ลงทุนแบบ JOHN NEFF นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
imerlot
Verified User
โพสต์: 2690
ผู้ติดตาม: 0

ลงทุนแบบ JOHN NEFF นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า

โพสต์ที่ 1

โพสต์

http://fundmanagertalk.com/investment-talk-john-neff/
InvestmentTalk – ลงทุนแบบ JOHN NEFF
26 July 2010 959 views One Comment

Written by: Setha
Share15

จอห์น เนฟฟ์ เป็นผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อว่า Windsor กองทุนที่มีสินทรัพย์มากที่สุดในอเมริกา โดยที่ผลตอบแทนในช่วงเวลาที่เขาบริหารพอร์ตการลงทุนตลอดระยะเวลา 32 ปี เขาสามารถสร้างผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยถึงปีละ 13.7% และได้ผลตอบแทน 57 เท่าของเงินลงทุนเริ่มแรก ซึ่ง S&P500 index ได้ผลตอบแทน 10.6% ซึ่งการบริหารของเขานั้นไม่ธรรมดาใช่ไหมครับ เรามาลองดูว่าเขามีวิธีการจัดการอย่างไร

จอห์น เนฟฟ์ ได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่าสุดขั้วหรือสุดโต่งเลยทีเดียว โดยเน้นการลงทุนหุ้นที่มี P/E ต่ำ บริษัทที่ไม่ค่อยเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน มีอัตราการเติบโตปานกลาง และมีเงินปันผลสม่ำเสมอ และเขายังเตือนด้วยอีกว่า อย่าไล่ตามหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่สูงที่มีคนสนใจมากซึ่งจะผลักดันให้ P/E สูงอย่างมาก ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับราคาหุ้นตัวนั้นๆ นอกจากนี้เขาจะมีเหตุผลในการขายหุ้น 2 ปัจจัยได้แก่ 1) ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทแย่ลง 2) ขายหุ้นเมื่อได้ผลตอบแทนที่คาดหวัง

จอห์เนฟมีหลักการในการเลือกหุ้นที่ง่ายแต่มีความสำคัญอย่างมาก 7 ข้อได้แก่

1. P/E ต่ำ

* จอห์น เนฟฟ์ จะลงทุนหุ้นที่มี P/E ต่ำๆ โดยจะมี P/E ต่ำกว่าตลาดประมาณ 40-60% ไม่ว่าบรรยากาศตลาดหุ้นจะอยู่ในสถานการณ์แบบใด
* การลงทุนในหุ้น P/E ต่ำนั้น นักลงทุนต้องแยกให้ออกว่าเป็นหุ้นที่ดีที่ถูกขายอย่างไร้เหตุผล หรือว่าเป็นหุ้นที่ไร้อนาคต
* ในช่วงตลาดขาลงหุ้นที่มี P/E ต่ำนั้นจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าหุ้นที่มี P/E สูง และหากบริษัทที่มี P/E ต่ำนั้นมีแนวโน้มดีขึ้นราคาหุ้นก็จะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างมาก

2. อัตราการเติบโตของบริษัทมาจากปัจจัยพื้นฐานไม่ต่ำกว่า 7%

* สำหรับหุ้นที่มี P/E สูงๆ ความคาดหมายอัตราการเติบโตของบริษัทจะสูงตามไปด้วย หากอัตราการเติบโตนั้นพลาดเป้าหมายเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้ราคานั้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง
* กองทุน Windsor จะทำการขายหุ้นหากอัตราการเติบโตที่คาดการณ์นั้นต่ำกว่า 6% หรือเกินกว่า 20% (เพดานสูงสุดที่กองทุนตั้งไว้)
* การประมาณการเติบโตของบริษัทนั้นควรมีระยะเวลา 5 ปี

3. มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมีอัตราเติบโตต่อเนื่องในอนาคต

