่มเติมในไตรมาสที่ 2 ของปี 2554
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ารัฐบาลได้ออกมาตรการหลายมาตรการเพื่อชะลอการเติบโตของตลาดลงในปี 2553 โดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ 30 บริษัทของจีนมีพื้นที่ขายรวมกันกว่า 84.49 ล้านตารางเมตร ในปี 2553 คิดเป็นมูลค่า 870,000 ล้านหยวน
ทั้งนี้ ราคาขายบ้านโดยเฉลี่ยของ 30 บริษัทอสังหาฯยักษ์ใหญ่อยู่ที่ 10,286.42 หยวนต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 23.98% เมื่อเทียบเป็นรายปี
ส่วนราคาเฉลี่ยบ้านใหม่ในกรุงปักกิ่งอยู่ที่ 20,328 หยวนต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 42% ในปี 2553 เมื่อเทียบกับปีก่อน และเป็นราคาเฉลี่ยสูงสุดในกลุ่ม 4 เมืองใหญ่อันดับแรกของจีน โดยราคาบ้านเฉลี่ยในเซี่ยงไฮ้ เพิ่มขึ้น 40% จากปี 52 เสิ่นเจิ้น เพิ่มขึ้น 33% และกวางโจวเพิ่มขึ้น 23%
เหริน ซีเฉียง ประธานบริษัท หัวหยวน พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า "นโยบายควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังคงมีการบังคับใช้ต่อเนื่องในปี 2554"
ด้าน หยาง หงซู ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบัน อีเฮาส์ ไชน่า อาร์แอนด์ดี กล่าวว่า หากราคาบ้านเพิ่มสูงขึ้นมาก ก็มีแนวโน้มว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการควบคุมเพิ่มเติมในไตรมาสที่ 2 ของปี 2554
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เกาะติดฟองสบู่จีน
โพสต์ที่ 30
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
แบงก์ชาติจีนประกาศ ยกระดับปัญหาเงินเฟ้อ
ธนาคารกลางจีนประกาศให้การต่อสู้กับเงินเฟ้อเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นๆ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
เอพีรายงานว่า แถลงการณ์ครั้งนี้มีขึ้นหลังทางการปักกิ่งย้ำคำมั่นว่าจะหาทางบรรเทาภาวะเงินเฟ้อซึ่งอยู่ที่ 5.1% ในเดือนพฤศจิกายน สูงสุดในรอบ 28 เดือน โดยผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์หวั่นเกรงว่าสถานการณ์เช่นนี้อาจนำไปสู่การจลาจลได้
ทางธนาคารกลางจีนระบุว่า "การรักษาเสถียรภาพด้านราคาได้รับการยกระดับขึ้นมาเป็นประเด็นที่สำคัญมากขึ้น โดยเราจะบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ และควบคุมสภาวะทางการเงินที่อาจส่งผลให้ราคาพุ่งสูงมากเกินไปได้"
อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงยิ่งเน้นย้ำสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างจีนที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกกับสหรัฐและยุโรปที่มีหลายปัญหารุมเร้า
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจมีผลกระทบต่อการเติบโตของแดนมังกร ซึ่งจะทำให้ดีมานด์ของจีนต่อเครื่องจักร วัตถุดิบสำหรับภาคอุตสาหกรรม แร่เหล็ก ตลอดจนสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ยุโรป ออสเตรเลีย และเพื่อนบ้านในเอเชียลดต่ำลง
ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาธนาคารกลางจีนขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 2 รอบ ครั้งล่าสุดคือเมื่อวันคริสต์มาสที่ผ่านมา นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีการขยับอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้งในปีนี้
http://prachachat.net/news_detail.php?n ... 4&catid=00
แบงก์ชาติจีนประกาศ ยกระดับปัญหาเงินเฟ้อ
ธนาคารกลางจีนประกาศให้การต่อสู้กับเงินเฟ้อเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นๆ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
เอพีรายงานว่า แถลงการณ์ครั้งนี้มีขึ้นหลังทางการปักกิ่งย้ำคำมั่นว่าจะหาทางบรรเทาภาวะเงินเฟ้อซึ่งอยู่ที่ 5.1% ในเดือนพฤศจิกายน สูงสุดในรอบ 28 เดือน โดยผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์หวั่นเกรงว่าสถานการณ์เช่นนี้อาจนำไปสู่การจลาจลได้
ทางธนาคารกลางจีนระบุว่า "การรักษาเสถียรภาพด้านราคาได้รับการยกระดับขึ้นมาเป็นประเด็นที่สำคัญมากขึ้น โดยเราจะบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ และควบคุมสภาวะทางการเงินที่อาจส่งผลให้ราคาพุ่งสูงมากเกินไปได้"
อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงยิ่งเน้นย้ำสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างจีนที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกกับสหรัฐและยุโรปที่มีหลายปัญหารุมเร้า
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจมีผลกระทบต่อการเติบโตของแดนมังกร ซึ่งจะทำให้ดีมานด์ของจีนต่อเครื่องจักร วัตถุดิบสำหรับภาคอุตสาหกรรม แร่เหล็ก ตลอดจนสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ยุโรป ออสเตรเลีย และเพื่อนบ้านในเอเชียลดต่ำลง
ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาธนาคารกลางจีนขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 2 รอบ ครั้งล่าสุดคือเมื่อวันคริสต์มาสที่ผ่านมา นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีการขยับอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้งในปีนี้
http://prachachat.net/news_detail.php?n ... 4&catid=00