* อัตรการจ่ายเงินปันผล (Dividend Yield) เป็นส่วนที่แน่นอน แต่อัตราการเติบโตและกำไรจะเป็นไปตามที่คาดการณ์หรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
* การเลือกหุ้นแม้ว่าอัตราการเติบโตของเงินปันผลในช่วงปีหรือสองปีแรกอาจ จะไม่สูงมากนัก แต่บริษัทมีโอกาสที่จะจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้นได้ในอนาคต
* ราคาหุ้นมักจะซื้อขายบนพื้นฐานของอัตราการเติบโตของกำไรที่คาดการณ์ ดังนั้นการได้รับเงินปันผลการที่เพิ่มขึ้นจึงเป็นส่วนเพิ่มที่ไม่มีต้นทุน หรือเรียกว่า “Free plus” ส่วนที่เพิ่มที่ไม่มีต้นทุนจึงเป็นผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับนอกเหนือสิ่ง ที่คาดหวังไว้ในตอนแรก
* บริษัทที่มีการเติบโตเต็มที่และมี Dividend Yield เท่ากับค่าเฉลี่ยก็จะถูกแทนที่โดยหุ้นที่มีมาตราฐานที่ดีกว่า

4. อัตราผลตอบแทนโดยรวม (Total return) เฉลี่ยสูงกว่า P/E ratio

* อัตราผลตอบแทนโดยรวม (Total return) คือ อัตราการเติบโตบวกด้วยอัตราเงินปันผล (Dividend Yield) โดยที่จะใช้อัตราส่วน GYP (Growth & Dividend Yield:P/E ratio) คืออัตราการเติบโตของกำไรบวกด้วยผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) หารด้วย P/E โดยที่อัตราส่วนนี้ควรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดประมาณ 2 ต่อ 1

5. บริษัทที่มีผลประกอบการผันผวนตามวงจรเศรษฐกิจ (Cyclical stock) ต้องชดเชยด้วย P/E ratio ที่ต่ำ

* การประเมินคุณภาพของหุ้น Cyclical stock นั้นใช้อัตราการเติบโตปกติของกำไรโดยเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ซึ่งกำไรปกติจะเป็นการประมาณการกำไรที่ดีที่สุดในทุกช่วงของวงจรธุรกิจ
* การเลือกซื้อหุ้น Cyclical stock นั้นควรซื้อหุ้นที่มี P/E ใกล้จุดที่เคยต่ำสุด เนื่องจากแต่ละวงจรมีระยะเวลาที่แตกต่างกันส่งผลให้เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ ว่าจุดต่ำสุดจะอยู่ที่ใด

6. บริษัทที่มีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโต

* บริษัที่มีการตลาดที่เข้มแข็งและมีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต
* เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นๆ
* มีการบริหารต้นทุนได้ดีในสถาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ

7. บริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีเหมาะสมกับการลงทุน

* บริษัทมียอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งจะส่งผลให้กำไรเติบโตไปด้วย
* ROE ต้องโดดเด่น ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ดีที่สุดในการใช้วัดประสิทธิภาพการใช้เงินของผู้ถือหุ้นในการบริหารงานของผู้บริหาร
* กำไรก่อนภาษี (EBT) สามารถบอกรายละเอียดของต้นทุนได้ดีกว่ากำไรจากการดำเนินงาน เนื่องจากสามารถแสดงค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขายที่เกิดจากการ ดำเนินธุรกิจทั้งหมด
* บริษัทที่มีกระแสเงินสดส่วนเกิน (FCF) ซึ่งหักเงินทุนหมุนเวียนและการลงทุนไปแล้ว บริษัทเหล่านี้สามารถที่จะจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นได้ ซื้อหุ้นคืน ซื้อกิจการอื่น หรือลงทุนเพิ่ม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทในอนาคต

หลักการทั้ง 7 ข้อนี้ คงไม่มีข้อใดข้อหนึ่งที่จะเป็นตัวกำหนดในการซื้อหรือขายหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง แต่นักลงทุนควรพิจารณาว่าหุ้นที่คุณสนใจนั้นได้ผ่านการวิเคราะห์อย่าง ละเอียดถี่ถ้วนเพื่อยืนยันว่าการคาดการณ์อัตราการเติบโตหรือว่าปัจจัยพื้น ฐานของบริษัทนั้นน่าเชื่อถือเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมหรือตลาด และที่สำคัญมี P/E ที่ต่ำ หากการวิเคราะห์นั้นสอดคล้องกับ 7 ข้อที่ได้กล่าวมาข้างต้น ก็จะเป็นการยืนยันความน่าสนใจสำหรับหุ้นตัวนั้นได้เป็นอย่างดี

อ้างอิงจากหนังสือ: ลงทุนแบบ จอห์น เนฟฟ์ (JOHN NEFF on investing) จากผู้เขียน John Neff, S.L. Mintz ผู้แปล ดร.กุศยา ลีฬหาวงศ์, http://www.thaivi.com/mobile/thread.php?topic_id=32918 , http://www.dekbiz.co.cc/2009/07/18/จอห์ ... john-neff/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul Octopus
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 803
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนแบบ JOHN NEFF นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า

โพสต์ที่ 2

โพสต์

Really good strategies!
Thanks a lot :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: ลงทุนแบบ JOHN NEFF นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า

โพสต์ที่ 3

โพสต์

Simple is Good !
I wanna to use this method for stock's selection !
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
boat37564
Verified User
โพสต์: 105
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนแบบ JOHN NEFF นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า

โพสต์ที่ 4

โพสต์

เคยได้ยินชื่อจอน เนฟ มานานแต่ก็พึ่งรู้ว่าเค้ามีหลักการลงทุนแบบนี้นี่เอง
ขอบคุณครับที่เอามาแบ่งปันครับ :bow:
.......ทำยังไงได้ก็ไม่ได้เกิดมาบนกองทอง........
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: ลงทุนแบบ JOHN NEFF นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า

โพสต์ที่ 5

โพสต์

มีหนังสือนะครับ
ลองซื้อมาอ่านดูสิ น่าสนใจดี
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
KGYF
Verified User
โพสต์: 399
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนแบบ JOHN NEFF นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ขอบคุณมากครับ


:bow: :bow: :bow:
" สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ = การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง "

" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
ภาพประจำตัวสมาชิก
poonpoon7
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 347
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนแบบ JOHN NEFF นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ซื้อหนังสือของ john neff มาอ่านแล้วครับ :)

คุณภาพของหนังสือถือว่าเยี่ยมเลย :)
"Value has a value only if its value is valued"
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนแบบ JOHN NEFF นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ผมหาไม่เจอเลย
หนังสือ จอห์น เนฟ หายากมาก
แต่รู้จาก พี่หมอ rieter
ซึ่ง เท่าที่ดู
ูจอห์น เนฟฟ conservative กว่า แกรแฮม อีก

คนนึงที่น่าตามศึกษา คือ จอห์น เทมเปิลตัน
ผมว่า นั่น เรียบง่าย แต่ลึกซึ้งยิ่งกว่าอีกคับ
show me money.
CokeZero
Verified User
โพสต์: 24
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนแบบ JOHN NEFF นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันความรู้ดีดีคะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Financeseed
Verified User
โพสต์: 1304
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนแบบ JOHN NEFF นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า

โพสต์ที่ 10

โพสต์

idol ผมเลยครับ
มองวิกฤต หาโอกาส
http://link-seed.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนแบบ JOHN NEFF นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า

โพสต์ที่ 11

โพสต์

nut776 เขียน:ผมหาไม่เจอเลย
หนังสือ จอห์น เนฟ หายากมาก
แต่รู้จาก พี่หมอ rieter
ซึ่ง เท่าที่ดู
ูจอห์น เนฟฟ conservative กว่า แกรแฮม อีก

คนนึงที่น่าตามศึกษา คือ จอห์น เทมเปิลตัน
ผมว่า นั่น เรียบง่าย แต่ลึกซึ้งยิ่งกว่าอีกคับ
http://www.fp.co.th/


สำนักพิมพ์นี้ พิมพ์หนังสือที่อ.นิเวศน์ กับดร.กุศยา แปลออกมาเยอะ
อย่าง Philip A. Fisher , Peter Lynch, Buffett ก็มีเยอะ


ชื่อ. ลงทุนแบบ จอห์น เนฟฟ์ (John Neff on Investing) ; เขียนโดย. John Neff ;
แปลโดย. ดร.กุศยา ลีฬหาวงศ์


รูปภาพ


จอห์น เนฟฟ์ ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Smart Money ให้เป็นหนึ่งในสุดยอดนักลงทุนของโลก เขาเป็น
ผู้จัดการกองทุน Vanguard Winsor Fund ซึ่งลงทุนโดยใช้หลักการซื้อหุ้นที่มี P/E ต่ำ และซื้อหุ้น
สวนทางกับตลาด จนทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างมากและสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้มากกว่า
13% ต่อปี ตลอดระยะเวลา 31 ปี ดังนั้นหลักการลงทุนของเขาจึงควรค่าอย่างยิ่งต่อการศึกษา




ไม่ได้ค่าโฆษณานะ แต่เห็นบอกว่าหาซื้อไม่ได้ ไปที่ SE-ED ก็มี
โพสต์โพสต์